การสร้างศักยภาพชุมชนประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างเป็นกระบวนการสำคัญในการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับภูมิภาค โดยการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมจะช่วยเสริมสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเองและเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิตของชุมชน นโยบายและข้อเสนอแนะที่นำเสนอในบทความนี้มุ่งเน้นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาชุมชนในเชิงรุกและการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการสร้างสังคมที่มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว
ทั้งนี้ชุมชนในประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างที่รวมถึงประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ล้วนมีความสัมพันธ์ทางภูมิศาสตร์และทรัพยากรที่คล้ายคลึงกัน แต่ละชุมชนเผชิญกับความท้าทายทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงจำเป็นต้องมีการเสริมสร้างศักยภาพของชุมชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยเฉพาะการพัฒนาทางการเกษตรที่เป็นอาชีพหลัก ระหว่างวันที่ 3-6 พฤศจิกายน 2567 มีการประชุมเชิงปฏิบัติการระดับภูมิภาคเกี่ยวกับ "การสร้างศักยภาพชุมชน" สำหรับชุมชนจากประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่าง
ภายใต้การดำเนิน โครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การแปรรูปผลผลิตการเกษตรให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) เพื่อช่วยส่งเสริมและสนับสนุนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขงของประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ให้มีความเข้มแข็ง ส่งเสริมการสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าเกษตร สร้างรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรให้ดีขึ้น ซึ่งดำเนินงานโดยพันธมิตรเครือข่าย ได้แก่ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) สำนักงานเลขาธิการคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission Secretariat : MRCS) และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
หลักการและอุดมการณ์
โครงการนี้มีหลักการสำคัญคือการเสริมสร้างศักยภาพชุมชนผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่ยั่งยืน โดยอุดมการณ์สำคัญคือการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน การส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพ หลักการนี้ยังรวมถึงการสนับสนุนให้ชุมชนสามารถแปรรูปผลผลิตการเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่า โดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) เป็นเครื่องมือหลัก
วิธีการและยุทธศาสตร์
วิธีการที่ใช้ในการเพิ่มศักยภาพของชุมชนคือการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับบริบทของชุมชนลุ่มแม่น้ำโขง เช่น การใช้สารชีวภาพในการผลิตข้าว การเพาะเห็ด การจัดการศัตรูพืช การใช้สาหร่ายทะเลในการเกษตร และการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสม ยุทธศาสตร์หลักคือการเสริมสร้างความรู้ให้แก่เกษตรกรและวิสาหกิจชุมชนโดยเน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีให้เกิดความยั่งยืน และลดการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติที่อาจสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ยุทธวิธีและวิสัยทัศน์
ยุทธวิธีที่ใช้ในโครงการนี้ประกอบด้วยการอบรมเชิงปฏิบัติการที่เน้นการทำงานแบบเข้มข้น รวมถึงการศึกษาดูงาน ณ จังหวัดปทุมธานี ที่มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้สำเร็จ วิสัยทัศน์ของโครงการนี้คือการสร้างชุมชนที่เข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ โดยมีการพัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่นที่ยั่งยืน ลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอก และการสนับสนุนให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างมีความรับผิดชอบ เพื่อให้ชุมชนลุ่มแม่น้ำโขงสามารถเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน
แผนงานและโครงการ
โครงการหลักที่ดำเนินการในครั้งนี้ประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ เช่น:
การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร - มีการส่งเสริมให้เกษตรกรใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น การผลิตอาหารและเครื่องสำอางจากสาหร่ายทะเล การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ การเพาะเห็ด การผลิตกล้วยหอมทอง และการใช้สมุนไพร
การจัดการทรัพยากรน้ำ - มีการแนะนำการปลูกกล้วยหอมทองใหญ่เพื่อช่วยจัดการน้ำและลดผลกระทบจากพายุ
การใช้สารชีวภาพในการเกษตร - ส่งเสริมให้ใช้สารชีวภาพในการป้องกันศัตรูพืชและพัฒนาคุณภาพของดิน
การสร้างแผนธุรกิจ - สนับสนุนเกษตรกรในการเขียนแผนธุรกิจโดยเน้นการใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาด
อิทธิพลต่อสังคมไทย
โครงการนี้คาดว่าจะมีอิทธิพลต่อสังคมไทยในหลายด้าน ได้แก่:
การสร้างความเข้มแข็งให้ชุมชนท้องถิ่น - ชุมชนมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองและใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน
การยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกร - โครงการช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคงมากขึ้นผ่านการเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิต ซึ่งช่วยลดความเหลื่อมล้ำและยกระดับคุณภาพชีวิตในชุมชน
การส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม - การใช้สารชีวภาพและเทคโนโลยีที่เหมาะสมช่วยลดการใช้สารเคมีและป้องกันการเสื่อมสภาพของดิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อระบบนิเวศในระยะยาว
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
การส่งเสริมการใช้นวัตกรรมในท้องถิ่น: ภาครัฐควรมีนโยบายสนับสนุนการพัฒนาและประยุกต์ใช้นวัตกรรมในชุมชนท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ชุมชนสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างยั่งยืน
การสร้างความรู้และทักษะในชุมชน: ควรมีการส่งเสริมการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับชุมชนเพื่อให้ประชาชนมีทักษะและความรู้ที่เพียงพอต่อการปรับตัวในเศรษฐกิจยุคใหม่
การจัดตั้งเครือข่ายการค้าทางการเกษตร: ภาครัฐควรสนับสนุนการสร้างเครือข่ายการค้าสำหรับเกษตรกรในชุมชนลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์และสร้างโอกาสในการขายสินค้าทั้งในระดับภูมิภาคและระดับสากล
การสนับสนุนโครงการวิจัยและพัฒนาสำหรับการเกษตรยั่งยืน: ภาครัฐและสถาบันการศึกษาควรร่วมมือกันในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสมกับบริบทของลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อสร้างความยั่งยืนทางการเกษตร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น