วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2564

สังฆนายกแห่งบังคลาเทศถวายกำลังใจแด่พระธรรมรัตนาภรณ์


รวมศรัทธาทอดกฐินสร้างอุโบสถวัดสายสุวพรรณ จ.ปทุมธานี ด้านสังฆนายกแห่งบังคลาเทศ – มูลนิธิ Neeraja Universal Peace แห่งอินเดีย ถวายกำลังใจแด่พระธรรมรัตนาภรณ์ 

วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2564 เวลา 09.30 น. ณ พื้นที่ก่อสร้างอุโบสถวัดสายสุวพรรณ ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ได้จัดให้มีพิธีทอดกฐินสามัคคี ประจำปี พ.ศ.2564 พิธีเทคอนกรีตปิดฐานรากอุโบสถวัดสายสุวพรรณ โดยมีพระธรรมรัตนาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต พระอารามหลวง ประธานอนุกรรมการโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข ส่วนกลาง ฝ่ายสาธารณูปการของมหาเถรสมาคม ประธานดำเนินงานก่อสร้างอุโบสถวัดสายสุวพรรณ เป็นประธานสงฆ์ มีคณะเจ้าภาพประธานกฐิน จำนวน 10 คณะ พร้อมด้วยพุทธศาสนิกชนผู้มีจิตศรัทธา เข้าร่วมงานในบริเวณพิธีฯ และผ่านช่องทางออนไลน์ (Online) สื่ออิเล็กทรอนิกส์ระบบซูม (Zoom) โดยพร้อมเพรียงกัน

ภายในงานฯ ยังได้มีการถวายจดหมายจากสมเด็จวะนะสิริมหาเถโร สังฆนายก องค์ที่ 29 แห่งประเทศบังคลาเทศ เจ้าอาวาสวัดจันดาโกน ซาบอจอร์นีน เคนเดรีย พุทธวิหาร แคว้นจิตตะกอง ประเทศบังกลาเทศ แด่พระธรรมรัตนาภรณ์ ซึ่งในจดหมายมีใจความตอนหนึ่งว่า “กระผมได้ยินข่าวของท่านอยู่เสมอ ในการอุทิศตนเพื่อเผยแผ่ธรรมะของพระพุทธองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข ถือเป็นนวัตกรรมที่จำเป็นอย่างมากในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคปัจจุบัน ที่เน้นการเสริมสร้างความสามัคคีและศีลธรรมภายในชุมชน เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน กระผมขอกราบถวายกำลังใจนี้ เพื่อสนับสนุนให้ท่านได้ทำหน้าที่เผยแผ่ศาสนาที่แท้จริงสืบไป”

นอกจากนี้ ยังมีพิธีถวายรางวัลศานติปฏิมาแห่งโลก (Global Peace Symbol Award) จาก The Neeraja Universal Peace Foundation ประเทศอินเดีย แด่พระธรรมรัตนาภรณ์ เนื่องในโอกาสอายุวัฒนมงคล 71 ปี (31 ตุลาคม พ.ศ.2564) ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบแด่บุคคลที่ดำรงตนเป็นแบบอย่างเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น และเป็นบุคคลซึ่งอุทิศตนเพื่อส่งเสริมสันติภาพโลก ค่านิยมทางศีลธรรม สถาบันครอบครัวที่เข้มแข็ง ความร่วมมือทางศาสนา ความสามัคคีระหว่างประเทศ สื่อสาธารณะที่มีความรับผิดชอบ และการสถาปนาวัฒนธรรมแห่งสันติภาพ

สำหรับอุโบสถวัดสายสุวพรรณที่พุทธศาสนิกชนได้รวมศรัทธาทอดกฐินสามัคคีเพื่อดำเนินการก่อสร้างนี้ เป็นอุโบสถ 2 ชั้น ขนาดภายในโถงอุโบสถชั้น 2 กว้าง 15 เมตร ยาว 33 เมตร รวมพื้นที่ระเบียง และลานเวียนประทักษิณรอบอุโบสถ กว้าง 42 เมตร ยาว 85.6 เมตร ส่วนชั้น 1 ใต้อุโบสถเป็นห้องปฏิบัติธรรม กว้าง 30 เมตร ยาว 48 เมตร เพดานสูง5 เมตร ชั้น 1 ของอุโบสถ มีพื้นที่ประโยชน์ใช้สอยแบบอเนกประสงค์ร่วม 1,500 ตารางเมตร ความสูงอุโบสถ 2 ชั้นรวม 24.8 เมตร สถาปัตยกรรมเป็นแบบไทยประยุกต์ โดยตัดทอนรายละเอียดเพื่อให้ดูแลรักษาง่าย แต่ยังคงอัตลักษณ์ที่สำคัญทางพุทธศิลป์ เน้นหลักความแข็งแรง คงทน เรียบง่าย แต่สง่างาม รูปแบบหลังคาเป็นทรงจั่วโค้งซ้อนกัน 3 ชั้น ซึ่งความคืบหน้าในการก่อสร้างปัจจุบัน ผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมทำบุญเป็นประธานทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อสร้างเสารองรับโรงอุโบสถ โดยสอบถามข้อมูลได้ที่พระธรรมรัตนาภรณ์ ประธานดำเนินการก่อสร้างอุโบสถวัดสายสุวพรรณ โทร. 02-533-1120 ถึง 1 หรือร่วมทำบุญผ่านช่องทางโอนปัจจัยเข้าบัญชีธนาคารกรุงเทพ ชื่อบัญชี วัดสายสุวพรรณ เลขที่บัญชี 028-716099-8.

"สาธิต" ขอ "พระมหาสมปอง" อย่าถึงกับสึก "พระมหาไพรวัลย์" โพสต์ทำไม่เหมาะหลายอย่างแต่ไม่เคยปลุกเสกต์ผ้ายันต์



วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม 2564 นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมช.สธ.) โพสต์ภาพกับพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต วัดสร้อยทอง ผ่านเพจเฟซบุ๊กพร้อมข้อความระบุว่า ...

"อย่าถึงกับสึกเลยท่าน

ความสามารถพิเศษของท่านยังสามารถ

ช่วยให้พุทธศาสนิกชน เข้าถึง และ เข้าใจ แก่นแท้ ของพระพุทธศาสนา ได้

เพียงแต่ปรับให้อยู่ในความพอดีของพระธรรมวินัยของสงฆ์

ถึง พส. จาก สธ.

กราบนมัสการครับ"

"พระมหาไพรวัลย์"โพสต์ล่าสุดมีนัยสำคัญชาวเน็ตแห่ถวายกำลังใจ

ขณะที่หลังจากที่เกิดกระแส พระมหาไพรวัลย์ ร่ำไห้กลางไลฟ์เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 64 ที่ผ่านมา โดย พระมหาไพรวัลย์ ออกมาชี้แจงล่าสุดว่าไม่ได้ร่ำไห้เพราะเรื่องยศตำแหน่งแต่อย่างไร อย่างไรก็ตาม พระมหาไพรวัลย์ มีการเคลื่อนไหวบนเฟซบุ๊ก พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ  อีกครั้ง โดยครั้งนี้โพสต์ข้อความสั้น ๆ ทิ้งปริศนาไว้ให้ชาวเน็ตได้สงสัยกัน โดยระบุข้อความว่า

"อาตมาอาจทำอะไรหลายอย่างไม่เหมาะสม แต่อาตมาไม่เคยนั่งเครื่องบินไปดูบอลต่างประเทศ ไม่เคยทำเดรัจฉานวิชาอย่างเดียรถีย์ ไม่เคยดูโหรทำนายดวงหรือแม้แต่ปลุกเสกต์ผ้ายันต์แม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่บวชมา" 

หลังจากพระมหาไพรวัลย์ฌพสต์ข้อความดังกล่าวไม่นาน ก็มีชาวเน็ตแห่คอมเมนต์ "ถวายกำลังใจ" พร้อมทั้งแชร์โพสต์เป็นจำนวนมาก

ที่มา:เฟซบุ๊ก พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ 

สมเด็จพระมหาวีรวงศ์เททองหล่อ"พระพุทธพัฒนปชานาถ"


เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2564 ที่วัดระฆังโฆสิตาราม วรมหาวิหาร เจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราชฯ กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ประกอบพิธีเททองหล่อ "พระพุทธพัฒนปชานาถ"เนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปี กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โดยมี พระเทพประสิทธิคุณ รักษาการเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม พระครูสมุห์วัชระ ภทฺทธมโม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังโฆสิตาราม ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ข้าราชการ และประชาชน เข้าร่วมประกอบพิธี

นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เปิดเผยว่า ในโอกาสที่กรมการพัฒนาชุมชน ครบรอบ 60 ปี จึงได้สร้างพระพุทธรูปปางประทานพร โดยได้รับพระเมตตาจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร ถวายพระนามว่า "พระพุทธพัฒนปชานาถ" แปลว่า "พระพุทธเจ้าผู้ทรงเป็นที่พึ่งของประชาชนให้ประสบความเจริญ" อันเป็นพระพุทธรูปประจำวันจันทร์ การกระทำพิธีเททองหล่อนำฤกษ์ พระพุทธพัฒนปชานาถ ครบรอบ 60 ปี ได้มีการนำแผ่นทอง แผ่นเงิน และแผ่นนาคที่ทำการจารจากเกจิอาจารย์ทั่วประเทศไทยกว่า 200 รูป ร่วมอธิษฐานจิตแผ่เมตตาจารให้ โดยมีพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ 5 รูปเมตตาอธิษฐานจิตนั่งปรก ประกอบด้วย พระเทพประสิทธิคุณ รักษาการแทน เจ้าอาวาสวัดระฆังฯ พระพิมลภาวนาพิธานวิ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังฯ พระบวรรังสี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังฯ พระมงคลวโรปการ เจ้าอาวาสวัดชินวราราม จ.ปทุมธานี และ พระครูสิริธรรมวิภูษิต ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดระฆังฯ

ทั้งนี้ การสร้างพระพุทธพัฒนปชานาถ ในครั้งนี้ทำการสร้าง จำนวน 3 ขนาด คือ 1. ขนาดสูง 75 นิ้ว จำนวน 14 องค์ เพื่อประจำกรมการพัฒนาชุมชน 2 องค์ ประจำศูนย์ศึกษาและพัฒนาชุมชน 11 แห่ง และวิทยาลัยการพัฒนาชุมชน 1 แห่ง 2.ขนาดสูง 24 นิ้ว สำหรับบูชาบนสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัด และอำเภอ รวม 898 องค์ 3. ขนาดสูง 16 นิ้ว และ เหรียญพระพุทธพัฒนปชานาถ เนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้อนวะกลับดำ เนื้อทองแดง และเนื้อทองเหลือง เพื่อให้ข้าราชการและประชาชนทั่วไปได้กราบไหว้บูชาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ สร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน และเป็นสิริมงคลแก่ชาวพัฒนาชุมชนและประชาชนทั่วไป

สำหรับ ผู้ที่มีจิตศรัทธาสนใจสามารถสั่งจองบูชาพระพุทธพัฒนปชานาถ ได้ทุกขนาด และ เหรียญพระพุทธพัฒนปชานาถ เนื้อทองคำ เนื้อเงิน เนื้อนวะกลับดำ เนื้อทองแดง และเนื้อทองเหลือง โดยสามารถติดต่อสั่งจองและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเลขานุการกรม กลุ่มงานสวัสดิการ โทร. 02-6566026 น.ส.อิสราพรรธน์ น้ำหมั่นคง ID Line : 0899203893 /น.ส.ปณิชา ริมทอง โทร. 02-1416046 ,081-2657410 ID Line : monrimthong /นางบุญศิริ เทพภูธร โทร.02-1416036 ,095-3546324 ID Line: tainieboonsiri และ น.ส.อำพา ดวงเนตร โทร.02-1416033 ,094-4931270 ID Line : ampa_pa 


วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2564

"สรยุทธ"โพสต์"พระมหาไพรวัลย์"ร่ำไห้เตรียมสึก ทวงความเป็นธรรมให้รักษาการเจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง



วันที่ 30 ต.ค.2564  เฟซบุ๊กเพจ "สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว"  โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ดังนี้

พระมหาไพรวัลย์ ท่านเตรียมจะสึกครับ …

พระมหาไพรวัลย์ หลั่งน้ำตาระหว่างไลฟ์ หลังประกาศเตรียมสึกรักษาความเป็นธรรมให้รักษาการเจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง

พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ ไลฟ์ประกาศเตรียมสละสมณเพศ หลังได้ทราบว่า พระราชปัญญาสุธี รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งไม่เป็นไปโดยธรรม

พระมหาไพรวัลย์ ระบุว่า พระราชปัญญาสุธี เปรียบเสมือนพ่อและครูอาจารย์ การที่ท่านไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส ถ้ามาจากที่อาตมาที่นำปัญหามาให้ ก็ขอสละสมณเพศ

พระมหาไพรวัลย์ ได้หลั่งน้ำตา บอกด้วยว่า หากสึกแล้ว จะกลับไปดูแลแม่ที่ป่วย โดยบอกเล่าถึงเมื่อครั้งบวชเป็นเณรที่ได้กอดแม่ครั้งสุดท้าย หลังจากนึ้จะได้กอดแม่ ได้กินข้าวเย็นครั้งแรก และดีใจที่ได้พูดสิ่งที่อยากพูดทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2564

"เจ้าคุณ ว.วชิรเมธี" ร่วมกับ "มจร" เปิดหลักสูตรพระธรรมทูตผู้สร้างธรรมนวัตกรรมออนไลน์



วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม 2564  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระเมธีวชิโรดม (ว.วชิรเมธี) ประธานมูลนิธิวิมุตตยาลัย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระสิงห์ พระอารามหลวง จังหวัดเชียงราย ร่วมกับบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) จัดหลักสูตร "Buddhist Content Creators” (BCC) พระธรรมทูตผู้สร้างธรรมนวัตกรรม(พสน.)  ซึ่งบรรยายโดยพระเมธีวชิโรดม โดยมีผู้เรียนคือพระนิสิต ระดับปริญญาโทเรียนในหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต  สาขาวิชาพระพุทธศาสนาประจำวันเสาร์ อาทิตย์ รุ่นที่ 29  ถึง รุ่นที่ 34 ผู้ที่สำเร็จเปรียญธรรม 9 ประโยค เป็นจำนวน 21 รูป/คน ผ่านระบบออนไลน์  20.00-22.00 น. 



