การปลูกกล้วยขายใบตองเป็นอาชีพที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้ที่ยั่งยืน แต่ต้องมีการวางแผนและบริหารจัดการที่รอบคอบ การพัฒนาแผนการลงทุน การผลิต การเงิน และการตลาดอย่างครบวงจรจะช่วยให้เกษตรกรสามารถเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ของตนเอง และตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่าจากข้อมูลสถิติกระทงที่ประชาชนนำมาใช้ในเทศกาลลอยกระทง เมื่อปี 2566 ของสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร พบว่า เป็นกระทงที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ หรือวัสดุที่ย่อยสลายได้ง่าย และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น หยวกกล้วย ใบตอง และอื่นๆ จำนวนกว่า 610,000 ใบ คิดเป็นร้อยละ 96.74 สอดคล้องกับความต้องการใช้ใบตองเพิ่มมากขึ้น ถือเป็นช่วงที่ใบตองจะปรับราคาสูงขึ้นตาม
ทั้งนี้ใบตองนับเป็นอีกหนึ่งผลิตผลของการเกษตรที่มีอนาคต เป็นที่นิยมใช้ในประเทศ มีการใช้ประโยชน์มากในธุรกิจอาหาร ใบตองกล้วยตานีเป็นใบตองที่มีคุณภาพดี เป็นวัสดุจากธรรมชาติที่ได้รับความนิยม ย่อยสลายง่ายไม่ทำลาย สภาพแวดล้อม ใช้สำหรับบรรจุอาหาร ตกแต่งภาชนะ ทำกระทง ใช้ประกอบกิจกรรมในงานมงคล เช่น ทำบายศรี หรือบุญประเพณีต่างๆ ใบตองที่นิยมมาจากกล้วยตานีและกล้วยน้ำว้า สำหรับใบตองจากกล้วยตานีจะได้รับความนิยมมากกว่า เนื่องจากจะมีลักษณะใบที่กว้าง เหนียว ทนทาน สีเขียวสดน่าใช้ ไม่เหี่ยวหรือแตกง่าย สามารถเก็บไว้ได้นาน จากฐานข้อมูลทะเบียนเกษตรกร มีพื้นที่ปลูกกล้วยตานี ประมาณ 6,200 ไร่ มีเกษตรกรกว่า 1,500 ครัวเรือน พื้นที่ปลูกมากที่สุดในจังหวัดสุโขทัย พื้นที่ไม่น้อยกว่า 5,500 ไร่ ใบตองส่วนใหญ่ส่งขายในประเทศ ได้แก่ ปากคลองตลาด ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง ภูมิภาคต่างๆ ทั่วไทย เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น ทั้งภายในประเทศและส่งออกต่างประเทศ โดยในปี 2566 มูลค่าการส่งออกใบตองกว่า 41 ล้านบาท ปัจจุบันราคาขาย ตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน 2567 ประมาณ 40 – 70 บาท/กก. จำหน่ายในรูปใบตองสด ใบตองสดแช่แข็ง และใบตองตากแห้ง เป็นต้น แนวทางการขับเคลื่อนคือการพัฒนาคุณภาพผลผลิตให้ได้มาตรฐาน GAP รวมถึงส่งเสริมการแปรรูปผลผลิตโดยใช้เทคโนโลยี เช่น เครื่องขึ้นรูปภาชนะด้วยความร้อนเพื่อเพิ่มมูลค่าและเพิ่มช่องทางการตลาดทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ตัวอย่างเช่น กลุ่มแปลงใหญ่ใบตองกล้วยตานี ตำบลคลองกระจง อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย จำหน่ายใบตองสด 9-10 บาท/กิโลกรัม และสามารถแปรรูปเพื่อยกระดับมูลค่าของผลิตภัณฑ์และจำหน่ายได้สูงขึ้น เช่น ส่งเสริมผลิตภัณฑ์จากใบตอง จำหน่ายภายใต้แบรนด์ “ใบตองคลองกระจง” เช่น ปอเส้นกาบกล้วยตานี/เชือกกล้วย ราคา 30 บาท/มัด ภาชนะจากใบตองที่ใช้ได้ทั้งอุณหภูมิร้อนและเย็น และเข้าไมโครเวฟได้ราคาเฉลี่ย 3 บาท/ใบและในช่วงเทศกาลลอยกระทงทางกลุ่มแปลงใหญ่ได้ผลิต ประทีปใบตองแห้ง ที่ย่อยสลายง่ายสำหรับจำหน่ายช่วงเทศกาลลอยกระทงอีกด้วย
อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลผลิตหลักของกล้วยตานีคือใบตองสด หลังจากปลูกกล้วยได้ 8 เดือน สามารถตัดใบตองจำหน่ายได้ แต่ละใบสามารถเก็บเกี่ยวได้ทุก 15 วันนับจากใบเทียนโผล่ (ใบเทียน คือ ใบกล้วยที่แทงออกมา ลักษณะใบยังม้วนอยู่) ใบตองที่เก็บเกี่ยวได้ต้องมีลักษณะสีเขียวเข้ม ใบตั้งตรง เทคนิคการตัดใบตองกล้วยตานีให้มีคุณภาพ สามารถใช้ขอเกี่ยวกดใบที่มีความคมมาก ทำให้ตัดใบได้ง่ายและไม่ทำให้ใบตองแตกจากการกระชากของขอเกี่ยว การตัดใบช่วงฤดูแล้ง สามารถยืดระยะเวลาการตัดออกไปได้อีก 30 วัน การตัดใบในฤดูฝนควรตัดช่วงที่ไม่มีน้ำค้าง ช่วงที่เหมาะที่สุดคือเวลาประมาณ 15.00 - 17.00 น. เพราะเป็นช่วงที่ใบกล้วยรับแสงได้มากในเวลากลางวัน ทำให้ใบอ่อนไม่แตกง่าย หากเป็นฤดูร้อน ที่มีอากาศแห้งแล้ง และอุณหภูมิสูง ควรตัดตอนช่วงเช้าเพื่อป้องกันการเหี่ยว การตัดแต่ละครั้งให้เหลือหูใบไว้ประมาณ 15 นิ้ว เมื่อตัดแล้วต้องรีบเก็บโดยให้ตั้งใบตองไว้กับต้น เพื่อป้องกันการไหลของยางกล้วยไปติดใบ หลังจากตัดใบกล้วยแล้ว ทั้งนี้ เกษตรกรที่ปลูกสามารถตัดใบตองได้ตลอดทั้งปี ในช่วงเดือน พ.ค.-ธ.ค. ได้ผลผลิต 600-1,000 ใบ/เดือน/ไร่ ช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. ได้ผลผลิต 300-500 ใบ/เดือน/ไร่ รอบหนึ่งปีเก็บได้ 16 ครั้ง โดยได้ใบสดประมาณ 7,200-12,000ใบ/ไร่ ใบกล้วยตานี 3-4 ใบ ได้น้ำหนักใบตอง 1 กิโลกรัม คุณภาพของใบตองกล้วยตานีสามารถคัดเกรดใบตองแบ่งเป็น 3 เกรด โดยใบตองที่มีคุณภาพและตลาดต้องการ เกรด A ได้จากการตัดใบรองจากใบเทียน ขนาดความกว้างของใบไม่น้อยกว่า 8 นิ้ว ใบไม่มีตำหนิขอบ ใบตองไม่มีลักษณะไหม้ ใบแตกได้ไม่เกิน 3 แฉก ปัจจุบันเกรดของใบตองขึ้นอยู่กับผู้รับซื้อ ซึ่งมีหลายแบบตามการนำไปใช้งานทั้งในและนอกประเทศ
“เกษตรกรควรศึกษาการให้ปุ๋ยที่เหมาะสมและหมั่นดูแลคืนความสมบูรณ์ให้ดินอย่างสม่ำเสมอ ใบตองถือเป็นผลผลิตที่มีอนาคต มีความต้องการในประเทศสูง เนื่องจากกระแสการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติทำให้ความต้องการเพิ่มมากขึ้น รวมถึงเกษตรกรที่สนใจปลูกควรวิเคราะห์ความคุ้มค่าเพื่อวางแผนการลงทุน แผนการผลิต แผนการเงิน แผนการตลาดอย่างรอบคอบ โดยสามารถขอคำแนะนำได้ที่สำนักงานเกษตรอำเภอใกล้บ้านท่านเพื่อร่วมวางแผนการเพาะปลูก” อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าว
ขายใบตอง: แผนการลงทุน แผนการผลิต แผนการเงิน และแผนการตลาด
การปลูกกล้วยเพื่อจำหน่ายใบตองถือเป็นแนวทางการทำเกษตรที่มีโอกาสสร้างรายได้ในระยะยาว โดยเฉพาะจากความต้องการของตลาดที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลต่าง ๆ เช่น เทศกาลลอยกระทง ซึ่งใช้ใบตองเป็นวัสดุธรรมชาติในการประดิษฐ์กระทง อีกทั้งแนวโน้มการใช้วัสดุย่อยสลายได้ยังช่วยส่งเสริมความนิยมของใบตองในด้านต่าง ๆ เช่น บรรจุภัณฑ์อาหารและการตกแต่งในพิธีกรรมทางศาสนา การวางแผนที่เหมาะสมในด้านการลงทุน การผลิต การเงิน และการตลาดจึงเป็นสิ่งสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและความยั่งยืนของเกษตรกรกล้วยขายใบตอง
