ตามหลักกฎหมาย ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลการคืนให้ผู้เสียหายก็ต้องคืนให้คงสถานะเดิมให้มากที่สุด
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 นายณพลเดช มณีลังกา ที่ปรึกษาประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่าต้องขออนุโมทนากับมหาเถรสมาคม ที่มีมติรับทราบการประชุมครั้งที่ 21/2567 ตามที่ที่ราชเลขานุการในพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีหนังสือแจ้งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดให้แต่งตั้ง พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสามพระยา และทรงพระกรุณาโปรดให้แต่งตั้ง พระธรรมวชิรปัญญาภรณ์ ดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดเฉลิมพระเกียรติ จ.นนทบุรี
ผมอยู่ในเหตุการณ์ในดคีที่ถูกโจมตีว่าเป็น “คดีเงินทอนวัด” มาโดยตลอด นึกย้อนเห็นภาพในวันที่ผมได้ไปเยี่ยม ท่านเจ้าคุณเอื้อน ที่คุกบางขวาง เป็นภาพที่หดหู่ใจยิ่งนัก ในวันที่เข้าไปให้กำลังใจท่าน พระผู้ไม่มีความผิดแต่ต้องมาถูกจองจำ ต้องมองเพียงผ่านกระจกพูดกับด้วยเสียงตามสาย ข้างในเป็นหูฟังโทรศัพท์แบบโบราณ ได้ทราบว่าท่านแม้อยู่ในคุกท่านก็ทำสมาธิ เจริญภาวนา ที่สำคัญท่านสวดมนต์บูชาพระรัตนไตรเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาแม้อยู่ในคุก น่ายกย่องเป็นอย่างยิ่งครับ ในยามที่ท่านต้องคดีผมในฐานะอนุกรรมาธิการพุทธศาสนาฯ ในสมัยนั้น ก็ใช้ความรู้ความสามารถเต็มที่เพื่อแยกให้เห็นว่า “สละสมณะเพศ” กับ “สึก” ในคำในข้อกฎหมายต่างๆ พร้อมแถลงข่าวเพื่อให้ความรู้กับประชาชน จนถึงวันฟ้าสว่าง ที่วันที่ท่านได้คืนตำแหน่ง
วันนั้นจำได้ว่าได้คืนพัดยศมีผมกับญาติโยมไม่ถึง 20 คนในเหตุการณ์ เป็นกิจกรรมเล็กๆ เห็นแล้วน้ำตาจะไหลครับ วันนี้ขออนุโมทนากับท่านอีกครั้ง ที่ฟ้าสว่าง ท่านได้กลับมาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดสามพระยา ถือเป็นเกียรติยศเป็นศักดิ์ศรี ทั้งนี้ในส่วนตัวผม หากยึดตามหลักกฎหมาย ความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลการคืนให้ผู้เสียหายก็ต้องคืนให้คงสถานะเดิมให้มากที่สุด คงถึงสักวันที่ท่านจะกลับมาดำรงเป็นมหาเถรสมาคม อย่างไรก็ตาม วันนี้ได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อพระพรหมสิทธิ วัดสระเกศ จริงๆ ท่านก็หากพิจารณาตามข้อกฎหมายที่มีบัญญัติแล้ว ท่านก็ควรได้สิทธินี้เช่นกัน นี้เป็นความคิดของผมที่ควรคืนความชอบธรรมให้กับ พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระสงฆ์อันเป็นส่วนหนึ่งของพระรัตนตรัย ครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น