วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567

รัฐบาลจัดใหญ่เตรียม 24 ขบวน อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ “พระเขี้ยวแก้ว” จากจีน คาดผู้เข้าร่วมกว่า 2,700 คน



พระเขี้ยวแก้วจีนเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับการเคารพบูชาอย่างสูงในพระพุทธศาสนา การอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐานในประเทศไทยสะท้อนถึงความร่วมมือทางศาสนาและวัฒนธรรมระหว่างไทยและจีน หลักการสำคัญคือการส่งเสริมพระพุทธศาสนาและความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ด้วยวิสัยทัศน์การเสริมสร้างศรัทธาและสันติสุขในสังคมไทย การจัดพิธีกรรมมีเป้าหมายเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะพระเขี้ยวแก้ว ส่งเสริมความศรัทธาและเป็นสิริมงคลต่อประชาชน การอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมีอิทธิพลต่อสังคมในมิติศาสนา วัฒนธรรม และความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยควรมีการส่งเสริมความเข้าใจทางศาสนาในระดับสังคมและนานาชาติ เพื่อพัฒนาแผนงานและกิจกรรมที่สร้างสันติสุขอย่างยั่งยืน 

เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567  นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เห็นชอบร่วมกันให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มาประดิษฐานที่กรุงเทพมหานครเป็นการชั่วคราว เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และในโอกาสการครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน ในปีพ.ศ.2568  โดยเปิดให้ประชาชนสักการะระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม 2567 – 14 กุมภาพันธ์ 2568 รวมเป็นเวลา 73 วัน ณ ท้องสนามหลวง และจะอัญเชิญกลับสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 นั้น ในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)ได้รับมอบหมายจากสำนักนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารมณฑป การอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว)และจัดกิจกรรมต่างๆ  ได้แก่ การออกแบบและจัดสร้างอาคารมณฑปสำหรับใช้เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) โดยมีรูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างศิลปะไทย – จีน  ขณะนี้วธ.อยู่ระหว่างดำเนินการในเรื่องนี้ 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ วธ.ร่วมกับหน่วยงานต่างๆจัดขบวนรถอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ในวันที่ 4 ธันวาคม 2567 จากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 มายังลานพลับพลา  มหาเจษฎาบดินทร์ หลังจากนั้นจัดริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จากลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ไปยังท้องสนามหลวง จำนวน 24 ขบวน ผู้เข้าร่วมเดินริ้วขบวนจากหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักพระราชวัง กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ  สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร โรงเรียนจิตอาสา 904 สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย สมาคมอุปรากรจีนแห่งประเทศไทย ผู้แทน 5 ศาสนาทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดูและซิกข์ พุทธศาสนิกชนและกลุ่มชาติพันธุ์ จำนวนทั้งหมดกว่า 2,700 คน  ได้แก่ 1. ขบวนป้ายนำขบวน  2.ขบวนโคมไทย – จีน 3.ขบวนบายศรีภาคเหนือ 4. ขบวนบายศรีภาคใต้  5. ขบวนแตรวง 6.ขบวนบายศรีภาคกลาง  7.ขบวนบายศรีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8.ขบวนการแสดงอุปรากรจีน  9.ขบวนการแสดงกลุ่มชาติพันธุ์ 10. ขบวนการแสดงคณะผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย 11. ขบวนวงดุริยางค์ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 12. ขบวนธงชาติไทย 13. ขบวนธงชาติสาธารณรัฐประชาชนจีน 14. ขบวนธงธรรมจักร  15. ขบวนธงฉัพพรรณรังสี 16.ขบวนโคมบัว 17. ริ้วขบวนอิสริยยศอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) 18.ขบวนรถพระพุทธรูป 19. ขบวนรถอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) 20. ขบวนรถเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 21. ขบวนคณะผู้บริหารและข้าราชการ กระทรวงวัฒนธรรม 22. ขบวนศาสนิกสัมพันธ์ 5 ศาสนา 23. ขบวนพุทธศาสนิกชนและ 24. ขบวน“จิตอาสา”

นางสาวสุดาวรรณ กล่าวด้วยว่า  ขณะเดียวกันวธ.จะจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสสำคัญในห้วงระยะเวลาการประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ณ ท้องสนามหลวง ได้แก่ พิธีเจริญพระพุทธมนต์รับพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาถึงประเทศไทย วันที่ 4 ธันวาคม 2567 ณ ห้องรับรอง ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน  6  กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ณ ท้องสนามหลวง กิจกรรมทำบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 วันที่ 1 มกราคม 2568 ณ ท้องสนามหลวงกิจกรรมเนื่องในวันตรุษจีน วันที่ 29 มกราคม 2568 ณ ท้องสนามหลวง กิจกรรมเนื่องในวันมาฆบูชา วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ท้องสนามหลวง และพิธีเจริญพระพุทธมนต์ส่งพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) กลับสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ ท้องสนามหลวง และห้องรับรอง ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6

