ช่วยเขียนบทความทางวิชาการและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เรื่อง "วิเคราห์ ทิฏฐิสังยุตต์ มูลปัณณาสก์ โสตาปัตติวรรค - นวาตสูตร -เอตังมมสูตร - โสอัตตาสูตร - โนจเมสิยาสูตร - นัตถิทินนสูตร -กโรโตสูตร -เหตุสูตร - มหาทิฏฐิสูตร -สัสสตทิฏฐิสูตร - อสัสสตทิฏฐิสูตร - อันตวาสูตร - อนันตวาสูตร - ตังชีวังตังสรีรังสูตร - อัญญังชีวังอัญญังสรีรังสูต - โหติตถาคตสูตร - นโหติตถาคตสูตร - โหติจนโหติตถาคตสูตร - เนวโหตินนโหติตถาคตสูตร ในปริบทพุทธสันติวิธี " โดยใช้สาระสำคัญของ ทิฏฐิสังยุตต์ มูลปัณณาสก์ โสตาปัตติวรรค - นวาตสูตร -เอตังมมสูตร - โสอัตตาสูตร - โนจเมสิยาสูตร - นัตถิทินนสูตร -กโรโตสูตร -เหตุสูตร - มหาทิฏฐิสูตร -สัสสตทิฏฐิสูตร - อสัสสตทิฏฐิสูตร - อันตวาสูตร - อนันตวาสูตร - ตังชีวังตังสรีรังสูตร - อัญญังชีวังอัญญังสรีรังสูต - โหติตถาคตสูตร - นโหติตถาคตสูตร - โหติจนโหติตถาคตสูตร - เนวโหตินนโหติตถาคตสูตร ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 17 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 9 สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ทิฏฐิสังยุตต์ มูลปัณณาสก์ โสตาปัตติวรรค ความว่า
นวาตสูตร ว่าด้วยเหตุเกิดมิจฉาทิฏฐิ
พระสูตรนี้ตรัสเกี่ยวกับมิจฉาทิฏฐิหรือความเห็นผิดที่เกิดขึ้นเพราะยึดมั่นในสิ่งต่าง ๆ อันเป็นส่วนประกอบของชีวิต เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ พระพุทธเจ้าได้ตรัสถามภิกษุถึงเหตุแห่งการเกิดมิจฉาทิฏฐิ และได้ทรงชี้ให้เห็นว่า ความยึดมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และมีความแปรปรวนเป็นธรรมดานั้น เป็นเหตุให้เกิดมิจฉาทิฏฐิ
สรุปใจความสำคัญ ความยึดมั่นในขันธ์ 5 พระองค์ตรัสว่า ขันธ์เหล่านี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
มิจฉาทิฏฐิเกิดจากการถือมั่นมิจฉาทิฏฐิเช่น การเชื่อว่าสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นของเที่ยงแท้ เช่น ลมไม่พัด แม่น้ำไม่ไหล พระจันทร์และพระอาทิตย์หยุดนิ่ง เป็นต้น เกิดจากการยึดมั่นในขันธ์ 5
การละมิจฉาทิฏฐิด้วยการเข้าใจความจริง เมื่อเห็นว่า สิ่งใดที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และแปรปรวน บุคคลจึงละความยึดมั่นในสิ่งนั้นได้ พระโสดาบันและการละสงสัย
เมื่อพระอริยสาวกละความยึดมั่นและความสงสัยในทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรคได้ ก็เป็นผู้บรรลุโสดาปัตติผล
ข้อคิดจากนวาตสูตร พระสูตรนี้เน้นย้ำให้พิจารณาธรรมชาติของขันธ์ 5 ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และแปรปรวน เพื่อป้องกันการเกิดมิจฉาทิฏฐิและความยึดมั่นที่นำไปสู่ความทุกข์ และชี้ให้เห็นหนทางสู่ความหลุดพ้นด้วยปัญญาและความเข้าใจในสัจธรรม.
