วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2564

สาวผู้นี้คิดอย่างไรจึงเปลี่ยนมานับถือพุทธ..



“พุทธศาสนาไม่ใช่เทวนิยม แต่เป็นอะไรที่มีคุณค่ากว่านั้น”

       เอลยานี ยูซุฟกล่าวว่า  “ฉันถูกวิจารณ์เยอะเลย พอบอกว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ… คนทั่วไปมักเข้าใจว่า พุทธศาสนาก็เหมือนเทวนิยมอื่นๆ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ ฉันเองก็เคยเข้าใจแบบนั้น ก่อนที่จะได้รู้จัก จนได้ศึกษา...

       อย่างแรกเลย คำว่า "Religion" ด้วยรากศัพท์แล้ว หมายถึง "ระบบความเชื่อ ที่เน้นศรัทธาและการบูชาต่อพระผู้เป็นเจ้า"...

หลังจากที่ฉันมีโอกาสเดินทางไปที่อินเดียและเนปาล และมีโอกาสเที่ยวชมพุทธสถานต่างๆ ฉันได้สังเกตเห็นว่า พุทธศาสนาไม่ใช่ระบบความเชื่อดังกล่าว ที่เน้นศรัทธาและการบูชาต่อพระผู้เป็นเจ้า ชาวพุทธไม่ได้เชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ช่วยให้รอด ที่มีอำนาจบันดาลดีร้ายได้ เป็นเพียงมนุษย์เหมือนอย่างเราท่าน คือเป็นครู ผู้ชี้เหตุและทางแห่งการพ้นทุกข์ ก็เท่านั้น แม้พระองค์จะเป็นผู้ทรงคุณด้วยเหตุ เป็นผู้ชี้ทางให้สรรพสัตว์พ้นจากการเวียนว่ายในสังสารวัฏ แต่ก็ไม่ทรงปรารถนาให้ใครมาบูชาหรืออ้อนวอนต่อพระองค์ สิ่งเดียวที่ทรงเน้นย้ำก็คือ การได้พิจารณาคำสอนของพระองค์ก่อน ซึ่งถ้าเห็นด้วยปัญญาของตนแล้วว่าเป็นกุศล คือปฏิบัติตามแล้วเกิดเป็นความสุขความเจริญ ก็ให้น้อมนำไปประพฤติปฏิบัติ แต่ถ้าเห็นว่าไม่ใช่ ก็ไม่มีการบังคับขู่เข็ญใดๆ ให้ต้องมาเชื่อ

ฉันได้เห็นพิธีกรรมต่างๆ มากมาย ตามวัดและสำนักสงฆ์ต่างๆ แต่พิธีกรรมเหล่านั้น ไม่ใช่เพื่อการสวดอ้อนวอนร้องขอ อำนาจดลบันดาลใดๆ แต่เป็นการแสดงการบูชา คือแสดงความเคารพและสำนึกคุณ ต่อผู้ที่ได้ชี้ให้เห็นสัจธรรมความเป็นจริงของชีวิต ก็เท่านั้น ซึ่งในบทบูชาเอง ก็ล้วนเป็นการกล่าวถึงความรัก ความเมตตา ที่ทรงมีต่อสรรพสัตว์ โดยไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณทั้งสิ้น

และเมื่อยิ่งมองลึกลงไป พุทธศาสนาไม่มีผู้นำสูงสุด ไม่มีศาสนจักรที่จะมามีอำนาจชี้นำหรือชี้เป็นชี้ตายในชะตากรรมของใครได้... งั้นถ้าพุทธศาสนาไม่ใช่เทวนิยม แล้วพุทธศาสนาคืออะไร? สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้ก็คือ พุทธศาสนาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตรูปแบบหนึ่งเพียงเท่านั้น เป็นปรัชญาที่บอกความจริงของชีวิตตามที่มันเป็นจริง... ฉันยอมรับ และก็ไม่อายที่จะบอกด้วยว่า พุทธศาสนาสอนให้ฉันเข้าใจรากเหง้าตัวเอง คือระบบความเชื่อ ซึ่งฉันได้เติบโตมา รวมถึงระบบความเชื่อต่างๆ ที่มีอยู่บนโลกใบนี้ 