“วธ.ได้ร่วมกับสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานต่างๆดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาประดิษฐานในไทย  โอกาสในครั้งนี้จะช่วยสานต่อมิตรภาพอันยาวนานระหว่างไทยกับจีนให้มีความแน่นแฟ้นมากขึ้นผ่านความสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรม ที่ผ่านมารัฐบาลทั้งสองประเทศให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างและต่อยอดความสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมระหว่างกันมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นนาฏศิลป์ ภาพยนตร์ จิตรกรรม ประติมากรรม มรดกภูมิปัญญาและพระพุทธศาสนา ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวจีนในประเทศไทยเข้ากราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าว

ทั้งนี้พระบรมสารีริกธาตุหรือ "พระเขี้ยวแก้ว" เป็นหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนาในพระพุทธศาสนา โดยพระบรมสารีริกธาตุเหล่านี้เชื่อมโยงกับประวัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและได้รับความเคารพบูชาจากชาวพุทธทั่วโลก การอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐานในประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยเป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมระหว่างประเทศ การศึกษาประวัติศาสตร์และการจัดการเกี่ยวกับพระเขี้ยวแก้วในบริบทของประเทศไทยในปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อสะท้อนถึงบทบาททางศาสนา อิทธิพลทางวัฒนธรรม และแนวทางในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ความเป็นมาของพระเขี้ยวแก้วจีน

พระเขี้ยวแก้วถือเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับการบูชามาแต่โบราณในประเทศจีน โดยมีประวัติที่เชื่อมโยงกับการสืบทอดพระพุทธศาสนาในแดนมังกร พระเขี้ยวแก้วได้รับการประดิษฐานที่วัดหลิงกวงในกรุงปักกิ่ง และมีการอนุญาตให้อัญเชิญไปยังประเทศต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางศาสนาและวัฒนธรรม โดยเฉพาะในประเทศไทย มีการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐานในช่วงเวลาที่สำคัญหลายครั้ง สร้างความศรัทธาและความเป็นสิริมงคลต่อพุทธศาสนิกชน

หลักการและอุดมการณ์

หลักการที่เกี่ยวข้องกับการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วนั้นเน้นที่การส่งเสริมพระพุทธศาสนา การเสริมสร้างความศรัทธาและความเคารพในหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และการสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในสังคม ทั้งนี้ยังมุ่งเน้นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างพุทธศาสนิกชนในประเทศไทยและจีน ผ่านการแลกเปลี่ยนความเชื่อ วัฒนธรรม และการสร้างสรรค์งานบุญที่ร่วมกันปฏิบัติ

วิธีการและวิสัยทัศน์

การจัดงานอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐานในประเทศไทยนั้นดำเนินการผ่านการประสานงานระหว่างรัฐบาลไทยและจีน รวมถึงองค์กรทางศาสนา อาทิ พุทธสมาคมจีน และคณะกรรมการประสานงานในประเทศไทย ซึ่งในปี พ.ศ. 2567 รัฐมนตรีชูศักดิ์ ศิรินิล ได้มีบทบาทสำคัญในการนำนโยบายและการจัดพิธีกรรมเพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสสักการะบูชา

วิสัยทัศน์ที่สำคัญของโครงการนี้คือ การสร้างความร่วมมือทางศาสนาเพื่อส่งเสริมความสงบสุขในสังคม รวมถึงการสร้างความเข้าใจที่ดีระหว่างประเทศ โดยใช้พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ

 แผนงานและโครงการ

ในกรณีนี้ แผนงานและโครงการที่สำคัญคือการจัดพิธีอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐาน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 โดยการจัดงานนี้มีเป้าหมายในการเปิดโอกาสให้ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้ร่วมสักการะบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตและการเสริมสร้างศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา

 อิทธิพลต่อสังคมไทย

การอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐานในประเทศไทยสร้างอิทธิพลต่อสังคมในหลายมิติ ทั้งในด้านการเสริมสร้างความศรัทธาทางศาสนา การเชื่อมโยงวัฒนธรรม และการส่งเสริมกิจกรรมทางศาสนาและสังคม นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มีความร่วมมือกันในด้านศาสนาและวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

ส่งเสริมการจัดงานสักการะพระบรมสารีริกธาตุให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการนำแนวทางศาสนาไปประยุกต์ใช้ในกิจกรรมทางสังคมเพื่อเสริมสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในประเทศ

สร้างกลไกความร่วมมือระหว่างองค์กรทางศาสนาในระดับนานาชาติ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและสนับสนุนโครงการด้านศาสนาในระยะยาว

พัฒนาแผนงานที่ส่งเสริมการเผยแพร่คำสอนพระพุทธศาสนา และกิจกรรมที่ส่งเสริมสันติสุขในสังคมโดยอิงหลักธรรมคำสอนจากพระบรมสารีริกธาตุ

ส่งเสริมการวิจัยและการศึกษาเกี่ยวกับอิทธิพลของการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุในบริบททางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสังคมไทย



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"โคกหนองนาโมเดล" จากจุดเริ่มต้นชุมชนแห่งความเอื้ออาทร ผ่านหลักธรรมแห่งการให้

โครงการ "โคกหนองนาโมเดล" เป็นตัวอย่างที่สำคัญในการพัฒนาชุมชนผ่านหลักธรรมและแนวคิดของการให้ ซึ่งมีศักยภาพในการสร้างความยั่งยืนในชุม...