ภายใต้การสนับสนุนของคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย มจร ผศ.ดร.แม่ชีกฤษณา รักษาโฉม ผู้อำนวยการหลักสูตรหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต  สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มจร ซึ่งเริ่มบรรยายตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคมเป็นต้นมา  และเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2564 บรรยายเรื่อง มหาเจดีย์แห่งการอ่าน โดยมีสาระสำคัญในการบรรยาย คือ 1.สุตะ วิธีสืบค้นข้อมูล 2.ธตะ วิธีเลือกจำข้อมูล 3.วจสา ปริจิตา วิธีเลือกท่องข้อมูล 4.มนสานุเปกฺขิตา  วิธีวิเคราะห์ข้อมูล 5.ทิฏฺฐิยา สุปฏิวิทฺธา วิธีบูรณาการ






วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2564

เจ้าคุณประสาร ประชุมหารือพระ 3 จังหวัดชายแดนใต้

 


วันที่ 27 ต.ค. 2564 พระเมธีธรรมาจารย์ หรือเจ้าคุณประสาร ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาและส่งเสริมพระพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศสพ.จชต.) พระครูปลัดสุวัฒนสัจคุณ ผู้ช่วยเลขาธิการศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ได้เข้าร่วมประชุมกับผู้แทนพระสงฆ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่วัดราชาธิวาสวรวิหาร กรุงเทพมหานคร         


พระเมธีธรรมาจารย์ เปิดเผยว่า คณะผู้แทนพระสงฆ์จาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นำโดยพระครูโฆสิตสุตาภรณ์ วัดบูรพาราม ต.ยามู อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี และคณะ 30 รูปได้มารายงานผลการดำเนินงานกิจการพระพุทธศาสนาในเขตชายแดนภาคใต้ให้พระเถระผู้ใหญ่และผู้มีหน้าที่รับผิดชอบฝ่ายบ้านเมืองให้รับทราบ       

สำหรับการประชุมร่วมกันในครั้งนี้เป็นการหารือถึงงานที่รับผิดชอบว่ามีปัญหาอุปสรรคอะไร จะแก้ใขอย่างไรและที่สำคัญได้พูดคุยถกกันในประเด็นเรื่องการทำงานอย่างไรให้ยั่งยืนและเกิดสันติสุขในเขตจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างแท้จริงภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม วันนี้พระสงฆ์ยังคงยืนยันว่ามีกำใจดี และพร้อมทุ่มเทเสียสละเพื่อยืนหยัดในแนวทางพระพุทธศาสนาในการอยู่ร่วมกันกับเพื่อนต่างศาสนาโดยไม่ใช้ความรุนแรงต่อกันทั้งทางกาย วาจาและใจ พระเมธีธรรมาจารย์ กล่าวในตอนท้าย

ตัวแทนครูร.ร.ปริยัติธรรม “ชื่นมื่น” 2 เดือนก.คลังจ่อคลอดงบฯเงินเดือน


วันที่ 27 ต.ค. 2564 เวลา 12.00 น. ที่ห้อง CA303 อาคารัฐสภาเกียกกาย นายพิศัณย์ มณีวรรณ์ เลขาธิการสมาพันธ์ครูโรงเรียนปริยัติธรรม เปิดเผยว่า ตัวแทนคณะครูโรงเรียนปริยัติธรรม 10 คนจากผู้เข้ามายื่นหนังสือที่รัฐสภาเกียกกาย ได้มีการประชุมร่วมในคณะอนุกรรมาธิการฯพุทธศาสนาฯ ในคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม โดยมี ดร.เพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล เป็นประธาน พร้อมด้วยหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ได้แก่ ผู้แทนปลัดกระทรวงการคลัง ผู้แทนกรมบัญขีกลาง ผู้แทนเลขาธิการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ผู้แทนเลขาธิการกฤษฎีกา และผู้แทนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องเงินเดือน เงินตอบแทน เงินประจำ ตำแหน่ง ตามพระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. 2562

โดย ดร.เพชรวรรต กล่าวว่า เป็นการติดตามผลจากการประชุมครั้งก่อน โดยมีผู้แทนครูเข้าร่วมรับฟังและสังเกตการณ์ โดยได้ข้อสรุปดังนี้

1. ผู้แทนกระทรวงการคลังได้แจ้งว่าไม่ติดใจในประเด็นข้อสงสัยในครั้งก่อนเรื่อง เงินเดือน เงินตอบแทน เงินประจำ ตำแหน่ง และพร้อมที่จะจัดสรรให้ตามกรอบที่เสนอเมื่อกฤษฎีกาได้ตีความกฎหมายลูกแล้ว แต่ได้ตั้งประเด็นข้อสงสัยในประกาศของ คณะกรรมการบริหารงานบุคคล (กปบ.) ว่าด้วยเรื่องเงินเดือน เงินค่าตอบแทน และเงินประจำตำแหน่ง ว่าอาจเป็นการออกกฎหมายลูกที่เกินอำนาจหรือไม่จะได้ขอให้คณะทำงานของกฤษฎีกาได้ตีความในประเด็นดังกล่าวเพื่อไม่ให้เป็นข้อสงสัยกับหน่วยงาน อื่นๆ เพราะกฎหมายลักษณะนี้ยังไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งจะมีการนัดหมายประชุมเร่งด่วนในวันที่ 3 พฤศจิกายน นี้

2. ผู้แทนเลขาธิการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ก็เช่นเดียวกันไม่ขัดข้องในเรื่องอัตรากำลังที่คณะกรรมการบริหารบุคคล (กบป.) ได้กำหนด

3.ผู้แทนเลขาธิการกฤษฎีกา จะเร่งนำเอาข้อกฎหมายนำไปเข้าคณะกรรมการใหญ่เพื่อหารือและแก้ข้อกฎหมายไปตามกรอบของกฎหมายที่ พ.ร.บ. ได้บัญญัติและให้อำนาจไว้ โดยจะทำงานเป็นไปอย่างคู่ขนานร่วมกับกระทรวงการคลัง โดยคาดว่าจะใช้เวลาทั้งสิ้นภายใน 2 เดือน ทั้งนี้กระทรวงการคลังได้ตอบรับว่าเห็นด้วยที่จะดำเนินไปในกรอบเวลานี้

4. ผู้แทนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) โดยท่านที่ปรึกษาได้ชี้แจงว่ากฎหมายดังกล่าวเคยมีมาแล้วเช่นของ กรมสอบสวนพิเศษ (DSI) ซึ่งสามารถเทียบเคียงได้ นอกจากนี้ยังได้ข้อมูลของเจ้าหน้าที่การศึกษาพระปริยัติธรรม (จศป.) ที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดูแลอยู่ตอนนี้พร้อมแล้ว หากกฤษฎีกาให้ความชัดเจน ก็พร้อมจะประสานงานกับหน่วยงานทั้งสามอย่างใกล้ชิด และแก้ไขทันทีตามที่ร้องขอ

ด้านนายพิศัณย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่ วันที่ 17 เมษายน 2562 ถึงวันนี้รวมแล้ว 800 กว่าวัน ซึ่งนั่นคือเกือบ 3 ปี แต่ยังไม่สามารถนำมาบังคับใช้ ให้ครูบุคลากรได้รับสิทธิ์อันพึงมีพึงได้ตามพระราชบัญญัติฯ คณะกรรมาธิการจึงได้สอบถามถึงแนวทางการทำงานของทั้ง 4 หน่วยงานเพื่อให้เกิดความรวดเร็วและไม่ย้อนแย้งกันจึงขอให้ดำเนินการแบบคู่ขนาดเพื่อให้เกิดความรวดเร็ว นอกจากนี้คณะกรรมาธิการยังได้สรุปย้ำทุกหน่วยงานว่ามันเป็นความเดือดร้อนของครูบุคลากรขอให้ทุกภาคส่วนได้เห็นความสำคัญ รีบดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเฉพาะสำนักงานกฤษฎีกาที่จะเป็นกุญแจไขปมของ พ.ร.บ.นี้

ผู้แทนครูได้ขอบคุณคณะกรรมาธิการที่ได้เป็นหน่วยงานกลางในการประสานทุกภาคส่วนให้ได้มาร่วมกันหาทางออกซึ่งไม่ใช่การหาช่องโหว่ของกฎหมาย ที่ทำให้ช้าลงเพราะที่ผ่านมาก็ล่าช้าอยู่แล้ว ทั้งที่กระทรวง ทบวงอื่นก็มีการจัดการศึกษาเช่นกัน แต่กลับได้รับสนับสนุนจากรัฐอย่างเพียงพอ ซึ่งต่างจากโรงเรียนพระปริยัติธรรมของเราที่เปิดทำการมากว่า 40 ปี ยังไม่ได้รับสิทธิใดเลย

ด้าน นายสิทธิเณศ เห้งทับ เลขาธิการสมาคมครูปริยัติธรรมภาคใต้  วันนี้ผู้แทนครูจากทั่วประเทศกว่า 100 คน จากครูทั้งหมด 4,784 คน ได้รับฟังการแถลงข่าวหลังการประชุมของคณะกรรมาธิการที่รัฐสภาแห่งนี้ ซึ่งหากยังไม่สามารถได้รับสิทธิอันพึงมีพึงได้ตาม พ.ร.บ.ตามที่แจ้งแล้ว คณะครูทั้งหมดคงจะต้องได้มาขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมาธิการอีกครั้ง  

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2564

"มจร-ศูนย์คุณธรรม" จับมือสร้าง "อยุธยาโมเดล" เปิดพื้นที่ "ครอบครัวไร้ความรุนแรง" นำร่องปูพรมครบทุกตำบลภายในปี’65



วันพุธที่ 27 ตุลาคม 2564  ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวไทยที่นับวัน ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนติดอันดับประเทศที่มีความรุนแรงในครอบครัวสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก สาเหตุเกิดจากหลากหลายปัจจัย ซึ่งปัจจุบันมีหลายองค์กรร่วมออกมาแก้ไขปัญหาและหาทางออก

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร)   จึงได้ ผนึกกำลังสร้างพลังบวกระดับพื้นที่ ผ่านการสนับสนุนทุนวิจัยจากศูนย์คุณธรรม (องค์กรมหาชน) ภายใต้แผนงานวิจัยเรื่อง "ครอบครัวไทยไร้ความรุนแรง"  ดำเนินการวิจัยเรื่อง "Family against Violence in Dysfunctional Family" นำร่องพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาสร้างโมเดล  "1 หมู่บ้าน 1 ตำบลขับเคลื่อนชุมชนไร้ความรุนแรง สร้างครอบครัวคุณธรรมด้วยพี่เลี้ยงชุมชน"  ซึ่งต่อยอดจากการขับเคลื่อนงานวิจัยนำไปสู่การต่อยอดเป็นกิจกรรม โดยทีมที่ปรึกษาบูรณาการงานชุมชนแบบไร้รอยต่อ อาทิ 

นางสาวนฤมล พงศ์สุภาพ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นางสาวมยุรี จำจรัส ผู้อำนวยการสำนักงานยุติธรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นางกุสุมา  พนอนุอุดมสุข ผู้อำนวยการกองส่งเสริมสถาบันครอบครัว กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว นางสาวสุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง ผู้อำนวยการมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม นายยงจิรายุ อุปเสน ผู้จัดการสำนักส่งเสริมและขับเคลื่อนเครือข่ายทางสังคม ศูนย์คุณธรรม (องค์กรมหาชน) นอกจากนี้ยังได้ยกระดับการขับเคลื่อนในระดับเด็กและเยาวชนกับมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา อีกด้วย

ผศ.ดร.ขันทอง วัฒนะประดิษฐ์ อาจารย์ประจำหลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในฐานะหัวหน้าโครงการวิจัย ฯ ได้เปิดเผยว่า ทางโครงการได้การประชุมวานนี้ ณ  ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ ตำบลบ่อโพง อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมติในที่ประชุมได้พร้อมใจกันยิงพิกัดนำร่องไปที่พื้นที่ อบต.บ้านป้อม อ.พระนครศรีอยุธยา และ อบต.ปากจั่น อำเภอนครหลวง โดยจะมีการนำร่องเพื่อขยายผลปูพรมเป็นพื้นที่ต้นแบบ ซึ่งจะมีการปูพรมให้ครบทุกตำบลในจังหวัดพระศรีอยุธยาภายในปี 2565 ด้วยพลังบวกของผู้นำชุมชน และหน่วยงานในพื้นที่ มาร่วมสร้าง "ครอบครัวคุณธรรม ล้อมรั้วปลอดภัยให้ชุมชนและสังคม"   สร้างวัฒนธรรม ไม่ยอมรับ ไม่นิ่งเฉย และไม่กระทำความรุนแรง  มองเห็นว่าความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่เรื่องส่วนตัว…แต่เป็นเรื่องของทุกคน ซึ่งจะสำเร็จได้ต้องอาศัยการบูรณาการของหน่วยงาน เครือข่ายมาร่วมผลักดันให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรมในฐานะที่ปรึกษา ส่งเสริมให้พี่เลี้ยงชุมชนครอบครัวพลังบวกได้ก้าวต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน      

"จากการประชุมร่วมกับหน่วยงาน และภาคีระดับผู้นำชุมชน อย่างผู้ใหญ่บ้าน ก็ได้รับความร่วมมือเข้าผนึกกำลังร่วมกันแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวโดยเริ่มตั้งแต่จุดเล็ก ๆ ซึ่งถือเป็นการป้องกัน แก้ไข พัฒนา เพื่อให้เกิดความยั่งยืน โดยหวังให้ชุมชนร่วมเป็นตาสัปปะรด สอดส่อง ร่วมกันลด หรือหยุดยั้งปัญหาความรุนแรงในครอบครัว และไม่เพิกเฉยต่อความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในครอบครัว" 

ผู้นำการรัฐประหารในสายตา "มารุต บุนนาค"

 


เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2564  เพจสำนักข่าวอิศรา ได้เผยแพร่รายงานเรื่อง ผู้นำการรัฐประหารในสายตา "มารุต บุนนาค" โดยคัดบางตอนมาโพสต์ความว่า " เหตุผลของการรัฐประหาร ส่วนใหญ่ไม่ได้มุ่งต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง แต่เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ผู้นำของรัฐบาล แต่ละครั้งมักเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับคณะรัฐประหาร โดยมีเหตุผลอ้างถึงความเลวร้ายของรัฐบาล ผลการปฏิบัติของรัฐบาลที่ไม่สามารถดำรงไว้ซึ่งความเข้มแข็งของประเทศหลายด้าน ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม จึงจำเป็นต้องโค่นล้มรัฐบาลลงและต้องการทำบ้านเมืองให้ดีขึ้น เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน

บางครั้งผู้นำรัฐประหารอ้างความทุกข์ยาก และความเดือดร้อนแสนสาหัสของประชาชน จนได้รับฉายาว่าเป็น “บุรุษผู้รักชาติจนน้ำตาไหล” บ้าง “จอมพลเจ้าน้ำตา” บ้าง เพราะทุกครั้งที่ให้สัมภาษณ์เรื่องการรัฐประหารครั้งนี้ น้ำตาของท่านก็มักไหลนองออกมาด้วยความตื้นตันสงสารประชาชน แต่ผลปรากฏว่าหลังจากที่แต่ละคณะที่เข้ามาบริหารประเทศ ก็มิได้ทำให้ประเทศไทยเจริญรุ่งเรืองขึ้นแต่จะกลับเพิ่มความทุกข์ยากให้แก่ประชาชน 

ทั้งนี้ สามารถติดตามได้ที่  

  https://www.isranews.org/article/isranews-article/103652-isra-57.html?fbclid=IwAR0nkRp70fBDbbnJtreQz3dd0G4XP27fTAqnT9otnafrj8Njy_fCzuZqE28

แนะพระธรรมทูตไทยในสหรัฐฯต้องปรับตัวอย่างยิ่งยวด เน้นหลากวิธีแผ่ธรรมแบบไม่พูด เสริมด้วยสื่อออนไลน์



พระเทพสุวรรณเมธี รองเจ้าคณะกทม. เป็นประธานเปิดเวทีสันติสนทนางานวิจัยเชิงพัฒนา จัดโดยหลักสูตรสันติศึกษา มจร ร่วมกับผู้วิจัยคือเจ้าอาวาสวัดปากน้ำอเมริกา รองเลขาธิการสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา เรื่องการเผยแผ่พระพุทธศาสนาวิถีใหม่ในสหรัฐอเมริกา พบคำแนะนำพระธรรมทูตต้องปรับ เน้นเปลี่ยนหลากวิธีแผ่ธรรมะแบบไม่พูดเสริมด้วยสื่อออนไลน์

วันที่ ๒๖  ตุลาคม  ๒๕๖๔ พระปราโมทย์ วาทโกวิโท,ดร. ที่ปรึกษาดุษฎีนิพนธ์เชิงพัฒนา อาจารย์หลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)   เลขาศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน มจร  เปิดเผยว่า เวลา ๐๘.๓๐-๑๒.๐๐ น.วันนี้(๒๖ต.ค.) หลักสูตรสันติศึกษาร่วมกับผู้วิจัยคือพระวิเทศวิสุทธิคุณ (เจ้าคุณสมัคร) นิสิตระดับปริญญาเอกรุ่น ๔ หลักสูตรสันติศึกษา มจร  เจ้าอาวาสวัดปากน้ำอเมริกา รองเลขาธิการสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา เลขานุการแผนกเผยแผ่สมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา จัดเวทีสันติสนทนางานวิจัยเชิงพัฒนา 

โดยมีพระเทพสุวรรณเมธี,รศ.ดร. รองเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร เป็นประธานเปิดและปาฐกถาพิเศษภายใต้หัวข้อ “การเผยแผ่พระพุทธศาสนาวิถีใหม่ในสหรัฐอเมริกา” กล่าวประเด็นสำคัญว่า พระธรรมทูตทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสหรัฐอเมริกาถือว่ามีความสำคัญจะต้องผ่านการพัฒนาและฝึกอบรมอย่างเข้มข้น ย้อนไป ๕๐ กว่าปีมีการเผยแผ่ธรรมของพระธรรมทูต ซึ่งการทำงานมีอุปสรรคมากมายในต่างแดนมีประเด็นของภัยธรรมชาติ มีการสังหารหมู่พระสงฆ์ ซึ่งมีความท้าทายอย่างมากในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจะต้องใช้สันติวิธีอย่างยิ่ง คนในอเมริกาไม่อยากให้สิ่งแปลกปลอมมาอยู่ในสังคมของเขาเพราะเขามองว่าพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งแปลกปลอม ซึ่งคนผิวขาวมักจะเล่นเราด้วยกฎหมายถือว่าเป็นความท้าทายพระธรรมทูต จึงมีการเผยแผ่ด้วยรูปแบบในการแต่งกายเป็นการสื่อสารให้คนในชุมชนได้รับรู้รับทราบ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจะต้องใช้การสื่อสารเป็นฐาน ทำให้มีวัดจำนวนมากเพราะความหลากหลายหวังความเจริญก้าวหน้าในทางพระพุทธศาสนาโดยมีครอบครัวไทยดูแลพระสงฆ์ให้ประกอบศาสนกิจ วัดจึงมีจำนวนมากพระธรรมทูตจะต้องปรับตัวเพื่อสามารถอยู่ร่วมได้อย่างสันติวิธี โดยพระธรรมทูตจะต้องศึกษาว่าเสียสละแท้จริงขนาดไหน เข้าใจบริบทของวัดและสังคมรอบวัด พระธรรมทูตจึงต้องมีหลักการ วิธีการ และอุดมการณ์  พระธรรมทูตจะต้องสามารถสื่อสารภาษากลางและภาษาท้องถิ่นของชุมชนนั้นๆ

ปัจจุบันจึงมีการพัฒนาการเรียนบาลีและภาษาอังกฤษควบคู่บูรณาการโดยเริ่มจากสามเณรจากรากหญ้าเพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้ไปเป็นพระธรรมทูตในสหรัฐอเมริกา เพราะเราทราบว่าพระธรรมทูตมีอุปสรรคอย่างไร จึงต้องการพัฒนาตั้งแต่เริ่มต้นในการพัฒนาขัดเกลาจิตใจทั้งปริยัติและปฏิบัติ มองว่าการปกครองอาจไม่ยั่งยืนมีความกระทบกระทั่งมีความเด็ดขาดจึงต้องการนำไปพัฒนาผู้เผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง พระสงฆ์สามเณรจะยกระดับเป็นพระธรรมทูตจะต้องมีความรอบรู้ทุกอย่าง เพราะต่างประเทศไม่ได้สวยหรูจะต้องมีประสบการณ์ตรงในหลากหลายมิติ 

พระธรรมทูตจะต้องมีการฝึกอบรมเพื่อไปเป็นพระธรรมทูตโดยตรง สิ่งสำคัญวิปัสสนากรรมฐานถือว่าเป็นฐานสำคัญของพระธรรมทูตในต่างประเทศ กะพี้เป็นฐานในการเผยแผ่มีรูปแบบการเป็นพระสงฆ์ เช่น ความสงบ เป็นต้นแบบ แล้วขยับพัฒนาไปสู่แก่นของพระพุทธศาสนาในการสื่อสารธรรม พระธรรมทูตจะต้องรู้จริงลึกในเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างแท้จริงโดยเจ้าอาวาสจะต้องทราบว่าพระสงฆ์รูปใดเชี่ยวชาญเรื่องใดเพื่อใช้งานอย่างมีความเหมาะสม การพัฒนาพระธรรมทูตจะต้องมีการคัดเลือกเป็นอย่างดี  จากนั้นมีเวทีสันติสนทนาเพื่อการพัฒนางานวิจัยเชิงพัฒนา โดยผู้ทรงคุณวุฒิประกอบด้วย

๑)พระโสภณวชิราภรณ์ ดร. รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ มจร  กล่าวประเด็นสำคัญว่า ต้องไปศึกษางานวิจัยเพิ่มเติมจำนวน ๘ เล่ม ในการพัฒนาพระธรรมทูตในสหรัฐอเมริกาเพื่อนำมาสนับสนุนให้งานวิจัยมีความเข้มข้นมากขึ้น โดยให้มีความเจาะลึกในเรื่องการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ด้วยการศึกษารูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสหรัฐเมริกา สิ่งสำคัญสันติภาพที่แท้จริงคือ สติสมาธิ เพราะสันติภาพระดับองค์กรอาจจะยากแต่สันติภาพที่แท้จริงคือสติสมาธิในตนเอง โดยมุ่งให้ศึกษาเชิงลึกในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา งานพระธรรมทูตดูแลคนไทย ดูแลคนท้องถิ่น ดูแลคนในออนไลน์ ปัจจุบันรุ่นพี่พระธรรมทูตมาสื่อสารประสบการณ์ตรงให้พระธรรมทูตรุ่นใหม่ สิ่งสำคัญเราเห็นสันติวิธีในการทำงานของพระธรรมทูตมีความเป็นกัลยาณมิตร การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจะต้องปรับตัวอย่างยิ่งยวดโดยไม่ไปสร้างความขัดแย้งแม้จะมีความหลากหลายทางความเชื่อวัฒนธรรม ซึ่งเวียดนามมีวัดมากที่สุดในสหรัฐอเมริกา ประมาณ ๔๒๐ วัด จึงต้องมีการเชื่อมสัมพันธ์กันซึ่งปัจจุบันพระธรรมทูตสามารถเชื่อมกับคนในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี การเผยแผ่พระพุทธศาสนามีหน้าที่เชื่อมโดยประสบการณ์ตรงในการทำงาน ซึ่งมีหลักสูตรในการพัฒนาเน้นวิชชา จรณะ มาตรฐาน ๘ วิปัสสนากรรมฐาน ความรู้พระพุทธศาสนาในพระไตรปิฎก สามารถสื่อสาร ๔ ภาษา ความเป็นพระธรรมทูต อื่นๆ จำนวน ๙๐ วัน โดยมุ่งให้พระธรรมทูตศึกษาเรียนรู้ในประเทศนั้นๆ  โดยเน้นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ซึ่งเราจะมีการพัฒนาพระธรรมทูตสายต่างประเทศที่มีจิตวิญญาณเป็นฐานมีหลักการ วิธีการ และอุดมการณ์   

๒)พระวิเทศสิทธิธรรมาภรณ์ รองประธานสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา กล่าวประเด็นสำคัญว่า การเผยแผ่พระพุทธศาสนามีวิธีการสื่อเข้ามาบูรณาการเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบันทำให้สื่อสารธรรมได้ง่ายขึ้นผ่านออนไลน์ มีการปรับหนังสือสวดมนต์ออนไลน์บาลีอังกฤษ การเผยแผ่จะต้องเปิดปากพูดสื่อสารแต่การเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่สุดยอดแม้ไม่ได้เปิดปากพูดด้วยการแสดงให้เห็นความสงบเยือกเย็น ซึ่งจากมีประสบการณ์เผยแผ่พระพุทธศาสนาในสหรัฐอเมริกาจำนวน ๒๙ ปี จึงต้องเตรียมสถานที่เพื่อการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพราะการเผยแผ่เริ่มจากทาน รักษาศีล และภาวนา การเผยแผ่ธรรมะที่ไม่ต้องพูดจะต้องขับเคลื่อนอย่างจริงจัง สิ่งสำคัญจะต้องพัฒนาสร้างอุดมการณ์น่าจะเป็นผู้เสียสละเหมือนพระปุณณะ โดยพระธรรมทูตจะต้องมีอุดมการณ์สูงสุดด้วยการเสียสละที่เพียงพอ ศรัทธาในพระศาสนาที่เพียงพอ เห็นความทุกข์ยากของเพื่อนมนุษย์ มีความเข้มแข็งอดทนให้รู้เห็นจริง ต้องอยู่เหนือกิเลสและมีความเมตตามากขึ้น

วิเคราะห์ปัญหาในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสหรัฐอเมริกา ประกอบด้วย ไม่เข้าใจกลุ่มคนผู้เข้ามาเรียนรู้ปฏิบัติธรรม ประสิทธิภาพในการสื่อสารและการใช้ภาษา สื่อไม่ทันสมัยใช้วิธีแบบดั้งเดิม ให้ความรู้ที่ไม่สอดคล้องกับปัจจุบัน และขาดความเข้าใจในวัฒนธรรมต่างชาติ โดยพระธรรมทูตจะต้องเกื้อกูลสังคมโดยศึกษาจริตของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง งานเผยแผ่ของสมัชชาสงฆ์ในสหรัฐอเมริกาจะต้องมีหลากหลายวิธี และร่วมกิจกรรมกับวัดต่างๆ ไม่ใช่วัดไทยเท่านั้นต้องไปร่วมกิจกรรมของวัดประเทศอื่นๆ มีการบริการหนังสือธรรมะ วิทยุ บรรยายธรรมออนไลน์ กลุ่มปฏิบัติธรรม กลุ่มทางสังคม โครงการกายใจไปด้วยกัน ตามนโยบายของพระพรหมบัณฑิตว่า ตกปลานอกบ้าน ประสานสิบทิศ ผูกมิตรทั่วหล้า บริหารปัญญา สาริกาป้อนเหยื่อ            

๓)พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส, ศาสตราจารย์ ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา และผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มจร กล่าวประเด็นสำคัญว่า มีโอกาสเดินทางไปปฏิบัติศาสนกิจสหรัฐอเมริกาเห็นการขับเคลื่อนการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างชัดเจน โดยมุ่งเน้นเอาคนไทยให้อยู่ก่อนแล้วขยายไปสู่คนท้องถิ่น ผ่านการเผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยความสงบ ซึ่งในต่างประเทศบางครั้งมีวัตถุครบสมบูรณ์แต่มีความหว้าเหว่ จึงต้องอาศัยพระธรรมทูตเข้าไปเยียวยาทางด้านจิตใจผ่านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา แต่ต้องปฏิบัติตามแนวทางของโอวาทปาติโมกข์ยึดหลักการ  วิธีการ อุดมการณ์ ถือว่าเป็นแบรนด์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยยึดรูปแบบตามแนวทางของพระพุทธเจ้า โดยยึดว่าการไม่ทำบาป ทำความดี และทำจิตใจให้ผ่องใส  โดยพระพุทธเจ้ามุ่งขันติธรรมในความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่มีความแตกต่างกันทุกมิติ ซึ่งพระธรรมทูตจะสามารถอยู่กับบุคคลที่มีความเห็นต่างได้โดยเฉพาะความเห็นต่าง ความเชื่อต่าง 

โดยทูตไทยในสหรัฐอเมริกาสะท้อนว่าอะไรที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสหรัฐอเมริกา คำตอบคือ ความเชื่อที่แตกต่าง ซึ่งเป็นที่อุปสรรคและเป็นโอกาสก็ได้ เราจึงควรพยายามใช้ศัพท์ของภาษาท้องถิ่น เพราะถ้าเราจะเข้าวัฒนธรรมจะต้องเรียนรู้ศาสนาในพื้นที่  จะต้องศึกษาบริบทของสังคมนั้นๆ ศึกษาแนวคิดคือสติสมาธิปัญญา ออกแบบการเผยแผ่ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจะเอาต่างชาติอยู่จะต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานโดยยึดพระอัสสชิเป็นฐานที่มีความสงบเย็น พระธรรมทูตจะต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานให้เข้าถึงอย่างแท้จริง หลักสำคัญจะต้องยึดในโอวาทปาติโมกข์จะกล่าวร้ายว่าร้ายใคร โดยรูปแบบการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจะต้องสื่อสารให้เหมาะสมกับคนในพื้นที่ จะต้องใช้ภาษาการสื่อสารที่มีความเหมาะสม แต่สิ่งที่น่าห่วงมากคนต่างชาติไปวัดเมียนม่าร์ วัดลาว วัดกัมพูชาเพราะผู้เผยแผ่ได้ภาษาอังกฤษ  จึงต้องศึกษาภาษาเพราะอยากจะได้ใจต้องใช้ภาษาของเรานั่นเอง จึงขอให้ยึดแนวทางหลักการ วิธีการ อุดมการณ์ ของโอวาทปาติโมกข์          

