วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2563

อธิบดี พช.น้อมนำศาสตร์พระราชาเปิด "ฝายมีชีวิตวัดช้าง" เพื่อชุมชนยั่งยืน


 อธิบดี พช. น้อมนำศาสตร์พระราชาเปิด “ฝายมีชีวิตวัดช้าง” ป้องกันน้ำท่วม-น้ำแล้งอย่างสมบูรณ์แบบ ช่วยฟื้นฟูรักษาระบบนิเวศน์ป่าไม้อย่างยั่งยืน ชู “ฝายวัดช้าง” เป็นต้นแบบต่อยอดเป็นตลาดริมน้ำหนุนการท่องเที่ยววิถีพุทธ วิถีธรรมชาติ นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากมั่นคงและชุมชนพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืนเมื่อ

วันที่ 31 ตุลาคม 2563 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เป็นประธานในพิธีเปิดฝายมีชีวิตวัดช้าง “สามัคคี สร้างสรรค์ แบ่งปัน” ณ ริมคลองบ้านนา วัดช้าง ตำบลบ้านนา อำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก โดยน้อมนำศาสตร์พระราชาของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงพระราชทานแนวพระราชดำริทฤษฎีการพัฒนาและฟื้นฟูป่าไม้ ตลอดจนการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” รวมถึงการบริหารจัดการน้ำ ธนาคารน้ำใต้ดิน และการสร้างฝายมีชีวิต เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน โดยมี พระครูโสภณนาคกิจ เจ้าคณะอำเภอบ้านนา และเจ้าอาวาสวัดช้าง นายอุดมเขต ราษฎร์นุ้ย รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก นายอำนาจ แย้มศิริ ปลัดจังหวัดนครนายก นางวจิราพร อมาตยกุล นายอำเภอบ้านนา นายเสฏฐชัย ยุทธเศรษฐสิริ พัฒนาการจังหวัดนครนายก ตลอดจนผู้นำท้องถิ่น และประชาชนอำเภอบ้านนาเข้าร่วมพิธีอย่างพร้อมเพียง          

พระครูโสภณนาคกิจ กล่าวสัมโมทนียกถาความเป็นมาของฝายมีชีวิตวัดช้างว่า เมื่อก่อนลำคลองบ้านนา อำเภอบ้านนาซึ่งเป็นพื้นที่สูง เวลามีน้ำหลากมาก็จะไหลท่วมลงไปที่อำเภอองครักษ์ซึ่งเป็นพื้นที่ต่ำ ในฤดูน้ำหลากไหลมาน้ำก็จะไหลหายไปหมด เมื่อถึงฤดูที่จะปลูกพืชผักสวนครัวหลังจากอาชีพทำนาก็ไม่มีน้ำเหลือใช้ อย่างไรก็ตามหลังจากได้มีการหารือกับพัฒนาการจังหวัดนครนายก และได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จึงได้มีการสร้างฝายมีชีวิตขึ้นมาเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ ถือว่าเป็นสิ่งมีประโยชน์ต่อชุมชนที่ได้มีน้ำไว้ใช้ในการเกษตรและอื่นๆในยามหน้าแล้ง          

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่ารู้สึกปลื้มใจที่พระเดชพระคุณท่านเอาใจใส่รวมกับศรัทธาญาติโยมในการช่วยกันสร้างฝายมีชีวิตกักเก็บน้ำ เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ เป็นประโยชน์เรื่องสิ่งแวดล้อม โดยไม่ใช้งบประมาณของทางราชการ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทั้งกำลังความคิด กำลังกาย กำลังทรัพย์ นับเป็นคุณูปการสมควรอย่างยิ่งที่พวกเราจะได้ช่วยกันอุปถัมภ์ค้ำจุนช่วยเหลือดูแลให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชนในชุมชนเพิ่มมากขึ้น          

อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวด้วยว่าปัญหาอุทกภัย หรือภาวะน้ำท่วมในฤดูฝน และปัญหาภัยแล้ง หรือภาวการณ์ขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง รวมถึงสภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาวะภูมิอากาศ ได้ทำความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนคนไทยเป็นอย่างมาก และมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงมากขึ้น การบุกรุกทำลายป่าพื้นที่ต้นน้ำลำธารและการใช้ประโยชน์ที่ดินที่ไม่เหมาะสม เป็นหนึ่งในสาเหตุที่สำคัญของปัญหาการเสื่อมโทรมของระบบนิเวศน์ จึงจำเป็นที่จะต้องเร่งฟื้นฟูพื้นที่ป่าต้นน้ำให้มีความอุดมสมบูรณ์ มีความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อลดความรุนแรง และบรรเทาปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในทุกรูปแบบ          

ทั้งนี้ วิธีการหนึ่งที่สำคัญและได้ผลดี คือ “ฝาย” ซึ่งเป็นแนวพระราชดำริทฤษฎีการพัฒนาและฟื้นฟูป่าไม้ ที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย ดังนั้นรัฐบาลจึงได้ผลักดันและสนับสนุนให้ชุมชนและประชาชนทั่วประเทศได้เห็นความสำคัญแล้วหันมา “สร้างฝาย” ในพื้นที่ชุมชนของตนเองให้มากที่สุด ซึ่งจะช่วยป้องกันและแก้ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังช่วยฟื้นฟูรักษาระบบนิเวศน์ป่าไม้ด้วยการใช้วัสดุจากธรรมชาติ          

นอกจากเรื่องของการทำฝายมีชีวิตแล้ว ยังมีเรื่องของหลุมขนมครก การปลูกป่า 5 ระดับ ซึ่งการปลูกต้นไม้จะช่วยทำให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ขณะที่รากของต้นไม้ก็ทำหน้าที่เป็นธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิด ช่วยทำให้น้ำไม่ไหลไปอย่างรวดเร็ว โดยเมื่อน้ำซึมลงไปที่รากแล้วโคนต้นไม้ก็ช่วยให้น้ำใต้ดินอุดมสมบูรณ์ รวมถึงการบริหารจัดการด้วยการใช้หญ้าแฝกที่จะช่วยป้องกันการพังทลายหน้าดินด้วย          

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เคยกล่าวตอนหนึ่งในรายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน" เมื่อค่ำวันศุกร์ที่ 2 พฤศจิกายน 2561 ความตอนหนึ่งว่า การสร้าง "ฝายมีชีวิต" ที่เป็นการผสมผสาน "หลักการทรงงาน" ของในหลวง รัชกาลที่ 9 เช่น การมีส่วนร่วม การระเบิดจากภายใน การปลูกป่าในใจคน การให้ใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ ไปจนถึงการพัฒนาที่ต้องคำนึงถึง "ภูมิศาสตร์ ภูมิสังคม" เป็นกลไกบรรเทาความรุนแรงน้ำหลากและเก็บน้ำไว้ใช้ยามแล้ง และยังเป็นการเติมน้ำใต้ดิน หรือ "ชลประทานใต้ดิน" ด้วยกลไกทางธรรมชาติ ทำให้พื้นที่โดยรอบตัวฝายมีความชุ่มชื้น ฝายมีชีวิตวัดช้าง อำเภอบ้านนา เป็นฝายที่เกิดจากพลังความสามัคคีของทุกภาคส่วนที่มารวมกัน ณ สถานที่แห่งนี้          

“ผมกราบขอบพระคุณพระเดชพระคุณท่านเจ้าคณะอำเภอบ้านนา พัฒนาการจังหวัดนครนายก นายอำเภอบ้านนา ผู้นำท้องถิ่น พี่น้องประชาชนทุกตำบลของอำเภอบ้านนา ตลอดจน ข้าราชการทหาร ตำรวจ ภาคเอกชน ผู้มีจิตศรัทธาที่สนับสนุนบริจาคทุนทรัพย์ ในการจัดหาวัสดุ ทราย เชือก ไม้ไผ่ กระสอบทราย น้ำ อาหาร และอื่นๆ ในการสร้างฝายมีชีวิตที่มีขนาดใหญ่สุดของจังหวัด โดยไม่ได้ใช้งบประมาณของทางราชการ เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งยังช่วยฟื้นฟูรักษาระบบนิเวศน์ของวัดช้าง และเทศบาลตำบลบ้านนา ต่อยอดเป็นตลาดริมน้ำ การท่องเที่ยววิถีพุทธ วิถีธรรมชาติ เพิ่มช่องทางการตลาดให้กับผลิตภัณฑ์ชุมชน สินค้า OTOP สินค้าการเกษตร นำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากมั่นคงและชุมชนพึ่งตนเองได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยพลังของคนอำเภอบ้านนา บารมีของเจ้าคณะอำเภอบ้านนา การประสานงานของจังหวัดนครนายก โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครนายก กรมการพัฒนาชุมชน และจิตใจอันแข็งแกร่ง สู้ไม่ถอยของครูฝาย ผู้เข้าถึงจิตวิญญาณของการเป็นครูฝาย....ศรัทธาที่เดินได้” อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนกล่าวทิ้งท้าย          

โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ได้มอบประกาศเกียรติคุณบัตรแก่ผู้มีส่วนร่วมในการสร้างฝายมีชีวิต จำนวน 27 คน และร่วมกิจกรรมปลูกต้นไทรบริเวณหูช้างของฝายมีชีวิต เพื่อให้รากยึดโยงตัวฝายสร้างความแข็งแรง และร่วมกิจกรรมลอยกระทงขอขมาพระแม่คงคา นอกจากนี้ยังได้จัดการแสดงและจำหน่ายสินค้า OTOP เด่นของจังหวัดนครนายก


 

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2563

โควิดระบาดทั่วโลก! พระธรรมทูตไทยในต่างแดนทนทุกข์หนักปฎิบัติศาสนกิจ


เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2563  พระเมธีธรรมาจารย์ (เจ้าคุณประสาร) รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแผ่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในทั่วโลกขณะนี้ส่งผลให้ผู้คนในหลายทวีป หลายประเทศได้รับผลกระทบทั้งโดยตรงและโดยอ้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาตมาได้คอยติดตามสถานการณ์มาโดยตลอด ได้พูดคุยถามทุกข์ สุขกับพระธรรมทูตไทยที่ไปปฎิบัติศาสนกิจอยู่ทั่วโลก เช่นในอินเดีย เนปาล อเมริกาและยุโรป        

ในอินเดีย เนปาล พระธรรมทูตท่านหนึ่งเล่าว่าขณะนี้ไวรัส19ได้ระบาดทั่วประเทศ ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก พระธรรมทูตในแดนพุทธภูมิใหนจะป้องกันตัวเองไม่ให้ติดเชื้อ ใหนจะช่วยชาวบ้านที่เดือดร้อน แต่ทุกรูปก็ยืนยันว่าจะไม่กลับไทย ยินดีจะปฎิบัติศาสนกิจถวายเป็นพุทธบูชาในแดนพุทธภูมิ       

ในอเมริกา ประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา พระเทพพุทธิวิเทศ ได้แจ้งเตือนพระธรรมทูตทุกรูป ทุกวัดให้ระมัดระวัง อย่าประมาท การ์ดอย่าตกและจะต้องให้การช่วยเหลือดูแลชุมชนไทยให้เต็มกำลัง       

ประเทศในยุโรปและแถบสแกนดิเนเวีย พระธรรมทูตรูปหนึ่งเล่าว่า ขณะนี้การระบาดของไวรัส 19 รอบสองรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิมงาน กฐินในหลายวัดต้องจำกัดจำนวนโยม และกิจกรรมภายใน พระธรรมทูตก็อยู่กันอย่างลำบาก แต่ทุกรูปก็ยังมีกำลังใจดี ไม่เสียขัวญคอยดูแลให้กำลังใจญาติโยม        

"สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม วัดยานนาวา ในฐานะประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศก็ได้ออกมาตรการให้การช่วยเหลือพระธรรมทูตทั่วโลกทั้งระยะเร่งด่วน ระยะกลางและมาตรการระยะยาวโดยให้เห็นเป็นรูปธรรม โดยรวมขณะนี้พระธรรมทูตไทยทั่วโลกยังมีกำลังใจดี เข้มแข็ง และพร้อมปฎิบัติศาสนกิจเพื่อพระศาสนาในทั่วทุกภูมิภาคของโลก" 

วันพุธที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2563

หลวงพ่อไม่ต้องร้องไห้! "เนวิน" นำทีมส.ส.ภูมิใจไทย-บิ๊กขรก.-ชาวบุรีรัมย์ ทอดกฐินโจร 297 วัด



วันที่ 28 ตุลาคม 2563 เวลา10.00น. ที่วัดกลางพระอารามหลวง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด นางกรุณา ชิดชอบ อดีตนายก อบจ.บุรีรัมย์ พร้อมด้ว ส.ส.บุรีรัมย์ พรรคภูมิใจไทย นายธัชกร หัตถาธยากูล ผู้ว่าฯ บุรีรัมย์,หัวหน้าส่วนการ, ข้าราชการ, ผู้นำท้องถิ่น, นักธุรกิจ นักฟุตบอล สโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และประชาชน รวมกว่า 500 คน ทั้งใน จ.บุรีรัมย์ และอีกหลาย จ.ภาคอีสาน ได้เดินทางมาร่วมพิธีทอดกฐินโจร หรือกฐินตกค้าง ถวายแก่วัดต่างๆ ในเขตพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ที่ยังไม่มีเจ้าภาพนำกองกฐินมาทอดในปีนี้ รวมจำนวน297วัด 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าก่อนหน้านี้ได้มีสื่อมวลชนนำเสนอข่าวหลวงพ่อวัดหนึ่งในประเทศไทยถึงกับร้องไห้เพราะไม่มีโยมทอดกฐิน

