พระเขี้ยวแก้วจีนเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับการเคารพบูชาอย่างสูงในพระพุทธศาสนา การอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐานในประเทศไทยสะท้อนถึงความร่วมมือทางศาสนาและวัฒนธรรมระหว่างไทยและจีน หลักการสำคัญคือการส่งเสริมพระพุทธศาสนาและความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ ด้วยวิสัยทัศน์การเสริมสร้างศรัทธาและสันติสุขในสังคมไทย การจัดพิธีกรรมมีเป้าหมายเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้สักการะพระเขี้ยวแก้ว ส่งเสริมความศรัทธาและเป็นสิริมงคลต่อประชาชน การอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมีอิทธิพลต่อสังคมในมิติศาสนา วัฒนธรรม และความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยควรมีการส่งเสริมความเข้าใจทางศาสนาในระดับสังคมและนานาชาติ เพื่อพัฒนาแผนงานและกิจกรรมที่สร้างสันติสุขอย่างยั่งยืน
เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2567 นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เห็นชอบร่วมกันให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) จากวัดหลิงกวง กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มาประดิษฐานที่กรุงเทพมหานครเป็นการชั่วคราว เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และในโอกาสการครบรอบ 50 ปี แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – จีน ในปีพ.ศ.2568 โดยเปิดให้ประชาชนสักการะระหว่างวันที่ 4 ธันวาคม 2567 – 14 กุมภาพันธ์ 2568 รวมเป็นเวลา 73 วัน ณ ท้องสนามหลวง และจะอัญเชิญกลับสาธารณรัฐประชาชนจีนในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2568 นั้น ในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)ได้รับมอบหมายจากสำนักนายกรัฐมนตรีให้ดำเนินการเกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารมณฑป การอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว)และจัดกิจกรรมต่างๆ ได้แก่ การออกแบบและจัดสร้างอาคารมณฑปสำหรับใช้เป็นสถานที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) โดยมีรูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างศิลปะไทย – จีน ขณะนี้วธ.อยู่ระหว่างดำเนินการในเรื่องนี้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ วธ.ร่วมกับหน่วยงานต่างๆจัดขบวนรถอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ในวันที่ 4 ธันวาคม 2567 จากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 มายังลานพลับพลา มหาเจษฎาบดินทร์ หลังจากนั้นจัดริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) เพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 จากลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ไปยังท้องสนามหลวง จำนวน 24 ขบวน ผู้เข้าร่วมเดินริ้วขบวนจากหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ สำนักพระราชวัง กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร โรงเรียนจิตอาสา 904 สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย สมาคมอุปรากรจีนแห่งประเทศไทย ผู้แทน 5 ศาสนาทั้งพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดูและซิกข์ พุทธศาสนิกชนและกลุ่มชาติพันธุ์ จำนวนทั้งหมดกว่า 2,700 คน ได้แก่ 1. ขบวนป้ายนำขบวน 2.ขบวนโคมไทย – จีน 3.ขบวนบายศรีภาคเหนือ 4. ขบวนบายศรีภาคใต้ 5. ขบวนแตรวง 6.ขบวนบายศรีภาคกลาง 7.ขบวนบายศรีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 8.ขบวนการแสดงอุปรากรจีน 9.ขบวนการแสดงกลุ่มชาติพันธุ์ 10. ขบวนการแสดงคณะผู้แทนสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย 11. ขบวนวงดุริยางค์ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 12. ขบวนธงชาติไทย 13. ขบวนธงชาติสาธารณรัฐประชาชนจีน 14. ขบวนธงธรรมจักร 15. ขบวนธงฉัพพรรณรังสี 16.ขบวนโคมบัว 17. ริ้วขบวนอิสริยยศอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) 18.ขบวนรถพระพุทธรูป 19. ขบวนรถอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) 20. ขบวนรถเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 21. ขบวนคณะผู้บริหารและข้าราชการ กระทรวงวัฒนธรรม 22. ขบวนศาสนิกสัมพันธ์ 5 ศาสนา 23. ขบวนพุทธศาสนิกชนและ 24. ขบวน“จิตอาสา”
นางสาวสุดาวรรณ กล่าวด้วยว่า ขณะเดียวกันวธ.จะจัดกิจกรรมเนื่องในโอกาสสำคัญในห้วงระยะเวลาการประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ณ ท้องสนามหลวง ได้แก่ พิธีเจริญพระพุทธมนต์รับพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาถึงประเทศไทย วันที่ 4 ธันวาคม 2567 ณ ห้องรับรอง ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 กิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี วันที่ 31 ธันวาคม 2567 ณ ท้องสนามหลวง กิจกรรมทำบุญตักบาตรวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 วันที่ 1 มกราคม 2568 ณ ท้องสนามหลวงกิจกรรมเนื่องในวันตรุษจีน วันที่ 29 มกราคม 2568 ณ ท้องสนามหลวง กิจกรรมเนื่องในวันมาฆบูชา วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ท้องสนามหลวง และพิธีเจริญพระพุทธมนต์ส่งพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) กลับสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ ท้องสนามหลวง และห้องรับรอง ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6