เอตังมมสูตร (ว่าด้วยเหตุแห่งการถือมั่นว่าเป็นของเรา) เนื้อหาโดยสังเขป: พระพุทธเจ้าทรงอธิบายถึงเหตุที่ทำให้เกิดทิฏฐิว่า “นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา” โดยมีรากฐานจากการ ถือมั่นและยึดมั่นในขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ ไม่เที่ยง (อนิจจัง) และ เป็นทุกข์ (ทุกขัง) เพราะมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
หลักธรรมสำคัญ: ขันธ์ 5: เป็นสิ่งไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ การยึดมั่นในขันธ์ 5 จะทำให้เกิดทิฏฐิผิด เช่น การถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา อนิจจังและทุกขัง:สิ่งใดที่ไม่เที่ยง ย่อมเป็นทุกข์ การไม่ถือมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ จะทำให้ทิฏฐิผิดดังกล่าวไม่เกิดขึ้น พระโสดาบัน: อริยสาวกที่ละความสงสัยใน ทุกข์ (ความไม่สบายใจ), สมุทัย (เหตุแห่งทุกข์), นิโรธ (ความดับทุกข์) และ มรรค (หนทางดับทุกข์) ได้ จะเป็น พระโสดาบัน ผู้มีความไม่ตกต่ำและเที่ยงที่จะตรัสรู้ในอนาคต ใจความสำคัญ: เมื่อเข้าใจว่าขันธ์ 5 เป็นสิ่งไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ และไม่ยึดมั่นถือมั่นในขันธ์เหล่านั้น ความคิดผิดว่ามีสิ่งใดเป็น "เรา" หรือ "ตัวตนของเรา" ก็จะไม่เกิดขึ้น นำไปสู่การบรรลุธรรมขั้นพระโสดาบัน ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการพ้นทุกข์อย่างมั่นคง.
โสอัตตาสูตร (ว่าด้วยเหตุแห่งการถือมั่นว่าเป็นตน) เนื้อหาโดยสังเขป:พระพุทธเจ้าทรงอธิบายเหตุแห่งการเกิดทิฏฐิว่า “ตนก็อันนั้น โลกก็อันนั้น เรานั้นละโลกไปแล้ว จะเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่เปลี่ยนแปลง” ซึ่งเกิดจาก การถือมั่นในขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยทรงชี้ให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ล้วน ไม่เที่ยง (อนิจจัง) และ เป็นทุกข์ (ทุกขัง) เพราะมีความแปรปรวนอยู่เสมอ หลักธรรมสำคัญในพระสูตร:ขันธ์ 5 เป็นที่ตั้งของทิฏฐิ: การถือมั่นขันธ์ 5 ว่าเป็นตนหรือเป็นสิ่งเที่ยงแท้ นำไปสู่ทิฏฐิผิด เช่น “ตนก็อันนั้น โลกก็อันนั้น”
ขันธ์ 5 ประกอบด้วย รูป (กาย), เวทนา (ความรู้สึก), สัญญา (ความจำได้หมายรู้), สังขาร (การปรุงแต่งจิตใจ) และ วิญญาณ (การรับรู้) อนิจจัง-ทุกขัง: ขันธ์ 5 ไม่เที่ยง และ เป็นทุกข์ เพราะมีการแปรปรวนการยึดมั่นในสิ่งไม่เที่ยงย่อมนำไปสู่ความทุกข์ ละความสงสัยในอริยสัจ 4: เมื่ออริยสาวกเข้าใจใน ทุกข์, สมุทัย (เหตุแห่งทุกข์), นิโรธ (ความดับทุกข์) และ มรรค (หนทางดับทุกข์) จนละความสงสัยได้ ก็จะไม่เกิดทิฏฐิผิดดังกล่าว พระโสดาบัน:ผู้ที่ละทิฏฐิผิดและความสงสัยในอริยสัจ 4 ได้ เรียกว่า พระโสดาบัน พระโสดาบันเป็นผู้ไม่ตกต่ำ และมั่นคงในหนทางที่จะตรัสรู้ใจความสำคัญ: ขันธ์ 5 เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ การถือมั่นในขันธ์ 5 ว่าเป็นตน เป็นของตน หรือเป็นสิ่งเที่ยงแท้ นำไปสู่ทิฏฐิผิด เมื่ออริยสาวกรู้เท่าทันและละการยึดมั่นเหล่านี้ได้ จะพ้นจากความสงสัยในอริยสัจ 4 และบรรลุเป็นพระโสดาบัน ผู้มั่นคงในหนทางแห่งการตรัสรู้.