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ไทยชูนโยบาย 3S-เกษตร4.0 ต่อที่ประชุมรมต.ความมั่นคงอาหารเอเปค

 


ไทยร่วมประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหาร APEC 2020 รับมือผลกระทบโควิด 19 ชูนโยบาย 3S-เกษตร4.0 ยืนยันความพร้อมเป็นแหล่งอาหารสำรองอาเซียนและครัวโลก เดินหน้าเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารและการผลิตสินค้าเกษตรอย่างยั่งยืน

เมื่อวันที่ 28 ต.ค.2563 นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงผลการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหาร APEC 2020 วันนี้ (28ต.ค) ว่า ตามที่ตนได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน) ให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทย พร้อมด้วยนายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ในการร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค (APEC Virtual Ministerial Policy Dialogue on Food Security) ร่วมกับรัฐมนตรี และผู้แทนจากเขตเศรษฐกิจสมาชิกเอเปคทั้ง 21 เขต เมื่อวันที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งมีสหพันธรัฐมาเลเซียเป็นเจ้าภาพการประชุม โดยประชุมทางไกลผ่านระบบ Video Conference ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทั้งนี้ นายฉู ตงหยู (Mr. Qu Dongyu) ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่า ทุกประเทศจำเป็นต้องมีการกำหนดนโยบายที่จะเสริมสร้างนวัตกรรมด้านอาหาร ทั้งด้านการตลาด การส่งเสริมเทคโนโลยี ความปลอดภัยทางด้านอาหาร รวมถึงการผลิตอาหารให้เพียงพอกับประชากรโลก

สำหรับการประชุมผ่านระบบทางไกลดังกล่าว มีการรับรองแถลงการณ์การประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค เรื่อง การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และความสำคัญของการดำเนินงานเกี่ยวกับความร่วมมือด้านความมั่นคงอาหารระหว่างสมาชิกเอเปค โดยไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย ซึ่งสมาชิกสามารถพิจารณาให้ความร่วมมือตามความสมัครใจ โดยสาระสำคัญของแถลงการณ์ฯ ได้กล่าวถึง ผลกระทบของโรคโควิด-19 ที่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ ความมั่นคงอาหาร การเกษตร การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำและประมง รวมทั้งห่วงโซ่อาหารในภูมิภาค ตลอดจนผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้เปราะบาง 

ทั้งนี้ สมาชิกเอเปคได้เน้นย้ำการเสริมสร้างความร่วมมือที่ต่อเนื่อง การสนับสนุนในด้านการผลิตอาหารและการเข้าถึงอาหาร เพื่อให้แน่ใจว่าระบบอาหารทั่วโลกยังคงเปิดกว้าง มีนวัตกรรม เชื่อถือได้ มีความยืดหยุ่น และยั่งยืน รวมทั้งการให้ความสำคัญของการทำงานร่วมกับองค์กรอื่นๆ อาทิ FAO และ WHO เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังเน้นการอำนวยความสะดวกของสินค้าและบริการ ผลิตภัณฑ์อาหารและการเกษตร รวมถึงปัจจัยการผลิตข้ามพรมแดนที่เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อลดการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานและการค้าอาหารทั่วโลก โดยมาตรการฉุกเฉินที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอาหารและสินค้าเกษตรเพื่อรับมือต่อโรคโควิด-19 จะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน อยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสม โปร่งใส และต้องสอดคล้องกับกฎระเบียบของ WTO

อีกทั้ง ต้องเสริมความร่วมมือและการลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ตลอดจนความสำคัญของเทคโนโลยีที่เป็นนวัตกรรม เช่น การเกษตรดิจิทัล การทำฟาร์มอัจฉริยะ และเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งในโอกาสเดียวกันนี้ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่ากากรระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กล่าวถ้อยแถลงเกี่ยวกับนโยบายของไทยในการเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารและการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารอย่างยั่งยืน เพื่อตอบสนองการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 ในครั้งนี้ด้วย

อย่างไรก็ตามประเทศไทย ได้เน้นย้ำนโยบาย 3 ด้าน หรือ 3S ของ ดร. เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งได้แก่ ความปลอดภัยของอาหาร (Food Safety) ความมั่นคงของภาคการเกษตรและอาหาร (Food Security) และความยั่งยืนของภาคการเกษตร (Sustainability) ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นครัวโลก (Kitchen of the World) และมีความพร้อมเป็นแหล่งอาหารสำรองอาเซียน(ASEAN Food Reserve) รวมถึงการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 โดยได้มีการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม หรือ AIC ทั่วประเทศ 77 จังหวัด เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันภาคการเกษตรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม เกษตรวิถีใหม่ ผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาท้องถิ่นและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน ภายใต้แนวคิด Public-Private Partnership (PPP)

ทั้งนี้ การประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปค เป็นการประชุมระดับรัฐมนตรีที่กำหนดจัดขึ้นทุก 2 ปี เพื่อสร้างเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงอาหารภายในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก โดยการเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการแสดงบทบาทของไทยในการดำเนินงานด้านความมั่นคงอาหาร ที่มีความพร้อมเป็นแหล่งสำรองอาหารของภูมิภาคอาเซียน และมาตรการรับมือต่อโรคโควิด-19 แล้ว ยังเป็นการติดตามความคืบหน้าการดำเนินนโยบาย มาตรการ แผนงาน และโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงอาหารของสมาชิก อันจะเป็นประโยชน์ในการดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงอาหารของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยการประชุมรัฐมนตรีความมั่นคงอาหารเอเปคครั้งถัดไป ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพการประชุมในปี 2565

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2563

เณรร่วมม็อบราษฎรชูป้ายถาม "ทำไมพระไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง"



วันที่ 26 ต.ค.2563 ตามที่ผู้ชุมนุมกลุ่ม "ราษฎร" ได้ชุมนุมที่แยกสามย่าน นั้นปรากกว่าได้มีกลุ่มสามเณรที่เคยชุมนุมร่วมกับกลุ่มราษฎรทั้งแต่แยกปทุมวัน แยกอโศก ประมาณ 4 รูป ได้นั่งร่วมกันกลางถนนพร้อมกับข้อความว่า พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 กดให้พระเป็นทาสไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียง ทำไมพระไม่มีสิทธิ์เลือกตั้ง

ทั้งนี้จากการเคลื่อนไหวของกลุ่มสามเณรดังกล่าวได้ถูกสำหนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติออกมาชี้แจงว่าเป็นการขัดกับคำสั่งมหาเถรสมาคมที่ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง

อย่างไรก็ตามปัจจุบันนี้พระสงฆ์จากประเทศกัมพูชาและเมียนมา มีสิทธิ์ในการลงคะแนนเลือกตั้งในระดับต่างๆ  รวมถึงประเทศศรีลังกาก็ให้สิทธิ์พระสงฆ์ลงสมัครรับเลือกตั้งได้เป็นส.ส.ในสภา ทั้งนี้สามารถอ่านงานวิจัยเรื่อง"แนวโน้มบทบาทพระสงฆ์กับการเมืองไทยในสองทศวรรษหน้า" ได้ที่ http://www.cubs.chula.ac.th/2018/12/11/แนวโน้มบทบาทพระสงฆ์กับ/


CR.ภาพจากเฟซบุ๊ก Uthai Manee

“สมศักดิ์”แจงพบแกนนำม็อบในคุก ปัดต่อรองยุติชุมนุม


“สมศักดิ์”แจงตัด-ย้อมผม “รุ้ง”จนท.ห่วงเรื่องความสะอาด-ความปลอดภัย ยัน “3 แกนนำ”สบายดีไม่ต้องห่วง เผยประสานขอหนังสือเตรียมสอบ ปัดภาพหลุดคุยต่อรองยุติชุมนุม

เมื่อวันที่ 26 ต.ค.2563 เวลา 14.30 น.ที่รัฐสภา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม แถลงกรณีมีเผยแพร่ภาพพูดคุยกับแกนนำผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎร 63 ที่ถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษ กรุงเทพฯ ว่า ที่ผ่านมาตนได้ติดตามการชุมนุมหน้าเรือนจำพิเศษ กรุงเทพฯว่ามีร่องรอยความเสียหาย หรือต้องซ่อมแซมอะไรหรือไม่ จึงถือโอกาสเข้าไปตรวจเยี่ยมในเรือนจำ และได้มีโอกาสสอบถามความเป็นอยู่และสารทุกข์สุขดิบของแกนนำทั้ง 3 คน คือ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน และนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง ว่าได้รับความสะดวกสบายหรือไม่ ซึ่งได้รับการร้องขอกึ่งเล่าให้ฟังว่า อยากได้หนังสือและเป็นห่วงเรื่องของการสอบ ตนจึงแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และประสานงานกับทางมหาวิทยาลัยให้ส่งหนังสือมาให้

นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับความสะดวกสบายในเรือนจำฯของทั้ง 3 คนนั้นก็เป็นไปตามอัตภาพ เพราะเป็นผู้ต้องหาก็ต้องมีการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ส่วนข่าวที่ออกไปว่ามีการซอยผม ย้อมผมนั้น ก็ถือเป็นความห่วงใยของเจ้าหน้าที่ที่เห็นว่ามีความแตกต่าง โดยเฉพาะผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำหญิงกลาง เพราะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียว เมื่ออยู่คนเดียว เจ้าหน้าที่เรือนจำฯจึงห่วงใย เพราะไม่ได้อยู่ด้วยตลอดเวลา เนื่องจากในห้องอยู่กัน 30 กว่าคนค่อนข้างคับแคบ อาจไม่สะดวกสบายเหมือนอยู่ด้านนอก อย่างไรก็ตาม การตัดผม หรือซอยผมให้อยู่ในมาตรฐานพอเหมาะ พอควรก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้อห่วงใย การทำสีผมไม่ได้มีปัญหา แต่เป็นเรื่องความปลอดภัย และเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเชื้อโรคต่างๆ เพราะหากผมยาวและอยู่ในสถานที่คับแคบอาจมีปัญหาในเรื่องของเชื้อราได้ หรือเวลาอาบน้ำ ทั้งห้องใช้เวลาอาบน้ำเพียง 30 นาที ดังนั้นด้วยเวลาจำกัดจึงไม่ควรไว้ผมยาว หรือไม่ควรจะมีสีผมแบบนี้ โดย น.ส.ปนัสยา ก็เข้าใจ ยืนยันว่าที่มีภาพข่าวออกมานั้นไม่มีอะไร ไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง

เมื่อถามว่ายืนยันใช่หรือไม่ว่าแกนนำผู้ชุมนุมยังอยู่ดีมีความปลอดภัย นายสมศักดิ์ กล่าวว่า อยู่ดีทั้งหมดที่อยู่ในเรือนจำ 8 คน ที่เรือนจำพิเศษ กรุงเทพฯ 5 คน เรือนจำกลางบางขวาง 1 คน ทัณฑสถานหญิงกลาง 1 คนและเรือนจำกลางเชียงใหม่อีก 1 คน ทุกคนยังอยู่สบาย

เมื่อถามว่ามีการพูดคุยกันเรื่องอะไรบ้าง นายสมศักดิ์ กล่าวว่า เป็นการถามสารทุกข์สุขดิบ ขาดเหลืออะไรหรือมีปัญหาการเรียนการสอนอย่างไร

เมื่อถามว่าการพูดคุยกันนั้นเหมือนเป็นการเจรจาให้การชุมนุมยุติ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น แต่ที่ไปเพราะไปดูว่าหน้าเรือนจำมีอะไรเสียหายจะต้องดูแลหรือไม่ ก็ไปดูให้ครบทั้งในเรือนจำด้วย ซึ่งเป็นการไปดูหลังจสกที่กลุ่มผู้ชุมนุมกลับไปแล้วไม่ได้เข้าไปในเรือนจำบ่อย ยืนยันว่าตนต้องดูแลความเรียบร้อย เพราะรัฐบาลเป็นห่วงเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่ของผู้ต้องหา รวมถึงไม่อยากให้นายกฯมาตำหนิตน และไม่คิดว่าจะให้เป็นข่าวใดๆทั้งสิ้น

เมื่อถามว่าดูจากสภาพจิตใจของทั้ง 3 คนอุดมการณ์และท่าทีของทั้ง 3 คนเป็นอย่างไรบ้าง นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ได้พูดคุยถึงอุดมการณ์อะไรมากมาย เพียงแต่เราทำตามหน้าที่ เพื่อให้รู้ว่าเขาอยู่สบายหรือไม่ ส่วนมีการพูดคุยเพื่อขอให้ปล่อยตัวชั่วคราวหรือไม่นั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ทั้ง 3 คนไม่ได้ขอจากตน เพราะเขาเข้าใจและรู้ดีว่าตนไม่ได้มีอำนาจอะไรที่เกี่ยวข้องกับตรงนี้ เพียงแต่อำนวยความสะดวกให้ตามสมควรเท่าที่จะทำได้เท่านั้น

