วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2567

มนต์เพลงพุทโธจีพีที - กัจจานโคตตสูตร : เส้นทางกลางแห่งใจ

 ເນື້ອເພງ : ດຣສົມພົງສ໌

ທຳນອງ - ຮ້ອງໂດຍ : suno  

 คลิกฟังเพลงที่นี่

เพลง: เส้นทางกลางแห่งใจ

(Verse 1)

 ในโลกนี้มีทั้งมีและไม่มี

สองขั้วที่เราเห็นอยู่แต่ไม่จริง

หากมองด้วยใจอันสงบและพึ่งพิง

จะเห็นทุกสิ่งแค่ผ่านไป

(Verse 2)

เพียงเปิดใจให้กลาง ไม่เอียงตาม

สัมมาทิฐิจะนำเราเดินไป

เห็นโลกอย่างที่เป็น ไม่หวั่นไหว

พบสุขในใจ ที่แท้จริง

(Chorus)

เส้นทางกลางแห่งใจ อยู่ไม่สุดซ้ายขวา

เมื่อรู้และเข้าใจว่า ทุกข์มาจากเหตุปัจจัย

เพียงปล่อยวาง ไม่ยึดติดหัวใจ

เส้นทางนี้จะนำไป สู่ใจที่สงบจริง

(Verse 3)

เมื่อพบสุขที่เกิดและดับตามเหตุ

เราจะไม่หวังหรือละเลยในวันนี้

ทางสายกลางนั้นมั่นคงไม่มีที่สิ้นดี

เพราะใจเรามี สัมมาทิฐินำพา


 บทความทางวิชาการและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

ชื่อเรื่อง: การพิจารณาสัมมาทิฐิผ่านหลักธรรมสายกลางในกัจจานโคตตสูตร: แนวทางเพื่อการเข้าใจและดำเนินชีวิตที่สมดุล

บทนำ

กัจจานโคตตสูตรจากพระไตรปิฎก เล่มที่ 15 เป็นส่วนหนึ่งของสังยุตตนิกาย สคาถวรรค เป็นพระสูตรที่ว่าด้วยหลักธรรมของสัมมาทิฐิ (ความเห็นชอบ) โดยพระพุทธองค์ทรงแสดงแนวทางการดำเนินชีวิตผ่านการเลี่ยงการยึดติดกับ "ส่วนสุดสองด้าน" คือ ความมี (อัตถิ) และ ความไม่มี (นัตถิ) แนวทางที่เสนอคือ "ทางสายกลาง" ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในพุทธศาสนา

สาระสำคัญของกัจจานโคตตสูตร

พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสกับพระกัจจานะ เกี่ยวกับความหมายของสัมมาทิฐิ หรือความเห็นชอบ ซึ่งเป็นการมองสรรพสิ่งตามความเป็นจริง โดยไม่ยึดติดกับความมีและความไม่มี โดยแนวคิดนี้เป็นพื้นฐานของการเข้าใจหลักการแห่งปฏิจจสมุปบาท ซึ่งว่าด้วยความสัมพันธ์อันเป็นเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดสรรพสิ่ง (เช่น อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ เป็นต้น) โดยเน้นให้เข้าใจการเกิดและการดับของสรรพสิ่ง เพื่อให้เข้าใจการเกิดขึ้นและดับลงของความทุกข์

พระพุทธองค์ชี้แจงว่าการดำเนินชีวิตที่ไม่ยึดติดในสองขั้วนี้เป็นสัมมาทิฐิ ซึ่งทำให้มนุษย์พ้นจากการพัวพันในอุปาทาน ความยึดติด และอวิชชา และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญญาแท้จริง ซึ่งไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความเชื่อของผู้อื่น

แนวทางประยุกต์ใช้หลักธรรมในชีวิตประจำวัน

หลักสัมมาทิฐิและทางสายกลางในกัจจานโคตตสูตรสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้หลากหลายวิธี เช่น:

การยอมรับความเป็นธรรมชาติของทุกข์: การเข้าใจว่าทุกข์มีเหตุและสามารถดับลงได้ จะทำให้เรามองทุกข์ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นกลาง โดยไม่จมอยู่กับความยึดมั่นหรือพยายามหาทางปฏิเสธสิ่งที่เกิดขึ้น

การสร้างสมดุลทางความคิด: การหลีกเลี่ยงการยึดติดกับความมีและความไม่มี เช่น ไม่หมกมุ่นในความสำเร็จหรือความล้มเหลว แต่ให้มองว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จะช่วยให้เรามีความสุขได้ในทุกสถานการณ์

การพัฒนาปัญญาผ่านการปฏิบัติตามปัจจัยของปฏิจจสมุปบาท: โดยการใช้ปัญญาพิจารณาความเป็นเหตุปัจจัยของสรรพสิ่ง เราจะเข้าใจว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย และสามารถปล่อยวางความยึดติดที่นำไปสู่ความทุกข์

ส่งเสริมการดำเนินชีวิตตามทางสายกลาง: ในการทำงานหรือการดำเนินชีวิต ไม่ควรเอียงข้างไปสู่ความสุดโต่ง เช่น การทำงานหนักเกินไปหรือละเลยหน้าที่ การหาความสุขในทางสายกลางนี้จะทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและยั่งยืน

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

ส่งเสริมการศึกษาเกี่ยวกับหลักสัมมาทิฐิและทางสายกลางในสถานศึกษา: เพื่อให้นักเรียนและนักศึกษาได้เรียนรู้วิธีการพิจารณาสิ่งต่าง ๆ อย่างเป็นกลาง โดยปราศจากการยึดติดในส่วนสุดทั้งสอง ซึ่งจะช่วยพัฒนาความคิดที่ยืดหยุ่นและสร้างปัญญาที่แท้จริง

การจัดอบรมเรื่องการพัฒนาสมดุลจิตใจในสถานที่ทำงาน: เพื่อให้พนักงานสามารถนำหลักสัมมาทิฐิไปประยุกต์ใช้ในการทำงาน สามารถจัดการกับความกดดันและความทุกข์ในงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเผยแพร่หลักธรรมทางสายกลางในสื่อสาธารณะ: ผ่านกิจกรรมหรือเนื้อหาสาระที่สื่อถึงการไม่ยึดติดและการดำเนินชีวิตแบบสมดุล เพื่อให้ประชาชนได้ซึมซับหลักธรรมและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างแพร่หลาย

 เอกสารอ้างอิง

พระไตรปิฎกเล่มที่ 15 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 7 สังยุตตนิกาย สคาถวรรค   https://84000.org/tipitaka/read/r.php?B=16&A=385



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"ดร.มหานิยม" ร่วมพิธีมุทิตาสักการะพระภิกษุสามเณร ผู้สอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค

"ดร.มหานิยม"ร่วมพิธีถวายมุทิตาสักการะพระภิกษุสามเณรผู้สอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค  วิเคราะห์บทบาทเปรียญธรรมสมาคมแห่งประเทศไทยฯกับงาน...