“วธ.ได้ร่วมกับสำนักนายกรัฐมนตรีและหน่วยงานต่างๆดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมในการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) มาประดิษฐานในไทย โอกาสในครั้งนี้จะช่วยสานต่อมิตรภาพอันยาวนานระหว่างไทยกับจีนให้มีความแน่นแฟ้นมากขึ้นผ่านความสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรม ที่ผ่านมารัฐบาลทั้งสองประเทศให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างและต่อยอดความสัมพันธ์ทางพระพุทธศาสนาและวัฒนธรรมระหว่างกันมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นนาฏศิลป์ ภาพยนตร์ จิตรกรรม ประติมากรรม มรดกภูมิปัญญาและพระพุทธศาสนา ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและชาวจีนในประเทศไทยเข้ากราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าว
ทั้งนี้พระบรมสารีริกธาตุหรือ "พระเขี้ยวแก้ว" เป็นหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนาในพระพุทธศาสนา โดยพระบรมสารีริกธาตุเหล่านี้เชื่อมโยงกับประวัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและได้รับความเคารพบูชาจากชาวพุทธทั่วโลก การอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐานในประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยเป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมระหว่างประเทศ การศึกษาประวัติศาสตร์และการจัดการเกี่ยวกับพระเขี้ยวแก้วในบริบทของประเทศไทยในปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อสะท้อนถึงบทบาททางศาสนา อิทธิพลทางวัฒนธรรม และแนวทางในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ความเป็นมาของพระเขี้ยวแก้วจีน
พระเขี้ยวแก้วถือเป็นพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับการบูชามาแต่โบราณในประเทศจีน โดยมีประวัติที่เชื่อมโยงกับการสืบทอดพระพุทธศาสนาในแดนมังกร พระเขี้ยวแก้วได้รับการประดิษฐานที่วัดหลิงกวงในกรุงปักกิ่ง และมีการอนุญาตให้อัญเชิญไปยังประเทศต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางศาสนาและวัฒนธรรม โดยเฉพาะในประเทศไทย มีการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐานในช่วงเวลาที่สำคัญหลายครั้ง สร้างความศรัทธาและความเป็นสิริมงคลต่อพุทธศาสนิกชน
หลักการและอุดมการณ์
หลักการที่เกี่ยวข้องกับการอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วนั้นเน้นที่การส่งเสริมพระพุทธศาสนา การเสริมสร้างความศรัทธาและความเคารพในหลักธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และการสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้นในสังคม ทั้งนี้ยังมุ่งเน้นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างพุทธศาสนิกชนในประเทศไทยและจีน ผ่านการแลกเปลี่ยนความเชื่อ วัฒนธรรม และการสร้างสรรค์งานบุญที่ร่วมกันปฏิบัติ
วิธีการและวิสัยทัศน์
การจัดงานอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐานในประเทศไทยนั้นดำเนินการผ่านการประสานงานระหว่างรัฐบาลไทยและจีน รวมถึงองค์กรทางศาสนา อาทิ พุทธสมาคมจีน และคณะกรรมการประสานงานในประเทศไทย ซึ่งในปี พ.ศ. 2567 รัฐมนตรีชูศักดิ์ ศิรินิล ได้มีบทบาทสำคัญในการนำนโยบายและการจัดพิธีกรรมเพื่อให้ประชาชนได้มีโอกาสสักการะบูชา
วิสัยทัศน์ที่สำคัญของโครงการนี้คือ การสร้างความร่วมมือทางศาสนาเพื่อส่งเสริมความสงบสุขในสังคม รวมถึงการสร้างความเข้าใจที่ดีระหว่างประเทศ โดยใช้พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือในการเชื่อมโยงวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ
แผนงานและโครงการ
ในกรณีนี้ แผนงานและโครงการที่สำคัญคือการจัดพิธีอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐาน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 โดยการจัดงานนี้มีเป้าหมายในการเปิดโอกาสให้ประชาชนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้ร่วมสักการะบูชา เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิตและการเสริมสร้างศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา
อิทธิพลต่อสังคมไทย
การอัญเชิญพระเขี้ยวแก้วมาประดิษฐานในประเทศไทยสร้างอิทธิพลต่อสังคมในหลายมิติ ทั้งในด้านการเสริมสร้างความศรัทธาทางศาสนา การเชื่อมโยงวัฒนธรรม และการส่งเสริมกิจกรรมทางศาสนาและสังคม นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่มีความร่วมมือกันในด้านศาสนาและวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
ส่งเสริมการจัดงานสักการะพระบรมสารีริกธาตุให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการนำแนวทางศาสนาไปประยุกต์ใช้ในกิจกรรมทางสังคมเพื่อเสริมสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในประเทศ
สร้างกลไกความร่วมมือระหว่างองค์กรทางศาสนาในระดับนานาชาติ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจและสนับสนุนโครงการด้านศาสนาในระยะยาว
พัฒนาแผนงานที่ส่งเสริมการเผยแพร่คำสอนพระพุทธศาสนา และกิจกรรมที่ส่งเสริมสันติสุขในสังคมโดยอิงหลักธรรมคำสอนจากพระบรมสารีริกธาตุ
ส่งเสริมการวิจัยและการศึกษาเกี่ยวกับอิทธิพลของการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุในบริบททางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และสังคมไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น