เมื่อถามว่ามีมาตราการเตรียมการรับมืออย่างไรหากม็อบยังมาชุมนุมอยู่เรื่อยๆหากแกนนำยังคงถูกคุมขังในเรือนจำต่อไปอีก นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่ได้เตรียมตั้งรับอะไร แต่ในสถานที่ราชการม็อบต้องอยู่ข้างนอกอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ามีการมาเพ้นสีหน้าเรือนจำ ซึ่งตนอยากบอกว่าอย่าไปเพ้นเลยเสียดายสี

เมื่อถามว่าผมสีทองไม่ปลอดภัยอย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ผู้ต้องหาส่วนใหญ่ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษบางคนเทิดทูล และอาจจะมีความเห็นต่างจากกลุ่มผู้ชุมนุมจึงไม่อยากให้เกิดปัญหา ส่วนกลุ่ม 32 คน ที่เป็นผู้ต้องหาใหม่ต้องกักตัว 14 วัน ถ้าเราไม่มีห้องกักโรคก็จะทำให้เชื้อติดกันได้ง่าย



 

"เพนกวิน-รุ้ง-ไมค์"นอนคุกต่อ! ศาลอาญายกคำร้องขอประกันตัว

 


วันที่ 26 ตุลาคม 2563  ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราว นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์, นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน และ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง 3 ผู้ต้องหา แกนนำกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม และกลุ่มราษฎร 2563 ในคดีชุมนุม 19 กันยา ทวงอำนาจคืนราษฎร ซึ่งนัดชุมนุมที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และสนามหลวง เมื่อวันที่ 19-20 ก.ย. ที่ผ่านมา          

ทั้ง 3 สำนวนประกอบด้วยสำนวนของนายภาณุพงศ์ 2 สำนวน คือสำนวนประเด็นชุมนุม ตามข้อหายุยงปลุกปั่นฯ กับข้อหาอื่นๆ และสำนวนปักหมุดคณะราษฎร 2563 บนพื้นสนามหลวง ตามข้อหาผิด พ.ร.บ.โบราณสถานฯ กับอีกสำนวนของนายพริษฐ์และ น.ส.ปนัสยา ซึ่งเป็นการชุมนุมวันเดียวกัน สำนวนเดียวกัน โดยศาลพิเคราะห์คำร้องปล่อยชั่วคราวแล้วเห็นว่า กรณียังไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมยกคำร้องทั้ง 3 สำนวน          

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ศาลอาญามีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาทั้ง 3 ในระหว่างฝากขัง ต่อมาทนายความได้ขอยื่นอีกครั้ง ซึ่งศาลอาญาก็ยังไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จึงมีการอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2563 ไม่ให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาทั้งสาม ก่อนที่จะมายื่นขอปล่อยชั่วคราวใหม่และศาลมีคำสั่งในวันนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 ตุลาคมที่ผ่านมา นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เดินทางเข้าไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง  เพื่อตรวจสอบการเป็นอยู่ของผู้ต้องขัง และการรักษาความปลอดภัยต่างๆ ภายหลังที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้เดินทางมาปักหลักปราศรัยเมื่อหลายวันก่อน

อย่างไรก็ตาม การเดินทางไปในครั้งนี้ของ นายสมศักดิ์ ยังได้มีการพูดคุยกับแกนนำผู้ชุมนุม อย่าง นางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง , นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน , นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง  แต่การพูดคุยเป็นเรื่องอะไรยังไม่มีการเปิดเผย


วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ภาพหลุด"สมศักดิ์"เข้าเรือนจำ คุย"รุ้ง -เพนกวิน -ไมค์ระยอง"



วันที่ 26 ตุลาคม 2563    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เดินทางเข้าไปยังเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร และทัณฑสถานหญิงกลาง  เพื่อตรวจสอบการเป็นอยู่ของผู้ต้องขัง และการรักษาความปลอดภัยต่างๆ ภายหลังที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้เดินทางมาปักหลักปราศรัยเมื่อหลายวันก่อน


อย่างไรก็ตาม การเดินทางไปในครั้งนี้ของ นายสมศักดิ์ ยังได้มีการพูดคุยกับแกนนำผู้ชุมนุม อย่าง นางสาวปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ รุ้ง , นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน , นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ ระยอง  แต่การพูดคุยเป็นเรื่องอะไรยังไม่มีการเปิดเผย

คณาจารย์ มธ. เข้าเยี่ยม "เพนกวิน-รุ้ง" ในคุก นำตำราเรียนมาให้ ห่วงเรื่องสุขภาพ

 เวลา 10.00 น. บริเวณหน้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นายประจักษ์ ก้องกีรติ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ พร้อมด้วย คณาจารย์และนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เดินทางเข้าเยี่ยม "เพนกวิน" นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่ถูกคุมตัวอยู่ภายในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และ "รุ้ง" น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล ที่ถูกคุมตัวอยู่ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง โดยนำหนังสือและเอกสารประกอบการเรียนเพื่อส่งเข้าเรือนจำให้ทั้ง 2 คน          

นายประจักษ์ ได้อ่านแถลงการณ์ว่า คณาจารย์ ม.ธรรมศาสตร์ ได้ติดตามการชุมนุมและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างใกล้ชิด ด้วยความห่วงใยต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัยของนักศึกษาและประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง "รุ้ง" น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล และ "เพนกวิ้น" นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นักศึกษา ม.ธรรมศาสตร์ จึงมาเยี่ยมนักศึกษาและประชาชนที่ถูกจับกุม ทั้งนี้ ในส่วนที่เกี่ยวกับนักศึกษา คณาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอเรียกร้องต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้มีอำนาจเกี่ยวข้อง และสังคมดังต่อไปนี้          

1.ขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัตินักศึกษาที่อยู่ในเรือนจำอย่างเป็นธรรม และดูแลสวัสดิภาพของนักศึกษาตามหน้าที่อย่างดี เนื่องจากคณาจารย์มีความห่วงใยต่อสวัสดิภาพความเป็นอยู่และการดำเนินชีวิตในเรือนจำของนักศึกษาที่ถูกจับกุม นักศึกษาเหล่านี้เป็นเพียงผู้ถูกล่าวหา ยังมิได้มีความผิดตามกฎหมายแต่อย่างใด โดยเฉพาะนักศึกษที่ยังมีหน้าที่ศึกษาเล่าเรียน ขอให้พวกเขาสามารถเข้าถึงหนังสือ ตำราเรียน และคำบรรยายที่เพื่อนและคณาจารย์ส่งให้ เพื่อที่เขาจะได้ศึกษาเล่าเรียนไปพร้อมกับการทำหน้ที่พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย          

2.ขอให้ศาลพิจารณาให้นักศึกษาได้รับการประกันตัว เนื่องจากนักศึกษามีภาระต้องเข้าเรียนเสนองาน และสอบให้ครบตามกำหนด หากไม่ได้รับการประกันตัว จะกระทบโดยตรงต่อสถานภาพและอนาคตทางการศึกษาของนักศึกษาอย่งร้ายแรง นอกจากนั้นทั้ง น.ส.ปนัสยา และ นายพริษฐ์ มีโรคประจำตัว หากถูกกักขังไว้ในเรือนจำที่แออัดอาจทำให้เกิดอการกำเริบของโรคจนเป็นอันตราย          

ทั้งนี้ ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และรัฐธรรมนูญ 2560 ล้วนยืนยันในหลักการที่ว่า ผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ตามกฎหมายได้ว่ามีความผิด ผู้ต้องหาจึงต้องได้รับสิทธิในการประกันตัวระหว่างพิจารณาคดี การเคลื่อนไหวของนักศึกษาเป็นการคลื่อนไหวทางความคิดเพื่อปฏิรูปสังคมการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย มิใช่การก่อความวุ่นวายสร้างความเสียหายต่อบ้านเมือง เราควรมองพวกเขาเป็นเยาวชนที่ตื่นตัวทางการเมืองมิใช่อาชญากร นอกจากนี้ แม้จะถูกฟ้องร้องในหลายข้อหา นักศึกษาก็มิได้มีพฤติกรรมที่จะหลบหนีแต่ประการใดนับตั้งแต่เริ่มการชุมนุมจนถึงวันนี้ จึงขอให้ศาลพิจารณาให้นักศึกษาได้รับสิทธิประกันตัวและได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ทั้งนี้ ประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากการชุมนุมทุกคนควรได้รับสิทธิในการประกันตัวเช่นเดียวกัน          

3.ขอเรียกร้องให้สังคมเคารพการแสดงออกของนักศึกษา หยุดสร้างวาทกรรมเกลียดชังหรือการยุยงปลุกปั่นด้วยข้อมูลที่เป็นเท็จต่อการชุมนุมเคลื่อนไหวของนักศึกษา ซึ่งมีแนวโน้มที่จะนำสังคมไปสู่หนทางแห่งความรุนแรง สังคมควรตระหนักว่าการเคลื่อนไหวของนักศึกษาเป็นการใช้สิทธิตามหน้าที่พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย เฉกเช่นเดียวกับผู้ชุมนุมกลุ่มอื่นๆ ทั้งที่เห็นต่างและเห็นตรงกับนักศึกษา ซึ่งรัฐธรรมนูญของไทยได้รับรองสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองของพลเมืองทุกคนในการแสดงความคิดเห็นและการชุมนุมอย่างสงบสันติ และอยู่ในกรอบของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เท่าที่ผ่านมาเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า การแสดงออกของนักศึกษาเป็นไปด้วยความสุจริตใจ ด้วยความมุ่งหวังให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้า และคนในชาติมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน          

เพื่อให้นักศึกษาได้ดำเนินชีวิตที่มีอิสรภาพตามปกติ สามารถทำหน้าที่เป็นนักศึกษาที่ดี ไปพร้อมกับ การเป็นพลเมืองที่อุทิศตนต่อสังคมได้โดยสมบูรณ์ เราถือเป็นความรับผิดชอบและพันธะทางศีลธรรมของคน          

เป็นครูที่จะต้องช่วยเหลือลูกศิษย์ที่เป็นนักศึกษาอย่างเต็มกำลังความสามารถในยามที่พวกเขาเดือดร้อน ด้วยความเชื่อมั่นในสิทธิเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยและความห่วงใยต่อสวัสดิภาพของนักศึกษาและประชาชน          

นายประจักษ์ กล่าวอีกว่า กลุ่มคณาจารย์และผู้ปกครอง เข้าเยี่ยมนักศึกษาทั้งสองคนที่ถูกควบคุม หลังย้ายมาจากเรือนจำอำเภอธัญบุรี โดยที่ผ่านมามีเพียงทนายความเท่านั้นที่ได้เข้าเยี่ยม ขณะที่ผู้ปกครองและอาจารย์ยังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเยี่ยม ซึ่งวันนี้ทนายความจะเพิ่มหลักทรัพย์เป็นเงินสดที่ใช้ประกันตัวในวงเงินที่มากขึ้นเพราะทั้งสองคนมีโรคประจำตัว โดยเพนกวินป่วยเป็นโรคโรคหืดหอบ ขณะที่รุ้งเป็นโรคไมเกรน จึงเกรงว่าสุขภาพจะทรุดโทรมช่วงที่อยู่ภายในเรือนจำ และเชื่อว่าศาลจะเมตตา​ นอกจากนี้ ทั้งสองคนเป็นเด็กเรียนดี โดยเฉพาะ เพนกวิน ได้รับเกียรตินิยม          

"ในวันนี้ทางทนายความจะยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวอีกครั้ง หากเทียบเคียงกับการที่ศาลปล่อยชั่วคราวไผ่ ดาวดินแล้ว ไม่มีการกำหนดเงื่อนไข หวังว่าทั้งเพนกวินและรุ้งจะได้รับบรรทัดฐานเดียวกัน คือ การปล่อยชั่วคราวโดยไม่มีการกำหนดเงื่อนไข"          

นายประจักษ์ กล่าวต่อว่า การชุมนุมของนักศึกษาเป็นการชุมนุมโดยสันติวิธี ไม่มีความวุ่นวาย หากตำรวจไม่มากดดัน เด็กๆ ประกาศยุติการชุมนุมเอง การชุมนุมของนักศึกษาเป็นการแสดงออกทางความคิด ไม่ใช่การก่ออาชญากรรมร้ายแรง เป็นการต่อสู้เพื่อปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยเท่านั้น ถ้าทุกฝ่ายเคารพการเคลื่อนไหวของนักศึกษา เราจะไม่เห็นการสลายการชุมนุมเหมือนอย่างเช่นวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา หวังว่ารัฐจะได้รับบทเรียนแล้วว่ายิ่งใช้ความรุนแรงกับนักศึกษาคนก็จะมาร่วมชุมนุมมากขึ้น


พระพรหมบัณฑิตชี้อภัยทาน จุดเริ่มต้นความปรองดอง ยก "เนลสัน" คนต้นแบบไม่จองเวร

       


เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2563 พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส รศ.ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)  และคณาจารย์เจ้าหน้าที่    นำนิสิตระดับปริญญาโทและเอก หลักสูตรสันติศึกษา มจร เข้ารับฟังการบรรยายเรื่อง "พระพุทธศาสนากับสันติภาพ" จากพระพรหมบัณฑิต,ศ.ดร.กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร   อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  ในฐานะอาจารย์ประจำหลักสูตรสันติศึกษา ที่อาคารสิริวัฒนภักดีธรรม วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร         

พระพรหมบัณฑิตได้ให้ความรู้เริ่มจากการนิยามความหมายของคำว่าสันติภาพทั้งในมุมของพระพุทธศาสนาและศาสตร์สมัยใหม่ กระบวนการแก้ปัญหาเพื่อนำไปสู่สันติภาพในพระพุทธศาสนาคืออริยสัจ 4   และขั้นตอนตามหลักปธาน 4 ที่เป็นหัวใจของสันติศึกษา ในข้อ 2 ปหานปธาน คือ การแก้ไข ได้ยกตัวอย่างของพระพุทธเจ้าทรงห้ามญาติ และโทณพราหมณ์ห้ามสงครามแย่งพระบรมสารีริกธาตุได้สำเร็จ หรือบทบาทของพระเจ้าอโศกมหาราชที่เลิกใช้สงครามวิชัยหันมาใช้ธรรมวิชัย 

ข้อ 3 ภาวนาปธาน การสร้างความปรองดองนั้น  พระพรหมบัณฑิตได้ยกหลักอภัยทานคือการให้อภัยในการสร้างความปรองว่า ที่ผ่านมานั้นมีการสอนหลักอภัยทานน้อยไปจึงต้องเริ่มจากภาวนาขันติธรรม มีความรักความเมตตา ทุกคนต่างรักประเทศชาติ กรุณาต่อกัน และต้องมีการให้อภัยยกโทษซึ่งกันและกัน เราจะมีกระบวนการปรองดองสมานฉันท์อย่างไร ภายในจิตใจของผู้ความขัดแย้งภายในจิตใจ ต้องศึกษาวิธีการ เป็นการสร้างความปรองดอง เมื่อเกิดความขัดแย้งทำอย่างไรจะลืมหรือให้อภัยกัน ซึ่งเป็นเรื่องยากเพราะบางคนมองว่า 10 แก้แค้นก็ยังไม่สาย 

ภาวนาปธานเป็นการซ่อมแซมสิ่งที่ถูกทำลายไปเพื่อให้เกิดสมานฉันท์ มีพระพุทธพจน์ที่เกี่ยวข้องคือ สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ การให้ธรรมะเป็นทานเป็นการให้ชนะทั้งปวง รวมถึงการให้อภัยทานเป็นธรรมทานอย่างหนึ่งซึ่งเป็นการให้ที่ยากมาก แต่การให้อภัยเหนือกว่าให้ทั้งปวง สังคมไทยต้องการการให้อภัย ด้วยการให้อภัยกัน อภัยทานจึงสร้างสามัคคี ดังคำกล่าวที่ว่า "ถ้าไม่มีการให้อภัยผิด และไม่คิดที่จะลืมซึ่งความหลัง จะหาสามัคคียากลำบากจัง ความผิดพลั้งย่อมมีทั่วทุกตัวคน"  สามัคคีไม่เกิดถ้าไม่ให้อภัยกัน เริ่มจากตัวเราต้องให้อภัยก่อน 

พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า การไม่จองเวร นะ หิ เวเรนะ เวรานิ เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร หรือความรุนแรงไม่ระงับด้วยการตอบโต้กัน แต่ อะเวเรนะ จะ สัมมันติ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ความรุนแรงระงับด้วยการให้อภัยกัน ทำอย่างไรคนถึงจะให้อภัยกัน ต้องเริ่มจากใจของคน สอดคล้องกับนายเนลสัน แมนเดลา  อดีตประธานาธิบดีประเทศแอฟริกาใต้  เป็นกรณีศึกษาที่การไม่จองเวร ที่ชีวิตติดคุก 27  ปี  ก่อนถูกจับติดคุกนายเนลสันได้พูดว่า "ตลอดชีวิตของผม ผมได้อุทิศชีวิตให้กับคนแอฟริกา แต่ไม่ต้องการให้คนขาวเป็นใหญ่และไม่ได้ต่อสู้ให้คนผิวดำเป็นใหญ่ แต่อุดมการณ์เพื่อให้เกิดประชาธิปไตย ถือว่าเป็นเป้าหมาย เป็นสังคมเสรีประชาธิปไตยในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติมีโอกาสเท่าเทียมกัน มีความหวังเกิดขึ้น ถ้าจำเป็นขอสละชีวิตนี้เพื่ออุดมการณ์นี้"  เมื่อออกจากคุกได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีประเทศแอฟริกาใต้

"ดังนั้นนายเนลสันจึงเป็นบุคคลต้นแบบของการไม่จองเวร จากเหตุการแบ่งแยกผิว นิยมใช้ความรุนแรงแก้ปัญหาความขัดแย้ง เขาติดคุก 27  ปี ทำให้พบความทุกข์จึงเห็นธรรมะ จึงสู้ด้วยอหิงสาไม่ใช้ความรุนแรง ใช้รูปแบบของการประนีประนอมและสมานฉันท์ เราต้องการคนฝ่ายขาวฝ่ายดำเพื่อพัฒนาประเทศร่วมกัน จึงมีการจับมือเพื่อเดินไปด้วยกัน ประเทศกำลังต้องการคนให้อภัย  จึงย้ำว่า คนฉลาดเรียนรู้ความผิดพลาดของตนเอง แต่คนฉลาดกว่าเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น การรักษาสันติภาพจะต้องแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง ทำงานร่วมกัน ทำผลประโยชน์ร่วมกัน ทุกศาสนาจัดเวทีในการพัฒนาชาติบ้านเมือง  การทำงานร่วมกันจะทำให้เราเห็นมิติของ บวร บ้าน วัด โรงเรียนอย่าแท้จริงอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข" พระพรหมบัณฑิต ระบุ       

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=2500551803576826&id=100008660918012

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2563

พิมพ์เขียว! สันติโคกหนองนาโมเดล สันติศึกษาลงดิน สันติภาพกินได้


วันที่ 24 ตุลาคม 2563  พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา และผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร)  ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก "Hansa Dhammahaso" หลังจากนำคณาจารย์และเจ้าหน้าที่หลักสูตรสันติศึกษา มจร ลงพื้นที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง จ.ชลบุรี เพื่อเข้าศึกษาและเรียนรู้แนวทางการออกแบบและพัฒนาสวนสันติธรรมชาติภายใต้กรอบของโคกหนองนาโมเดลและธนาคารน้ำ โดยมี ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร (อาจารย์ยักษ์) พระอาจารย์สังคม ธนปัญโญ  และคณะเป็นที่ปรึกษา ระหว่างวันที่ 19-23 ตุลาคมนี้ ความว่า   

สันติภาพลงดิน สันติภาพกินได้ โคกหนองนา สันติศึกษาโมเดล

รับบรีฟจากหลวงพ่อสังคม ธนปัญโญ ผู้เชี่ยวชาญด้านโคกหนองนาโมเดล และธนาคารน้ำ ที่ได้เสนอแนะกรอบแนวคิดและแนวทางการพัฒนาเพื่อต่อยอดโคกหนองนา สันติศึกษาโมเดล บนพื้นที่ 12 ไร่ โดยใช้ใบโพธิ์เป็นกรอบคิดในการออกแบบ

การนำสันติธรรมไปลงมือทำครั้งนี้ หลักสูตรสันติศึกษาจะระดมนิสิต กัลยาณมิตร รุ่น 633 จากหลักสูตรกสิกรรมธรรมมาบเอื้อง และชาวอำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ มาร่วมกันพัฒนา โดยเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นไป

องค์ประกอบสำคัญของโคกหนองนา สันติศึกษาโมเดล จะแบ่งพื้นที่ น้ำ 30% ป่า 30% ข้าว 30% และที่พักอาศัย 10% ภายในจะมีคลองใบ้โพธิ์ ลานธรรมจักร เพื่อปลูกต้นพระศรีมหาโพธิ์จากอินเดีย พืชสวนนาป่าค้นนาทองคำ อุโมงต้นยางนา และพืชพักมากมาย

ทั้งหมดจะอยู่ภายในสวนสันติธรรมชาติ สวนแห่งนี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์การ้รียนรู้และพัฒนาทักษะอาชีพเกี่ยวกับเกษตรอินทรีย์ แนวคิดโคกหนองนา ธนาคารน้ำ แนวคิดกสิกรรมธรรมชาติ ศาสตร์พระราชา และอื่นๆ ของชุมชนในพื้นที่ เพื่อให้สามารถพึ่งพาตัวเองได้ อย่างยั่งยืน

ในขณะที่วิชาชีวิตที่เป็นสถานที่พาคนไปนิพพานนั้น จะถูกเตรียมพร้อมไว้ ณ สถาบันสติภาวนาเพื่อสันติภาพ เพี่อเป็นแหล่งในการพัฒนาสันติภาพภายในของกลุ่มคนที่มีความพร้อมทางกายแต่ต้องการความอิ่มเอมทางใจ ที่มุ่งให้เกิดความรู้ ตื่น และเบิกบานภายใน


ก่อนหน้านี้ได้โพสต์ว่า ทุกข์กายก็ทำมาหากิน #ทุกข์ใจก็ทำมาหาธรรม 

เจตนารมณ์ที่แท้จริงของการเดินทางมาเป็น #ศิษย์มาบเอื้อง รุ่น 633 ก็เพิ่อต้องการที่จะเข้าใจเบื้องหลังของชุดความคิด (Mindset) กสิกรรมธรรมชาติสู่ระบบเศรษฐกิจพอเพียงว่าถือกำเนิดมาด้วยเหตุผลอันใด เพราะการเรียนรู้ที่ผ่านมาแค่ตำตา และตำหู ไม่ได้ตำมือ และตำตีน จนทำให้ตำใจของตนเอง 

เพราะเหตุใด? ผู้คนมากมายจึงถอยห่างและปล่อยวางการพัฒนาเศรษฐกิจ #ทุนนิยม และ #สังคมนิยม โดยหันมา #นิยมเศรษฐกิจพอเพียง  วันนี้ จึงเข้าใจว่า การที่ใครสักคนสามารถพึ่งพาศักยภาพตนเองได้ มันมีคุณค่าและนำมาซึ่งความภาคภูมิใจเพียงไร 

"ตนแลเป็นที่พึ่งของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้ และ เธอทั้งหลาย จนมีตนเป็นเกาะ จงมีตนเป็นที่พึ่ง  เธอทั้งหลาย จงมีธรรมเป็นเกาะ จงมีธรรมเป็นที่พึ่ง" เสียงของพระพุทธองค์ผุดขึ้นในใจทันใดที่ได้ยินคำว่าพึ่งตนเองจากอาจารย์ยักษ์ 

การพึ่งตนก็คือคือการพึ่งธรรม ธรรมในความหมายนี้ จึงเป็นไปไม่ได้ ถ้ามิใช่ธรรมชาติ ทั้งธรรมชาติที่เป็นนามธรรม และรูปธรรมที่แสดงตัวตนผ่านสิ่งที่จับได้ และเห็นได้ อันได้แก่ ดิน น้ำ และป่า 

ดิน น้ำ และป่า จึงเป็นที่มาของอาหาร ต้นไม้ ข้าวปลา เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และร่มเงา เป็นต้น การพึ่งพาตนเองคือการพึ่งธรรมอันได้แก่ธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ จึงมีกลุ่มคนจำนวนมาก ได้หันหลังให้ทุนนิยม และสังคมนิยม ที่ต้องพึ่งพาคนอื่น รวมถึงรัฐ กลับมาทำมาหากินด้วยลำแข็งตนเองโดยใช้ธรรมชาติเป็นฐาน 

มนุษย์ก่อกำเนิดมาจากธรรมชาติ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม การกลับไปหาธรรมชาติจึงเป็นการกลับไปหารากเหง้าที่เป็นต้นตระกูลของตนเองที่ให้ชีวิต และลมหายใจตัวเองมาใช้สอยจนถึงวันนี้  

เพราะมนุษย์หลงลืมธรรมชาติที่เป็นรากเหง้าของตนเอง จึงพากันทำลายธรรมชาติอย่างโหดร้ายทารุน ต่อเนื่อง และยาวนาน ถึงกระนั้น ก็มีมนุษย์บางคนมีจิตสำนึกรู้ในคุณค่าที่แท้จริงของธรรมชาติที่ให้กำเนิดมา จึงหันกลับไปดูแล และใส่ใจธรรมชาติ 

ความจริงคือ ไม่มีธรรมชาติ จะไม่มีดิน น้ำ ป่า ไม่มีป่าจะมีอากาศ แหล่งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ให้มนุษย์ได้ใช้หล่อเลี้ยงชีวิตตั้งแค่ปูย่าตายายจนถึงลูกหลานได้อย่างไร 

การเป็นศิษย์มาบเอื้อง จึงเป็นการกลับไปเข้าใจรากเหง้าที่แท้จริงของตัวเองให้ลึกซึ้งอีกครั้ง และที่สำคัญคือการหันกลับมาทบทวนชีวิตของตัวเอง และกำหนดบทบาท และเป้าหมายของชีวิตตัวเองให้คม ชัด และลึกมากขึ้น  

