แนวทางของจีนภายใต้การนำของสี จิ้นผิง เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจในการจัดการปัญหาความยากจนที่มีความซับซ้อน ไทยสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ดังกล่าวเพื่อพัฒนานโยบายที่เน้นการสร้างงาน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2567 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบหารือทวิภาคีกับนายสี จิ้นผิง (H.E. Mr. Xi Jinping) ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ในช่วงการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 31 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง โดยได้ยืนยันความพร้อมของไทยที่จะร่วมมือกับจีน ทั้งระดับทวิภาคี และพหุภาคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรอบเอเปค ซึ่งไทยยินดีสนับสนุนจีนเป็นเจ้าภาพเอเปคในปี พ.ศ.2569 และพร้อมให้การต้อนรับประธานาธิบดีและภริยา ในโอกาสงานเฉลิมฉลองความสัมพันธ์จีน-ไทย ครบรอบ 50 ปี ในปีหน้านี้ซึ่งถือเป็นปีทองของมิตรภาพไทย-จีนอีกด้วย
"ประเทศไทยพร้อมที่จะแลกเปลี่ยน และเรียนรู้ประสบการณ์การแก้ปัญหาความยากจนที่ประเทศจีนเคยประสบมาในอดีต รวมไปถึงนโยบายในการต่อสู้กับภัยธรรมชาติ เทคโนโลยีการผลิตคุณภาพใหม่ เทคโนโลยีอวกาศ อุตสาหกรรมแห่งอนาคต รถยนต์ EV รวมไปถึงพลังสะอาดด้านอื่นๆ นอกจากนี้ ไทยยังพร้อมที่จะร่วมมือภายใต้แนวคิด Global Civilization Initiative (GCI) ที่จะส่งเสริม Soft Power เพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวระหว่างกัน และขอขอบคุณจีนที่ให้การสนับสนุนประเทศไทยเข้าเป็นสมาชิก กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่หรือ “BRICS” อีกด้วย" นายกรัฐมนตรี กล่าว
ทั้งนี้แนวทางการแก้ปัญหาความยากจนของจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้รับการยกย่องจากนานาประเทศ เนื่องจากสามารถลดจำนวนประชากรที่อยู่ใต้เส้นความยากจนได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว การใช้กลไกเชิงระบบและนโยบายเฉพาะทางทำให้จีนก้าวสู่สถานะของประเทศที่ปราศจากความยากจนในระดับโครงสร้างอย่างเป็นทางการ แนวทางนี้มีหลักการและอุดมการณ์ที่ชัดเจน โดยผสมผสานการพัฒนาเศรษฐกิจ การสร้างงาน การศึกษา และการสนับสนุนทางเทคโนโลยี มาวิเคราะห์วิธีการและแผนงานเหล่านี้ เพื่อนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายต่อการแก้ไขปัญหาความยากจนในไทย
1. หลักการและอุดมการณ์
หลักการสำคัญของการแก้ไขปัญหาความจนในจีน คือการให้ความสำคัญกับ "ประชาชนเป็นศูนย์กลาง" โดยเน้นสร้างโอกาสและการพัฒนาสำหรับคนจนให้เข้าถึงแหล่งทุน การศึกษา และการฝึกทักษะ นโยบายพัฒนาที่ครอบคลุมนี้ตั้งอยู่บนอุดมการณ์แห่งความสามัคคีของชาติเพื่อสร้างความเข้มแข็งในระดับชุมชน โดยมีรัฐบาลกลางเป็นผู้จัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นระบบ
2. วิธีการ
การจัดการกับความยากจนของจีนอาศัยวิธีการหลากหลาย ตั้งแต่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในเขตชนบท การสร้างงานผ่านอุตสาหกรรมที่เหมาะสม การลงทุนในภาคการศึกษา การเพิ่มศักยภาพด้านการเกษตร และการใช้นวัตกรรมในการพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น การเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับบริษัทเอกชน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลเพื่อการพัฒนาแบบยั่งยืน เป็นหัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนนโยบายนี้
3. วิสัยทัศน์และแผนงาน
ภายใต้การนำของสี จิ้นผิง วิสัยทัศน์การพัฒนาเพื่อขจัดความยากจนคือการสร้างสังคมที่มีความมั่งคั่งอย่างทั่วถึงผ่านแผนงานที่ชัดเจน เช่น โครงการหมู่บ้านที่พัฒนาทรัพยากรอย่างยั่งยืนและโครงการสร้างงานที่ครอบคลุมทุกภูมิภาค โดยมีการกำกับดูแลให้เกิดความเท่าเทียม ลดช่องว่างทางรายได้ และสร้างเครือข่ายสังคมให้แข็งแกร่ง
4. อิทธิพลต่อสังคมไทย
แนวทางการแก้ปัญหาความจนของจีนมีอิทธิพลต่อไทย โดยเฉพาะการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การศึกษา และการพัฒนาความสามารถของบุคลากรไทย ไทยสามารถประยุกต์ใช้บทเรียนจากจีนในการพัฒนาโครงการที่เสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชนและการลงทุนในพื้นที่ห่างไกล เช่น การพัฒนาเกษตรที่ยั่งยืน การสร้างตลาดสินค้าเกษตร และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม นอกจากนี้ การขยายความร่วมมือระหว่างไทย-จีนยังสามารถช่วยลดความเหลื่อมล้ำในระดับภูมิภาคและสร้างความมั่นคงในภาคเศรษฐกิจผ่านการสนับสนุนของโครงการพัฒนาต่าง ๆ
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
สนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ห่างไกล - ไทยควรสร้างโครงข่ายถนน การคมนาคม และการเชื่อมโยงทางดิจิทัล เพื่อส่งเสริมโอกาสในพื้นที่ชนบทและภูมิภาคห่างไกล
ส่งเสริมการศึกษาและการฝึกอบรมอาชีพ - พัฒนาโครงการฝึกอบรมที่เน้นทักษะการทำงานและการศึกษาในระดับชุมชน
การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน - สนับสนุนโครงการที่เน้นการสร้างงานในระดับท้องถิ่น เพื่อให้คนในชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน
ความร่วมมือระหว่างประเทศ - ใช้ประโยชน์จากความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืนกับจีน เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของไทยในการลดความยากจน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น