โนจเมสิยาสูตรว่าด้วยเหตุแห่งนัตถิกทิฏฐิ (ความเห็นว่าไม่มี) พระสูตรนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการถือมั่นในขันธ์ทั้งห้า (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) อันเป็นเหตุให้เกิดความเห็นผิดว่า "เราไม่มี" หรือ "บริขารของเราไม่มี" โดยพระพุทธเจ้าทรงอธิบายถึงความไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ของขันธ์เหล่านี้ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่า การยึดมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยงและแปรปรวนเป็นเหตุแห่งทิฏฐิที่ผิด และเมื่ออริยสาวกละความยึดมั่นในขันธ์เหล่านี้ได้ ความเห็นผิดนั้นย่อมไม่เกิดขึ้น ประเด็นสำคัญในพระสูตร ขันธ์ทั้งห้าไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าทรงถามภิกษุว่า "รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่" ภิกษุทั้งหลายตอบว่า "ไม่เที่ยง" สิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์พระองค์ทรงย้ำว่า สิ่งที่ไม่เที่ยงย่อมเป็นทุกข์ และมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา การละความยึดมั่น เมื่อไม่ถือมั่นในขันธ์เหล่านี้ ทิฏฐิผิด เช่น ความคิดว่า "เราไม่มี" หรือ "บริขารของเราไม่มี" ย่อมไม่เกิดขึ้น อริยสาวกที่ละความสงสัย เมื่ออริยสาวกละความสงสัยในธรรม 6 ประการ ได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็จะเป็นพระโสดาบัน ผู้มั่นคงในหนทางแห่งความตรัสรู้ ข้อคิดจากพระสูตรการยึดมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นเหตุให้เกิดความเห็นผิดและความทุกข์การเข้าใจขันธ์ทั้งห้าอย่างแจ่มแจ้งช่วยให้ละความเห็นผิดและเข้าถึงธรรมขั้นสูงอริยสาวกที่สามารถละความสงสัยในธรรมทั้งหลายได้ จะไม่ตกต่ำและก้าวสู่การตรัสรู้ในอนาคตพระสูตรนี้เน้นการพิจารณาขันธ์ทั้งห้าเพื่อให้เห็นความจริงของธรรมชาติ และเพื่อปลดเปลื้องความยึดมั่นที่นำไปสู่ความทุกข์และความเห็นผิด.
นัตถิทินนสูตร (ว่าด้วยนัตถิกทิฏฐิ) เนื้อหาโดยรวม: พระผู้มีพระภาคตรัสถึงเหตุที่ทำให้เกิด นัตถิกทิฏฐิ (ความเห็นว่าไม่มีผลแห่งบุญบาปและไม่มีโลกหน้า) โดยอธิบายว่าเกิดจากการ ถือมั่น และ ยึดมั่น ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งล้วนเป็นสิ่ง ไม่เที่ยง (อนิจจัง) เป็นทุกข์ (ทุกขัง) และ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา (อนัตตา)
สาระสำคัญ: นัตถิกทิฏฐิคืออะไร: ความเห็นผิดที่ปฏิเสธการมีอยู่ของผลแห่งการทำดีทำชั่ว, โลกนี้และโลกหน้า, การมีมารดาบิดา, สมณพราหมณ์ที่ตรัสรู้ธรรม และการเวียนว่ายตายเกิด โดยมองว่ามนุษย์เป็นเพียงการรวมตัวของธาตุ 4 (ดิน น้ำ ไฟ ลม) ที่สลายไปเมื่อสิ้นชีวิต เหตุแห่งนัตถิกทิฏฐิ: เกิดจากการถือมั่นในขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ซึ่งไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ หากพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง จะไม่เกิดความเห็นผิดเช่นนี้ การแก้ไขนัตถิกทิฏฐิ: พระพุทธเจ้าแนะนำให้พิจารณาว่าสิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และแปรปรวน สิ่งนั้นไม่ควรยึดมั่นหรือถือมั่น