๔)พระครูรัตนปัญญาวิเทศ รองเลขาธิการสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกา กล่าวประเด็นสำคัญว่า ภาษาที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาในสหรัฐอเมริกาคือภาษาไทยเป็นฐานก่อน แล้วใช้ภาษาอื่นๆตามบริบท โดยสมัชชาสงฆ์ไทยในสหรัฐอเมริกาเป็นองค์กรใหญ่ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยขึ้นตรงกับคณะสงฆ์ไทยโดยเฉพาะมหาเถรสมาคมโดยเฉพาะการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสหรัฐอเมริกา จึงมีวัดไทยจำนวนมากในสหรัฐอเมริกาเพราะมีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างกว้างขวางโดยเริ่มจากการตั้งองค์กรต่างๆ เพื่อรวมกลุ่มพลังชาวพุทธในต่างประเทศ ซึ่งหลักกการของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในสหรัฐอเมริกาจะต้องประกอบด้วย  ๑)พูดให้เขาฟังเป็นภาษาธรรม โดยเอาคนในชุมชนมาเป็นเครือข่ายของเรา  ๒)ทำให้เขาดู ฝึกหัดปฏิบัติเจริญจิตตภาวนาเผยแผ่ทุกรูปแบบ ๓)อยู่ให้เขาเห็น  มีรูปแบบที่มความสงบเกิดความศรัทธาเข้ามาเป็นพวกเดียวกับเรา  ๔)เย็นให้สัมผัส ผ่านการสงบเย็นและเป็นประโยชน์ การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจะต้องศึกษาพระพุทธศาสนาให้แตกฉานทั้งปริยัติ ปฏิบัติ และศึกษาประเด็นความรู้รอบตัว มีการศึกษาพระบาลีเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา มีประเด็นสาธารณูปการช่วยเหลือสังคม มีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาเพื่อเข้าถึงผู้คนโดยใช้แนวทางจากประเทศไทยมีกิจกรรมทุกวันอาทิตย์ โดยพระสงฆ์เป็นต้นแบบในการปฏิบัติที่เหมาะสมปรับตัวกับดินฟ้าอากาศ  หลวงพ่อปัญญานันนทะกล่าวว่า “แกะเมืองร้อนไม่มีขน แกะเมืองหนาวขนมาก” จึงต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ จึงต้องปรับวิธีการ โดยยึดหลักการชัดเจน อุดมการณ์แน่นอน แต่วิธีการปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม จงทำงานให้สนุกเป็นสุขขณะทำงานโดยยึดแนวทางการสอนของพระพุทธเจ้าและเดินทางปณิธานของครูอาจารย์ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสืบไป         

"นิพนธ์"เปิดเวทีรับฟังปัญหาพระสงฆ์ใต้ ยันต้องสังคมพหุวัฒนธรรมอยู่อย่างสันติสุข



"นิพนธ์"ชู"จชต."ต้องแก้ความยากจนและสร้างความปลอดภัยในชีวิตประจำวัน สู่เป้าหมาย ปชช. อยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมอย่างสันติสุข ในเวทีรับฟังปัญหาของพระสงฆ์พื้นที่ชายแดนใต้

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564  ที่โรงแรมตรังกรุงเทพฯ นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับ นายชนธัญ แสงพุ่ม รองเลขาธิการ ศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับฟังปัญหาและแลกเปลี่ยนหารือร่วมกับผู้แทนพระภิกษุสงฆ์ในพื้นที่จังหวัดยะลา จังหวัดปัตตานี จังหวัดนราธิวาส และจาก 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา และเครือข่ายพุทธศาสนิกชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

นายนิพนธ์ กล่าวว่า ได้ติดตามการทำงานของ ศอ.บต. มาโดยตลอดในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย และในฐานะกรรมการยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ขอให้ทุกฝ่ายได้คลายกังวล และขอยืนยันให้มั่นใจได้ว่าผมพร้อมรับฟังและประสานการแก้ไขทุกปัญหาของพี่น้องประชาชน ทั้งประเด็นการตั้งคณะทำงานใน 2 ระดับ เพื่อบูรณาการงานเชิงนโยบายและงานระดับพื้นที่ ที่มีกระทรวงมหาดไทย สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ศอ.บต. ฯลฯ เป็นแกนกลางเพื่อประสานบูรณาการทำงานร่วมกัน พร้อมทั้งการส่งเสริม สนับสนุนกิจของสงฆ์ในประเด็นเร่งด่วน 3 ด้าน ได้แก่ การศึกษาเคราะห์ การเผยแผ่ และสาธารณสงเคราะห์ (ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมพระพุทธศาสนาจังหวัดชายแดนภาคใต้) เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงพระพุทธศาสนาในพื้นที่ จชต."

"นอกจากนี้ สิ่งที่ผลักดันขับเคลื่อนมาโดยตลอดและเกิดรูปธรรมแล้วก็คือเรื่องการศึกษา ที่ขณะนี้ 3 จังหวัด มีสถานศึกษาในระดับอุดมศึกษาครบทุกจังหวัดแล้ว อย่างที่ จ.ปัตตานี ก็มี ม.สงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ที่ จ.ยะลา ก็มี ม.ราชภัฏยะลา และที่ จ.นราธิวาส ก็มี ม.นราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักในการต่อยอดและเสริมสร้างความมั่นคงด้านการศึกษาในพื้นที่ การขับเคลื่อนต่อจากนี้ก็คือเรื่องของการแก้ไขปัญหาความยากจนในพื้นที่ เนื่องจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นจังหวัดที่มีรายได้ประชากรต่อหัวต่ำที่สุดในประเทศ ซึ่งต้องมีการยกระดับปัจจัยต่างๆเพื่อสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นเรื่องการยกระดับการผลิตสินค้าภาคการเกษตร กรรมสิทธิ์ในที่ดิน การเสริมสร้างช่องทางจำหน่ายตลาดออนไลน์ ตลอดจนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวัฒนธรรม เป็นต้น จะเป็นการช่วยเสริมสร้างให้เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ที่ดีขึ้น สร้างงาน สร้างรายได้ ให้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ ซึ่งเล็งเห็นถึงต้นตอของปัญหาในพื้นที่แล้วว่าต้องเริ่มจากการแก้ปัญหาความยากจนก่อนจึงจะทำให้ภาคส่วนต่างๆ สามารถดำเนินต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม การสร้างความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินในการดำรงชีวิตประจำวันต้องดำเนินควบคู่กัน เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีชีวิตอยู่ได้ สู่เป้าหมายสูงสุดคือการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรมอย่างสันติสุข" นายนิพนธ์กล่าว

"มหานิยม" นำฟ้อง "หมิ่น-พรบ.คอมพ์" ผอ.สนง.พศจ.กาฬสินธุ์



ส.ส.เพื่อไทยสกลนครและกาฬสินธุ์ บุกแจ้งความหมิ่นประมาทและ พ.ร.บ.คอมฯ  ผอ.สนง.พศจ.กาฬสินธุ์ ปมปลดเจ้าคณะจังหวัดฝ่ายธรรมยุต

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2564 จากกรณีมหาเถรสมาคม (มส.) ปมมีคำสั่งถอดถอนพระเทพสารเมธี (บัวศรี ชุตินธโร) อดีตเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์(ธรรมยุต) เจ้าอาวาสวัดประชานิยม จ.กาฬสินธุ์ โดย ผอ. สำนักงานพระพุทธศาสนากาฬสินธุ์ ได้ให้ข่าวผ่านสื่อกล่าวพาดพิงมี 7 นักการเมืองอยู่เบื้องหลังประชาชนในพื้นที่เพื่อร่วมกันขัดค้านคำสั่งแต่ตั้ง โดยทำหนังสือบันทึกข้อความรายงาน ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เลขที่ กส.0034/285 เรื่องรายงานความเคลื่อนไหวของศิษยานุศิษย์ กรณี มหาเถรสมาคมปลดเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์(ธรรมยุต) มีเนื้อหาว่า  

ตามที่ สนง.พระพุทธศาสนาจังหวัดกาฬสินธุ์ ได้รายงานความเคลื่อนไหวของ ศิษยานุศิษย์ กรณีมหาเถรสมาคมปลดเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์(ธรรมยุต)ไปแล้วนั้น ในการนี้ สนง.พระพุทธศาสนาจังหวัดกาฬสินธุ์ขอเรียนว่า คณะสงฆ์ (ธรรมยุติ) ได้ยุติความเคลื่อนไหวแล้ว แต่ยังคงมีศิษยานุศิษย์ที่เป็นฝ่ายการเมืองเคลือนไหวทำการล่ารายชื่อ 100,000 รายชื่อ เพื่อทูลเกล้าถวายฎีกาตามข่าว เช่น 1.นายนิยม  เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย 2.นางบุญรื่น  ศรีธเรศ ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย 3.นายคมเดช  ไชยศิวามงคล ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย 4.นายพีระเพชร  ศิริกุล ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย 5.นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษา รมว.คมนาคม 6.นายจารุวัฒ บุญเพิ่ม นายกเทศมนตรีเมืองกาฬสินธุ์ 7.นายสิทธิศักดิ์ ยนต์ตระกูล อดีต สว.กาฬสินธุ์ ลงชื่อในหนังสือบันทึกข้อความ  นายบัญชายุทธ นาคมุจลินท์ ผอ.สนง.พระพุทธศาสนาจังหวัดกาฬสินธุ์  เรื่องดังกล่าวสร้างความไม่พอใจให้กับ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยที่ถูกพาดพิงถูกดึงเข้าเกี่ยวข้องในกรณีนี้ได้อย่างไรจึงต้องเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ ผอ.สนง.พระพุทธศาสนาจังหวัดกาฬสินธุ์  ที่ออมาให้ข่าวทำให้เสียหาย 

ความคืบหน้าในกรณีดังกล่าวล่าสุด เวลา 10.30 น.  ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองกาฬสินธุ์ อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ นายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย  นางบุญรื่น  ศรีธเรศ ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย นายคมเดช  ไชยศิวามงคล ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย นายพีระเพชร  ศิริกุล ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคเพื่อไทย ทั้งหมดได้เข้าพบ พ.ต.ท.ชูชาติ อุทธิสินธุ์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองกาฬสินธุ์  โดยเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษว่ามีการพาดพิง หมิ่นประมาทม.326 และ ม.137 และเข้าข่ายความผิดต่อ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จึงม.14(2) ได้ร่วมกันมอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับนายนายบัญชายุทธ นาคมุจลินท์ตำแหน่ง  ผอ.สนง.พระพุทธศาสนาจังหวัดกาฬสินธุ์  จนกว่าคดีจะถึงที่สุด 

ในกรณีได้บันทึกข้อความหนังสือบันทึกข้อความรายงาน ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เลขที่ กส.0034/285  ได้กล่าวหาใส่ความอันเป็นเท็จต่อผู้แจ้งกับพวก  ทำให้เกิดความเสียหายเสื่อมเสียต่อตำแหน่งหน้าที่ ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำให้เกิดควมเข้าใจผิดในหมู่ประชาชนผ่านสื่อออนไลน์ ทำให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ผู้แจ้งับพวกที่ได้พบเห็นในสื่อสังคมออนไลน์และยังได้มีการนำออกเผยแพร่ ผ่านสื่อโทรทัศน์และสื่อวิทยุกระจายเสียงไปทั่วราชอาณาจักรและผู้พบเห็นที่เป็นพลเมืองไทยทั่วโลกจึงได้มอบเอกสารบทความแก่พนักงานสอบสวนเพื่อประกอบการแจ้งความไว้

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2564

"เพชรวรรต"ชี้อดีตพระยันตระ อาจไม่เข้าข่ายเป็น "พระสงฆ์เถรวาทไทย"


วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2564 ดร.เพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล รองประธานกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีนายศรีสุวรรณ จรรยา ได้ทำหนังสือด่วนร้องเรียนไปยังมหาเถรสมาคม ผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้ดำเนินการเอาผิดอดีตพระยันตระ หรือนายวินัย ละอองสุวรรณ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.208 ประกอบ พรบ.คณะสงฆ์ 2505 มาตรา29 นั้น หากพิจารณาตามการแถลงการณ์ของอดีตพระยันตระที่ลี้ภัยไปอยู่สหรัฐอเมริกากว่า 30 ปี เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าอาจไม่ใช่พระสงฆ์ในนิกายเถรวาทของไทย เพราะด้วยรูปแบบการแต่งกายที่ไม่ใช่รูปแบบการแต่งกายแบบสงฆ์ไทย การไม่ตัดผมไม่โกนหนวด 

อีกทั้งหนังสือเดินทางก็เป็นของประเทศสหรัฐอเมริกา หมายเลข 488481994 ระบุชื่อ "อมโรภิกขุ" สัญชาติอเมริกัน ซึ่งโดยกรอบกฎหมายที่จะเอาผิดบุคคลต่างสัญชาติที่แต่งกายแบบสงฆ์นิกายอื่น เช่น มหายาน วัชรยาน ตันตระยาน นิกายชินโต (แต่งงานได้) อาจขัดกับหลักสิทธิมนุษยชน รวมถึงไม่มีบทบัญญัติไว้ในกฎหมายของไทย อีกทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกามีบทบัญญัติ เกี่ยวกับเสรีภาพในการนับถือศาสนาในบทแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ 1 (Amendment 1) กล่าวไว้ว่า “สภานิติบัญญัติจะต้องไม่ออกกฎหมายรับรอง การจัดตั้งศาสนาใดศาสนาหนึ่งหรือห้ามการปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนาโดยอิสระ” สำหรับกฎหมายรัฐธรรมนูญของไทย 2560 หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย มาตรา 31 ก็ได้เปิดช่องให้บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนาและย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติ หรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตนฯ


ดร.เพชรวรรต กล่าวต่ออีกว่า ทั้งนี้ได้มีมติมหาเถรสมาคม พิจารณาอธิกรณ์ปรับอดีตพระยันตระให้พ้นจากความเป็นพระภิกษุของไทยไปแล้ว ซึ่งสำหรับจะกระทำผิดวินัยร้ายแรงที่จะถึงขั้นปาราชิกหรือไม่นั้นก็จะมีแต่อดีตพระยันตระเท่านั้นที่รู้ กฎหมายบ้านเมืองไม่สามารถ “ขับความเป็นสงฆ์ให้พ้นจากความเป็นพระได้” ตามพระธรรมวินัย สำหรับประชาชนก็จะเป็นผู้ตัดสินได้เองว่ามีความถูกผิดอย่างไรตามหลักโยนิโสมนสิการอยู่แล้ว สำหรับการที่จะผิดกฎหมายประมวลกฎหมายอาญา ม.208 ประกอบ พรบ.คณะสงฆ์ 2505 มาตรา29 นั้น ตนเห็นว่าอดีตพระยันตระไม่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาเถรวาทของไทยมานานแล้ว และกฎหมายสหรัฐอเมริกาก็ยังไม่เห็นจะเอาผิดอดีตพระยันตระซึ่งอยู่สหรัฐอเมริกามากว่า 30 ปี 

สำหรับตนเห็นว่าอดีตพระยันตระควรชี้ให้ชัดว่าอยู่ในนิกายอะไรในประเทศไหน และทำให้ประจักษ์ว่ามิได้สร้างความเดือดร้อนรวมถึงไม่ได้ทำสิ่งขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนคนไทย ไม่ได้ทำให้พุทธศาสนาเถรวาทของไทยเสียหาย ดังในสำนักสันติอโศก ได้ปฏิบัติ ประเทศชาติก็อยู่ด้วยกันได้ ต่างคนต่างทำความดีไม่ผิดต่อกฎหมาย สิ่งนี้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อสังคม อนึ่งการที่มีพระสงฆ์เถรวาทไทยได้เข้าไปกราบอดีตพระยันตระรวมถึงมีการออกกำลังกายโยคะที่อาจไม่เหมาะสมนั้น ตนเห็นว่าสำนักงานพระพุทธศาสนาสามารถนำไปพิจารณาว่าถูกต้องหรือไม่ ตามกรอบของกฎหมายและเสนอต่อมหาเถรสมาคมว่าพระสงฆ์ไทยกระทำผิดหรือไม่ และสิ่งที่สำคัญประเทศไทยเราควรหันหน้าเข้าคุยกัน แบ่งกันทำความดีเหมือนไต้หวัน ที่เขามี ฉือจี้ ฝอกวางซาน ฝอกู่ซาน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตน การศาสนาก็รุดหน้าไปไกล แต่ก็ยึดหลักการที่ไม่ผิดหลักพระธรรมวินัย ประชาชนก็อยู่ในศีลในธรรมและเป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุด สามารถลดงบประมาณของหน่วยงานที่ต้องไปเอาโทษผู้กระทำความผิดทางอาญากระทำผิดกฎหมาย และเอางบประมาณนี้ไปใช้ประโยชน์ต่อประเทศชาติในทางอื่นได้ 

วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2564

สำนักงานพุทธฯชี้ "เปรี้ยง" 7 นักการเมืองอยู่เบื้องหลังป่วน "สงฆ์กาฬสินธุ์" ส.ส.นิยมเดือดถามกลับ 4 ข้อ



วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2564  หลังจากมีการเปิดเผยหนังสือบันทึกข้อความจากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดกาฬสินธุ์ ลงวันที่ 18 ตุลาคม เรื่องรายงานความเคลื่อนไหวของศิษยานุศิษย์ กรณี มหาเถรสมาคมมีมติปลดเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ โดยอ้างว่าคณะสงฆ์ธรรมยุตได้ยุติความเคลื่อนไหวแล้ว แต่ยังคมมีศิษยานุศิษย์ที่เป็นฝ่ายการเมืองเคลื่อนไหวทำการล่ารายชื่อ 1 แสน รายชื่อเพื่อทูลเกล้าฯถวายฎีกา โดยมีนักการเมืองจำนวน 7 รายเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง คือ

นายนิยม เวชกามา ส.ส. จ.สกลนคร พรรคเพื่อไทย

นางบุญรื่น ศรีธเนศ ส.ส.กาฬสินธุ์  พรรคเพื่อไทย

นายคงเดช ไชยศิวามงคล ส.ส.กาฬสินธุ์  พรรคเพื่อไทย

นายพีระเพชร ศิริกุล ส.ส.กาฬสินธุ์  พรรคเพื่อไทย

นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษาที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

นายจารุวัฒน์ บุญเพิ่ม นายกเทศมนตรีเมืองกาฬสินธุ์

นายสิทธิศักดิ์ ยนต์ตระกูล อดีต สว.กาฬสินธุ์

เกี่ยวกับประเด็นนี้ผู้สื่อข่าวได้สอบถามจาก นายนิยม เวชกามา ได้เปิดเผยว่า ชื่อของตนนั้นตนเห็นว่า ผอ.สำนักพุทธจังหวัด ไม่ทราบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แม้หัวเรื่องที่อ้างว่า มีมติจากมหาเถรสมาคมว่าปลดเจ้าคณะจังหวัดนั้น มหาเถรสมาคมเพียงแต่รับทราบจากเอกสารที่ส่งเข้าที่ประชุมแต่เพียงเท่านั้น ไม่ได้มีการลงมติแต่อย่างใด “ซึ่งจะถือว่ามีการสอดไส้เพื่อถอดถอนเจ้าคณะจังหวัด” ได้หรือไม่? รวมถึงจะมีผู้บงการสำนักพุทธจากมือที่มองไม่เห็นหรือไม่? และที่อ้างว่ามีคณะสงฆ์ได้ยุติแล้ว แต่ในความเป็นจริง มีพระสังฆาธิการได้ลาออกจากเจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล เป็นรายวัน อย่างนี้จะบอกว่ายุติได้อย่างไร สิ่งนี้เป็นเรื่องที่สำนักพุทธต้องออกมาชี้แจงในความไม่ชอบธรรม ตนจึงขอถามไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ 4 ข้อตามที่เคยมีผู้ได้ยื่นหนังสือไปยังสำนักพุทธฯไปแล้วดังนี้

1.การที่สนง.พุทธ ออกมาให้ข่าวว่าการถอดถอนเจ้าคณะจังหวัด3จังหวัดว่า “ทำถูกต้องตามกฎหมาย” นั้นทำไมถึงมีคนออกมาโต้แย้งคัดค้าน “

2.เมื่อไม่แสดงเหตุผลว่าถอดถอนทำถูกต้องตามกฎหมายอย่างไร หากมีประชาชนยื่นขอเอกสารข้อมูล เกี่ยวกับการถอดถอนเจ้าคณะจังหวัด3จังหวัด จากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติซึ่งทำหน้าที่ “เลขาธิการมหาเถรสมาคม” อีกทั้งเป็น “ผู้ทำเอกสารยื่นมติมส. “รวมถึงได้ออกมาให้ข่าวดังกล่าวนั้น น่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่จะให้ข้อมูลแก่ผู้มายื่นขอเพื่อแสดงถึงความโปร่งใสในเหตุผลและความชอบธรรมในการใช้อำนาจถอดถอนเจ้าคณะจังหวัด 3 จังหวัด ทำให้สังคมชาวพุทธและศิษยานุศิษย์ของเจ้าคณะจังหวัดทั้ง 3 จังหวัดได้ทราบเหตุผลของการถอดถอนดังกล่าว

3.ถ้าสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว ซึ่งเป็นสิทธิที่ประชาชนคนใดมีสิทธิ ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตรา41 และ 59 รวมถึง พรบ.ข้อมูลข่าวสารของทางราชการมาตรา 4 และ มาตรา11 ที่สามารถขอข้อมูลและเอกสารหลักฐานในการถอดถอนเจ้าคณะจังหวัด3จังหวัดได้ เมื่อไม่ให้หรือไม่เปิดเผย ผู้ขอยังมีสิทธิไปยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการและมีสิทธิ์ไปฟ้องต่อศาล ปกครองต่อไป  ซึ่งถอดถอนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเพราะไม่เปิดเผยแสดงออกมาอาจก็นำเรื่องการถอดถอนที่ไม่ชอบนี้ไปกล่าว โทษผู้มีอำนาจหน้าที่ในการถอดถอนเพราะเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายต่อ ปปช.ว่าเป็นการละเว้นการ ปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา157ได้

4.ตนอยากจะให้การแต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัดที่มาแทนเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์ (ธ) ชอบด้วยกฎหมายตามกฎมหาเถรสมาคม ว่าด้วยการแต่งตั้งเจ้าคณะจังหวัด ให้เป็นตามข้อ 14 ซึ่งระบุว่า พระภิกษุผู้จะดำรงตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัด ต้องมีคุณสมบัติ อาทิ ต้อง มีพรรษาพ้น 10 กับมีสำนักอยู่ในเขตจังหวัดนั้น และ กำลังดำรงตำแหน่งรองเจ้าคณะจังหวัดนั้นมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ปี หรือ กำลังดำรงตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอในจังหวัดนั้นมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4 ปี

ดร.นิยม กล่าวต่อไปว่า แม้แค่เพียงในอนุหนึ่งสำหรับเจ้าคณะจังหวัดกาฬสินธุ์(ธ) องค์ใหม่ที่มีสำนักอยู่จังหวัดหนองคายจะชอบด้วยกฎหมายได้อย่างไร ทั้งนี้เมื่อเปิดสมัยประชุมสภาฯ ในวันที่ 3 พ.ย. นี้ตนจะนำเรื่องถอดถอนเจ้าคณะจังหวัด 3 จังหวัด ไปตั้งกระทู้สดถามนายกรัฐมนตรี และขอสภาตั้งญัตติ เพื่อศึกษาพิจารณาว่าการถอดถอนเจ้าคณะจังหวัด3จังหวัดดังกล่าว ว่าใช้อำนาจดำเนินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งมีประชาชนคัดค้านโต้แย้งกันอย่างกว้างขวาง สำหรับพระเล็กหากท่านจะมีทิฏฐิน้อยลงมาหน่อย เพื่อพระพุทธศาสนา ท่านจะสละลาออกจากตำแหน่งก็จะเป็นการดี สังคมสงฆ์กาฬสินธุ์ก็จะไม่แตกแยก 

วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2564

"วราวุธ" เผย ชทพ.อ้าแขนรับ ส.ส. "ไพบูลย์โมเดล"​



เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2564 ที่พรรคชาติไทยพัฒนา นายวราวุธ ศิลปอาชา ประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในขณะนี้ ที่หลายพรรคเคลื่อนไหวจนถูกมองว่าอาจใกล้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ว่า สภาผู้แทนราษฎรชุดนี้จะหมดวาระลงในวันที่ 23 มีนาคม 2566 ซึ่งนับจากนี้ไปเหลือเวลาเพียงปีกว่าเท่านั้น ดังนั้น​ การที่ผู้แทนราษฎรทั้งหลายลงพื้นที่ทำงานในแต่ละพื้นที่กันจึงไม่ใช่เรื่องแปลก อีกทั้งขณะนี้หลายจังหวัดในประเทศไทยกำลังประสบปัญหาอุทกภัย โดยเฉพาะ​ จ.สุพรรณบุรี และจังหวัดในภาคกลางอีกหลายจังหวัด ทำให้​ ส.ส.ของทุกพรรคการเมืองกำลังลงพื้นที่ทำงานช่วยเหลือประชาชนอย่างขะมักเขม้น ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะการช่วยประชาชนที่เดือดร้อน ส.ส.ที่ทุกคนเลือกมานั้นจะกลับไปแก้ไขปัญหาบรรเทาความเดือดร้อนได้ไม่มากก็น้อย 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ไม่ใช่การส่งสัญญาณเตรียมเลือกตั้ง จากนายกรัฐมนตรีใช่หรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า คิดว่าส.ส. ทำการบ้าน การลงพื้นที่เข้าหาประชาชนอย่างสม่ำเสมอนั้นเป็นเรื่องปกติที่พึงกระทำ เหมือนเวลาสอบ แล้วเราท่องหนังสือกันอยู่เรื่อยๆ จะสอบเมื่อไหร่ก็ไม่เคยกลัว เช่นเดียวกับการเป็นนักการเมือง เป็นส.ส. ถ้าทำการบ้านและลงพื้นที่กันอยู่เรื่อยๆ จะยุบสภา จะเลือกตั้งกันปีหน้า เดือนหน้า หรือครบสมัย ก็ไม่ใช่ประเด็น

เมื่อถามถึงกรณีไพบูลย์โมเดล ที่พรรคการเมืองขนาดเล็กอาจเอาอย่าง นายวราวุธ กล่าวว่า การทำงานของพรรคชาติไทยพัฒนามีแต่มิตร ไม่สร้างศัตรู และที่สำคัญที่สุดคือเราเน้นทำงานแก้ปัญหาให้ประชาชน ไม่เน้นเล่นการเมือง รัฐมนตรีทั้ง​ 2​ คนของพรรคชาติไทยพัฒนาเราจะไม่ค่อยพูดเรื่องประเด็นทางการเมือง แต่ทำงานเพื่อประชาชนเพียงอย่างเดียว ดังนั้นหากมีแนวทางการทำงานที่คล้ายกัน พรรคชาติไทยพัฒนาจะเป็นบ้านอีกหลังหนึ่งที่พร้อมจะต้อนรับคนที่ตั้งใจทำงาน เพื่อที่แก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน

ขณะที่นายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงกรณีไพบูลย์โมเดล ที่พรรคการเมืองขนาดเล็กเอาอย่างนายไพบูลย์​ นิติตะวัน​ ส.ส.บัญชีรายชื่อ​ ยุบพรรคตัวเองเพื่อไปเข้าพรรคใหญ่ ว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินมาแล้วก็น่าจะทำได้ และเมื่อคณะกรรมการยุบพรรคนั้นๆจะทำตามก็เป็นธรรมดา ผู้ที่เป็นส.ส.ต้องหาพรรคเข้าสังกัดมิเช่นนั้นจะต้องขาดสมาชิกภาพ  ตนเห็นด้วยถ้าพรรคที่อยู่คนเดียวมีความต้องการอยากจะไปอยู่กับพรรคอื่น หรือยุบพรรคเพื่อให้พรรคตัวเองใหญ่ขึ้น​ สามารถทำได้ ส่วนหนึ่งจะได้ไม่เป็นปัญหาการนับคะแนนในอนาคต เพราะจะได้คะแนนเป็นสัดเป็นส่วนไป ซึ่งแล้วแต่ว่าจะไปรวมกันอย่างไร จะได้ไม่เป็นอย่างในอดีตที่มีเสียงวิจารณ์เรื่องปัดเศษ ในเมื่อมีความชัดเจนขึ้นว่าการนับคะแนนปาร์ตี้ลิสต์จะต้องนับแบบไหน เพราะชัดเจนอยู่แล้วว่ากาบัตร 2 ใบ อย่างไรก็ตาม หากมีเพื่อนพ้องส.ส.ต้องการย้ายเข้าพรรคชาติไทยพัฒนาก็ยินดีต้อนรับ เพื่อจะได้ช่วยกันทำงานกันต่อไป พรรคชาติไทยพัฒนาเป็นพรรคเก่าแก่ เป็นที่รู้จักของประชาชนอยู่แล้ว


