วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

"ดร.มหานิยม" ร่วมประชุมบอร์ดการศึกษาพระปริยัติธรรม "สมเด็จชิน" เป็นประธาน


เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567   สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม แม่กองธรรมสนามหลวง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม ครั้งที่ 3/2567  โดยมีคณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายภาณุพงศ์ คงเชื้อจีน ผู้อำนวยการกองพุทธศาสนศึกษา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุม ณ ห้องประชุมสำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวง แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 



ในการนี้ ดร.นิยม เวชกามา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมทีมงานได้ร่วมประชุมด้วย 

พระธรรมวชิโรดม เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้อนุมัติให้ใช้หลักสูตรประถมศึกษาที่คณะสงฆ์ร่วมกับกรมส่งเสริมการเรียนรู้(สกร)จัดทำขึ้น เป็นหลักสูตรให้สามเณรที่ยังไม่จบชั้นประถมศึกษาแล้วเข้ามาบวชเป็นสามเณร ได้ศึกษา.. แล้วถือว่าได้จบตามเกณฑ์การศึกษาภาคบังคับ แต่ละช่วงชั้น และนอกนั้น ได้อนุมัติ จัดตั้ง สำนักเรียนใหม่ อีก 2 แห่ง ของคณะสงฆ์และคณะสงฆ์อื่น (อนัมนิกาย)ซึ่งได้ดำเนินการตามเกณฑ์ว่าด้วยการจัดตั้งสถานศึกษาตาม พ.ร.บ. เรียบร้อยแล้วด้วย  พร้อมรับทราบพร้อมประกาศคณะกรรมการบริหารงานบุคคลการศึกษาพระปริยัติธรรมจำนวน 3 ฉบับ คือ

1.เรื่อง เครื่องแบบเจ้าหน้าที่การศึกษาพระปริยัติธรรม ฝ่าย คฤหัสถ์ พ.ศ. 2567

2. เรื่องบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่การศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. 2567

3. เรื่อง เกณฑ์การลา หลักเกณฑ์และวิธีการลาแต่ละประเภท พ.ศ. 2567

พระธรรมวชิโรดม กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่การศึกษาพระปริยัติธรรม ฝ่ายคฤหัสถ์ สามารถแต่เครื่องแบบพร้อมประตราเครื่องหมายสัญลักษณ์ ได้ทันที ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป..”

แนวทางการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่ประชาชนภายใต้นโยบายรัฐบาลไทย 

อย่างไรก็ตามในที่ประชุม ณ พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2567 รองศาสตราจารย์ ชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ดร.นิยม และคณะที่ปรึกษา ได้มอบนโยบายต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ 8 ข้อ  ซึ่งนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาพระปริยัติธรรมคือสนองงานการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างตรงไปยังประชาชน ปรับปรุงกฎระเบียบที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ และพัฒนาโครงการที่เข้าถึงง่ายโดยเฉพาะใช้สื่อสมัยใหม่และเทคโนโลยี AI จึงได้ทำการวิเคราะห์แนวทาง ยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี วิสัยทัศน์ แผนงาน และโครงการเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคปัญญาประดิษฐ์ให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของคนรุ่นใหม่ดังนี้



1. วิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในยุคปัญญาประดิษฐ์

วิสัยทัศน์: รัฐบาลไทยมีวิสัยทัศน์ที่จะทำให้พระพุทธศาสนาเข้าถึงชีวิตคนไทยอย่างกว้างขวางและทันสมัย โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อสร้างช่องทางการเผยแผ่ที่ตรงกับวิถีชีวิตคนยุคใหม่ มุ่งเน้นการสร้างความรู้ความเข้าใจในหลักธรรมเพื่อให้ศาสนานี้ยังคงอยู่ในจิตใจและพฤติกรรมของคนรุ่นหลัง

ยุทธศาสตร์: ยุทธศาสตร์การเผยแผ่ศาสนาในยุค AI จะเน้นการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างช่องทางการเผยแผ่และส่งเสริมการศึกษาและปฏิบัติธรรมผ่านสื่อออนไลน์ การพัฒนา AI ในการเผยแผ่ศาสนาจะช่วยให้การเข้าถึงธรรมะง่ายขึ้นและตอบสนองได้ตามความต้องการเฉพาะบุคคล



2. ยุทธวิธีในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่ประชาชน

ยุทธวิธีที่รัฐบาลไทยและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติสามารถนำมาใช้เพื่อให้การเผยแผ่ศาสนาในยุค AI มีประสิทธิภาพ ได้แก่:

การปรับปรุงกฎระเบียบที่ไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่: แก้ไขกฎระเบียบที่จำกัดการเผยแผ่ธรรมะสู่สื่อดิจิทัลและช่องทางออนไลน์ ให้สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างเต็มที่เพื่อเข้าถึงคนรุ่นใหม่

การใช้ AI ในการเผยแพร่ธรรมะ: พัฒนาแชทบอทและแอปพลิเคชัน AI ที่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา แนะนำหลักธรรมที่เหมาะสมตามความต้องการของแต่ละบุคคล และให้คำปรึกษาทางธรรม

การส่งเสริมกิจกรรมที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่: จัดกิจกรรมออนไลน์ เช่น การสัมมนาทางธรรมผ่านการไลฟ์สตรีมบนโซเชียลมีเดีย และสร้างเนื้อหาที่มีความหลากหลายเพื่อดึงดูดให้คนหนุ่มสาวสนใจและเข้ามาศึกษาพระพุทธศาสนา

3. แผนงานและโครงการที่ใช้เทคโนโลยี AI ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอแผนงานและโครงการที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยี AI เพื่อให้พระพุทธศาสนาเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่มได้ง่ายขึ้น ได้แก่:

โครงการพัฒนาแอปพลิเคชัน AI เผยแผ่ธรรมะ: จัดทำแอปพลิเคชันที่มีฟีเจอร์ต่าง ๆ เช่น แชทบอทตอบคำถามเกี่ยวกับธรรมะและการปฏิบัติธรรม บทสวดมนต์ และแนวทางการปฏิบัติสมาธิ

โครงการ “AI เพื่อการศึกษาในพระพุทธศาสนา”: ร่วมมือกับสถาบันการศึกษาในการสร้างหลักสูตรออนไลน์โดยใช้ AI ที่สามารถวิเคราะห์และแนะนำแนวทางการศึกษาพระพุทธศาสนาตามความสนใจของผู้เรียน

โครงการไลฟ์สตรีมทางธรรม: จัดทำการไลฟ์สตรีมบทเรียนธรรมะในหัวข้อต่าง ๆ เช่น การปฏิบัติธรรม การฝึกสมาธิ และการบรรยายธรรม โดยสามารถเข้าถึงผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น YouTube และ Facebook

4. ผลการดำเนินงานและข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

การดำเนินงานตามนโยบายในการใช้ AI เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาเริ่มเห็นผลในการเข้าถึงคนรุ่นใหม่และการสนับสนุนการปฏิบัติธรรมในวงกว้าง ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนาการเผยแผ่ศาสนาต่อไปมีดังนี้:

เพิ่มการลงทุนในการพัฒนา AI เพื่อการเผยแผ่ศาสนา: จัดสรรงบประมาณและทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการพัฒนา AI ให้มีความสามารถในการช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาในด้านต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วน

ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี AI สำหรับพระพุทธศาสนา: สนับสนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยี AI ที่สามารถตอบสนองต่อคำถามและความต้องการของประชาชนที่หลากหลายได้

สร้างความร่วมมือกับแพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อเผยแผ่ธรรมะ: รัฐบาลควรสร้างความร่วมมือกับแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เช่น TikTok, Instagram และ Twitter เพื่อให้การเผยแผ่ศาสนาสามารถเข้าถึงประชาชนในหลากหลายช่องทางมากขึ้น

สรุป

ในยุคที่ปัญญาประดิษฐ์เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันสมัย สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีบทบาทสำคัญในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องกับยุคสมัย และการดำเนินแผนงานที่ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อให้พระพุทธศาสนาเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วิเคราะห์ ‎“จาลวรรค” ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 23 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 15 อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต วรรคที่ไม่สงเคราะห์เข้าในปัณณาสก์

  วิเคราะห์ ‎“จาลวรรค” ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 23 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 15 อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต วรรคที่ไม่สงเคราะห์เข้าในปัณณาสก์ บทนำ “จาล...