ผู้แทนนิสิตนักศึกษา 7 มหาวิทยาลัย ประณามสลายชุมนุมไม่เป็นไปตามหลักสากล ขณะที่สภาเด็กและเยาวชนฯแถลงเรียกร้องยุติความรุนแรงต่อเด็กและเยาวชน ส่วน "สมชัย" งัดหลักยูเอ็นประณามสลายม็อบขัดหลักสากลเช่นกัน และสิทธิมนุษยชนแห่ง "สหประชาชาติ" กังวลเกี่ยวกับการคุมตัวผู้ชุมนุมในไทย
วันที่ 17 ต.ค. 2563 มีแถลงการณ์จาก สภานิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, สภานักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล, สภานิสิต องค์การนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่, สภานิสิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพ เรื่อง ประณามการสลายการชุมนุมในวันที่ 16 ต.ค. 2563 บริเวณแยกปทุมวัน และบริเวณใต้สถานีรถไฟฟ้าสยาม โดยมีเนื้อหาโดยสรุปว่า
เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งในการควบคุมประชาชน โดยใช้มาตรการจากเบาไปหาหนักและใช้มาตรการต่างๆ เพื่อรักษาความสงบในบริเวณดังกล่าวเท่าที่จำเป็น ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามหลักสากลและหลักมนุษยธรรมในการควบคุมฝูงชนและการปฏิบัติต่อกลุ่มผู้ชุมนุม แต่ปรากฏว่า มิได้เป็นไปตามหลักสากลในการควบคุมฝูงชนตามหลักสากลแต่อย่างใด มีการใช้รถฉีดน้ำผสมสารเคมีแรงดันสูงเพื่อขอคืนพื้นที่ ส่งผลให้ผู้เข้าร่วมการชุมนุมในบริเวณดังกล่าวเป็นจำนวนมากเกิดอาการระคายเคืองผิวหนังและดวงตา
ผู้แทนนิสิตมหาวิทยาลัยทั้ง 7 แห่ง จึงขอประณามการสลายการชุมนุมอันไร้มนุษยธรรมที่เกิดขึ้น การสลายการชุมนุมด้วยวิธีการดังกล่าว นอกจากจะส่งผลให้เกิดความแตกแยกในสังคมแล้ว ยังส่งผลทำให้เกิดความสูญเสียที่ไม่จำเป็นอีกจำนวนมาก
ผู้แทนนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยทั้ง 7 แห่ง จึงขอเรียกร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้บังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม ให้ปฏิบัติตามหลักสากลและหลักมนุษยธรรมในการควบคุมฝูงชน ยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง เนื่องจากไม่มีเหตุจำเป็น และเคารพสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการชุมนุม เพื่อให้ประเทศไทยมีความสงบสันติตามระบอบประชาธิปไตยต่อไป
สภาเด็กและเยาวชนฯแถลงเรียกร้องยุติความรุนแรงต่อเด็กและเยาวชน
สภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ยุติความรุนแรงต่อเด็กและเยาวชนในสถานการณ์การชุมนุม ระบุว่า เนื่องจากเหตุการณ์การชุมนุมที่มีผู้เข้าร่วมการชุมนุมเป็นเด็กและเยาวชนบริเวณใต้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสสยาม ในวันที่ 16 ตุลาคม 2563 เวลาประมาณ 19.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เริ่มมาตรการสลายการชุมนุม ได้มีการฉีดน้ำและน้ำสีฟ้าใส่ผู้ชุมนุม เพื่อสลายการชุมนุมสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย มีความกังวลว่าการแก้ไขปัญหาโดยการการสลายการชุมนุม ที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของเด็กและเยาวชนเป็นสำคัญนั้น ทำให้ไม่สามารถประเมินความเสี่ยงที่จะทำให้เด็กและเยาวชนได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมในครั้งนี้ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
