วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2567

"เจ้าคุณว." พ้นมลทินไม่รุกป่า! - ขอยกนิทานเรื่องนกกระจาบ เตือนสติชาวพุทธวิจารณ์พระสงฆ์


เมื่อวันที่ 25  ตุลาคม 2567  นายบรรณรักษ์ เสริมทอง รองอธิบดีกรมป่าไม้ ในฐานะโฆษกกรมป่าไม้ แถลงผลการตรวจสอบกรณีพื้นที่ ที่กรมป่าไม้อนุญาตให้มูลนิธิวิมุตตยาลัยและศูนย์วิปัสสนาไร่เชิญตะวัน เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในป่าสงวนแห่งชาติป่าดอยปุย อ.เมืองจ.เชียงราย กรมป่าไม้ได้ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติและมูลนิธิวิมุตตยาลัยให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 3 แปลง 

"ภายหลังการเข้าตรวจสอบพื้นที่ของคณะทำงาน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงราย เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่มูลนิธิวิมุตตยาลัย ผลตรวจสอบพบว่า มูลนิธิวิมุตตยาลัยและสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงรายได้ครอบครองใช้ประโยชน์พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่มีอยู่ในขอบเขตตามหนังสือที่ได้รับอนุญาต และยังไม่พบการกระทำผิดเงื่อนไขของการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่า" รองอธิบดีกรมป่าไม้ ระบุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อย่างไรก็ตามขอยกนิทานเรื่องนกกระจาบเตือนสติชาวพุทธด้วยกันที่วิจารณ์การแสดงธรรมของเจ้าคุณ ว.วชิรเมธีในกรณี "ดิไอคอน"  โดยขอให้มองกลับไปยังแก่นแท้ของศาสนา ความสามัคคีและสติเป็นปัจจัยสำคัญในการอยู่ร่วมกันในสังคม และควรให้ความสำคัญกับการปฏิบัติธรรมมากกว่าการยึดติดในวัตถุ การวิพากษ์นี้จึงเป็นการสะท้อนถึงความต้องการที่จะรักษาคุณค่าของศาสนาพุทธในสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้นิทานเรื่องนกกระจาบจิกกันในโบสถ์พุทธเป็นนิทานที่มีการยกขึ้นมากล่าวถึงในการแสดงธรรมของเจ้าคุณ ว.วชิรเมธี เพื่อเตือนสติชาวพุทธในเรื่องความสามัคคีและการปฏิบัติตนในศาสนา โดยเนื้อหานิทานได้แสดงถึงความสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างมีสติ การเคารพและฟังซึ่งกันและกัน และหลีกเลี่ยงการขัดแย้งหรือแตกแยกในหมู่คณะ ซึ่งข้อคิดเหล่านี้ถูกนำมาใช้เพื่อวิพากษ์สถานการณ์ปัจจุบันของชาวพุทธที่อาจมีความขัดแย้งและความไม่เข้าใจกันในเรื่องต่างๆ รวมถึงกรณีของ "ดิไอคอน" ซึ่งเป็นปมสำคัญในการแสดงธรรมครั้งนั้น

1. เนื้อหานิทานและความสำคัญของความสามัคคี

นิทานเรื่องนกกระจาบเล่าถึงนกกระจาบกลุ่มหนึ่งที่อาศัยอยู่ร่วมกันในโบสถ์ แม้ว่าจะอาศัยอยู่ในสถานที่ที่เงียบสงบและเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ แต่พวกมันกลับทะเลาะเบาะแว้งและจิกกัดกัน ซึ่งเป็นภาพสะท้อนถึงพฤติกรรมของคนที่อยู่ในที่ศักดิ์สิทธิ์แต่ขาดสติ ไม่เคารพกันและกัน สิ่งนี้เตือนใจให้เห็นถึงความสำคัญของการรักษาสติและความสามัคคีในหมู่คณะ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ใด

นิทานดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าความสามัคคีเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข การแตกแยกไม่เพียงแต่จะทำลายความสัมพันธ์ในหมู่คณะเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบถึงความสงบของสังคมโดยรวม ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวพุทธควรตระหนักและปฏิบัติในการอยู่ร่วมกันในชุมชนทางศาสนา

2. การวิพากษ์ข้อคิดของเจ้าคุณ ว.วชิรเมธี

ในการแสดงธรรมเรื่องนิทานนกกระจาบ เจ้าคุณ ว.วชิรเมธี ได้นำมาใช้ในการวิพากษ์ชาวพุทธเกี่ยวกับความขัดแย้งและความไม่เข้าใจกันในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับศาสนา หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ถูกยกขึ้นมาคือกรณีของ "ดิไอคอน" ซึ่งเป็นการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่ชาวพุทธในปัจจุบันอาจหลงลืมแก่นแท้ของศาสนาไปและมุ่งเน้นในเรื่องวัตถุนิยมและการประดิษฐ์สถานที่ทางศาสนาอย่างหรูหราเกินไป