ก่อนฉันจะได้รู้จักพุทธศาสนา คัมภีร์ของศาสนาเดิมของฉัน เป็นอะไรที่ไม่ต่างกับตำราเรียนภาษาจีนเล่มใหญ่เลย ฉันไม่เข้าใจว่า ทำไมฉันต้องสวดอ้อนวอน ต้องทำนั่นทำนี่ แบบนั้นแบบนี้ หรือต้องเชื่อในสิ่งที่ผู้นำศาสนาบอก โดยไม่อาจสงสัยหรือตั้งคำถามได้ 

ก่อนหันมานับถือพุทธ ฉันจึงเหมือนถือศาสนาตามบรรพบุรุษไป เขาบอกให้สวดอ้อนวอนพระเจ้าก็สวดไป หวังพึ่งพาแต่กับอำนาจภายนอก โดยไม่เคยหันมาพิจารณาจิตใจของตัวเองซึ่งอยู่ข้างใน และนั่นเอง ที่เป็นสาเหตุให้ฉันไม่เคยเข้าใจตัวเองเลย

พุทธศาสนาสอนให้ฉันพิจารณาตนเองจากภายใน สอนอิสรภาพของจิต และการรู้ตัวอยู่เสมอ พุทธศาสนาทำให้ฉันเข้าใจโลกรอบตัวเอง ฉันเริ่มตระหนักว่า อะไรที่ฉันเองเป็นผู้กระทำ ย่อมส่งผลย้อนกลับมาหาตัวเองเสมอ ไม่ทางกาย ก็ทางความคิด หรือทางอารมณ์ ไม่ได้เกิดจากอำนาจการดลบันดาลจากพระเจ้าที่ไร้ตัวตนเลย

พุทธศาสนาสอนฉันให้เข้าใจว่า พระเจ้าไม่ได้เป็นผู้ตัดสินที่จ้องมองฉันมาจากที่ไหนสักแห่ง ความเชื่อมโยงผูกพันระหว่างฉันกับพระเจ้ามันได้จบสิ้นลงไปแล้ว ทุกอย่างไม่ได้มาจากภายนอก ทุกอย่างล้วนเกิดจากข้างใน!

คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ แล้วการได้ศึกษาและปฏิบัติ ตามหลักธรรมในทางพุทธศาสนา ดีอย่างไร? ทุกคนไม่อาจเชื่อเหมือนกัน ฉันรู้ มันจึงไม่ผิดถ้าฉันจะเปิดใจ สงสัย หรือขบคิดในสิ่งต่างๆ รอบตัว อันเป็นการเปิดโลกทัศน์ของคนเราให้กว้างไกลออกไป

พุทธศาสนาไม่เคยสอนให้ฉันต้องศรัทธาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่สนว่าฉันเป็นใครมาจากไหน หรือเคยนับถืออะไรมา พุทธศาสนาสนแค่ว่า อะไรคือสัจธรรมความจริง และหนึ่งในสัจธรรมนั้นก็คือ "สรรพสิ่งล้วนมีความแปรเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา"

พุทธศาสนามิได้เล็งเห็นประโยชน์ จากการที่มีคนหันมานับถือมากขึ้น แต่ประโยชน์ย่อมเกิดขึ้น กับตัวผู้ที่น้อมนำหลักธรรมในทางพุทธศาสนาไปยึดถือและปฏิบัตินั่นเองต่างหาก ที่คือเป้าหมายของพุทธศาสนา คือการเข้าใจชีวิต เข้าใจโลก และเข้าใจตนเอง

ที่มา - http://www.elephantjournal.com/.../buddhism-is-not-a.../

อีก 1 ตัวอย่าง ดูที่ https://pantip.com/topic/39980797

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ธรรมะกับประชาธิปไตยไยห่วงใยสถาบันศาสนา

การวิเคราะห์ประชาธิปไตยในปริบทพุทธสันติวิธีชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการนำหลักธรรมมาประยุกต์ใช้ในระบอบประชาธิปไตย เพื่อลดความขัดแย้ง สร้างควา...