การทำมาหากินคือเรื่องของกาย การทำมาหาธรรมคือเรื่องของใจ ไม่มีกาย จะหาใจมาจากที่ไหน ไม่มีกาย ใจจะได้เรียนรู้ธรรม เพื่อให้เจริญในธรรมได้อย่างไร การเลี้ยงกายก็เพื่อให้กายเป็นแหล่งเรียนรู้ของใจ การเลี้ยงใจจึงมีค่าเท่ากับการหล่อเลี้ยงกายให้สามารถทำมาหากินได้อย่างมีสติปัญญา  

การทำมาหากินจึงไม่จบที่การพออยู่ พอกิน พอใช้ หากแต่ในบั้นปลายแล้ว จะนำไปสู่ความพอร่มเย็นของชีวิต แล้วแบ่งปันความร่มเย็นไปสู่ชุมชน สังคม และประเทศชาติ  อันเป็นความหมายที่แท้จริงอย่างแท้จริง

 

พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส

ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง ชลบุรี

23 ตุลาคม 2563



วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2563

"อนุชา"นำพุทธศาสนิกชนเจริญจิตตภาวนา ถวายเป็นพระราชกุศลในหลวง ร.5



"อนุชา"นำพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีสวดมนต์ ถวายเป็นพระราชกุศลในหลวง ร.5  เตรียมจัดสวดมนต์ทุกสัปดาห์จนถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2563 เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม  2563 เวลา 17.00 น. ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร พระครูวิจิตรธรรมคุณ ประธานฝ่ายสงฆ์  พร้อมด้วย นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฝ่ายฆราวาส ร่วมพิธีสวดพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 23 ตุลาคม 2563 เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติ และถวายเป็นพระราชกุศลและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ของปวงชนชาวไทย

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พิธีสวดพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนา เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 23 ตุลาคม 2563 ครั้งนี้เป็นไปตามมติมหาเถรสมาคมให้ดำเนินการจัดพิธีสวดพระพุทธมนต์และเจริญจิตตภาวนาพร้อมกันทั่วประเทศ โดยในส่วนของกรุงเทพมหานคร จัดขึ้นที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ส่วนต่างจังหวัดกำหนดจัดพิธี ณ บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดและสถานที่ที่เหมาะสม ซึ่งในวันนี้เป็นวันที่คนไทยได้ระลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 5 ที่ทรงได้สร้างสิ่งต่างๆ อันเป็นคุณูปการแก่ประชาชนชาวไทย เช่น การมีสิ่งสาธารณูปโภคที่ดีในทุกวันนี้ การเป็นสังคมประชาธิปไตยของประเทศชาติ ซึ่งการที่พุทธศาสนิกชนได้มาร่วมสวดมนต์ในวันนี้ แสดงให้เห็นถึงการมีจิตใจที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นการร่วมทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา 

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้ลูกหลานไทยได้ระลึกถึงสิ่งที่พระมหากษัตริย์ไทยได้ทรงสร้างไว้ให้จวบจนทุกวันนี้ได้มอบหมายให้สำนักงานพระพุทธสาสนาแห่งชาติ จัดกิจกรรมสวดมนต์ทุกสัปดาห์ จนถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2563  ซึ่งตรงกับ "วันพ่อแห่งชาติ"  เป็นวันประวัติศาสตร์ที่เราชาวไทยจะได้ร่วมน้อมรำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงขอเรียนเชิญพี่พุทธศาสนิกชนเข้าร่วมกิจกรรมอันเป็นกุศลนี้โดยพร้อมเพรียงกัน

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2563

สังฆสามัคคี! รวมพลัง“มจร-มมร”สร้างสังคมสุขภาวะ



เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม  2563 เพจ Phramaha Boonchuay Doojai ได้โพสต์ข้อความว่า รวมพลัง “มจร-มมร” สร้างสังคมสุขภาวะ

@ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาสถาบันอุดมศึกษาขึ้นสองแห่ง เมื่อราวสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ในนาม “มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย” และ “มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” ในปัจจุบัน ด้วยทรงมีพระราชปณิธานในการจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลากรของประเทศให้มีความรู้ ความเข้าใจ สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน รวมถึงมีความสามารถในการรักษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้มีความมั่นคงยิ่งขึ้น และมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่สองแห่งก็ได้กลายเป็นขุมพลังทางปัญญาที่มีรากฐานจากพุทธธรรม แห่งองค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เกื้อกูลต่อสังคมไทยอย่างเป็นรูปมาเป็นเวลาช้านาน บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันทั้งสองได้เป็นกำลังในการธำรงพระพุทธศาสนาและเป็นขุมพลังทางศีลธรรมของสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง

@ ในด้าน “การสร้างเสริมสุขภาวะ” ในสังคมไทย ภายใต้การปฏิรูประบบสาธารณสุขของไทย การรณรงค์เรื่อง "สร้างนำซ่อม" คือ เน้นการ “สร้างสุขภาพ” มากกว่า “การซ่อมสุขภาพ” เช่น รณรงค์เรื่องการบริโภคอาหารสุขภาพ การออกมีกิจกรรมทางกาย การผ่อนคลายอารมณ์และความเครียด การลดละเลิกสุรา บุหรี่ สารเสพติดที่เป็นพิษภัยต่าง ๆ การป้องกันโรคติดต่อ การป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง การป้องกันอุบัติเหตุบนท้องถนน การรักษาสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ เป็นต้น “มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย” และ “มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” ซึ่งเคยมีบทบาทที่อาจไม่ชัดเจนนักในช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้รวมพลังในการขับเคลื่อนงาน “สร้างเสริมสุขภาพ” อย่างเป็นรูปธรรมโดยมี “ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์แห่งชาติ” เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงาน ภายใต้หลักการสำคัญ คือ “ทางธรรมนำทางโลก” เริ่มต้นแต่การร่วมยกร่าง รับฟังความคิดเห็น ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานองค์กรภาคีเครือข่ายต่าง ๆ และขับเคลื่อนทั้งในระดับชาติและระดับพื้นที่

@ การขับเคลื่อนงาน “สร้างเสริมสุขภาพ” ของ “มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก “สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ” หรือ “สสส” ให้ดำเนินโครงการ “ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พระนิสิตปฏิบัติศาสนกิจสู่การสร้างสังคมสุขภาวะ” ในฐานะที่เป็นโครงการวิจัยที่มีเป้าหมายในการพัฒนาบัณฑิตของมหาวิทยาลัยให้มีศักยภาพ ทำหน้าที่เป็นพระสงฆ์นักสร้างเสริมสุขภาวะสู่ชุมชนและสังคม โดยใช้กลไก “การปฏิบัติศาสนกิจ” ตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย ให้เกิดกระบวนการขับเคลื่อนสังคมอย่างมียุทธศาสตร์ ทั้งการพัฒนากลไกคณะอนุกรรมการปฏิบัติศาสนกิจที่เพิ่มองค์ประกอบของภาคีเครือข่ายที่หลากหลาย และพัฒนายุทธศาสตร์การปฏิบัติศาสนกิจในระดับพื้นที่วิทยาเขต/วิทยาลัย ที่สอดคล้องกับบริบทของแต่ละพื้นที่ด้วย พัฒนาศักยภาพบัณฑิตด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่ใช้โครงการเป็นฐาน (Project Base Learning) รวมถึงการพัฒนา “ระบบปฏิบัติศาสนกิจ” ออนไลน์ เพื่อสนองตอบความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศในปัจจุบันด้วย

@ ด้านการขับเคลื่อนงาน “สร้างเสริมสุขภาพ” ของ “มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย” ยังมีปัจจัยอันเป็นข้อจำกัดบางประการ ซึ่งต้องการการหนุนเสริมจากหน่วยงานองค์กรภาคีเครือข่ายต่าง ๆ “มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย” ซึ่งมีประสบการณ์เคลื่อนงานในพื้นที่มาระยะหนึ่งแล้ว จึงได้กำหนดเป้าหมายและกิจกรรมในการหนุนเสริมการเคลื่อนงานของ “มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย” ไว้ในโครงการ “ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พระนิสิตปฏิบัติศาสนกิจสู่การสร้างสังคมสุขภาวะ” ด้วย ซึ่งเป็นกระบวนการสร้างความร่วมมือระหว่างสองมหาวิทยาลัย ด้วยการจัดกิจกรรม “การประชุมเชิงปฏิบัติการ” ในหัวข้อ “เครือข่ายความร่วมมือปฏิบัติศาสนกิจเพื่อสังคมสุขภาวะ” ซึ่งมีรองอธิการบดี ด้านกิจการคณะสงฆ์ (พระมงคลธรรมวิธาน, ผศ.ดร.) และรองอธิการบดี ด้านการวิจัยและประกันคุณภาพการศึกษา (พระมหามฆวินทร์ ปริสุตฺตโม, ผศ.ดร.) ผู้ได้รับมอบหมาย ร่วมนำการประชุม

@ จากการดำเนินกิจกรรมการประชุมเชิงปฏิบัติการ 3 ครั้งที่ผ่านมา มีข้อค้นพบหลากหลายประการที่น่าสนใจ ดังนี้

R1 ผู้เข้าร่วมการประชุมที่มาจากทั้งสองมหาวิทยาลัยได้ร่วมแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนข้อมูล และฝึกปฏิบัติการวิเคราะห์ “ทุน” ของ “มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย” ทั้งทุนกายภาพ ทุนมนุษย์ ทุนเครือข่าย และอื่น ๆ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาโครงการพัฒนาศักยภาพบุตลากรและพระนิสิต/นักศึกษา เพื่อผลักดันและส่งเสริมให้สามารถขับเคลื่อนกิจกรรมหรือโครงการที่เป็นประโยชน์ไปสู่ “ชุมชนสุขภาวะ”

R2 บุคลากร “มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย” ทั้งสายวิชาการและสายปฏิบัติการวิชาชีพกว่า 50 รูป/คน ที่ได้เข้าร่วมกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง มีความรู้ความเข้าใจในความสำคัญ บทบาท และกระบวนการขับเคลื่อนงาน “สร้างเสริมสุขภาพ” การจัดทำแผนงาน โครงการ รวมถึงวิสัยทัศน์และพันธกิจของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มากยิ่งขึ้น


R3 พัฒนา Concept Paper ยกร่างแผนงาน โครงการ “การพัฒนาแกนนำศาสนบุคคล เพื่อศาสนกิจในการสร้างสังคมสุขภาวะ” และภายใต้แผนงาน โครงการนี้

Obj> กำหนดวัตถุประสงค์ไว้อย่างน้อย 4 ประการ คือ

          O1 พัฒนาหลักสูตรและคู่มือการฝึกอบรมที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย

          O2 พัฒนาแกนนำศาสนบุคคล เพื่อศาสนกิจในการสร้างสังคมสุขภาวะ

          O3 พัฒนานวัตกรรมการสร้างเสริมสุขภาวะของกลุ่มบุคคลและชุมชนระดับพื้นที่

           O4 พัฒนาพื้นที่ต้นแบบ “ชุมชนสุขภาวะวิถีพุทธ”


TG> มีกลุ่มเป้าหมายหลักจำนวน 3 กลุ่ม ได้แก่

          TG1 กลุ่มพระนักศึกษา ซึ่งมีจำนวนกว่า 1,000 รูป

          TG2 กลุ่มแม่ชีนักศึกษา ซึ่งมีจำนวนกว่า 100 คน และ

          TG3 กลุ่มพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน พระวิทยากรและพระนักเทศน์ ซึ่งมีจำนวนกว่า 5,000 รูป

TG> นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มเป้าหมายระดับบุคคลและชุมชนพื้นที่ต้นแบบในการสร้างเสริมสุขภาวะอีกจำนวนมาก ทั้งพื้นที่ซึ่ง “มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย” ได้มีส่วนร่วมดำเนินโครงการพัฒนามาก่อนและพื้นที่ใหม่ ๆ ที่มีความต้องการและมีความพร้อมในการขับเคลื่อนโครงการร่วมกับมหาวิทยาลัย

Act> กิจกรรมสำคัญในแผนงาน โครงการ ได้แก่

          Act1 กิจกรรมการพัฒนาหลักสูตร (Module) และคู่มือการฝึกอบรม “แกนนำศาสนบุคคล เพื่อศาสนกิจในการสร้างสังคมสุขภาวะ” ที่มีอัตลักษณ์ของ “มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย” ที่มีทั้งภาคทฤษฎี และการฝึกปฏิบัติการในพื้นที่

          Act2 กิจกรรมการฝึกอบรม “แกนนำศาสนบุคคล เพื่อศาสนกิจในการสร้างสังคมสุขภาวะ” โดยความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ที่มาร่วมคิด ออกแบบกิจกรรม ฝึกอบรม ติดตามหนุนเสริมการลงพื้นที่ฝึกปฏิบัติงานสร้างเสริมสุขภาวะของกลุ่มบุคคลและชุมชนต้นแบบ

          Act3 กิจกรรมการถอดบทเรียนทั้งเชิงประเด็นและเชิงพื้นที่ ค้นหานวัตกรรมการพัฒนาแกนนำศาสนบุคคลเพื่อศาสนกิจในการสร้างสังคมสุขภาวะ นวัตกรรมในการแก้ไขปัญหาและสร้างเสริมสุขภาวะระดับบุคคลและระดับชุมชน และพื้นที่ต้นแบบในการแก้ปัญหาและสร้างเสริมสุขภาวะ