เมื่อไม่ยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้ ความเห็นผิด ก็จะไม่เกิดขึ้น ผลจากการละนัตถิกทิฏฐิ: เมื่ออริยสาวกละความสงสัยในขันธ์ 5 และนัตถิกทิฏฐิได้แล้ว จะเข้าใจ อริยสัจ 4 (ทุกข์, สมุทัย, นิโรธ, มรรค) และบรรลุโสดาบัน มีความมั่นคงในธรรม และมุ่งสู่การตรัสรู้ในที่สุด ข้อคิด: ความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) เกิดจากการยึดมั่นในสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้เสมอ การพิจารณาขันธ์ 5 ตามหลักไตรลักษณ์ ช่วยให้เราหลุดพ้นจากความเข้าใจผิด การไม่ถือมั่นในขันธ์ 5 เป็นก้าวแรกสู่ความเข้าใจธรรมและการบรรลุธรรมขั้นสูง
กโรโตสูตร ว่าด้วยอกิริยทิฏฐิ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ทิฏฐิ (ความเห็น) ที่ว่า การกระทำทั้งบาปและบุญไม่มีผล เป็นความเห็นผิดที่เกิดจากการยึดมั่นถือมั่นในรูป (ร่างกาย), เวทนา (ความรู้สึก), สัญญา (ความจำได้หมายรู้), สังขาร (การปรุงแต่ง), และวิญญาณ (ความรู้สึกนึกคิด) ว่าสิ่งเหล่านี้เที่ยงแท้และคงที่ เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด จะพบว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เที่ยง (อนิจจัง), เป็นทุกข์ (ทุกขัง), และไม่สามารถยึดมั่นได้ (อนัตตา) เพราะแปรปรวนอยู่เสมอ ประเด็นสำคัญ: การยึดมั่นในขันธ์ 5 เมื่อยึดมั่นในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ความเห็นผิดจะเกิดขึ้นว่า การทำบาปหรือบุญไม่มีผล ความจริงคือ ขันธ์ทั้งห้าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ควรถือมั่น ความเข้าใจอริยสัจ 4 เมื่ออริยสาวกละความสงสัยในฐานะ 6 นี้ (ขันธ์ 5 และสิ่งที่รับรู้) ย่อมละความสงสัยในทุกข์, สมุทัย (เหตุแห่งทุกข์), นิโรธ (ความดับทุกข์), และมรรค (ทางสู่ความดับทุกข์) ได้ ผลของการละความสงสัย เมื่ออริยสาวกละความสงสัยเช่นนี้ ย่อมบรรลุเป็นพระโสดาบัน ผู้ไม่ตกต่ำและจะตรัสรู้ในที่สุด สาระสำคัญ: สิ่งที่ไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ไม่ควรยึดมั่น เพราะการยึดมั่นนำไปสู่ความเห็นผิด หากปล่อยวางได้จะนำไปสู่การเข้าใจธรรมและบรรลุมรรคผล. บทนี้เป็นส่วนหนึ่งจากพระสูตรที่ว่าด้วย "อเหตุกทิฏฐิ" ซึ่งเป็นการสอนเกี่ยวกับการเห็นความจริงในสภาวะต่างๆ ของโลกและการเข้าใจธรรมชาติที่ไม่เที่ยงของสิ่งต่างๆ โดยพระพุทธเจ้าทรงถามภิกษุทั้งหลายว่า สิ่งใดที่ทำให้เกิดทิฏฐิหรือความเห็นผิดเกี่ยวกับการไม่มีเหตุหรือปัจจัยในการเกิดขึ้นและดับไปของทุกข์และสุข ในตอนต้น พระพุทธเจ้าตรัสถึงการถือมั่นในสิ่งต่างๆ เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งเมื่อมีการยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้ จะเกิดทิฏฐิว่าไม่มีเหตุหรือปัจจัยในการเกิดขึ้นของทุกข์และสุข ซึ่งเป็นความเห็นผิดและเป็นการหลงผิดต่อความจริงของโลก พระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่า สิ่งใดที่ไม่เที่ยง เช่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไปตามเหตุปัจจัย และไม่มีความมั่นคง เมื่อไม่เห็นความไม่เที่ยงนี้ ก็จะไม่เกิดการเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับการเกิดขึ้นและดับไปของทุกข์และสุขในชีวิต สุดท้าย พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเมื่ออริยสาวกสามารถละความสงสัยในสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว จะสามารถข้ามผ่านความสงสัยในทุกข์และการดับทุกข์ได้ และจะสามารถเข้าสู่การเป็นพระโสดาบัน ซึ่งเป็นขั้นแรกของการบรรลุพระอรหันต์ได้อย่างมั่นคง สรุปว่า บทนี้เน้นการเข้าใจว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และไม่มีเหตุหรือปัจจัยที่สามารถทำให้เกิดสุขหรือทุกข์ได้โดยไม่มีการเข้าใจในสัจธรรมของการเกิดและดับของสิ่งต่างๆ ทั้งหมด
มหาทิฏฐิสูตร ว่าด้วยมิจฉาทิฏฐิ พระผู้มีพระภาคตรัสถึงการเกิดทิฏฐิที่ผิดจากความเป็นจริง โดยอธิบายถึงสภาวะ ๗ กอง ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม สุข ทุกข์ และชีวะ ว่าไม่มีใครเป็นผู้สร้างหรือเนรมิตขึ้น สภาวะเหล่านี้ตั้งอยู่มั่นคงและไม่มีความแปรปรวนหรือการกระทบกระทั่งกัน โดยอธิบายว่ามนุษย์ไม่สามารถทำให้เกิดสุขหรือทุกข์แก่กันและกันได้ เช่นเดียวกับการเกิดและความตายที่ไม่มีใครเป็นผู้ทำแต่เป็นผลของกรรม ในกรณีที่ผู้ใดเกิดทิฏฐิว่า ๗ กองนี้ไม่มีผู้ทำหรือเป็นผลจากการกระทำของใคร พระผู้มีพระภาคทรงชี้ให้เห็นว่าการยึดมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นจะทำให้เกิดความทุกข์ เพราะทุกสิ่งไม่เที่ยงและมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ดังนั้นผู้ที่ไม่ยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้จะสามารถละทิฏฐิที่ผิด และเข้าใจถึงความจริงของทุกข์และการสิ้นทุกข์ได้
พระผู้มีพระภาคทรงเน้นว่าเมื่อพระอริยสาวกสามารถละความสงสัยเกี่ยวกับทุกข์และหนทางสู่การสิ้นทุกข์ได้แล้ว เขาจะเป็นพระโสดาบัน ซึ่งหมายถึงผู้ที่บรรลุขั้นแรกของพระนิพพานและไม่ตกต่ำไปสู่ความทุกข์อีกต่อไป. โดยรวม, มหาทิฏฐิสูตรเน้นถึงการละทิฏฐิที่ผิดและการยอมรับความจริงของสภาพที่ไม่เที่ยงเพื่อเข้าถึงการบรรลุนิพพาน.
สัสสตทิฏฐิสูตร ว่าด้วยความเห็นว่าโลกเที่ยง พระผู้มีพระภาคทรงถามภิกษุทั้งหลายว่า เพราะอะไรถึงเกิดทิฏฐิ (ความเห็น) ว่าโลกเที่ยง? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่าเป็นเพราะถือมั่นในรูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร และวิญญาณ ว่ามีอยู่และไม่แปรปรวน จึงเกิดความเห็นว่าโลกเที่ยง พระองค์จึงทรงถามว่า รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, และวิญญาณนั้นเที่ยงหรือไม่? ภิกษุตอบว่าไม่เที่ยง และสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นจะเป็นทุกข์หรือสุข? ภิกษุตอบว่าเป็นทุกข์ พระองค์จึงทรงสอนว่า สิ่งที่ไม่เที่ยงและเป็นทุกข์นั้น จะไม่สามารถเป็นเหตุให้เกิดทิฏฐิว่าโลกเที่ยงได้ พระองค์ทรงย้ำว่า เมื่ออริยสาวกละความสงสัยในสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว ก็จะได้รับการยกย่องว่าเป็นพระโสดาบัน ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ตกต่ำและแน่วแน่ที่จะไปสู่การตรัสรู้ในเบื้องหน้า. หลักสำคัญในสูตรนี้คือการตระหนักถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งและการละทิฏฐิที่นำไปสู่ความยึดมั่นในโลกนี้ ว่าจะเป็นการสิ้นสุดของความหลงผิดและการบรรลุความเข้าใจในธรรมะ.