เจ้าคุณ ว.วชิรเมธีได้ใช้กรณีนี้ในการเตือนสติว่า ชาวพุทธไม่ควรยึดติดอยู่กับสิ่งที่เป็นวัตถุ หรือทำให้ศาสนากลายเป็นเพียงเครื่องมือทางการตลาดหรือทางเศรษฐกิจ การมีโบสถ์ที่หรูหราใหญ่โต หรือการจัดงานทางศาสนาที่เน้นความยิ่งใหญ่ อาจทำให้ชาวพุทธหลงลืมความหมายที่แท้จริงของคำสอนพระพุทธเจ้า ซึ่งเน้นการปฏิบัติและการเข้าใจธรรมชาติของชีวิตมากกว่าการยึดติดในรูปแบบภายนอก

3. ข้อคิดเชิงศีลธรรมและการปฏิบัติทางพุทธศาสนา

ข้อคิดจากนิทานเรื่องนกกระจาบจิกกันในโบสถ์และการวิพากษ์ของเจ้าคุณ ว.วชิรเมธี ทำให้เห็นว่าศาสนาพุทธเน้นการปฏิบัติด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ การรักษาสติ และการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในชุมชน ความขัดแย้งและการโต้เถียงกันในเรื่องที่ไม่เป็นสาระอาจนำไปสู่การเบี่ยงเบนจากเส้นทางแห่งธรรม นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นว่าชาวพุทธควรตระหนักถึงความสำคัญของศีลธรรมในชีวิตประจำวันมากกว่าการมุ่งเน้นไปที่วัตถุและการแสดงออกภายนอก

ในแง่นี้ การเตือนสติจากเจ้าคุณ ว.วชิรเมธีเน้นให้ชาวพุทธกลับมาทบทวนตนเองว่าเรายังคงรักษาความศรัทธาในพระพุทธศาสนาด้วยความจริงใจหรือไม่ หรือเราเพียงยึดติดกับรูปแบบและวัตถุที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ภายนอก

4. ผลกระทบทางสังคมและศาสนา

กรณีของการวิพากษ์สถานการณ์ "ดิไอคอน" ยังสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยในยุคปัจจุบันที่มีการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมดั้งเดิมกับสังคมบริโภคนิยม ในขณะที่ชาวพุทธส่วนใหญ่ยังคงปฏิบัติตามแนวทางดั้งเดิม แต่ก็มีส่วนหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลจากการพัฒนาเศรษฐกิจและการค้า ซึ่งอาจทำให้ความหมายของการปฏิบัติศาสนกิจเปลี่ยนไปตามกระแสสังคม การวิพากษ์ของเจ้าคุณ ว.วชิรเมธีในปมนี้จึงเป็นการเรียกร้องให้สังคมพิจารณาถึงแก่นแท้ของศาสนาพุทธอีกครั้ง


เพลง: จิกกันในโบสถ์

 ເນື້ອເພງ : ດຣສົມພົງສ໌

ທຳນອງ - ຮ້ອງໂດຍ : suno  

คลิกฟังเพลงที่นี่

(Verse 1)

นกกระจาบในโบสถ์ยังจิกกัน

ทั้งที่อยู่ในที่แห่งความสงบ

เสียงกระทบกลับดังขึ้นในวันนั้น

เตือนให้เราระวังในจิตใจ

 (Chorus)

อย่าให้วัตถุมาเบียดบังศรัทธา

อย่าหลงลืมปฏิบัติที่ควรรักษา

โบสถ์ไม่ใช่แค่ที่อยู่ของตา

แต่คือที่ซึ่งใจควรซึ้งถึงธรรม

(Verse 2)

ในโลกวัตถุยิ่งใหญ่เราวิ่งตาม

แสงสีความงามหลอกลวงให้ไกล

แต่แก่นแท้อยู่ที่ใจไม่ใช่คำอ้าง

ศาสนาคือทางในความเรียบง่าย

 (Bridge) 

ถ้าเราแตกแยกเหมือนนกในวันนั้น

สันติในจิตจะหายไปทันที

ความสามัคคีต้องเริ่มจากใจนี้

เฝ้าระวังในทุกย่างก้าวไป

 (Chorus)

อย่าให้วัตถุมาเบียดบังศรัทธา

อย่าหลงลืมปฏิบัติที่ควรรักษา

โบสถ์ไม่ใช่แค่ที่อยู่ของตา

แต่คือที่ซึ่งใจควรซึ้งถึงธรรม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"บึงกาฬ" จัดกิจกรรมรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก สตรี และความรุนเเรงในครอบครัว

เมื่อวันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2567 สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดบึงกาฬ ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ จัดกิจกรรมกา...