วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2567

นายกฯไทย-มาเลเซียยืนยันพความร่วมมือสร้างสันติภาพในภูมิภาค



ประชุมผู้นำไทยมาเลเซียชื่นมื่นนายกฯแพทองธาร พร้อมดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ร่วมกันยืนยันศักยภาพความร่วมมือเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนความเชื่อมโยง และสันติภาพในภูมิภาค พร้อมเทียบเชิญเยือนไทยอย่างเป็นทางการ

เมื่อวันที่ 16  ธันวาคม 2567เวลา 11.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่น โดยเวลาที่กรุงเทพฯ ช้ากว่ามาเลเซีย 1 ชั่วโมง) ณ ห้อง Dewan Putra ชั้น 3 สำนักนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และดาโตะ เซอรี อันวาร์ อิบราฮิม (Dato’ Seri Anwar Ibrahim) นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ร่วมเป็นสักขีพยานการแลกเปลี่ยน (1) บันทึกความเข้าใจระหว่าง Malaysian Rubber Board (MRB) กับการยางแห่งประเทศไทย เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยางพาราและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และ (2) ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลแห่งมาเลเซียและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านวัฒนธรรม ศิลปะและมรดกทางวัฒนธรรม

 โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีไทยและนายกรัฐมนตรีมาเลเซียร่วมแถลงข่าว ภายหลังการประชุมประจำปี ครั้งที่ 7  โดยนางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้ 

 นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำความมุ่งมั่นที่จะรักษาพลวัตความสัมพันธ์เพื่อ “สันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน” (“Common Peace and Prosperity) และไทยสนับสนุนการเป็นประธานอาเซียนของมาเลเซีย ในปี 2025 พร้อมเน้นประเด็นสำคัญ ดังนี้

 - ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องที่จะให้ความสำคัญ โดยเฉพาะในด้านการค้าและการลงทุน การเชื่อมโยงชายแดน เศรษฐกิจดิจิทัล และการท่องเที่ยว  

- ส่งเสริมศักยภาพความร่วมมือในอุตสาหกรรมยางและฮาลาล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ นอกจากนี้ ไทยและมาเลเซียจะเดินหน้าเพื่อบรรลุเป้าหมายการค้า 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2027 ด้วย  

- ความร่วมมือในพื้นที่ชายแดน ทั้งสองฝ่ายได้หารือถึงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่สองประเทศเผชิญอยู่ โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืนในระยะยาว นอกจากนี้ ไทยและมาเลเซียยินดีที่โครงการโครงสร้างพื้นฐานชายแดนมีความคืบหน้า และพร้อมจะทำงานอย่างใกล้ชิดต่อไปเพื่อยกระดับการเชื่อมโยงทางถนนและทางราง เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้าชายแดนและให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชนมากขึ้น 

โอกาสนี้  ผู้นำทั้งสองได้ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกความเข้าใจที่สำคัญ 2 ฉบับเกี่ยวกับความร่วมมือด้านยางและวัฒนธรรม ซึ่งเชื่อมั่นว่า เสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของสองประเทศ 

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีมาเลเซียสำหรับมิตรภาพ และเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งในศักยภาพความร่วมมือระหว่างกันที่จะก้าวไปข้างหน้าในอนาคต และความสำคัญของการพบปะหารือกันเป็นประจำ พร้อมเชิญนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเดินทางเยือนประเทศไทยในโอกาสต่อไป  

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วมงานเลี้ยงรับรองอาหารกลางวันอย่างเป็นทางการที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติ ณ ห้อง Protocol ทำเนียบนายกรัฐมนตรี มาเลเซีย  ก่อนเดินทางกลับถึงประเทศไทยในช่วงเย็นของวันเดียวกัน

แนวทางแห่งการอยู่ร่วมอย่างสันติบริบทพุทธศาสนา

ทั้งนี้พระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนาที่รวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้าและเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาจิตใจและสังคม คำสอนในพระไตรปิฎกเน้นไปที่หลักธรรมเพื่อการหลุดพ้นจากทุกข์และความสงบสุขภายในใจ นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึง "สันติภาพ" หรือการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในระดับปัจเจกบุคคลและสังคมโดยรวม สันติภาพในพระไตรปิฎกสะท้อนถึงการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งผ่านเมตตา ปัญญา และการปฏิบัติตามหลักธรรมะที่ช่วยลดปัจจัยแห่งความขัดแย้งและการเบียดเบียน