อีกทั้งทำให้ประเทศไทยต้องตกอยู่ในสภาวะ ที่มีการกระทำความรุนแรงต่อเด็กและเยาวชน อาจทำให้ประเทศอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษจากนานาชาติ ในเรื่องของการกระทำความรุนแรงต่อเด็กและเยาวชนในสถานการณ์ชุมนุมสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาทบทวนการกระทำต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชน พร้อมทั้งขอให้หน่วยงานรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีหน้าที่ในการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชน ได้ทำหน้าที่ของท่านอย่างเต็มที่ เพื่อปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากสถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น และขอให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมในครั้งนี้ ยุติการใช้ความรุนแรงต่อเด็กและเยาวชนทุกรูปแบบ
"สมชัย"งัดหลักยูเอ็นประณามสลายม็อบขัดหลักสากล
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า
การสลายการชุมนุม 16 ตุลา ไม่เป็นไปตามหลักสากล
นายกรัฐมนตรี ผบ.ตำรวจนครบาล กล่าวว่า การสลายการชุมนุมเป็นไปตามหลักสากล สิ่งที่กล่าวถูกต้องจริงหรือไม่
1. UN Congress ได้มีการรับรอง “หลักในการจัดการการชุมนุมสาธารณะที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” (Policing Unlawful Assemblies) ในการประชุมครั้งที่ 8 ที่กรุงฮาวานา ประเทศคิวบา ระหว่างวันที่ 27 สิงหาคม ถึงวันที่ 7 กันยายน 2533 มีหลักการในข้อที่ 12-15 คือ
“ถ้าเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ก่อให้เกิดความรุนแรง (Unlawful but non-violent) เจ้าหน้าที่ต้องหลีกเลี่ยงการใช้กำลัง (use of force) หรือหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงการใช้กำลังได้ ให้ใช้กำลังเท่าที่จำเป็น”
2. การชุมนุมในคืนวันที่ 16 ตุลาคม 2563 แม้เป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ไม่มีการขออนุญาต กีดขวางทางจราจร ขัด พรก.ฉุกเฉิน) แต่ถือเป็นการชุมนุมที่ไม่ก่อให้เกิดความรุนแรง (Non-violent) เพราะผู้ชุมนุมไม่มีอาวุธ ไม่มีเจตนาบุกเข้าไปยึดหรือทำลายสถานที่ หลีกเลี่ยงการปะทะ (โดยย้ายสถานที่ชุมนุมจากราชประสงค์มาปทุมวัน) และแสดงเจตนาชัดเจนว่าจะสลายการชุมนุมในเวลา 22.00 น.
3. ในการชุมนุม ยังมีเด็ก เยาวชน นักเรียน จำนวนมาก ที่ผู้สลายการชุมนุมต้องพิจารณาถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับคนเหล่านี้ หากเกิดการสลายการชุมนุมด้วยวิธีการฉีดน้ำผสมสารเคมี และ กองกำลังปราบจลาจล
4. การปิดสถานีรถไฟฟ้า ในบริเวณใกล้สถานที่ชุมนุม ถึง 5 สถานี คือ ราชเทวี สนามกีฬา สยาม ชิดลม ราชดำริ เป็นการทำให้ผู้ชุมนุมที่ประสงค์เดินทางกลับ ไม่สามารถใช้ขนส่งสาธารณะดังกล่าวโดยสะดวกได้
5. การห้าม รถพยาบาล เข้าไปในสถานที่ชุมนุมนั้นเลวร้ายยิ่งกว่า การทำสงคราม เพราะในภาวะสงครามหน่วยรักษาพยาบาลที่ติดเครื่องหมายกาชาด ยังสามารถส่งบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งอุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องใช้เข้าไปในพื้นที่เพื่อช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้ ตามการรับรองตามความแห่งอนุสัญญาเจนีวา ลงวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2492
การชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเรื่องหนึ่ง แต่การสลายการชุมนุมโดยใช้กำลังและวิธีการที่เกินความจำเป็น และเป็นอันตรายต่อผู้ชุมนุมนั้นอีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะยิ่งมีเด็ก เยาวชน นักเรียน อยู่ในสถานที่ชุมนุม ย่อมเป็นการยิ่งต้องใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบ มิใช่ยึดถือเพียงแค่ “นายสั่งมา”เท่านั้น
