ประเทศไทยในฐานะประเทศสมาชิกสำคัญในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงได้แสดงบทบาทสำคัญในการประชุมสุดยอดผู้นำโครงการความร่วมมือเศรษฐกิจลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion: GMS) และยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy: ACMECS) ประจำปี พ.ศ. 2567 ที่จัดขึ้น ณ นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ได้เน้นย้ำถึงการสร้างความเชื่อมโยงทั้งด้านเศรษฐกิจ การค้า การพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงการจัดการปัญหาภัยพิบัติที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและปัญหาความปลอดภัยข้ามพรมแดน ซึ่งล้วนเป็นประเด็นที่มีผลกระทบต่อทุกประเทศในภูมิภาคนี้อย่างเท่าเทียมกัน
ประเด็นการพัฒนาความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจและการค้า
ในการประชุมครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการขยายตลาดการส่งออกสินค้าไทย โดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอาหารเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ภายใต้กรอบความร่วมมือ GMS และ ACMECS การส่งเสริมตลาดส่งออกไปยังประเทศในภูมิภาคโดยเฉพาะจีนซึ่งมีประชากรสูงและมีความต้องการสินค้าทางการเกษตรจากต่างประเทศเป็นปัจจัยที่สามารถส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจไทยและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นการขยายความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่สามารถสร้างความได้เปรียบทางการค้าและพัฒนาศักยภาพของแรงงานไทยในการตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของโลก
การจัดการปัญหาข้ามพรมแดนและสิ่งแวดล้อมร่วม
การจัดการกับปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติและการแพร่ระบาดของยาเสพติดเป็นประเด็นสำคัญที่ได้รับการพิจารณาในการประชุมครั้งนี้ ประเทศไทยเสนอให้เกิดการประสานงานและสร้างระบบป้องกันภัยระหว่างประเทศสมาชิก เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาฝุ่นควันและมลพิษทางอากาศที่เกิดจากการเผาเศษวัสดุในภาคเกษตรกรรม ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน จำเป็นต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลและพัฒนากลไกการจัดการที่เป็นเอกภาพร่วมกัน
การบริหารจัดการน้ำและภัยพิบัติธรรมชาติ
ประเทศไทยมีข้อเสนอในการบริหารจัดการน้ำโดยการใช้เทคโนโลยีและระบบแจ้งเตือนภัยที่สามารถใช้ในการจัดการภัยธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ นายกรัฐมนตรีไทยได้กล่าวถึงกรณีน้ำท่วมแม่สายว่าเป็นตัวอย่างของปัญหาที่จำเป็นต้องมีความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อบรรเทาความเสียหาย ด้วยการปรับปรุงทางระบายน้ำและพัฒนามาตรการป้องกันร่วมกัน นอกจากนี้ การพัฒนาระบบแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าและการใช้ข้อมูลสภาพอากาศจากประเทศเพื่อนบ้านจะช่วยลดความเสี่ยงของภัยพิบัติในภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การพัฒนาและความร่วมมือในอนาคต
การสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการค้า: ควรส่งเสริมการเจรจากับประเทศสมาชิกในการสร้างเขตการค้าเสรีในลุ่มแม่น้ำโขง รวมถึงการส่งเสริมการผลิตและการพัฒนามาตรฐานสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก เพื่อเปิดตลาดใหม่ๆ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในตลาดโลก
การพัฒนากลไกการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมร่วม: รัฐบาลควรเร่งสนับสนุนโครงการที่เน้นการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศและสิ่งแวดล้อมแบบข้ามชาติ เช่น การสร้างกฎหมายหรือข้อตกลงระดับภูมิภาคเกี่ยวกับการเผาวัสดุเกษตร รวมถึงการพัฒนาระบบการแจ้งเตือนภัยร่วมที่สามารถรองรับการตอบสนองในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
การพัฒนาระบบจัดการน้ำร่วมระหว่างประเทศ: รัฐบาลไทยควรร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการพัฒนาระบบการจัดการน้ำข้ามพรมแดน และการวางแผนการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำร่วมกัน โดยเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความรู้ทางเทคนิคที่สามารถลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติทางน้ำ
การเสริมสร้างกลไกการป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ: จำเป็นต้องพัฒนาความร่วมมือทางด้านการบังคับใช้กฎหมายกับประเทศสมาชิก GMS และ ACMECS เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามพรมแดน รวมถึงการพัฒนาระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลและการฝึกอบรมบุคลากรในการปฏิบัติงานร่วมกัน
การสร้างความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์ในภูมิภาค: ควรเน้นการสร้างความสัมพันธ์ในระดับผู้บริหารสูงสุด เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นระหว่างประเทศ และเพิ่มโอกาสในการแลกเปลี่ยนแนวคิดและมุมมองที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะนำไปสู่การจัดตั้งคณะทำงานร่วมที่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในภูมิภาค
การประชุม GMS และ ACMECS นี้เป็นโอกาสสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงให้เป็นรูปธรรม ซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนและการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมที่ท้าทาย ทั้งนี้ การเดินหน้านโยบายและความร่วมมืออย่างต่อเนื่องจะเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพในภูมิภาคอย่างยั่งยืน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น