1. แผนการลงทุน
การลงทุนสำหรับการปลูกกล้วยขายใบตองมีปัจจัยที่ต้องพิจารณา เช่น
พื้นที่การปลูก: พื้นที่เหมาะสมในการปลูกกล้วยตานีซึ่งเป็นที่นิยม ควรตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมและได้รับแสงแดดเพียงพอ
ต้นทุนเริ่มต้น: รวมถึงต้นพันธุ์ การเตรียมดิน ระบบชลประทาน การให้ปุ๋ย และการจัดการศัตรูพืช
การลงทุนในอุปกรณ์และเทคโนโลยี: เช่น เครื่องตัดใบตองที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และการใช้เทคโนโลยีแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น การทำภาชนะจากใบตอง
ข้อเสนอแนะ: การจัดหาเงินทุนจากแหล่งเงินกู้ที่สนับสนุนการเกษตร เช่น กองทุนเพื่อการส่งเสริมการเกษตร หรือการร่วมมือกับหน่วยงานรัฐจะช่วยลดภาระทางการเงินในช่วงเริ่มต้น
2. แผนการผลิต
การปลูกและเก็บเกี่ยวใบตองต้องคำนึงถึงคุณภาพและความสม่ำเสมอของผลผลิต โดยเฉพาะใบตองกล้วยตานีที่มีคุณภาพสูงและเป็นที่ต้องการในตลาด
ระยะเวลาการปลูก: โดยปกติกล้วยตานีจะพร้อมให้เก็บใบตองครั้งแรกหลังจากปลูก 8 เดือน และสามารถตัดได้ทุก 15 วัน
การดูแลและบำรุงรักษา: การให้ปุ๋ยและคืนความสมบูรณ์ให้ดิน การป้องกันโรคและศัตรูพืช และการตัดใบตามช่วงเวลาที่เหมาะสม เช่น การตัดในช่วงบ่ายเพื่อป้องกันการแตกของใบในช่วงฤดูฝน
การแปรรูปผลิตภัณฑ์: เช่น การทำใบตองแช่แข็ง ใบตองตากแห้ง หรือผลิตภัณฑ์จากใบตองที่มีมูลค่าเพิ่ม เช่น ภาชนะจากใบตอง
ข้อเสนอแนะ: เกษตรกรควรได้รับการอบรมเกี่ยวกับเทคนิคการผลิตที่ได้มาตรฐาน GAP และการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์
3. แผนการเงิน
การจัดการต้นทุน: การวางแผนต้นทุนการผลิต เช่น ค่าวัสดุ ปุ๋ย ค่าแรงงาน และต้นทุนแปรรูป
รายได้และกำไร: การประเมินรายได้จากการขายใบตองสดและใบตองแปรรูป รวมถึงการจัดทำงบการเงินเพื่อประเมินกำไรขาดทุน
การลงทุนต่อเนื่อง: การใช้กำไรในการพัฒนาคุณภาพและปริมาณการผลิต เช่น การซื้ออุปกรณ์ใหม่ หรือการขยายพื้นที่เพาะปลูก
ข้อเสนอแนะ: ควรมีการบริหารจัดการงบประมาณอย่างเป็นระบบ และใช้ระบบบัญชีที่ชัดเจนเพื่อติดตามรายรับรายจ่ายอย่างต่อเนื่อง
4. แผนการตลาด
ตลาดใบตองมีความต้องการเพิ่มขึ้นจากกระแสการใช้วัสดุธรรมชาติ การวางแผนตลาดที่ครอบคลุมจะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ
ตลาดในประเทศ: เช่น การจำหน่ายในตลาดใหญ่ เช่น ปากคลองตลาด ตลาดไท ตลาดสี่มุมเมือง รวมถึงภูมิภาคต่าง ๆ
ตลาดส่งออก: การพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ให้ได้มาตรฐานสากลจะช่วยให้สามารถส่งออกไปยังต่างประเทศได้
การสร้างมูลค่าเพิ่ม: การสร้างแบรนด์และผลิตภัณฑ์ใหม่จากใบตอง เช่น ภาชนะจากใบตอง ผลิตภัณฑ์สำหรับเทศกาลลอยกระทง และบรรจุภัณฑ์อาหาร
ข้อเสนอแนะ: เกษตรกรควรร่วมมือกับกลุ่มแปลงใหญ่และหน่วยงานรัฐในการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และช่องทางการตลาดให้หลากหลาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น