          Act4 กิจกรรมการสื่อสารสาธารณะ เผยแพร่บทเรียน ขยายผลนวัตกรรม และต่อยอดสู่เป้าหมายการสร้างสังคมสุขภาวะ

@ ความร่วมมือระหว่างสองมหาวิทยาลัย นับเป็นจุดเริ่มต้นอันดีที่จะก่อให้เกิดกระบวนการขับเคลื่อนงานพัฒนาสังคมสุขภาวะ ในพื้นที่เป้าหมายและสังคมไทย ภายใต้กระบวนการมีส่วนร่วม ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพและความยั่งยืนมากกว่าการทำงานอย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง

>> “สังคมสุขภาวะ คือ สังคมที่ร่มเย็นเป็นสุข คำถามคือ ‘จะทำอย่างไรที่จะนำไปสู่สังคมที่พึงปรารถนาได้?’ ในฐานะที่เราเป็นพระสงฆ์ หน้าที่ของพระสงฆ์คือการนำธรรมมาขัดเกลาตนเอง นำไปเผื่อแผ่ยังพระสงฆ์รูปอื่น ๆ และเผยแผ่ไปสู่คนในสังคม เพื่อให้พระสงฆ์เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง และสร้างให้เกิดเป็นสังคมแห่งสุขภาวะที่สมบูรณ์อย่างแท้จริง” << : พระมงคลธรรมวิธาน รองอธิการบดี ด้านกิจการคณะสงฆ์ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (22 ตุลาคม 2563)

xxxxx "เป็นหนึ่งเดียวกัน" xxxxx ครับ

>>>>>>><<<<<<<

ขอบคุณภาพ และศึกษาเพิ่มเติมที่:

ทีมวิจัย “โครงการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พระนิสิตปฏิบัติศาสนกิจสู่การสร้างสังคมสุขภาวะ”

https://www.buddhistfordev.com/event125...

https://www.thaihealth.or.th/Content/44084-ทำความรู้จัก"ธรรมนูญสุขภาพพระสงฆ์".html

https://www.csdi.or.th/2018/08/ยุทธศาสตร์ปฏิรูประบบสา-2/

https://www.nationalhealth.or.th/taxonomy/term/520

http://stud.mcu.ac.th/sas/

https://www.thaihealth.or.th/Aboutus.html

https://www.facebook.com/phanomnakorn.me/videos/3553240781365741

‘พาณิชย์’ สนับสนุน ‘ฟู้ดทรัค’ แก้ปัญหาว่างงาน ยกระดับจากแผงลอยสู่ร้านอาหารเคลื่อนที่


 

‘พาณิชย์’ สนับสนุน ‘ฟู้ดทรัค’ แก้ปัญหาว่างงาน  ยกระดับจากแผงลอยสู่ร้านอาหารเคลื่อนที่  ..มุ่งเจาะตลาดผู้บริโภคทุกกลุ่ม ตอบโจทย์วิถีชีวิตใหม่..แบบไม่จำเจ พร้อมผลักดัน..ธุรกิจฟู้ดทรัคเป็นหลักประกันทางธุรกิจ..ช่วยเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนง่ายขึ้น 

เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม  2563 กระทรวงพาณิชย์ สนับสนุนกลุ่มธุรกิจ ‘ฟู้ดทรัค’ ช่วยแก้ปัญหาการว่างงาน ทั้งเป็นเจ้าของกิจการเองและเป็นลูกจ้างในธุรกิจ ยกระดับจากแผงลอยสู่ร้านอาหารเคลื่อนที่..มุ่งเจาะตลาดผู้บริโภคทุกกลุ่ม...บริการถึงที่บ้าน เตรียมจัดงาน ‘ฟู้ดทรัคมาร์ท’ ระหว่างวันที่ 4 - 5 พฤศจิกายน 2563 สร้างบรรยากาศการบริโภคแบบใหม่..ตอบโจทย์วิถี New Normal ที่ไม่จำเจ พร้อมผลักดันธุรกิจฟู้ดทรัคเป็นหลักประกันทางธุรกิจประเภทกิจการ เพื่อให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น 

นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า “กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เตรียมนำโมเดลธุรกิจร้านอาหารเคลื่อนที่ หรือ ‘ฟู้ดทรัค’ (Food Truck) มาช่วยแก้ปัญหาการว่างงาน สำหรับกลุ่มแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ช่วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งการเป็นเจ้าของประกอบกิจการเอง และเป็นลูกจ้างในธุรกิจ เบื้องต้น ได้สั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าประสานผู้ประกอบธุรกิจกลุ่มฟู้ดทรัคร่วมกันผลักดันให้เห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน สามารถช่วยเหลือผู้ที่กำลังว่างงาน หรือกำลังมองหาโอกาสในการประกอบธุรกิจ นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเร่งผลักดันให้ธุรกิจฟู้ดทรัคเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยการนำกิจการมาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ ซึ่งกิจการฟู้ดทรัคมีราคารถยนต์และอุปกรณ์ที่สามารถประเมินมูลค่าได้อย่างชัดเจน ช่วยลดความเสี่ยงของสถาบันการเงินในการรับกิจการฟู้ดทรัคเป็นหลักประกันทางธุรกิจ ส่งผลให้การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อทำได้ง่าย สะดวก เป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของเอสเอ็มอีได้ง่ายมากขึ้น” 

“ทั้งนี้ กรมฯ เตรียมจัดงาน ‘ฟู้ดทรัคมาร์ท’ (Food Truck Mart ) ระหว่างวันที่ 4 - 5 พฤศจิกายน 2563 ซึ่งเป็นการจัดงานเกี่ยวกับธุรกิจฟู้ดทรัคครั้งแรกของกระทรวงพาณิชย์เพื่อกระตุ้นสร้างการรับรู้และความเข้าใจในรายละเอียดของธุรกิจฟู้ดทรัคอย่างถ่องแท้ ภายในงานแบ่งกิจกรรมออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1) การให้ความรู้แก่ผู้สนใจจะประกอบธุรกิจฟู้ดทรัค โดยกูรูด้านฟู้ดทรัคโดยเฉพาะ คือ อาจารย์ญาณเดช  ศิรินุกูลชร ผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาการวางแผนยุทธศาสตร์องค์กร/เครือข่าย/ธุรกิจฟู้ดทรัค ให้ความรู้และบรรยายในหัวข้อ ‘เริ่มธุรกิจฟู้ดทรัคอย่างไร...ให้สำเร็จ’ ณ ห้องม่วงมงคล ชั้น 6 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์” 

“2) การออกงานแสดงสินค้า ‘ฟู้ดทรัคมาร์ท’ ณ บริเวณเต้นท์ตลาดนัด ภายในกระทรวงพาณิชย์ จ.นนทบุรี โดยมีผู้ประกอบการฟู้ดทรัคทั้งกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเข้าร่วมแสดงและจำหน่ายสินค้า เพื่อแสดงศักยภาพและให้เห็นถึงรูปแบบการประกอบธุรกิจ นอกจากนี้ ยังมีสถาบันการเงินเข้าร่วมให้คำปรึกษาแก่ผู้สนใจที่ต้องการลงทุนในธุรกิจฟู้ดทรัค เช่น ธ.กรุงไทย ธ.ออมสิน เอสเอ็มอีดีแบงก์ ฯลฯ เป็นต้น” 

รมช.พณ. กล่าวเพิ่มเติมว่า “ธุรกิจฟู้ดทรัคกำลังเป็นที่นิยมของนักลงทุนทั้งชาวไทยและต่างประเทศ กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ของประเทศเริ่มเข้าสู่ตลาด ขยายสาขา และขยายธุรกิจแฟรนไชส์ในรูปของ ‘ฟู้ดทรัค’ มากขึ้น เนื่องจากมีองค์ประกอบการดำเนินธุรกิจที่คล่องตัว เคลื่อนที่ไปหากลุ่มลูกค้า (ผู้บริโภค) ได้ทุกที่ในลักษณะการตลาดเชิงรุกที่สามารถกระตุ้นยอดขายได้เพิ่มขึ้น และไม่ต้องจัดหาสถานที่ในการตั้งร้านที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ประชาชนต้องมีความระมัดระวังทั้งการเดินทาง การสัมผัสสิ่งของ และสุขอนามัย ทำให้ธุรกิจฟู้ดทรัคมีอัตราการขยายอย่างรวดเร็ว ประกอบกับเป็นธุรกิจที่มีความโดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ง่ายต่อการจดจำของผู้บริโภค เป็นการยกระดับจากร้านอาหารแผงลอยสู่ร้านอาหารเคลื่อนที่ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ทำให้ธุรกิจฟู้ดทรัคกลายเป็นธุรกิจดาวรุ่งที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบธุรกิจฟู้ดทรัคทั่วประเทศประมาณ 2,500 คัน และมีมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 2,600 ล้านบาทต่อปี”  

“จึงขอเชิญชวนผู้ที่กำลังมองหาโอกาสทางธุรกิจ เข้าร่วมงาน ‘ฟู้ดทรัคมาร์ท’ (Food Truck Mart) ระหว่างวันที่ 4 - 5 พฤศจิกายน 2563 ณ กระทรวงพาณิชย์ โดยผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ กองทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ โทร. 0 2547 4939 สายด่วน 1570 www.dbd.go.th” รมช.พณ.กล่าวทิ้งท้าย 


แบรนด์ "สติ"! กาแฟที่คนไทยควรดื่มและเสื้อควรใส่ขณะนี้



เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563  เพจองค์ม่อน ธรรมะอารมณ์ดี ได้โพสต์ข้อความว่า เรียนเชิญทุกท่านร่วมทำบุญ กับโครงการดีๆ จากร้านกาแฟ สติ ที่สวนฮักนาแพง - Suan Huk Na Paeng ภายในศูนย์ปฎิบัติธรรมป่าโมกข์ธรรมาราม อำเภออรัญประเทศ ตามปณิธานของ องค์ม่อน ธรรมะอารมณ์ดี ที่จะนำรายได้ทั้งหมด

เพื่องานสาธารณะประโยชน์ กองทุนอาหารกลางวันเด็กนักเรียน เยี่ยมผู้ป่วยติดเตียงและผู้เปราะบางทางสังคม มีสีขาว และสีดำ ขนาด S - XXL สั่งที่ เพจสวนฮักนาแพงได้เลยครับ  ราคาตัวละ240บาท  ค่าส่ง 50 บาท  อนุโมทนาบุญทุกท่าน ที่สั่งกันมาเป็นจำนวนมากครับ



และส่วนหนึ่งเชื่อว่ามีส่วนให้การช่วยเหลือน้ำท่วมจังหวัดสระแก้วและปราจีนบุรีอยู่ขณะนี้ตามที่โพสต์  เยี่ยมวัดและมอบแพมเพิส ผู้ป่วยติดเตียง❣️



คณะสงฆ์อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดย พระมหาศราวุธ จิตฺตทนฺโต ป.ธ.9 เจ้าคณะอำเภออรัญประเทศ 

พร้อมด้วยคณะสงฆ์ ร่วมกับ เจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดสระแก้ว 

ลงพื้นที่เยี่ยมวัดและผู้ป่วยติดเตียง ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย 

พื้นที่ เทศบาลเมืองอรัญประเทศ ตำบลท่าข้าม ตำบลฟากห้วย 

โดยได้เยี่ยมและมอบข้าวสารอาหารแห้งน้ำดื่ม จำนวน 4 วัด 

1.วัดวังมน 2.วัดบ้านใหม่ไทรทอง 3.วัดหลวงอรัญ 4.วัดชนะชัยศรี 

และได้มอบแพมเพิส ให้กับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล 3 แห่ง จำนวน 30 ชุด ได้แก่ 

1. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลท่าข้าม, 

2.โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลฟากห้วย และ 

3. โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลบ้านด่าน 

เพื่อส่งต่อให้กับผู้ป่วยติดเตียง 

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงแล้ว

 


       

เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้ประกาศเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม ให้ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ในเขตท้องที่กรุงเทพฯแล้ว



สภานิสิตจุฬาฯออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลใช้อำนาจฉุกเฉินไม่ชอบธรรม


วันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ.2563 สภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกแถลงการณ์ ประณามการใช้อำนาจรัฐตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน จากการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กทม. จนนำมาสู่การสลายการชุมนุมและจับกุมแกนนำ เป็นการบังคับใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรม และไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์แห่งกฎหมายของรัฐบาล รวมถึงเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กทม. และปล่อยตัวผู้ถูกจับกุมหรือควบคุมตัวโดยเร็ว



ม็อบชิดทำเนียบฯ ตั้งขบวนหน้าสะพานชมัยมรุเชฐ คาดยื่นหนังสือ


เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2563 เวลา 19.45 น. ที่แยกนางเลิ้ง ถนนพิษณุโลก ได้มีมวลชนได้มานั่งรอขบวนของผู้ชุมนุมที่กำลังเคลื่อนมาจากอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้ชุมนุมสลับกันใช้โทรโข่งเล็กๆ สลับกันปราศรัย พร้อมตะโกนสลับกับปรบมือให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนที่ได้มาตั้งแนวกั้นผู้ชุมนุมด้วย พร้อมๆกับตะโกนเรียก "มินเนียนๆ"  ใส่เจ้าหน้าที่ทหาร ที่สวมเสื้อสีเหลือง ระหว่างเดินผ่านผู้ชุมนุมด้วย

