ເນື້ອເພງ : ດຣສົມພົງສ໌
ທຳນອງ - ຮ້ອງໂດຍ : suno
คลิกฟังเพลงที่นี่
ท่อนที่ 1
เธอคือเพื่อนที่เคยผ่านพบ
ลืมเลือนอดีตนั้นยังจำ
หากวันนั้นฉันทำเธอเศร้า
แต่ใจเราก็ยังรักแท้เสมอ
ท่อนที่ 2
หากล้มลง รู้ใจยอมรับ
ฝ่าผ่านไปเพื่อให้เธอเห็น
คำว่าผิดของฉันเมื่อวันวาน
ขอเธอยอมรับบ้างในวันนี้
คอรัส
เพราะอภัย คือภูเขาสูงที่เราข้ามได้
ทลายความโกรธที่เผาใจด้วยรัก
ให้กอดเก็บไว้ในวันที่รักพาไป
อ้อมกอดอภัยจะพาเราไกลกว่าเดิม
บทความทางวิชาการ: การจัดการความโกรธและความรับผิดชอบในอัจจยสูตร
ชื่อบทความ: “การยอมรับและให้อภัย: แนวทางจัดการความโกรธและความรับผิดชอบจากอัจจยสูตร”
บทนำ
อัจจยสูตรเป็นพระสูตรหนึ่งในพระไตรปิฎก เล่มที่ 15 พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ที่พระพุทธเจ้าแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการรู้จักยอมรับความผิดและการให้อภัย ซึ่งถือเป็นคุณธรรมสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างสันติสุขในสังคม โดยเรื่องราวในพระสูตรนี้มีความเกี่ยวข้องกับการโต้เถียงกันของภิกษุสองรูป ซึ่งทำให้เกิดข้อคิดที่สำคัญเกี่ยวกับการควบคุมความโกรธและการปฏิบัติตนอย่างมีสติ
สาระสำคัญของอัจจยสูตร
เนื้อหาในอัจจยสูตรกล่าวถึงภิกษุสองรูปที่โต้เถียงกันจนมีผู้หนึ่งกล่าววาจาล่วงเกิน ซึ่งเมื่อเขาเห็นความผิดพลาดแล้วก็ได้แสดงความขอโทษ แต่ภิกษุอีกรูปหนึ่งไม่ยอมรับคำขอโทษนั้น พระพุทธเจ้าทรงอธิบายถึงการกระทำเช่นนี้ว่าเป็นการกระทำของ "คนพาล" โดยแบ่งคนพาลเป็นสองประเภท ได้แก่
ผู้ที่ไม่เห็นโทษโดยความเป็นโทษ: คือผู้ที่ไม่เห็นความผิดของตนเองและไม่ยอมรับว่าตนเองผิด
ผู้ที่ไม่ยอมรับความผิดตามสมควรแก่ธรรม: คือผู้ที่ไม่ยอมรับคำขอโทษหรือการแก้ไขของผู้อื่น
ในทางตรงข้าม “บัณฑิต” หมายถึงผู้ที่มีปัญญาและมีความรับผิดชอบ ซึ่งแบ่งออกเป็นสองประเภทเช่นกัน คือ
ผู้ที่เห็นโทษโดยความเป็นโทษ: ยอมรับความผิดพลาดของตนเองอย่างตรงไปตรงมา
ผู้ที่ยอมรับคำขอโทษตามสมควรแก่ธรรม: พร้อมยอมรับและให้อภัยเมื่อผู้อื่นขอโทษ
หลักธรรมและแนวคิดเชิงปรัชญาในอัจจยสูตร
อัจจยสูตรสะท้อนให้เห็นถึงการจัดการกับความโกรธและความรับผิดชอบ โดยพระพุทธองค์ทรงสอนให้มนุษย์รู้จักควบคุมความโกรธและให้อภัยแก่ผู้อื่น หลักธรรมในพระสูตรนี้สามารถประยุกต์ใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความสัมพันธ์ในสังคมได้ดังนี้:
การจัดการความโกรธ: ในพระสูตรกล่าวถึงคำสอนของท้าวสักกะที่ตรัสว่า "ขอความโกรธจงตกอยู่ในอำนาจของท่านทั้งหลาย" ซึ่งหมายความว่าเราควรใช้ปัญญาควบคุมความโกรธ เพราะความโกรธเปรียบเสมือนภูเขาที่สามารถทลายผู้ที่ไม่สามารถควบคุมมันได้
การให้อภัยและรับผิดชอบ: การขอโทษและให้อภัยเป็นการสร้างความสงบสุขในสังคม ซึ่งช่วยลดความขัดแย้งและเสริมสร้างมิตรภาพให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น การปฏิบัติตามหลักนี้จะช่วยให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวและสังคม
การฝึกตนให้เป็นบัณฑิต: การเป็นบัณฑิตหมายถึงการรู้จักยอมรับความผิดและความผิดพลาดของตนเอง ตลอดจนการยอมรับคำขอโทษของผู้อื่น โดยมุ่งเน้นการมีปัญญาและใจที่เปิดกว้าง
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
เพื่อนำหลักธรรมและแนวคิดจากอัจจยสูตรมาใช้ในการเสริมสร้างสังคมที่สงบสุขและสันติสุข ควรมีนโยบายที่ส่งเสริมการจัดการความขัดแย้ง การให้อภัย และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการยอมรับความผิด ดังนี้:
ส่งเสริมการฝึกอบรมด้านการจัดการความโกรธ: จัดการอบรมเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ การรู้จักให้อภัย และการจัดการความขัดแย้งในที่ทำงาน โรงเรียน และชุมชน
การส่งเสริมวัฒนธรรมการขอโทษและการให้อภัย: รณรงค์ให้บุคคลในสังคมเห็นคุณค่าของการขอโทษเมื่อทำผิดและการให้อภัยเมื่อผู้อื่นสำนึกผิด ซึ่งจะช่วยลดการเกิดความขัดแย้งในสังคม
สนับสนุนการพัฒนาทักษะการสื่อสารเชิงบวก: ส่งเสริมการใช้ภาษาที่สร้างสรรค์ในการสื่อสารเพื่อลดความเข้าใจผิดและขัดแย้ง ซึ่งจะช่วยให้ทุกฝ่ายเข้าใจกันมากขึ้น
การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
อัจจยสูตรสามารถนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตได้หลายวิธี เช่น
ฝึกความอดทนและความสงบเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ทำให้โกรธ
ใช้ปัญญาพิจารณาโทษของการไม่ยอมรับความผิดพลาดของตนเองหรือไม่ให้อภัยผู้อื่น
ส่งเสริมการสื่อสารที่สร้างสรรค์และไม่วิพากษ์วิจารณ์โดยไม่จำเป็น
เอกสารอ้างอิง
พระไตรปิฎกเล่มที่ 15 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 7 สังยุตตนิกาย สคาถวรรค https://84000.org/tipitaka/read/r.php?B=15&A=7732
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น