 

54ปี กรมส่งเสริมการเกษตร เดินหน้า “Next Step” สู่เกษตรวิถีใหม่ ปี 2565


วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม 2564  นายเข้มแข็ง  ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่ากรมส่งเสริมการเกษตรถือเป็นหน่วยงานสำคัญที่ทำหน้าที่ในการพัฒนาเกษตรกร องค์กรเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน พัฒนาและเพิ่มศักยภาพการผลิต การแปรรูป การเพิ่มมูลค่า การพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการถ่ายทอดเทคโนโลยี และการให้บริการทางการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรมีอาชีพและรายได้ที่มั่นคง มีคุณภาพชีวิตที่ดีและพึ่งพาตัวเองได้

วันที่ 21 ตุลาคม 2564 ถือเป็นเวลากว่า 54 ปีที่กรมส่งเสริมการเกษตรได้ช่วยเหลืออยู่เคียงคู่พี่น้องเกษตรกรมาด้วยความมุ่งมั่น นับตั้งแต่การก่อตั้งกรมส่งเสริมการเกษตร เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2510 เพื่อเป็นการร่วมระลึกถึงวันแห่งความภาคภูมิใจ กรมส่งเสริมการเกษตรจึงได้จัดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมส่งเสริมการเกษตรครบรอบ 54 ปีขึ้น ณ บริเวณอาคาร 1 กรมส่งเสริมการเกษตร โดยได้รับเกียรติจากนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกล่าวแสดงความยินดีผ่านระบบออนไลน์ 

สำหรับกิจกรรมภายในงานได้จัดให้มีพิธีสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กิจกรรมปลูกต้นไม้ เนื่องในวันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ พ.ศ. 2564 การมอบเงินบริจาคแก่มูลนิธิศุภนิมิต การมอบรางวัลบุคคล หน่วยงานดีเด่น เกษตรกรดีเด่น สถาบันเกษตรกรดีเด่นระดับประเทศ และผู้ทำคุณประโยชน์กับกรมส่งเสริมการเกษตร และมอบแนวทางการดำเนินงานส่งเสริมการเกษตรแก่ข้าราชการและลูกจ้างกรมส่งเสริมการเกษตร

ทั้งนี้ ในปี 2565 กรมส่งเสริมการเกษตรวางแผน “Next Step” ขับเคลื่อนองค์กรวิถีใหม่ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ภายใต้สโลแกน “เกษตรกรก้าวทันยุคดิจิทัล ใช้เทคโนโลยีแม่นยำ เชื่อมโยงตลาดนำการผลิต” ซึ่งได้วางแนวทางไว้ 2 ส่วน คือ ส่วนแรกเป็นการปรับระบบการทำงานเข้าสู่ New Normal มุ่งพัฒนากรมส่งเสริมการเกษตรสู่การเป็น Digital DOAE เน้นพัฒนาและใช้ประโยชน์จากระบบ Big Data พร้อมยกระดับเกษตรกรให้เป็นผู้ประกอบการเกษตรยุคใหม่ (Agri-Entrepreneurs) ส่งเสริม e - Commerce และเชื่อมโยงสินค้าเกษตรเข้าสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พัฒนาระบบสนับสนุนการตัดสินใจสำหรับเกษตรกรรายบุคคล (Personalized Service) เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาและพัฒนาอาชีพของเกษตรกร ตลอดจนเตรียมกลยุทธ์รองรับ Next Normal ในอนาคตสำหรับการทำงานออนไลน์เต็มรูปแบบ ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ โดยยึดเป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ของโครงการเป็นสำคัญ และผลักดันองค์กรสู่ระบบราชการ 4.0 มุ่งเป็นหน่วยงานที่เปิดกว้างและเชื่อมโยงกัน ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง พร้อมส่งมอบบริการที่มีคุณภาพให้กับเกษตรกร ยึดหลักธรรมาภิบาล และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 

สำหรับส่วนที่ 2 คือ วางแนวทางการดำเนินงานภารกิจสำคัญ ได้แก่ การขยายผลโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ให้ครอบคลุมพื้นที่และเกษตรกรมากขึ้น ส่งเสริมการเกษตรโดยยึดหลักตลาดนำการผลิต เน้นผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยมีคุณภาพได้มาตรฐาน พัฒนาตลาดสินค้าเกษตร ทั้ง online และ offline ส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งเป็นการส่งเสริมและพัฒนาการผลิตสินค้าเกษตรตามแนวทางเศรษฐกิจชีวภาพ ยกระดับกระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน ใช้ประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่มจากเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร และส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว ด้วยการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเกษตร ขยายโอกาสให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรม พัฒนา Young Smart Farmer และ Smart Farmer ให้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการเกษตรของชุมชน พร้อมสร้างความเข้มแข็งขององค์กรเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และภาคการเกษตร ให้สามารถประกอบกิจการได้อย่างยั่งยืน และเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ขยายผลการดำเนินงานส่งเสริมการเกษตรเชิงพื้นที่ บูรณาการงาน/โครงการลงสู่พื้นที่เป้าหมาย ลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และการช่วยเหลือดูแลเกษตรกรผู้ประสบภัยพิบัติ

ด้านการเกษตร จัดทำแผนเตรียมรับมือและฟื้นฟูอาชีพการเกษตรหลังจากเกิดภัยพิบัติ โดยเฉพาะให้คำแนะนำ การเตรียมพันธุ์พืช สารชีวภัณฑ์ และปัจจัยพื้นฐานที่จำเป็น เพื่อช่วยลดต้นทุนการผลิต ให้เกษตรกรมีอาหารบริโภคในครัวเรือนและสร้างรายได้ในระยะสั้น และสามารถประกอบอาชีพการเกษตรต่อไปได้อย่างมั่นคง และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนแก่เกษตรกรในพื้นที่อย่างรวดเร็ว 

"อดีตพระยันตระ" แสดงธรรมวันออกพรรษาก่อนกลับสหรัฐ



วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศภายในสำนักสงฆ์เกพลิตาโพธิวิหาร (เก-พะ-ลิ-ตา) ตำบลหนองบอน อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว หรือคนในพื้นที่รู้จักกันว่า วัดหลวงพ่อหยกขาว ได้มีลูกศิษย์เดินทางไปฟังการแสดงธรรมจากอดีตพระอาจารย์ยันตระ อมโร หรือ อดีตพระยันตระผู้โด่งดังเมื่อหลายปีก่อน ภายในศาลาพุทธศรีอริยะเมตไตรย โดยอดีตพระอาจารย์ยันตระ แสดงธรรมให้กับลูกศิษย์ที่มีทั้งฆราวาสและพระภิกษุสงฆ์ ที่ร่วมฟังการแสดงธรรมมากกว่า 50 คน 

อดีตพระอาจารย์ยันตระ อมโร ได้พูดคุยกับทีมข่าวของเราว่า รู้สึกคิดถึงแผ่นดินเกิด คิดถึงญาติโยม โดยเฉพาะลูกศิษย์เก่าๆที่แยกย้ายไปอยู่ตามวัด หรือ สำนักต่างๆหลากหลายพื้นที่ ซึ่งหลังจากมีเรื่องมีราวตามหน้าสื่อต่างๆ อาตมาเองได้ไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่ปี 2535 แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกเรื่องราวเป็นสิ่งที่สมมุติขึ้นทั้งนั้น ส่วนการนำเสนอของสื่อมวลชน ที่ระบุว่า พระภิกษุสงฆ์ไหว้อดีตพระอาจารย์ยันตระนั้น เป็นเรื่องไม่สมควร อดีตพระอาจารย์ยันตระ ยอมรับว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีคนที่เข้าใจและไม่เข้าใจ เพราะในโลกนี้จะให้ใครเข้าใจเราทั้งหมดก็ไม่ได้ ให้เราดีขนาดไหน คนที่ไม่เข้าใจ จะมองว่าเราไม่ดีอยู่นั่นเอง ก็เลยไม่ทุกข์กับเรื่องนี้ อยู่แบบสบายๆไปดีกว่า  

อดีตพระอาจารย์ยันตระ ยังบอกอีกว่า ในช่วงสถานการณ์โรคระบาดไปทั่วโลกแบบนี้ อาตมารู้สึกสงสารทุกคน แต่ก็ยังดีใจที่ลูกศิษย์หรือญาติโยมทั้งหลายยังไม่ทิ้งธรรมะ และก็ไม่จำเป็นต้องมาก้มกราบไหว้อาตมา หลังจากนี้ อาตมาจะพำนักอยู่ที่จังหวัดสระแก้วอีก 2 คืน ก่อนจะเดินทางไปที่จังหวัดปทุมธานี และจะเดินทางกลับต่างประเทศสหรัฐในวันที่ 27 ตุลาคมนี้  


ที่มา - https://www.banmuang.co.th/news/region/255384

ตระกูลเกียรติก้องชูชัย-นักธุกิจ-อดีตคนปชป.แห่ซบ "ชทพ."



"ตระกูลเกียรติก้องชูชัย" นักการเมืองดังชัยภูมิ-นักธุกิจ-ภาคท้องถิ่น-อดีตคนปชป.แห่ สมัครสวมเสื้อชทพ. ด้าน​ "วราวุธ" เชื่อ​ อีก 1 ปีกว่าจะเลือกตั้ง

วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม 2564 ที่พรรคชาติไทยพัฒนา นายวราวุธ ศิลปอาชา ประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา นายประภัตร โพธสุธน เลขาธิการพรรคชาติไทยพัฒนา ให้การต้อนรับ นพ.บัณฑูรย์ เกียรติก้องชูชัย สมาชิกสภาจังหวัดชัยภูมิ ที่มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนา สำหรับ นพ.บัณฑูรย์  เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดชัยภูมิ และเป็นอดีตกรรมการบริหารพรรคชาติไทย ซึ่งตระกูลเกียรติก้องชูชัยถือเป็นครอบครัวนักการเมืองในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิมานาน

นอกจากนี้ ยังมีผู้มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคชาติไทยพัฒนาอีกหลายคน​  ทั้งที่มาจากภาคธุรกิจ และภาคท้องถิ่น อดีตสมาชิกพรรคการเมืองอื่น อาทิ ส.อ.คิมหันต์ ตลับนาค อดีตผู้ช่วยโฆษกพรรคประชาภิวัฒน์ และเลขาธิการคณะกรรมาธิการแก้ไขปัญหาหนี้สินแห่งชาติประจำรัฐสภารัฐสภา, นายปิยวิทย์ โกฏเพชร ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดชุมพร และสมาชิกสภาเกษตรกรแห่งชาติ, นายญาณทัศน์ หาญสุข นักธุรกิจจากจ.พะเยา, นายฐิตวัฒน์ นิธิผดุงวงศ์ อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของโรงเรียนอนุบาลแสงเรืองศึกษา เขตสาธร

โดยนายประภัตร กล่าวว่า ขอขอบคุณและชมเชยทุกคนที่มาช่วยเหลือพรรคชาติไทยพัฒนา ในการร่วมมือและขยายกิจกรรมต่างๆของพรรคชาติไทยพัฒนาเพื่อให้เป็นที่ประจักษ์กับประชาชนในหลายพื้นที่ ซึ่งประชาชนทุกคนรู้จักนายบรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 เป็นอย่างดีและเป็นที่ยอมรับกัน

ด้านนายวราวุธ กล่าวว่า ขอบคุณที่ทุกคนให้เกียรติกับพรรคชาติไทยพัฒนา ในสมัยที่เป็นพรรคชาติไทยมาจนถึงวันนี้ เราเป็นสถาบันการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดพรรคหนึ่ง ตลอดเวลาที่นายบรรหารไม่อยู่ เราอาจจะไม่ถูกตาต้องใจของหลายคน เพราะเราไม่เน้นเล่นการเมือง​  โดย 2 ปีที่ผ่านมาที่ทำงานร่วมรัฐบาลเราจะไม่เล่นการเมือง เพราะเรามีหน้าที่ทำงาน แก้ปัญหาให้กับประชาชน ซึ่งยิ่งแก้ ปัญหาก็ยิ่งเยอะ เช่นวันนี้เจอปัญหาเรื่องน้ำท่วม แล้วปีหน้าจะเจอปัญหาอะไรอีก แต่เป้าหมายเราคือการทำงานให้ประชาชน 

นายวราวุธ กล่าวว่า พรรคชาติไทยพัฒนาไม่ใช่พรรคใหญ่ แต่เป็นพรรคเสียงข้างมาก​ เราเคยเป็นมาแล้ว เป็นพรรคเหลือ 10 กว่าเสียง เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน เราเคยผ่านมาหมดแล้ว แต่สิ่งที่เรามีทำให้พรรคชาติไทยพัฒนาอยู่ได้มาจนถึงวันนี้คือ​ เราอยู่กันอย่างเป็นครอบครัว ในขณะที่ใครๆบอกว่ารัฐบาลชุดนี้ง่อนแง่น จะเลือกตั้งในเร็วๆนี้แล้ว 


"ผมเห็นว่าพูดอย่างนี้กันมาตลอด​ 2​ ปีที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าอีก 1 ปี กว่าจะเลือกตั้ง ดังนั้น​ เหลือเวลาอีกหนึ่งปี แต่เราต้องไม่ประมาท เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การทำงานในพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ เข้าถึงประชาชน รับรู้ความเดือดร้อน เอาใจเขามาใส่ใจเรา จึงจะเป็นมิติใหม่ หากเราเข้ามาเดินในสายการเมือง เพราะงานการเมืองจะไม่เหมือนกับงานธุรกิจ"

นายวราวุธ กล่าวว่า ผ่านมาหลาย 10 ปีแล้วพรรคชาติไทยพัฒนาเรายังอยู่ โดยยึดหลักการทำงานตามที่นายบรรหารเคยพูดไว้ คือ สร้างมิตร ไม่มีศัตรูทางการเมือง ทำให้ทุกพรรคการเมืองมีความไว้วางใจ ตั้งแต่พรรคชาติไทยมาถึงพรรคชาติไทยพัฒนา อีกทั้งพรรคเราไม่แบ่งว่ารุ่นใหม่รุ่นเก่า ใครที่แบ่งแยกรุ่น คือคิดผิด และเป็นความคิดที่แย่มาก เพราะการที่จะเดินไปข้างหน้าต้องใช้ประสบการณ์คนรุ่นเก่า ให้คนรุ่นใหม่เข้ามาช่วยทำงาน การผสมผสานรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่จะทำให้พรรคชาติไทยพัฒนาทำงานได้แตกต่างจากพรรคการเมืองอื่น ทำให้เราเป็นบ้านที่เป็นบ้านของทุกคน แล้วเราจะจูงมือกันเข้าสภา แต่ในปีไหนก็ยังไม่ทราบ เอาเป็นว่าเมื่อมีการเลือกตั้งแล้วกัน