เวลา 20.00 น. มวลชนที่มารอขบวนหลักที่บริเวณแยกนางเลิ้ง ได้มาตั้งแนวกั้นอยู่ด้านหน้าโรงเรียน ราชวินิตมัธยม ถ.พิษณุโลกแล้ว ซึ่งห่างจากทำเนียบรัฐบาล ไม่ถึง 100 เมตร

เวลา 20.50 น.มวลชนได้เคลื่อนขบวนมาสมทบเป็นจำนวนมากโดยตั้งขบวนหน้าสะพานชมัยมรุเชฐ ซึ่งตำรวจได้ตั้งจุดสกัดมีรถเมลจอดขวางไว้ คาดว่าจะมีการยืี่นหนังสือหรือข้อเรียกร้อง



ตร.วอน ผู้ชุมนุม ฉุกคิด บุกทำเนียบฯ ผิด ก.ม.-รถฉีดน้ำ จอดรอเป็นปกติ 

เวลา 20.00 น. ที่บริเวณแยกพาณิชยการ พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า คงไม่ได้มีการวางแนวว่า จะต้องเริ่มต้นหรือสิ้นสุดตรงไหน มีการปรับกำลังตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ย้ำว่าขณะนี้เป็นช่วงที่มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพมหานคร พี่น้องประชาชน ที่มารู้อยู่แล้วว่า เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย โดยเฉพาะกับการที่มีการเคลื่อนพล มาใกล้สถานที่สำคัญ ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าเข้ามาในรัศมีที่มาไม่ได้อยู่แล้ว จึงอยากให้ฉุกคิดนิดนึงว่า ท่านกำลังทำผิดกฎหมายอยู่ เพราะในช่วงเย็น นายกฯ ได้แสดงความจริงใจในการที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น และจะมีการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ ช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้ รวมถึงการพิจารณายกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หากไม่มีสถานการณ์ร้ายแรง ก็จะกลับไปใช้กฎหมายตามปกติ          

เมื่อถามว่า ขณะนี้ปรากฏภาพรถฉีดน้ำแรงดันสูงอยู่รอบทำเนียบรัฐบาล จะมีการสลายการชุมนุมหรือไม่ พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า เป็นไปตามปกติที่จะต้องมาจอดรอไว้ เมื่อการเจรจาไม่เป็นผล ตำรวจก็จะล่าถอยไม่เข้าไปทำร้ายผู้ชุมนุม โดยเราต้องประเมินไปตามความเหมาะสมของสถานการณ์

ศาลอาญาไม่ให้ปิด "วอยซ์-สื่อออนไลน์" ยกคำร้องปิดของดีอีเอส

 


วันที่ 21 ต.ค.2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ศาลอาญามีคำสั่งยกคำร้องปิดสื่อออนไลน์ หลังเรียกผู้แทนของกระทรวงดิจิตัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือดีอีเอส มาไต่สวนถึงขั้นตอนปฏิบัติว่าดำเนินการถูกต้องครบถ้วนหรือไม่อย่างไร  ปรากฎว่า มีคำสั่งไม่ให้ปิด แพลตฟอร์มออนไลน์ทุกช่องทางของสื่อ 5 องค์กร คือ วอยซ์ทีวี, ประชาไท, The Reporters และ The Standard  รวมทั้งเยาวชนปลดแอก

วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2563

เหรียญโล่ห์ท้าวสหับดีพรหม รุ่นสำเร็จทุกประการรุ่นแรก อธิษฐานจิตเสก ณ วัดระฆังโฆสิตารามวรวิหาร ก.ท.ม

 


เหรียญโล่ห์ท้าวสหับดีพรหม รุ่นสำเร็จทุกประการ รุ่นแรก เนื่องด้วยทางชมรมกลุ่มสยามวัตถุมงคล มีวัตถุประสงค์ในการจัดสร้างวัตถุมงคล เหรียญโล่ห์ ท้าวสหัมบดีพรหม เพื่อนำรายได้จากการเช่าบูชาวัตถุมงคลในชุดนี้ส่วนหนึ่งไปสมทบทุน ค่ายารักษาและอาหารน้องหมาน้องแมว"ป้าจุ๊ บ้านพักสี่ขาเพื่อหมาจรจัด" อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี 

ชมรมกลุ่มสยามวัตถุมงคลจึงได้มีการจัดสร้างเหรียญ โล่ห์ท้าวสหับดีพรหม ผู้เป็นอธิบดีของโลกและเป็นผู้อาธนาธรรมหลังจากสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพิจารณาบัวสามเหล่า และเป็นต้นกำเนิดของคำอาธนาธรรม พระพรหมา เป็นคำเรียกพระพรหมในศาสนาฮินดู ซึ่งนับถือว่าเป็นพระผู้สร้างโลกและจักรวาล และมีเพียงพระองค์เดียว  ในการจัดสร้าง เหรียญโล่ห์ท้าวสหัมบดีพรหมนี้ ท่านพระพิมลภาวนาพิธาน วิ. (เจ้าคุณสวง ยุตฺตธมฺโม) รองเจ้าอาวาส  วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร ก.ท.ม ได้เมตตาอธิษฐานจิตเสกเดี่ยว ในวันที่ 15 กันยายน พ.ศ 2563 ณ วัดระฆังโฆสิตาราม ก.ท.ม 


ทั้งยังได้ความเมตตาจากหลวงพ่อสมชาย พุทฺธสโร  เจ้าอาวาสวัดโพรงอากาศ อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา พระเกจินักพัฒนา ผู้เปี่ยมด้วยเมตตา เป็นที่เลื่อมใสศรัทธา ท่านเป็นศิษย์เอกเพียงหนึ่งเดียวที่สืบทอดวิทยาคมของ หลวงพ่อแจ๋ ติสสโร อดีต เจ้าอาวาสวัดโพธิ์เฉลิมรักษ์  

ท่านได้เมตตาจารอักขระยันต์ลงบนแผ่นโลหะศักดิ์สิทธิ์ เพื่อนำไปหลอมเป็นมวลสารชนวนในการจัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นนี้ด้วย และท่านยัง เมตตาอธิษฐานจิตเสก เหรียญโล่ห์ท้าวสหบดีพรหมนี้ อีก 1 วาระ ในวันศุกร์ที่ 25 กันยายน 2563 เพื่อเสริมบารมีเหรียญรุ่นนี้ให้เข้มขลังมากยิ่งขึ้นอีกด้วย


เหรียญท้าวสหัมบดีพรหม บางส่วนนี้ ได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์วันชัย ตันติสิรินันท์ ซึ่งเป็นศิษย์สายตรงของท่านอาจารย์เฮง ไพรวัลย์หลวงปู่สี วัดสะแก อยุธยา สืบทอดมาจากรุ่นคุณปู่ รต.อนันต์ ตันติสิรินันท์

 ท่านเป็นศิษย์เอกของท่านอาจารย์เฮง ซึ่งเป็นฆราวาสเรืองอาคมทางด้านการสักเสกเลขยันต์และเข็มทองคะนองฤทธิ์ ท่านได้ลงอักขระจารอาคม ลงบนเหรียญบางส่วนให้ด้วย 

จึงทำให้เหรียญท้าว สหับดีพรหม รุ่น สำเร็จทุกประการนี้ เปี่ยมล้นมากพุทธคุณ ครบทุกด้าน จำนวนการสร้างวัตถุมงคลรุ่นนี้ มีทั้งหมดดังนี้คือ 



1. เหรียญโล่ห์ใหญ่ท้าวสหัมบดีพรหม เนื้อทองคำ จำนวน 9 เหรียญ น้ำหนัก 15.2 กรัม  ทุกเหรียญมีตอกโค้ตและ Number กำกับ ราคาจอง 49,999 บาท  

2. เหรียญโล่ห์เล็กท้าวสหับดีพรหม เนื้อทองคำ จำนวนการสร้าง 19 เหรียญมี ตอกโค้ตและ Run Number กำกับ น้ำหนัก 3.4 กรัม ราคาจอง 19999 บาท 

3. เหรียญโล่ห์ใหญ่ ท้าวสหับดีพรหมเนื้อเงิน จำนวน 99 เหรียญมี ตอกโค้ตและรันนัมเบอร์ กำกับ ราคาจอง  1,999 บาท 

4. เหรียญโล่ห์เล็กท้าวสหับดีพรหมเนื้อเงิน จำนวน 222 เหรียญ มีตอกโค๊ตและ Run Numberกำกับ ราคาจอง 999 บาท 



5. เหรียญ โล่ห์ใหญ่ ท้าวสหัมบดีพรหม เนื้อฝาบาตร หน้ากากเงินแท้ จำนวน 499 เหรียญ มีตอกโค๊ตและรัน Numberกำกับ 499 บาท 

6. เหรียญโล่ห์ใหญ่ท้าวสหัมบดีพรหม เนื้อสัตตะ หน้ากากฝาบาตร จำนวน 499 เหรียญมีตอกโค๊ตและ Run Numberกำกับ ราคาจอง 499 บาท 

7. เหรียญโล่ห์ใหญ่ ท้าวสหับดีพรหม เนื้อฝาบาตร จำนวน 1,999 เหรียญ มีตอกโค้ด กำกับ ราคาจอง 299 บาท 

8. เหรียญโล่ห์ใหญ่ท้าวสหับดีพรหมเนื้อสัตตะ จำนวน 1,999 เหรียญ มีตอกโค๊ตกำกับ ราคาจอง 299 บาท

9. เหรียญโล่ห์เล็กท้าวสหับดีพรหม เนื้อฝาบาตร จำนวน 2,999 เหรียญ มีตอกโค๊ตกำกับ ราคาจอง 199 บาท 

10. เหรียญโล่ห์เล็กท้าวสหับดีพรหม เนื้อสัตตะ จำนวน 2,999 เหรียญ มีตอกโค๊ตกำกับ ราคาจอง 199 บาท 

สนใจวัตถุมงคลสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ วัดระฆังโฆสิตาราม ก.ท.ม หรือ 

กบกรุงธนบุรี โทร 088 6640222 ID LINE 088 6640 222 Facebook กบ ชลธิชา และ เล็กเจริญนคร 087 552 6655

สั่งปิดเพจเยาวชนปลดแอก - Free YOUTH แล้ว นัดสแตนบายบ่ายสองโมงทุกสถานีรถไฟฟ้า



เมื่อเวลา 12.10 น.วันที่ 21 ต.ค.2563  เพจเฟซบุ๊ค เยาวชนปลดแอก - Free YOUTH ได้แจ้งนัดหมายผู้ชุมนุม ให้เตรียมรวมตัวกันที่สถานีรถไฟฟ้าทุกสถานี โดยระบุว่า การนัดหมายครั้งสำคัญ!! 14:00 นี้ พร้อมกันที่สถานีรถไฟฟ้าทุกสถานี แล้ว 15:00 โปรดรอฟังประกาศพร้อมกันจากเราอีกครั้ง!

ขณะที่เพจแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุนนุม โพสต์ข้อความว่า วันนี้เวลา 14.00 น.ขอให้ทุกคนรวมตัวที่สถานีรถไฟฟ้าทุกแห่งเพื่อรอการประกาศสถานที่นัดพบพร้อมกัน ขณะที่เพจของเยาวชนปลดแอกระบุว่าจะมีการประกาศสถานที่ชุมนุมในเวลา 15.00 น.          