1. ความหมายของสันติภาพในพระไตรปิฎก

1.1 สันติภาพภายในจิตใจ

พระพุทธศาสนาเน้นการสร้างสันติภาพที่เริ่มจากจิตใจของปัจเจกบุคคล การฝึกฝนสติและสมาธิช่วยให้บุคคลลดกิเลส ความโกรธ และความเกลียดชัง สันติภาพภายในเป็นรากฐานสำคัญในการสร้างสันติภาพภายนอก ดังที่ปรากฏในพระสูตรต่าง ๆ เช่น "มหาสติปัฏฐานสูตร" ที่กล่าวถึงการพัฒนาสติและสมาธิเป็นแนวทางเพื่อการอยู่ร่วมอย่างสันติ

1.2 สันติภาพในระดับสังคม

นอกจากการพัฒนาสันติภาพภายใน พระไตรปิฎกยังเน้นการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคม โดยการปฏิบัติตนตามหลักธรรม เช่น พรหมวิหาร 4 (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) และการปฏิบัติในลักษณะที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น หลักธรรมเหล่านี้ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและลดความขัดแย้งในสังคม

2. ตัวอย่างสันติภาพในพระไตรปิฎก

2.1 การระงับความขัดแย้งระหว่างศากยวงศ์และโกลิยวงศ์

เหตุการณ์ที่โดดเด่นเกี่ยวกับสันติภาพในพระไตรปิฎกคือการระงับความขัดแย้งระหว่างศากยวงศ์และโกลิยวงศ์ที่เกิดขึ้นจากการแย่งชิงน้ำจากแม่น้ำโรหิณี พระพุทธเจ้าเสด็จมาเพื่อระงับข้อพิพาทนี้โดยการให้คู่กรณีได้พิจารณาว่าชีวิตมนุษย์สำคัญกว่าการแย่งชิงน้ำเพียงใด การใช้เมตตา ปัญญา และการเจรจาเพื่อหาข้อตกลงได้กลายเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการสร้างสันติภาพโดยสันติวิธี

2.2 การสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อการหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง

ในพระไตรปิฎกยังมีเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าทรงชี้แนะให้เหล่าภิกษุและชาวบ้านหลีกเลี่ยงความขัดแย้งโดยการรักษาศีล 5 ซึ่งรวมถึงการไม่ฆ่าสัตว์และการไม่พูดเท็จ การปฏิบัติตามศีลช่วยลดความขัดแย้งและสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจในสังคม เช่นใน "กูฎทันตสูตร" ที่พระพุทธเจ้าเสนอแนะแนวทางการเสียสละด้วยความเมตตาและการหลีกเลี่ยงความรุนแรง

3. การสร้างสันติภาพผ่านหลักธรรม

3.1 พรหมวิหาร 4 และการปฏิบัติที่ส่งเสริมสันติภาพ

พรหมวิหาร 4 เป็นหลักธรรมสำคัญในการสร้างสันติภาพในระดับบุคคลและสังคม การมีเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ช่วยให้เกิดการมองเห็นความทุกข์ของผู้อื่นและนำไปสู่การช่วยเหลือโดยไม่หวังผลตอบแทน ความเมตตาและกรุณายังช่วยลดความเกลียดชังและความโกรธที่เป็นบ่อเกิดของความขัดแย้ง

3.2 อหิงสา: หลักการไม่เบียดเบียน

หลักอหิงสาหรือการไม่เบียดเบียนผู้อื่นเป็นหัวใจสำคัญของการสร้างสันติภาพในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนว่าความรุนแรงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง การปฏิบัติที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่นนำไปสู่การลดความขัดแย้งและสร้างบรรยากาศแห่งความปรองดองในสังคม

4. การสร้างสันติภาพในบริบทสมัยใหม่โดยอ้างอิงจากพระไตรปิฎก

ในบริบทสังคมปัจจุบัน การสร้างสันติภาพยังคงต้องพึ่งพาหลักธรรมจากพระไตรปิฎก เช่น การใช้การเจรจาและการเข้าใจซึ่งกันและกันในการแก้ไขปัญหาทางสังคมและการเมือง การนำหลักธรรมเช่นเมตตา กรุณา และอหิงสามาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตและการบริหารองค์กรก็สามารถช่วยลดความขัดแย้งและสร้างความสมานฉันท์ในสังคมได้อย่างยั่งยืน

ดังนั้นสันติภาพในพระไตรปิฎกเป็นแนวทางที่มุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งด้วยเมตตา ปัญญา และการปฏิบัติตามหลักธรรม แนวคิดเหล่านี้ยังคงมีความสำคัญและเป็นแนวทางปฏิบัติที่สามารถนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาในสังคมปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แนะนำหนังสือนิยายเรื่อง: ภูลังกาที่ฮัก

  1. แนว เรื่อง : นิยายรักโรแมนติกที่ผสมผสานกับธรรมชาติ วิถีชีวิตท้องถิ่น และความลึกลับทางวัฒนธรรมที่แฝงด้วยปรัชญาและบทเรียนชีวิต 2. โครงเรื...