 

วันพุธที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2564

กมธ.ศาสนาฯสภาฯเข้าสักการะ "พระพรหมวชิรมงคล" โอกาสเลื่อนสมณศักดิ์ชั้นรองสมเด็จ



วันที่ 20 ต.ค. 2564 เวลา 12.30 น. ที่วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร   คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม(กมธ.) สภาผู้แทนราษฎร นำโดย ส.ส.เพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล รองประธานคณะกรรมาธิการฯ พร้อมคณะได้เข้าถวายสักการะในการที่พระเดชพระคุณ พระพรหมวชิรมงคล ในโอกาสโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม เลื่อนอิสริยฐานันดรในสมณศักดิ์ สถาปนา "พระธรรมวุฒาจารย์" ขึ้นเป็น พระราชาคณะเจ้าคณะรอง โดยจากราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ มหิศรภูมิพลราชวรางกูร กิติสิริสมบูรณอดุลยเดช สยามินทราธิเบศรราชวโรดม บรมนาถบพิตร พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศว่า โดยที่ทรงพระราชดำริว่า พระสงฆ์ ซึ่งดำรงในสมณคุณ มีอุปการะยิ่งแก่การพระศาสนา สมควรจะได้เลื่อนอิสริยฐานันดรในสมณศักดิ์ สูงขึ้นมีอยู่

จึ่งทรงพระกรุณาโปรดสถาปนา พระธรรมวุฒาจารย์ ขึ้นเป็น พระราชาคณะเจ้าคณะรอง มีราชทินนามตามที่จารึกในหิรัญบัฏว่า พระพรหมมงคลวัชราจารย์ ศาสนกิจวิธานโกศล สังฆโสภณ ญาณปยุต วิสุทธศีลาจารนิวิฐ พิพิธธรรมคุณสุนทร ยติคณิสสร บวรสังฆาราม คามวาสี สถิต ณ วัดศรีสุริยวงศาราม วรวิหาร พระอารามหลวง จังหวัดราชบุรี มีฐานานุศักดิ์ตั้งฐานานุกรมได้ 8 รูป

ขออาราธนาพระคุณ จงรับธุระพระพุทธศาสนา เป็นภาระสั่งสอน ช่วยระงับอธิกรณ์และอนุเคราะห์พระภิกษุสามเณรในคณะและในพระอาราม ตามสมควรแก่กำลัง และอิสริยยศ ซึ่งพระราชทานนี้ และจงเจริญอายุ วรรณ สุข พล ปฏิภาณ คุณสารสิริสวัสดิ์ จิรัฏฐิติ วิรุฬหิไพบูลย์ ในพระพุทธศาสนาเทอญ

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม พุทธศักราช 2564

ประกาศ ณ วันที่ 18 ตุลาคม พุทธศักราช 2564 เป็นปีที่ 6 ในรัชกาลปัจจุบัน

ส.ส.เพชรวรรต กล่าวว่าหลังจากที่ คณะกรรมาธิการการศาสนาฯ ได้ถวายเปิดกรวยดอกไม้ ถวายเครื่องอัฐบริขาร แด่ พระพรหมวชิรมงคล ท่านได้เมตตาสนทนาธรรมอย่างเป็นกันเอง ท่านได้กล่าวตอนท้ายว่า “ดีใจที่มีคณะกรรมาธิการศาสนาฯ ชุดนี้ที่ทุ่มเททำงานให้กับพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง เห็นอย่างนี้ก็นอนตายตาหลับแล้ว” ซึ่งตนต้องยอมรับว่าการทำงานของกรรมาธิการฯ ทำงานกันตลอดเวลา 

แม้ก่อนที่จะเข้ามากราบ พระพรหมวชิรมงคล ก็ได้มีการประชุมเพื่อผลักดัน งบประมาณของ พ.ร.บ.พระปริยัติธรรม 2562 ซึ่งจะเชิญ กรมบัญชีกลาง สำนักงาน ก.พ.  สํานักงบประมาณ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อหารือข้อกฎหมายในการของบประมาณตาม พ.ร.บ.พระปริยัติธรรม ซึ่งขณะนี้คณะพระสงฆ์และครูผู้สอนกำลังได้รับความเดือดร้อนอยู่ โดย กมธ. ได้บรรจุเป็นงานเร่งด่วน หลังจากนั้น คณะ กมธ. ได้เข้าสักการะ  พระครูปลัดกวีวัฒน์ (ธีรวิทย์ ) ที่ได้ดำรงตำแหน่งฐานานุกรมที่ พระครูปลัดสุวัฒนสัจจคุณ อีกด้วย

 

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2564

สมเด็จพระมหาธีราจารย์ นำคณะลงเรือช่วยน้ำท่วมพระนครศรีอยุธยา



มหาเถรสมาคม โดยฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ ของมหาเถรสมาคม ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม ลงพื้นที่ถวายกัปปิยภัณฑ์แก่คณะสงฆ์เพื่อเป็นทุนตั้งต้นในการช่วยเหลือวัดและประชาชน พร้อมมอบเครื่องอุปโภค ปันน้ำใจ คนไทยไม่ทิ้งกัน ณ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 

วันที่ ๑๙ ต.ค. ๖๔ เจ้าประคุณ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม, เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, ประธาน อ.ป.ก., ประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ ในฐานะประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ ของมหาเถรสมาคม ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมผู้บริหาร เดินทางลงพื้นถวายกัปปิยภัณฑ์เพื่อเป็นทุนตั้งต้นในการช่วยเหลือวัดและประชาชนผู้ประสบอุทกภัย 


การนี้ พระธรรมรัตนมงคล จจ.พระนครศรีอยุธยา, พระราชธีราภรณ์ รจภ. ๒, พระเมธีวราภรณ์ รจจ.อยุธยา, พระปริยัตยานุกูล เลข.จภ.๒ พร้อมพระสังฆาธิการ, นางสาวนุชนาถ ประทีบธีรานันต์ รอง ผวจ.พระนครศรีอยุธยา, นายประดับ โพธิกาญจนวัตร พศจ.พระนครศรีอยุธยา, นายอำเภอบางบาล, ปลัดอำเภอเสนา, พร้อมผู้บริหาร ข้าราชการ องค์กรภาคีเครือข่าย ร่วมถวายกัปปิยภัณฑ์ เครื่องสมณบริโภคและมอบเครื่องอุปโภค จำนวน ๒๐ วัด และวัดกลาง อำเภอเสนา รวมจำนวน ๑๐ วัด โดยจัดถวายแก่เจ้าอาวาสและผู้แทนวัดที่ประสบอุทกภัย เพื่อนำไปมอบส่งต่อกำลังใจแก่สาธุชนผู้ประสบอุทกภัย ในพื้นอำเภอบางบาล และอำเภอเสนา พร้อมพื้นที่ใกล้เคียงต่อไป  


ขอบคุณเพจ - พระมหาวีรพล ธรรมะอารมณ์ดี 

วัดวังไทรจัดงานทำบุญทอดกฐินสามัคคีปี 2564 เชิญร่วมบริจาคสร้างมณฑบสมเด็จองค์ปฐม



วัดมหาชัยวนาราม (วัดวังไทร) ต.วังไทร อ.ปากช่อง  เตรียมจัดงานทำบุญทอดกฐินสามัคคี ปี 2564 ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 เชิญทำบุญร่วมสร้างมณฑป สมเด็จองค์ปฐม และบูรณะปฏิสังขรณ์ ศาสนสถานและกิจการต่างๆ

พระครูสภรชัยคุณ เจ้าอาวาสวัดมหาชัยวนาราม (วัดวังไทร) ต.วังไทร อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา เปิดเผยว่า ทางวัดเตรียมจัดงานทอดกฐินสามัคคี ปี2564  ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2564  ซึ่งตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 และตรงกับวันลอยกระทง โดยปีนี้ มีคุณย่ามาลี  ยิบยินธรรม และหลานชาย ดร.สัมฤทธิ์ ยิบยินธรรม กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท ริเวอร์โปร กรุ๊ป ให้เกียรติ เป็นประธาน และลูกหลาน ญาติ มิตร ร่วมเป็นเจ้าภาพ



ทั้งนี้ ทางวัดวังไทร กำลังดำเนินการก่อสร้างมณฑป สมเด็จองค์ปฐม และบูรณะปฏิสังขรณ์ ศาสนสถานและกิจการต่างๆ ในวัดเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนาให้ยาวนานสืบไป เพื่อให้เป็นที่ยึดเหนี่ยว ที่พึ่งอันประเสริฐของพุทธศาสนิกชน  ก่อนหน้านี้ ทางวัดได้จัดสร้างหลวงพ่อทวด และมณฑปหลวงพ่อทวด หลวงพ่อผาสุก และพระสิวลี ซึ่งเป็นที่เคารพกราบไหว้ของพุทธศาสนิกชน ในหมู่บ้าน และผู้มีจิตรศรัทธา

สำหรับ ความคืบหน้าในการก่อสร้างมณฑป คาดว่า ก่อนออกพรรษา ทางจะวัดจะสามารถติดตั้งช่อฟ้า 12 ชุด และ ยอดมณฑป ซึ่งเป็นฉัตรที่ทำด้วยสแตนเลส เพื่อความคงทนสวยงาม

ทั้งนี้ สมเด็จองค์ปฐม ปางมหาจักรพรรดิ เป็นการหล่อด้วยเนื้อสัมฤทธิ์ ทองแดง ที่ถือว่า ใหญ่สุดในโลก ขนาดหน้าตัก 52 นิ้ว เนื่องจากการหล่อทำได้ยาก ต้องระมัดระวังและปราณีตมาก ทำให้เป็นพระพุทธรูปสวยงามอีกองค์หนึ่ง ตรงตามหลักพุทธศิลป์

“ผู้ที่ร่วมบุญ เพียงอธิษฐานจิตไว้ เพราะหลายท่านอาจไม่เคยทำบุญ ช่อฟ้า(เป็นของสูง) แต่สูงสุด คือ ฉัตร ในชีวิตนี้น้อยคนนัก ที่จะได้ร่วมบุญ ประเภทนี้ เพื่อความมั่นคง แข็งแรง ปกป้องคุ้มภัย สูงส่งสง่างาม และเสริมอำนาจบารมี ใครได้ทำบุญสร้างมณฑป เป็นที่ประดิษฐาน ของสมเด็จองค์ปฐม และเหมือนได้ร่วมร่วมสร้างเจดีย์ ไปในคราวเดียวกัน นับเป็นโอกาสดี มีไม่บ่อยนัก”พระครูสุภรชัยคุณ กล่าว

ขณะที่ นายธัชชัย โชติจันทึก กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอฟ พรอพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด ในฐานะดำเนินการเตรียมจัดงานกฐินสามัคคี เปิดเผยว่า  “บุญกฐิน วัดมหาชัยวนาราม”  เป็นกฐินล่วงหน้า เพื่อ “สร้างมณฑป สมเด็จองค์ปฐม” ซึ่งใช้งบประมาณสูง กว่าแล้วเสร็จอาจใช้เวลาหนึ่งถึงสองปี และในระหว่างการก่อสร้าง ทางวัดยังได้มีการสร้างพระสมเด็จ บรรจุใต้ฐานสมเด็จองค์ปฐม วางแผนไว้ไม่น้อยกว่า หนึ่งแสนองค์,ทำสีสมเด็จองค์ปฐม เป็นสีทองคำ ,ทำสีพระสีวลีทางขึ้นศาลาการเปรียญ,การสร้างพระพุทธสิหิงค์ เป็นของสมนาคุณกับผู้ร่วมทำบุญผาติกรรม,การสร้างหลวงปู่ทวด ขนาดหน้าตักสองนิ้ว ให้ผู้สนใจบูชาไปกราบไหว้บูชา ซึ่งทุกงานเป็นงานเพื่อบูรณะ ปฏิสังขรณ์ ซ่อมแซม เสนาสนะ ต่างๆของวัด เพื่อบำรุงพระพุทธศาสนา สืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยาวนานเป็นที่พึ่งที่ระลึก ของพุทธศาสนิกชน ได้มีที่พึ่งอันประเสริฐ เป็นพุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ

“ทำบุญด้วยความศรัทธา ทำบุญด้วยความรักต่อพระพุทธศาสนา รักต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อถวายเป็นของสงฆ์ เป็นของพระพุทธศาสนา อานิสงส์มาก “

พุทธศาสนิกชน ที่มีจิตศรัทธา แต่ไม่สามารถเดินทางมาทำบุญที่วัดได้ สามารถร่วมทำบุญบริจาคทอดกฐินสามัคคีสมทบสร้างมณฑป และบำรุง ปฏิสังขรณ์ศาสนสถานของทางวัดได้ ตามกำลังศรัทธา โดยโอนเงินเข้าบัญชี”วัดมหาชัยวนาราม “ธนาคารกรุงไทย เลขที่ 3030529614 แจ้งการทำบุญ ที่ไอดีไลน์(eed0604) หรือสอบถามเพิ่มเติมที่ พระครูสภรชัยคุณ (เจ้าอาวาส) 086-249-1215 นายธัชชัย โชติจันทึก 086-377-9815 ร.ต.อ.นิยม เปลื่องกลาง 095-289-1416 นายสันติ โชติจันทึก 087-990-7253 และ ดร.สิริวิทย์ บ่อจันทึก 081-307-3211

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2564

บั้นปลายของชีวิต! พระธรรมรัตนาภรณ์ขอมุ่ง บำเพ็ญสมณธรรมอย่างเต็มที่


เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เพจวัดเขียนเขต พระอารามหลวง   จ.ปทุมธานี ได้โพสต์ข้อความว่า 

“ขออนุโมทนาขอบคุณขอบใจ คณะสงฆ์ คณะศิษย์ และชาวพุทธทั้งหลาย ที่ต่างได้ให้กำลังใจ แสดงความห่วงใย ร่วมกันร้องขอความเป็นธรรมจากการที่มหาเถรสมาคมมีมติรับทราบการถอดถอนออกจากตำแหน่งเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ซึ่งกรณีนี้ เชื่อว่ากาลเวลาและการกระทำของอาตมภาพที่ผ่านมา คงจะเป็นเครื่องพิสูจน์ความจริงทุกอย่างได้ดีที่สุด ส่วนความถูกผิดนั้นขอให้ท่านทั้งหลายเป็นผู้พิจารณา สิ่งใดที่ท่านทั้งหลายได้ดำเนินการด้วยความปรารถนาดีต่ออาตมภาพแล้ว ขอให้เป็นไปตามกระบวนการ แต่ทว่าจากนี้ไปในส่วนตัวของอาตมภาพนั้น ขอเป็นอันยุติ