อสัสสตทิฏฐิสูตร ว่าด้วยความเห็นว่าโลกไม่เที่ยง พระผู้มีพระภาคทรงถามภิกษุทั้งหลายว่า เมื่อใดที่เกิดทิฏฐิ (ความเห็น) ว่าโลกไม่เที่ยง? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เป็นเพราะการถือมั่นในรูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, และวิญญาณ ว่ามีอยู่และเป็นสิ่งที่ไม่แปรปรวน พระองค์จึงทรงถามว่า วิญญาณนั้นเที่ยงหรือไม่? ภิกษุตอบว่าไม่เที่ยง และถามว่า สิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นจะเป็นทุกข์หรือสุข? ภิกษุตอบว่าเป็นทุกข์ พระองค์จึงทรงสอนว่า เมื่อสิ่งใดไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ ก็ไม่สามารถเป็นเหตุให้เกิดทิฏฐิว่าโลกไม่เที่ยงได้ พระองค์ย้ำว่า เมื่ออริยสาวกละความสงสัยในสิ่งเหล่านี้ได้แล้ว ก็จะได้รับการยกย่องว่าเป็นพระโสดาบัน ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ตกต่ำและมั่นคงในการไปสู่การตรัสรู้ในอนาคต. สาระสำคัญของสูตรนี้คือการตระหนักถึงความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งและการละทิฏฐิที่ทำให้เกิดการยึดมั่นในโลกนี้ การบรรลุความเข้าใจในธรรมะจะทำให้สามารถละความสงสัยและก้าวไปสู่การตรัสรู้ได้.
อันตวาสูตร ว่าด้วยความเห็นว่าโลกมีที่สุด ในสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคทรงถามภิกษุทั้งหลายว่า เมื่อใดที่เกิดทิฏฐิ (ความเห็น) ว่าโลกมีที่สุด? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า การเกิดทิฏฐิแบบนี้เกิดขึ้นจากการถือมั่นและยึดมั่นในสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลก เช่น รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, และวิญญาณ พระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า เมื่อมีการยึดมั่นในสิ่งใดๆ จะเกิดทิฏฐิว่าโลกมีที่สุด ซึ่งเป็นทิฏฐิที่ไม่ถูกต้องตามหลักธรรม สาระสำคัญของสูตรนี้คือ การเตือนให้ละทิฏฐิที่เกิดจากการยึดมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยงและแปรปรวน และทำให้เข้าใจถึงความจริงที่ว่าโลกไม่มีที่สุด และทุกสิ่งล้วนมีการเปลี่ยนแปลง.
อนันตวาสูตร ว่าด้วยความเห็นว่าโลกไม่มีที่สุด ในสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคทรงถามภิกษุทั้งหลายว่า เมื่อใดที่เกิดทิฏฐิ (ความเห็น) ว่าโลกไม่มีที่สุด? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า การเกิดทิฏฐิแบบนี้เกิดขึ้นจากการถือมั่นและยึดมั่นในสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลก พระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า การยึดมั่นในสิ่งใดๆ จะทำให้เกิดทิฏฐิว่าโลกไม่มีที่สุด ซึ่งเป็นทิฏฐิที่ไม่ถูกต้องตามหลักธรรม และเตือนให้เข้าใจถึงความจริงที่ว่า โลกมีการเกิดและดับเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ไม่มีสิ่งใดที่ไม่มีที่สุด. สาระสำคัญของสูตรนี้คือการเตือนให้ละทิฏฐิที่เกิดจากการยึดมั่นในสิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุด และมองโลกในแง่ที่เห็นความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งมีการเริ่มต้นและจบลงตามธรรมดา.
ตังชีวังตังสรีรังสูตร ว่าด้วยความเห็นว่าชีพกับสรีระเป็นอันเดียวกัน ในสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคทรงถามภิกษุทั้งหลายว่า เมื่อใดที่เกิดทิฏฐิ (ความเห็น) ว่าชีวิต (ชีว) และสรีระ (ร่างกาย) เป็นอันเดียวกัน? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ทิฏฐิแบบนี้เกิดจากการถือมั่นและยึดมั่นในสิ่งทั้งสองนี้เป็นอันเดียวกัน. สาระสำคัญของสูตรนี้คือการเตือนให้เห็นว่า ชีวิตและร่างกายไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แม้จะเกี่ยวข้องกันในชีวิตมนุษย์ แต่ทั้งสองยังคงมีลักษณะแตกต่างกันและไม่ควรถือมั่นหรือยึดมั่นในความเชื่อที่ว่าทั้งสองเป็นอันเดียวกัน การแยกแยะความแตกต่างระหว่างชีวิตและร่างกายเป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ตามหลักพระพุทธศาสนา.