ก่อนหน้านี้ เพจดังกล่าวได้โพสต์ข้อความให้รับทราบถึงแนวทางการชุมนุมในวันนี้ โดยระบุว่าเราทุกคนคือแกนนำ หน้าที่สำคัญของแกนนำทุกคน คือ 1. อำนวยการชุมนุมให้เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ให้มีการกระทำหรือยั่วยุที่จะนำพาไปสู่ความรุนแรง การทำลายทรัพย์สิน หรือการทำร้ายร่างกาย 2. ร่วมกันยับยั้งเมื่อพบเห็นการสร้างสถานการณ์ หรือการใช้ความรุนแรง ด้วยวิธีการที่สงบ เพื่อระงับเหตุให้ยุติลงอย่างรวดเร็ว 

"การใช้ความรุนแรงเป็นข้ออ้างในการลดความชอบธรรมของม็อบ การสูญเสียแนวร่วมของขบวนการเคลื่อนไหว และการอ้างการปราบปรามอย่างรุนแรงจากภาครัฐ"

พร้อมกันนี้ กลุ่มเยาวชนปลดแอก ยังระบุว่าล่าสุดมีรายงานข่าวว่า มีคำสั่งให้ระงับการเผยแพร่ทุกช่องทางการสื่อสารของเยาวชนปลดแอก จึงย้ายไปใช้ช่องทางสื่อสารเพจสำรองและแอปพลิเคชั่น Telegram เพียง 2 กลุ่ม และยังระบุว่าการปิดจะไร้ผล ไม่ว่าจะสั่งปิดไปอีกซักกี่ครั้งเราจะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ เพราะเยาวชนปลดแอกไม่ใช่สถานที่แต่คือผู้คน

ทั้งนี้นายภุชพงค์ โนดไธสง รองปลัดกระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า คำสั่งปิดแพลตฟอร์มออนไลน์ของสื่อต่างๆ นั้นเป็นไปตามกระบวนการ เริ่มจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่งมาในฐานะผู้รับผิดชอบแก้ไขสถานการณ์เฉินที่มีความร้ายแรง ส่งมาให้ดีอีเอสโดยส่งรายชื่อสื่อ อนไลน์ต่างๆ ให้เฝ้าระวัง

นายภุชพงค์ กล่าวอีกว่า นอกจากวอยซ์ทีวีแล้ว ศาลยังมีคำสั่งปิดทุกแพลตฟอร์มออนไลน์ของ เยาวชนปลดแอก หรือ Free Youth ด้วย ส่วนองค์กรสื่ออื่นๆ อีก 3 รายที่ปรากฏข่าวก่อนหน้านี้ว่าทางตำรวจให้ตรวจสอบ พบไม่เข้าข่ายที่ต้องเสนอศาลสั่งปิด เนื่องจากตอนตรวจสอบเราไม่พบหลักฐาน โดยอาจลบไปแล้ว         

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสื่อถูกเสนอให้ระงับอีก 3 แห่งคือ ประชาไท The Reporters และ The Standard         

ด้านเพจเฟซบุ๊ก เยาวชนปลดแอก Free YOUTH เปิดเผยว่า มีคำสั่งให้ระงับการเผยแพร่ทุกช่องทางการสื่อสารของเยาวชนปลดแอก โดยระบุข้อความว่า

          

ปังมากกกกก!! เพจสำรองเพจเดียวจากเยาวชนปลดแอก เยาวชนปลดแอก - Free YOUTH V.2 เพียง 1 วัน 160,000 ไลค์!          .


ล่าสุดมีข่าวแล้วว่ามีคำสั่งให้ระงับการเผยแพร่ทุกช่องทางการสื่อสารของเยาวชนปลดแอก! จึงขอให้ทุกคนเข้าไปกดไลค์กดแชร์เพจสำรองเพจเดียวของเรา และเข้าร่วม Telegram อย่างเป็นทางการจากเราเพื่อไม่ให้การติดต่อสื่อสารขาดหาย


          TELEGRAM เยาวชนปลดแอก Channel (รับได้ไม่จำกัด):

          https://t.me/joinchat/AAAAAFiQZmU7KoN8E8S59g

          TELEGRAM เยาวชนปลดแอก Group(เต็มแล้ว! รับได้ 200,000 MEMBERS เท่านั้น!): https://t.me/joinchat/AAAAAE0KHrPIueiOBZmG6A

          *TELEGRAM อย่างเป็นทางการจากเยาวชนปลดแอกมีเพียง 2 กลุ่มนี้เท่านั้น นอกเหนือจากนี้เป็นการสร้างขึ้นเองของประชาชนทั่วไป


 การปิดของคุณจะไร้ผล ไม่ว่าคุณจะสั่งปิดไปอีกซักกี่ครั้ง เราจะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่! เพราะ "เยาวชนปลดแอกไม่ใช่สถานที่ แต่คือผู้คน"

 




คณะสื่อสารมวลชน มช. ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืน เรียกร้อง 3 ข้อ


 เมื่อวันที่ 21 ต.ค.2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่เพจ เฟซบุ๊ก "คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่" ได้โพสต์แถลงการณ์ คณะการสื่อสารมวลชนมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยระบุในแถลงการณ์ว่า          

จากคำสั่งหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ที่ 4/2563 ให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ดำเนินการตรวจสอบและให้ระงับการออกอากาศรายการหรือระงับการทำให้แพร่หลายหรือลบข้อมูลคอมพิวเตอร์ของสื่อบางแห่ง โดยให้เหตุผลว่าได้มีการออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสาระที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน        

ในนามของคณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งมุ่งให้ความรู้ ทักษะทางวิชาชีพ และจิตสำนึกนักการสื่อสารที่มีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอย่างรับผิดชอบต่อสังคม มีความเห็นว่าสถานการณ์ทางการเมืองและความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันส่งผลให้มีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพทางการสื่อสาร ทั้งของสื่อมวลชน และประชาชน ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สำคัญของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย          

คณะการสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงขอแสดงจุดยืนในฐานะของสถาบันการศึกษาทางด้านการสื่อสาร ดังนี้          

1. ขอให้รัฐบาลสื่อสารกับประชาชนอย่างเปิดกว้าง รับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย ยุติการใช้อำนาจทางการเมืองปิดกั้นการสื่อสารเพื่อแสดงความคิดเห็นทางการเมืองทั้งของสื่อมวลชน และประชาชน          

2. ขอให้ทุกฝ่าย ทุกกลุ่มในสังคม สื่อสารด้วยเหตุผล สามารถอภิปรายร่วมกันจากมุมมองที่แตกต่างได้อย่างสันติ เพื่อหาทางออกร่วมกัน ยุติการสื่อสารที่บิดเบือน ไม่เป็นจริง และยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังและการใช้ความรุนแรง          

3. ขอให้องค์กรกำกับดูแลสื่อปฏิบัติงานบนพื้นฐานของหลักการของสิทธิและเสรีภาพทางการสื่อสาร ตรวจสอบการปิดกั้นสื่อที่เกิดจากความไม่เป็นธรรม หรือมีเจตนาเพื่อลดทอนบรรยากาศของการสื่อสารที่เปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้สื่อสารและอภิปรายอย่างเสรี รับผิดชอบต่อสังคม

          วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2563

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2563

"อ.ยักษ์" พบ "สันติศึกษา มจร" ฝากถึงผู้นำควารรับฟังคนรุ่นใหม่


"อาจารย์ยักษ์" พบ "สันติศึกษา มจร" จับมือพัฒนาสวนสันติธรรมชาติ สู่โคกหนองนาโมเดลและธนาคารน้ำ ต่อยอดแนวคิดสันติภาพลงดิน สันติภาพกินได้ ฝากถึงผู้นำรับฟังคนรุ่นใหม่ สะท้อนระบบการศึกษาไทยล้มเหลว 

วันที่ 19 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา และผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร)  นำคณาจารย์ และเจ้าหน้าที่หลักสูตรสันติศึกษา มจร ลงพื้นที่ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติมาบเอื้อง จ.ชลบุรี เพื่อเข้าศึกษาและเรียนรู้แนวทางการออกแบบและพัฒนาสวนสันติธรรมชาติภายใต้กรอบของโคกหนองนาโมเดลและธนาคารน้ำ โดยมี ดร.วิวัฒน์ ศัลยกำธร (อาจารย์ยักษ์) พระอาจารย์สังคม ธนปัญโญ  และคณะเป็นที่ปรึกษา ระหว่างวันที่ 19-23 ตุลาคมนี้ 

หลักสูตรสันติศึกษา ได้จัดวางหนึ่งในองค์ประกอบของหลักสูตร คือ แนวคิดการพัฒนาสันติภาพลงดิน สันติภาพกินได้ จึงได้นำแนวคิดดังกล่าวลงสู่การพัฒนาให้เป็นสวนสันติธรรมชาติ ในพื้นที่จริง จำนวน 12 ไร่ โดยนำเอาเอาโคกหนองนาโมเดล และธนาคารน้ำมาเป็นองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว

สวนสันติธรรมชาติจะเป็นแหล่งเรียนรู้ของนิสิตหลักสูตรสันติศึกษา มจร และบุคคลทั่วไปเกี่ยวกับการพัฒนาอาชีพ และการเป็นดำรงอยู่อย่างสอดประสานกันระหว่างมนุษย์กับดิน น้ำ ไฟ ลม ต้นไม้ พืช และสัตว์ต่างๆ ภายใต้ระบบนิเวศวิทยาเชิงลึก

สำหรับโครงการพัฒนาสวนสันติธรรมชาตินี้ จะเริ่มดำเนินการพัฒนาต้นปี 2564 ภายหลังที่ผ่สนฤดูเก็บเกี่ยวเรียบร้อยแล้ว ในเบื้องต้น จะดำเนินการออกแบบพื้นที่ร่วมกับอาจารย์ยักษ์ และหลวงพ่อสังคม ให้สอดรับกับสภาพดินฟ้าอากาศ แล้วเข้าสู่การพัฒนาต่อไป

พระปราโมทย์ วาทโกวิโท ดร. อาจารย์หลักสูตรสันติศึกษา มจร  กล่าวว่า เบื้องต้น ดร.วิวัฒน์  ได้ให้ความรู้ในหัวข้อ "เข้าใจเข้าถึงพัฒนาศาสตร์พระราชากับการพัฒนาที่ยั่งยืน" อันเป็นฐานของการสร้างสันติภาพด้านกายตามแนวทางภาวนา 4 ซึ่งเป็นการพัฒนาสิ่งแวดล้อม  โดยย้ำว่า การที่เด็กเยาวชนออกมาแสดงท่าทีในปัจจุบันเพราะระบบความล้มเหลวของการศึกษาในปัจจุบัน ใครจัดระบบการศึกษาถ้าไม่ใช่ผู้ใหญ่ การศึกษาจึงต้องคืนสู่วิถีแห่งธรรมชาติ      

"เพราะปัจจุบันฐานรากชุมชนล้มสลายวัดบ้านโรงเรียนไปคนละทิศคนละทาง ชุมชนไม่มีความเข้มแข็ง เราจึงต้องพัฒนาชุมชนให้เกิดความมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน เราจึงต้องพัฒนาสังคมให้เกิดความยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำเสมอภาค ปรองดอง โดยในหลวงรัชกาลที่ 9  ทรงสอนเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง คำถามคือความสำเร็จในการพัฒนาโคกหนองนา คือ ทำแบบคนจน  จึงมีการพัฒนากสิกรรมธรรมชาติการแปลงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติแบบคนจน 

เราจึงใช้วิธิการเช้าบรรยาย สายบ่ายทำ ค่ำสรุปการเรียนรู้ จึงมีการสร้างโมเดลการออกแบบพื้นที่เพื่อการจัดการน้ำตามหลักภูมิสังคมด้วย โคกหนองนาโมเดล เพื่อจัดการกักเก็บน้ำในพื้นที่ให้มีเพียงพอต่อการเพาะปลูกและการดำเนินชีวิต เป็นโมเดลที่สร้างให้เกิดความสมดุลและความพร้อมพึ่งตนเองในสภาพปัจจุบันที่โลกกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติธรรมชาติอย่างรุนแรง (อาจารย์ยักษ์ แห่งมหาวิทยาลัยคอกหมู) เศรษฐกิจพอเพียงจึงเป็นฐานของการพัฒนา หัวใจของหลักกสิกรรมธรรมชาติ คือ เลี้ยงดิน ให้ดินเลี้ยง เราไม่เผา ไม่ทำลายหน้าดิน" พระปราโมทย์ กล่าวและว่า         

ดังนั้น จึงต้องสร้างความมั่นคงทางด้านจิตใจควบคู่กับการสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารไปด้วยกัน จึงเป็นโอกาสในการสร้างแรงบันดาลใจด้วยการฟังอาจารย์ยักษ์ในการพึ่งตนเอง    

 

"อธิการบดี มจร" ประชุมจัดทำแผนการบริการวิชาการแก่สังคม



เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2563 เวลา 15.00 น. ที่ห้องประชุมสำนักส่งเสริมพระพุทธศาสนาและบริการสังคม อาคาร 72 ปี พระวิสุทธาธิบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา  พระราชปริยัติกวี ศ.ดร. อธิการบดี มจร  เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการดำเนินการตามแผนบริการวิชาการแก่สังคมและแผนทะนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม โดยมีผู้บริหารคณาจารย์ บุคลากร เจ้าหน้าที่ มจร ทั้งส่วนกลางและส่วนวิทยาเขต วิทยาลัยสงฆ์เข้าร่วมประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน โดยเป็นการประชุมผ่านระบบ Zoom 

การนี้ที่ประชุมได้กำหนดให้ส่วนงานที่ปฏิบัติหน้าที่ในพันธกิจทั้งสองด้าน ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ร่วมดำเนินการ โดยมีสำนักส่งเสริมพระพุทธศาสนาและบริการสังคม เป็นผู้ประสานดำเนินการ ทั้งนี้ในส่วนงาน(ส่วนกลาง) ได้กำหนดผู้ร่วมรับผิดชอบ คือ สถาบันวิปัสสนาธุระ สำนักงานครูพระสอนศีลธรรม สำนักงานวิชาการ กองกิจการนิสิต อภิธรรมโชติกะวิทยาลัย ส่วนธรรมนิเทศ โรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ และมอบหมายบุคลากรที่รับผิดชอบในพันธกิจดังกล่าวร่วมประสานดำเนินการและรวบรวมข้อมูลเตรียมความพร้อมในการตรวจประกันคุณภาพการศึกษาต่อไป

โครงสร้างนิยายเรื่อง "น่านรัก"

โครงสร้างนิยายเรื่อง "น่านรัก" 1. บทนำ เปิดเรื่อง : สันติสุข ชายหนุ่มนักเขียนนิยายธรรมะที่ต้องการค้นหามิติใหม่ของการเล่าเรื่องธรรม...