ในส่วนของตำแหน่งหน้าที่เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ที่ได้ปฏิบัติงานสนองการคณะสงฆ์มา 16 ปี อาตมภาพได้เคยปรารภกับพระสงฆ์ในวัด พระสงฆ์ที่ใกล้ชิด รวมถึงญาติโยมบางส่วนไว้ก่อนหน้านี้ว่า เมื่ออายุครบ 72 ปี คือในปี พ.ศ.2565 อาตมภาพมีความตั้งใจจะขอยุติการทำหน้าที่ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้เข้ามาขับเคลื่อนพัฒนางานของการคณะสงฆ์ให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป อีกทั้ง อาตมภาพจะได้ใช้เวลาช่วงบั้นปลายของชีวิต บำเพ็ญสมณธรรมอย่างเต็มที่ ฝึกฝนอบรมตน เจริญจิตภาวนา สร้างวัด ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาตามกำลังศักยภาพ 

ในห้วงขณะนี้ แม้จะมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น อาตมภาพ ยังคงยึดมั่นในมโนปณิธานที่ว่า ชีวิตนี้เพื่อพระพุทธศาสนา หากสติปัญญาความสามารถยังมีประโยชน์ต่อการพระศาสนา อาตมภาพยังคงมีความพร้อมที่จะรองรับสนองงานตามที่คณะสงฆ์มอบหมาย รวมถึงยังคงมุ่งมั่นตั้งใจขับเคลื่อนภารกิจที่รับผิดชอบในฐานะประธานอนุกรรมการโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข ส่วนกลาง ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดตามที่ฝ่ายสาธารณูปการของมหาเถรสมาคมได้มอบหมายไว้อย่างเต็มกำลังความสามารถต่อไป”

พระธรรมรัตนาภรณ์ 

เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต พระอารามหลวง

ประธานอนุกรรมการโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข ส่วนกลาง ฝ่ายสาธารณูปการของมหาเถรสมาคม  


 

 

"สุวัจน์" โล่งอก! พระนอน 1,300 ปี อ.สูงเนิน พ้นวิกฤตน้ำท่วม



เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2564 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ  อดีตรองนายกรัฐมนตรี  ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา  กล่าวว่า จากสถานการณ์น้ำท่วมหนักที่จ.นครราชสีมา ผลกระทบจากอิทธิพลพายุ “คมปาซุ” ทำให้มีฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันในหลายพื้นที่ของจังหวัดนครราชสีมา ส่งผลให้มวลน้ำก้อนใหญ่ไหลหลากและเอ่อล้นตลิ่ง เข้าท่วมบ้านเรือนและเส้นทางสัญจรต่างๆ โดยโครงการชลประทานนครราชสีมา ได้ออกประกาศด่วนที่สุด ให้ประชาชนเฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์น้ำที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำตามเส้นทางน้ำ ได้แก่ อำเภอสีคิ้ว  อำเภอสูงเนิน  อำเภอขามทะเลสอ  อำเภอเมืองนครราชสีมา อำเภอเฉลิมพระเกียรติ  โดยเฉพาะที่อำเภอสูงเนิน มวลน้ำทะลักเข้าท่วม "พระนอนหินทราย" อายุกว่า 1,300 ปี วัดธรรมจักเสมาราม อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา และบ้านเรือนกว่า 160 หลังคาเรือน ในพื้นที่บ้านแปะโนนไฮ ตำบลเสมา ระดับน้ำสูงกว่า 1 เมตร เจ้าหน้าที่ต้องช่วยชาวบ้านอพยพคน สัตว์เลี้ยง และทรัพย์สินขึ้นไปไว้บนที่สูง

นายสุวัจน์ กล่าวว่า ตนมีความเป็นห่วง"พระนอนหินทราย" อายุกว่า 1,300 ปี เป็นอย่างยิ่งเพราะสถานที่แห่งนี้ เป็นโบราณสถานคู่บ้านคูเมืองของคนสูงเนิน และมีความผูกพันกับพรรคชาติพัฒนามาตั้งแต่สมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี และตัวผมตั้งแต่เป็นส.ส.สมัยแรก จึงได้มอบหมายให้ศูนย์ตนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกัน ร่วมกับพรรคชาติพัฒนา เร่งลงพื้นที่กู้ "พระนอนหินทราย"และวางแผนป้องกันน้ำท่วมแบบยั่งยืน เพราะเมื่อปี 2554 ท่วมครั้งแรก มาปี 2564 ท่วมเป็นครั้งที่ 2

ด้าน น.พ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล  ผอ.ศูนย์ตนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกัน กล่าวว่าศูนย์ฯได้ประสานงานมายังเจ้าอาวาส ผู้ใหญ่บ้าน ในการสูบน้ำโดยมอบน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับสูบน้ำ 5 เครื่อง และกระสอบทราย 1,000 กระสอบ ทำเป็นเขื่อนกั้นน้ำรอบศาลาองค์พระนอน โดยได้รับความร่วมมือจากกองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 21 และกองพันทหารช่างที่ 3 กองทัพภาคที่ 2 

นอกจากนี้ ทางศูนย์ได้เชิญเจ้าหน้าที่กรมศิลปากร จังหวัดนครราชสีมา เข้าประเมินความเสียหายและนัดหมายวางแผนในการบูรณะองค์พระนอน หลังจากสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติว่าเราจะทำอะไรกันได้บ้าง

"คุณสุวัจน์ อยากให้ทุกภาคส่วนมาร่วมกันบูรณาการวางแผนในการแก้ปัญหาน้ำท่วมแบบยั่งยื่น และบูรณะองค์พระนอนหินทราย อายุกว่า 1,300 ปี ให้เป็นมรดกของคนโคราชสืบไป" นพ.วรรณรัตน์ กล่าว

ด้าน พระครูธรรมจักรเสมารักษ์ เจ้าอาวาสวัดธรรมจักรเสมาราม เล่าว่าน้ำไหลเข้าท่วมวัดตั้งแต่เวลา 07.00 น. เมื่อวานนี้ ( 17 ต.ค.64) และเพิ่มระดับความสูงขึ้นเรื่อยๆ ตลอดทั้งวันระดับน้ำสูงถึงหน้าอกองค์พระก็กลัวว่าน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นกว่านี้ เมื่อช่วงเช้าวันนี้ เวลา 07.00น.  จึงตัดสินใจเอาเครื่องสูบน้ำชาวบ้าน จำนวน 5 เครื่องมาระบายน้ำออก และมีเครื่องสูบน้ำของทหารช่างมาช่วยอีก 1 เครื่อง ได้น้ำมันจากศูนย์ตนโคราชรักจริงไม่ทิ้งกันมาช่วย และเอากระสอบทราย 1,000 กระสอบมาทำเป็นเขื่อนกันน้ำ ตอนนี้ระดับน้ำลดลงและควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว มีเจ้าหน้าที่ทหารเฝ้าสังเกตการณ์ด้วย

"ท่านพล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ กับคุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ มีความผูกพันกัยวัดธรรมจักรเสมาราม มาก เมื่อปี 2535 ท่านชาติชาย เป็นนายกฯ ได้มาวางศิลากฤษ สร้างอาคารศาลาแห่งนี้ ไว้สำหรับคุมองค์พระนอน" เจ้าอาวาส กล่าว

ปลัดมหาดไทยตั้ง"เจ้าคุณเสียดายแดด-ผอ.ศูนย์พุทธธรรมสมเด็จพระมหาธีราจารย์"เป็นที่ปรึกษา



วันที่ 18 ตุลาคม 2564 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ลงนามคำสั่งกระทรวงมหาดไทย ตั้งที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย  เพื่อให้การขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงมหาดไทยเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและเพื่อประโยชน์ของทางราชการอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 จึงแต่งตั้งที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทยจำนวน 2 รูป ดังนี้



1.พระปัญญาวชิรโมลี เจ้าอาวาสวัดป่าแสงธรรม ต.ห้วยยาง อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี

2.พระพิพัฒน์วชิโรภาส ผู้อำนวยการศูนย์พุทธธรรมสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ป่าดงใหญ่วังอ้อ ต.หัวดอน อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี


โดยมีหน้าที่ให้คำปรึกษาและเสนอแนะแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมในประเด็นต่าง ๆ ที่เห็นว่ามีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อการบริหารและการขับเคลื่อนงานของกระทรวงมหาดไทย

โปรดเกล้าฯสถาปนาสมณศักดิ์ พระอนุชาในสมเด็จพระสังฆราช ขึ้นชั้นรองสมเด็จที่พระพรหมมงคลวัชราจารย์



วันที่ 18 ตุลาคม 2564   เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสถาปนาสมณศักดิ์ชั้นรองสมเด็จความว่า 



ทั้งนี้พระพรหมมงคลวัชราจารย์ (ไสว วัฑฒโน)  เป็นพระอนุชาในสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อัมพร อัมพโร) สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ปัจจุบัน สิริอายุ 90 ปี พรรษา 70 ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดราชบุรี ธรรมยุต และเจ้าอาวาสวัดศรีสุริยวงศาราม พระอารามหลวง ต.หน้าเมือง อ.เมือง จ.ราชบุรี


พระพรหมมงคลวัชราจารย์ มีนามเดิมว่า ไสว ประสัตถพงศ์ เกิดเมื่อวันพุธที่ 17 ธ.ค.2474 ที่หมู่ 1 ต.บางป่า อ.เมือง จ.ราชบุรี บิดา-มารดา ชื่อ นายนับและนางตาล ประสัตถพงศ์ ครอบครัวมีพี่น้อง 9 คน เป็นบุตรคนที่ 4 


ในช่วงเยาว์วัย เรียนจบชั้น ป.4 จากโรงเรียนวัดพเนินพลู ต.บางป่า ซึ่งเป็นโรงเรียนใกล้บ้าน เมื่อเรียนจบ จึงขอบรรพชาเพื่อศึกษาพระธรรมและทดแทนพระคุณ เข้าพิธีบรรพชาที่วัดตรีญาติ ต.บางป่า อ.เมืองราชบุรี โดยมีพระครูเมธีธรรมานุยุต (เม้ย มันตาสโย) เจ้าอาวาสวัดราษฎร์เมธังกร ต.บางป่า เป็นพระอุปัชฌาย์


กระทั่งอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ จึงเข้าพิธีอุปสมบท เมื่อวันที่ 21 พ.ค.2495 ที่วัดศรีสุริยวงศาราม อ.เมือง จ.ราชบุรี โดยมีพระศรี ธรรมานุศาสน์ เป็นพระอุปัชฌาย์ 


พ.ศ.2491 พระศรีธรรมานุศาสน์ ได้รับพระบัญชาจาก พระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ให้เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีสุริยวงศาราม จึงได้มอบหมายให้เป็นพระเลขานุการ คอยติดตามและปฏิบัติศาสนกิจตลอดเวลาได้เรียนรู้การเป็นพระนักปกครองและพระนักพัฒนาที่ดีจากผู้เป็นพระอาจารย์


กระทั่งปี พ.ศ.2525 พระศรีธรรมานุศาสน์ มรณภาพท่านได้แต่งตั้งเป็นผู้รักษาการเจ้าอาวาสวัดศรีสุริยวงศาราม และรักษาการเจ้าคณะอำเภอเมือง-อำเภอบางแพ


พ.ศ.2526 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดศรี สุริยวงศาราม รูปที่ 2 และเจ้าคณะอำเภอเมืองราชบุรี


ครั้นเมื่อได้รับการแต่งตั้ง สานงานการพัฒนาต่อจากพระอาจารย์ โดยเฉพาะการบูรณะพระอุโบสถ จัดสร้างศาลาการเปรียญ เพื่อให้ประชาชนได้สะดวกในการประกอบงานบุญ บูรณะกุฏิหลังเก่า อีกทั้งสร้างหอระฆัง จัดระเบียบพื้นที่ภายในวัดให้กว้างขวางมากขึ้น ด้วยแต่เดิมบริเวณวัดค่อนข้างแคบมาก ประชาชนมาร่วมพิธีทางศาสนาค่อนข้างลำบาก


ลำดับงานปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2525 รักษาการเจ้าอาวาสวัดศรีสุริยวงศาราม และรักษาการเจ้าคณะอำเภอเมืองและอำเภอบางแพ ฝ่ายธรรมยุต พ.ศ.2526 เป็นเจ้าอาวาสวัดศรีสุริยวงศาราม และเป็นเจ้าคณะอำเภอเมือง-อำเภอบางแพ


พ.ศ.2547 เป็นพระอุปัชฌาย์และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าคณะจังหวัดราชบุรี ฝ่ายธรรมยุต


พ.ศ.2558 เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดราชบุรี ธรรมยุต


ลำดับสมณศักดิ์ พ.ศ.2514 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ในราชทินนามที่ พระครูอุดมบัณฑิต พ.ศ.2520 ได้รับพระราชทาน เลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในราช ทินนามเดิม


พ.ศ.2535 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะสามัญ ในราชทินนามที่ พระสิริวัฒนสุธี พ.ศ.2541 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราช ในราชทินนามที่ พระราชวราภรณ์


พ.ศ.2547 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นเทพ ในราชทินนามที่ พระเทพสุเมธี


วันที่ 28 ก.ค.2562 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์ เป็นพระราชาคณะชั้นธรรม ในราชทินนามที่ พระธรรมวุฒาจารย์





หนังสือน่าอ่าน

พุทธศาสตร์
ไสยศาสตร์
 ตำราไสยศาสตร์
โหราวิทยา เล่มหนึ่ง ผูกดวง รวบรวมโดย รัตน์
โหราวิทยา เล่มสอง บุพพภาคแห่งโหราศาสตร์
โหราวิทยา เล่มสี่ กำลังดาวเคราะห์และเรือนชตา รวบรวมโดยรัตน์
ตำราเทวดานพเคราะห์ และวิธีรักษาอุโบสถ
ชาติพันธุ์




โครงสร้างนิยายเรื่อง "น่านรัก"

โครงสร้างนิยายเรื่อง "น่านรัก" 1. บทนำ เปิดเรื่อง : สันติสุข ชายหนุ่มนักเขียนนิยายธรรมะที่ต้องการค้นหามิติใหม่ของการเล่าเรื่องธรรม...