ขอประณามการใช้กำลังในการสลายการชุมนุมที่เกินขอบเขตและขัดกับหลักปฏิบัติที่เป็นสากล
สมชัย ศรีสุทธิยากร
17 ตุลาคม 2563
สิทธิมนุษยชนแห่ง "สหประชาชาติ" กังวลเกี่ยวกับการคุมตัวผู้ชุมนุมในไทย
ราวินา แชมดาซานิ OHCHR แสดงความกังวลเกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการแสดงออกทางการเมืองในไทย และขอให้รัฐบาลดูแลผู้ถูกจับกุมให้สามารถตัวเข้าถึงทนายความและครอบครัวได้ตลอดเวลา
เป็นที่ยอมรับกันมากขึ้นว่าสิทธิมนุษยชนมีความสำคัญต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกประเทศ ซึ่งมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนเป็นหนึ่งในกรอบการพัฒนาระดับโลกตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ภายในปี 2573
เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2563 ตามเวลาที่เมืองเจนีวา “ราวินา แชมดาซานิ” โฆษกสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (The Office of the High Commissioner for Human Rights – OHCHR) แถลงการกล่าวย้ำถึงความกังวลเกี่ยวกับการจับกุมผู้ชุมนุมครั้งใหญ่ในประเทศไทย
“แชมดาซานิ” กล่าวว่า เรามีความกังวลเกี่ยวกับการประกาศภาวะฉุกเฉินในกรุงเทพฯของรัฐบาลไทย อันเป็นผลมาจากการชุมนุมที่ส่วนใหญ่เป็นไปอย่างสงบ ส่งผลเสียต่อการใช้สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามที่รับรองโดยกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights: ICCPR) ซึ่งประเทศไทยเองก็เป็นภาคีสมาชิก
นอกจากนั้น ยังกังวลเกี่ยวกับการควบคุมตัวและจับกุมนักเคลื่อนไหวและนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหลายคน ซึ่งตัวเลขที่เรามีตอนนี้คือ 57 คนถูกจับกุมระหว่างวันที่ 13 ถึง 16 ตุลาคม 2563 และ 6 คนได้รับการปล่อยตัว ส่วนที่เหลือยังอยู่ในการควบคุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
“อย่างไรก็ตาม การกระทำใด ๆ ของรัฐบาลต้องให้ความมั่นใจว่าเป็นไปตามสิทธิมนุษยชน และการคุ้มครองทางตุลาการต้องมีจัดเตรียมไว้อย่างเป็นระบบสำหรับทุกคนที่ถูกจับกุมตัว รวมถึงให้พวกเขาสามารถเข้าถึงทนายความและครอบครัวได้ตลอดเวลา”
ม็อบนัดเตรียมความพร้อมที่สถานีรถไฟฟ้า บ่าย 3 โมง แต่ยังไม่บอกสถานที่
เพจเฟซบุ๊กแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม โพสต์ยืนยันจะจัดชุมนุมต่อในวันที่ 17 ต.ค.2563 ต่อให้รัฐบาลจะจับกุมแกนนำไปจนหมด แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาในช่วง 2 วันนี้ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า แกนนำที่แท้จริงคือประชาชน มิใช่เพียงคนใดคนหนึ่ง
จากนี้จะไม่มีคณะราษฎร จะมีเพียงราษฎรเท่านั้น ขอย้ำว่าทุกคนคือแกนนำ และขอทุกคนออกมารวมตัววันนี้เวลา 16.00 น. ขอให้ติดตามรายละเอียดของสถานที่อย่างใกล้ชิด
พร้อมกันนี้ ขอประณามทุกการกระทำที่ใช้ความรุนแรงกับประชาชน และขอประณามทุกคนที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม
ล่าสุด เพจเฟซบุ๊กแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม ได้โพสต์ข้อความ ขอให้ทุกคนเตรียมตัวประจำการได้ที่สถานีรถไฟฟ้าทุกแห่ง ภายในเวลา 15:00 น. แต่ยังไม่แจ้งจุดหมายที่แน่ชัด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น