เมื่อวันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ แกนนำและผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย ได้เปิดเผยถึงการพัฒนาประเทศโดยเริ่มจากการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากแบบยั่งยืนผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวความว่า ทุกท่านเคยได้ยินได้ฟังการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากแบบน้ำพุไหมครับ
ผมขอมาเล่าให้ฟังกันครับว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้ยั่งยืนนั้น หัวใจสำคัญคือ องค์ความรู้และประสบการณ์ของชุมชน ชาวบ้าน ประกอบกับการส่งเสริมองค์ความรู้ให้พวกเขา และรัฐมีหน้าที่เพียงสนับสนุนงานและนำองค์ความรู้เหล่านั้นมาสร้างให้เกิดเป็นงาน เป็นนโยบายที่มาจากฐานรากขึ้นสู่ด้านบน มิใช่มาจากด้านบนลงสู่ด้านล่างเหมือนอย่างที่ผ่านมา
การไม่เข้าใจไม่รู้วิธีการแก้ปัญหา ในลักษณะของพื้นที่ วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน นำมาสู่การออกแบบและสร้างนโยบายจากภาครัฐที่มีลักษณะแบบทฤษฎีน้ำตก (Top-Down) ที่สั่งการจากหน่วยงานภาครัฐลงมาสู่ท้องถิ่น
การรับฟังและรู้ปัญหาจึงขาดองค์ประกอบสำคัญนั่นคือ ท้องถิ่น/ ชุมชน นโยบายที่ไม่ตอบโจทย์นี้เองที่ทำให้การขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศมีปัญหามาโดยตลอด เปรียบเสมือน การแก้เงื่อนเชือกเพียงแค่ไม่กี่ปมแต่ไม่ได้แก้ไม่ได้รื้อโครงสร้างทั้งหมดว่าปมปัญหามาจากจุดไหน
การจะแก้ปมเงื่อนและรื้อโครงสร้างจะอาศัยฐานคิดแบบเดิมไม่ได้อีกต่อไป จำเป็นต้องปรับฐานคิดและเปลี่ยนการสั่งการ จากการสั่งการที่มีลักษณะแบบน้ำตก (Top-Down) ให้มาเป็นการสั่งการแบบน้ำพุ (Bottom-up) ที่เป็นการสั่งการมาจากประชาชนแทน
การสั่งการจากประชาชนต้องอาศัยความต่อเนื่อง มิใช่ชั่วครั้งคราว ต้องเข้าไปรับฟังวิถีชีวิต ชุมชนท้องถิ่นซึ่งเขามีบุคลากรอย่าง ปราญ์ชาวบ้านและผู้นำชุมชน ที่เป็นหัวหอกในการพัฒนาโดยอาศัยศาสตร์และศิลป์ในการสร้างงาน สร้างผลิตภัณฑ์ สร้างนโยบายของตัวเอง รวมทั้งยังมีวิธีในการแก้ไขปัญหาในลักษณะของภูมิปัญญาที่ตกทอดมายังรุ่นสู่รุ่น
ตัวอย่างในกรณีอย่างวิสาหกิจชุมชนทำนาหนองสาหร่าย ที่จังหวัดกาญจนบุรี เป็นอีกกรณีที่น่าศึกษาและนำมาขยายต่อยอดเป็นนโยบายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของภาครัฐอย่างยิ่ง
หัวใจหลักของการพัฒนาที่นี้เน้นการพัฒนาโดยการจัดการตนเองของชุมชนเป็นหลัก การมีเป้าหมายร่วมกันในการสร้างแผนเศรษฐกิจและแผนพัฒนาชุมชนของตนเอง อาทิ ธนาคารชุมชน สวัสดิการของชุมชน ภูมิปัญญาและเทคโนโลยีที่ปรับใช้ไปสู่กระบวนการผลิตและแปรรูป
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ที่ชุมชนแห่งนี้และจะยิ่งต่อยอดได้อีกหากภาครัฐเปิดใจยอมรับและเข้าใจในวิถีของพวกเขา เปิดกระบวนการเรียนรู้และการเข้าถึงเทคโนโลยี สนับสนุนทุนและบุคลากรในการส่งเสริมงานหรือนโยบายของชุมชนผ่านตัวแทนภาควิชาการหรือภาครัฐในการเข้าไปอำนวยความสะดวก แต่ไม่ใช่การสั่งการ หากทำได้ในลักษณะดังกล่าวจะทำให้การขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากของประเทศด้วยนโยบายที่มาจากประชาชนให้ยั่งยืนได้นั้น ไม่ยาก และไม่ไกลเกินเอื้อมครับ
ผมเชื่อและย้ำเสมอว่าประเทศจะแข็งแรงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ และสังคม เราจะต้องทำให้ฐานรากเข้มแข็ง ซึ่งการที่จะพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากนอกจากจะต้องรับฟังและผสานการมีส่วนร่วมจากพี่น้องในพื้นที่ เราก็จำเป็นต้องได้คนทำงานด้านนี้โดยตรงเข้ามาช่วยในการวางทิศทางนโยบายที่ครอบคลุมทั้งมิติการพัฒนา การแก้ปัญหาให้สอดคล้องกับท้องถิ่นจริงๆ ครับ
เขียนข่าวแบบนี้ ดีมากครับ ท่านมหาสำราญ
ตอบลบ