การจัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติแก้ปัญหาที่ดินวัดและการพัฒนาที่ดินวัดสู่ความยั่งยืน ถือเป็นแนวทางสำคัญที่ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ไขปัญหาที่ดินวัดที่ซับซ้อน แต่ยังเป็นการส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งนี้ การบูรณาการแนวทางดังกล่าวกับนโยบายเศรษฐกิจพอเพียงและการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนสามารถช่วยสร้างประโยชน์ให้แก่สังคมและพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
ปัญหาการจัดการที่ดินของวัดในประเทศไทยเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เนื่องจากที่ดินของวัดบางแห่งเกิดความทับซ้อนกับพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงานรัฐ เช่น ที่ดินป่า ที่ดิน สปก. ที่ดินสาธารณะ และที่ดินที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพ ปัญหานี้สร้างความท้าทายทั้งต่อการพัฒนาและการอนุรักษ์พื้นที่ทางพระพุทธศาสนาและต่อความยั่งยืนของการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในประเทศ
พื้นฐานและปัญหาที่เกิดขึ้น
ในการประชุมที่พุทธมณฑล จ.นครปฐม เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 รศ.ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะประกอบด้วยดร.นิยม เวชกามา อดีต สส.สกลนคร เขต 2 พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้แทนรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและคณะที่ปรึกษา ได้มอบนโยบายและชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการจัดการปัญหาที่ดินวัด โดยกล่าวถึงปัญหาทับซ้อนของที่ดินระหว่างวัดกับพื้นที่รัฐต่างๆ ซึ่งมีความซับซ้อนและยังแก้ไขไม่สำเร็จ รศ.ชูศักดิ์เสนอว่าการแก้ปัญหานี้จำเป็นต้องมีคณะกรรมการระดับชาติ โดยมีการร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมที่ดิน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น เพื่อทำให้เป็นวาระแห่งชาติและแก้ไขปัญหาที่ดินวัดอย่างเป็นระบบ
แนวทางการตั้งคณะกรรมการระดับชาติ
การตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อแก้ปัญหาที่ดินวัดสามารถดำเนินการตามแนวทางต่อไปนี้:
การกำหนดโครงสร้างคณะกรรมการ คณะกรรมการควรประกอบด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และให้มีประธานคณะกรรมการที่มีอำนาจในการกำหนดทิศทางและสั่งการเพื่อให้เกิดความชัดเจน
การประสานงานระหว่างหน่วยงาน แต่ละหน่วยงานควรทำหน้าที่ในการกำหนดพื้นที่และสภาพการใช้ที่ดินของวัดให้ชัดเจน เพื่อลดความขัดแย้งและหลีกเลี่ยงปัญหาทับซ้อน
การใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีในการจัดการ เช่น การใช้เทคโนโลยี GIS และการทำฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ของที่ดินวัดทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยให้คณะกรรมการสามารถเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็วและแม่นยำ
การออกกฎหมายและระเบียบที่ชัดเจน รัฐควรปรับปรุงกฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้องกับที่ดินวัด ให้เกิดความยั่งยืนในการจัดการที่ดินและช่วยลดปัญหาทางกฎหมาย
แนวทางการพัฒนาที่ดินวัดสู่ความยั่งยืน
การพัฒนาที่ดินวัดอย่างยั่งยืนควรคำนึงถึงหลักการพุทธอารยะเกษตร และการพัฒนาที่สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง และการบูรณาการโครงการสำคัญต่าง ๆ เช่น:
โคกหนองนาโมเดล เป็นโมเดลที่ใช้หลักการเกษตรอินทรีย์ผสมผสานในที่ดินของวัด เพื่อสร้างความอุดมสมบูรณ์แก่ดิน น้ำ และเป็นแหล่งอาหารให้กับชุมชนในพื้นที่
ธนาคารน้ำและธนาคารที่ดิน การบริหารจัดการน้ำและที่ดินให้เหมาะสมช่วยเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและลดผลกระทบจากภัยแล้งหรืออุทกภัย ทำให้วัดและชุมชนมีการบริหารจัดการทรัพยากรที่ยั่งยืน
การส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงพุทธ การพัฒนาที่ดินวัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางศาสนา เช่น โครงการอารามภิรมย์ สามารถสร้างรายได้เสริมและเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจสำหรับประชาชน
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
จากการวิเคราะห์นี้ เสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายดังนี้:
สนับสนุนให้มีการตั้งคณะกรรมการระดับชาติ โดยให้มีผู้แทนจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งมีการสนับสนุนทรัพยากรเพื่อให้คณะกรรมการสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
การพัฒนาฐานข้อมูลที่ดินวัดแบบรวมศูนย์ เพื่อให้สามารถตรวจสอบและเข้าถึงข้อมูลที่ดินวัดได้อย่างครบถ้วน
การพัฒนาที่ดินวัดตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเน้นโครงการเกษตรอินทรีย์และเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวทางหลักในการจัดการพื้นที่
การสนับสนุนโครงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและการท่องเที่ยวเชิงพุทธ เพื่อเพิ่มรายได้และสร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจแก่พื้นที่ของวัด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น