ปราศจากสติเสียแล้ว จะมีสันติได้อย่างไร : พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา และผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) รายงาน
สติเป็นจุดเริ่มต้นของสรรพธรรม และเป็นตัวเสริมสร้างสรรพสิ่ง ยิ่งเป็น "สัมมาสติ" คือสติที่ถูกต้อง ถูกธรรม เหมาะสม ดีงามด้วยแล้ว ยิ่งจะส่งผลเชิงบวกต่อการสรรสร้างสิ่งดีสิ่งงามให้เกิดขึ้นแก่ชีวิตและสังคม
ในทางกลับกัน ถ้าเราจุดสติขึ้นในใจเราไม่ได้ ความโกรธ ความเกลียด เคียดแค้น ชิงชัง จะเข้ามาทำหน้าที่บังคับบัญชาให้ใจแบ่งเขาแบ่งเราด้วยความอคติ การสร้างสติ จึงมีค่าเท่ากับการทำลายล้างอคติในทันใด
เพราะสังคมไม่อุดมสติ จึงเป็นตัวแปรที่นำไปสู่วิกฤติการณ์การผิดศีลธรรมจรรยา การเอารัดเอาเปรียบ การทุจริตคดโกง ความเหลื่อมล้ำ ความอยุติธรรม และการเลือกปฏิบัติต่อกันในสังคม
เวลาของสติ คือเวลาของการทบทวนชีวิต วิธีคิด วิธีตัดสินใจ วิธีพูด และวิธีของการแสดงออกต่อเพื่อนมนุษย์ในสังคม เรารักสุข เกลียดกลัวความทุกข์ และหวาดระแวงต่อการทำร้าย คนอื่นก็เป็นเช่นนั้น เอาใจเขามาใส่ใจเรา แล้วใช้สติใคร่ครวญแล้วจึงตัดสินใจ
สติจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสันติ อย่าดูแคลนตัวสติ เพราะไม่มีสติเสียแล้ว จะมีเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ได้อย่างไร จะห่วงใยและใส่ใจต่อความเป็นความตาย และเสียงร้องไห้คร่ำครวญของเพื่อนมนุษย์ได้อย่างไร
ชีวิตและสังคมจึงมิอาจหล่อหลอมและสร้างขึ้นมาด้วยอคติ ความโกรธ และเกลียดชัง หากแต่เริ่มจากการใช้สติเป็นตัวสร้างและจรรโลงให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข เพื่อมิให้ใจพลัดเราหลงไปเกลียดคนอื่น แม้กระทั่งคนที่เราเรียกว่าศัตรูคู่อาฆาต
ศัตรูที่แท้จริง จึงมิใช่คนอื่นๆ เช่น พ่อแม่เรา ญาติ เพื่อนเรา ลูกหลานของเรา หรือคนแปลกหน้า หากแต่เป็นความโกรธ ความเกลียดที่ฝั่งแน่นอยู่ในใจเรา ทำลายและสลายศัตรูตัวนี้ได้ เราจะกลายมาเป็นมิตรช่วยกันพิชิตปัญหาและอุปสรรคต่างๆ เพื่อก้าวสู่ความร่มเย็นและเป็นสุขอย่างยั่งยืนต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น