อัญญังชีวังอัญญังสรีรังสูตร ว่าด้วยความเห็นว่าชีพกับสรีระเป็นคนละอย่าง ในสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคทรงถามภิกษุทั้งหลายว่า ทิฏฐิ (ความเห็น) ที่เกิดขึ้นว่า ชีวิต (ชีว) และสรีระ (ร่างกาย) เป็นคนละอย่างนั้น เกิดจากการถือมั่นและยึดมั่นในสิ่งทั้งสองว่าเป็นสิ่งที่แยกจากกันอย่างเด็ดขาด เนื้อหาของสูตรนี้สะท้อนถึงความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกาย ซึ่งผู้คนบางครั้งเห็นว่าชีวิตและร่างกายเป็นสิ่งที่แยกจากกันโดยสิ้นเชิง โดยไม่รับรู้ถึงการเชื่อมโยงที่มีอยู่ระหว่างทั้งสอง พระพุทธเจ้าทรงเตือนว่า ทั้งชีวิตและร่างกายต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่ไม่ควรยึดมั่นในความคิดที่แยกแยะพวกมันออกจากกันอย่างสมบูรณ์
โหติตถาคตสูตร ว่าด้วยความเห็นว่าสัตว์ตายแล้วเกิดอีก ในสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคทรงถามภิกษุทั้งหลายว่า ทิฏฐิ (ความเห็น) ที่เกิดขึ้นว่า "สัตว์ตายแล้วเกิดใหม่" เกิดจากการถือมั่นและยึดมั่นในความคิดที่ว่าเมื่อสัตว์ตายแล้ว ย่อมมีการเกิดใหม่ตามมา ความเห็นนี้เกิดจากการยึดมั่นในสัญญาและการรับรู้ที่ผิดเกี่ยวกับธรรมชาติของชีวิตและความตาย พระพุทธเจ้าทรงชี้ให้เห็นว่า การเกิดและการตายเป็นส่วนหนึ่งของกฎธรรมชาติที่ต้องพิจารณาด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง โดยไม่ยึดมั่นในความเชื่อที่ผิดว่ามีการเกิดใหม่อย่างถาวรหลังจากตาย
นโหติตถาคตสูตร ว่าด้วยความเห็นว่าสัตว์ตายแล้วไม่เกิดอีก ในสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคทรงถามภิกษุทั้งหลายว่า ทิฏฐิที่เกิดขึ้นว่า "สัตว์ตายแล้วไม่เกิดอีก" เกิดจากการถือมั่นและยึดมั่นในความคิดที่ว่าเมื่อสัตว์ตายแล้วจะไม่มีการเกิดใหม่เกิดขึ้นอีก พระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า การยึดมั่นในความเชื่อเช่นนี้เป็นความเห็นที่ผิด ซึ่งไม่ตรงกับความจริงของการเกิดและการตายตามธรรมชาติ
โหติจนโหติตถาคตสูตร ว่าด้วยความเห็นว่าสัตว์ตายแล้วเกิดอีกก็มีไม่เกิดอีกก็มี ในสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคทรงถามภิกษุทั้งหลายเกี่ยวกับความเห็นที่ว่า "สัตว์ตายแล้วบางส่วนเกิดใหม่ บางส่วนไม่เกิดใหม่" ซึ่งเกิดจากการถือมั่นและยึดมั่นในทิฏฐิที่แตกต่างกันเกี่ยวกับการเกิดและการตาย พระองค์ทรงแสดงว่า การยึดมั่นในความเชื่อเช่นนี้เป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้อง และควรดำเนินตามคำสอนที่ถูกต้องเพื่อนำไปสู่การตรัสรู้
เนวโหตินนโหติตถาคตสูตร ว่าด้วยความเห็นว่าสัตว์ตายแล้วเกิดอีกก็หามิได้ไม่เกิดอีกก็หามิได้ ในสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคทรงถามภิกษุทั้งหลายเกี่ยวกับความเห็นที่ว่า "สัตว์ตายแล้วไม่เกิดและไม่ตาย" ซึ่งเกิดจากการถือมั่นและยึดมั่นในทิฏฐิที่ผิด พระองค์ทรงแสดงให้เห็นว่า สิ่งใดที่ไม่เที่ยง ย่อมเป็นทุกข์ และมีความแปรปรวนเป็นธรรมดา การถือมั่นในสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นจะนำไปสู่ความเห็นที่ผิดเกี่ยวกับการเกิดและการตาย เมื่ออริยสาวกละความสงสัยในเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว เขาจะสามารถก้าวเข้าสู่การเป็นพระโสดาบันได้.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น