ชวนรู้จัก ‘AI รายงานข่าว พูดได้ 50 ภาษา’ แบ่งเบาภาระงานมนุษย์
คุยกับ ‘ปิ๊ง-ฐิตาภา’ อดีตนักข่าวมืออาชีพ ที่ผันตนเองเป็นสตาร์ตอัปสายดีพเทคใช้ ‘AI’ ผลิตคอนเทนต์เล่าเรื่องได้ถึง 50 ภาษา ช่วยลดต้นทุนผลิต และทำให้มนุษย์มีเวลาไปโฟกัสงานที่ยากกว่า
วิวัฒนาการด้านเทคโนโลยีของโลกในปัจจุบันนั้นมีการพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการนำปัญญาประดิษฐ์มาเป็นโซลูชั่นแก้ไขปัญหาต่าง ๆ การเข้ามาของเทคโนโลยีเสมือนหรือเมตาเวิร์ส (Metaverse) ช่วยขับเคลื่อนให้เกิดโลกเสมือนจริง
หลาย ๆ ธุรกิจนำ AI เหล่านี้มาปรับใช้กับองค์กรของตนเอง หนึ่งในนั้นคือ อุตสาหกรรมสื่อ ล่าสุดได้เกิด “อินฟลูเอนเซอร์เสมือนจริง (Virtual Influencer)” ในการนำเสนอเนื้อหา โฆษณา โดยการใช้หุ่นยนต์โปรโมท หลายคนมองว่า นี่เป็นสิ่งใหม่ของโลกที่จะทำให้เกิดการขับเคลื่อนในรูปแบบใหม่ ๆ แต่หลายคนก็มองว่า “หุ่นยนต์จะเข้ามาแย่งงานของมนุษย์”
ทางกรุงเทพธุรกิจจึงพามาทำความรู้จักกับสตาร์ตอัปสายดีพเทค ที่นำ “AI มาใช้ผลิตคอนเทนต์และรายงานข่าว” อย่างไม่เกรงกลัวต่อค่านิยม “สักวันจักรกลจะครองโลก” แต่เป็นการมองว่า นี่คือโอกาสใหม่ ๆ ที่จะสเกลอัปธุรกิจ ร่วมพูดคุยกับ ปิ๊ง ฐิตาภา สิริพิพัฒน์ ผู้อำนวยการ Digital Human ของ Dues Work อดีตนักข่าวมืออาชีพ ที่ผันตนเองมาทำธุรกิจสร้างคอนเทนต์ด้วย Digital Human
ฐิตาภา สิริพิพัฒน์
การเข้ามาทำธุรกิจ Digital Human
ก่อนหน้านี้ ปิ๊งทำงานเป็นผู้สื่อข่าวมาตลอด 11 ปี โดยมีนายทุนที่สนใจเกี่ยวกับการนำ AI มาใช้ผลิตคอนเทนต์ จึงลาออกจากบริษัทข่าวที่ทำอยู่ และได้เข้ามาทำงานร่วมกับโปรแกรมเมอร์ วิศกร และทีมงานต่าง ๆ ใน Dues Work เพราะมองว่านี่คืองานที่ท้าทาย และน่าสนุก
โดยตนเองจะรับผิดชอบในส่วน PR Marketing นำสกิลของการคิดคอนเทนต์และสคริปต์ตอนเป็นนักข่าวมาป้อนลงใน AI เพื่อให้รายงานแทนตนเอง ซึ่งหัวใจหลัก ๆ ของโปรเจ็กต์นี้ก็คือ การผลิต AI ที่สามารถสร้างเนื้อหา เล่าเรื่องราวในมิติใหม่ โดยปัจจุบันแบ่ง Digital Human ออกเป็น 2 รูปแบบได้แก่ การโคลนนิ่งหน้าตัวเองให้เข้ามาอยู่ในระบบของ AI เพื่อใช้ในการนำเสนองาน และการสร้างใบหน้าขึ้นมาใหม่ โดยแบ่งรูปแบบของการทำงานไว้ดังนี้
1. AI พรีเซ็นเตอร์ ที่สามารถพูดได้ 50 ภาษา สำเนียงตามเจ้าของภาษา
2. AI นาง-นายแบบเสมือนจริง (Semireal) ที่มีหน้าตาเหมือนในเกม
3. AI อินฟลูเอนเซอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์เสมือนจริง อย่างเช่น น้องกะทิ น้องไอรีน
> “AI ไม่ได้เข้ามาแย่งงานมนุษย์อย่างที่หลายคนคิด แต่มันเป็นการปลดแอกการทำงานในรูปแบบใหม่ ที่จะเข้ามาช่วยแบ่งเบาภาระคนทำข่าวหรืออาชีพอื่น ๆ เพื่อให้นักข่าวตัวจริง คนที่ทำอาชีพนั้น ๆ ได้มีเวลาไปทำงานเชิงลึกที่ซับซ้อนขึ้น ทั้งแนวสืบสวนสอบสวน และวิเคราะห์เจาะลึก ส่วนงานง่าย ๆ อย่างการรายงานข่าว 50 ภาษาก็ปล่อยให้เอไอทำได้เลย”
AI ที่พูดได้ 50 ภาษาและเป็นหน้าของเราดีอย่างไร
ปิ๊งอธิบายว่า คอนเทนต์บางคอนเทนต์อาจจะเหมาะกับการจ้างโปรดักชั่นที่ครบครัน แต่จะมีบางคอนเทนต์ที่ไม่จำเป็นจะต้องจ้างโปรดักชั่นใหญ่ ๆ AI จะช่วยลดคอร์สเรียนภาษาเพิ่ม และลดต้นทุนการสร้างคอนเทนต์ง่าย ๆ เพราะว่า กว่าจะได้ข่าว 1 ชิ้นจะต้องมีโปรดักชั่นที่ใหญ่ ต้องมีการจ้างคนหลายคน เช่น ช่างหน้า ช่างผม ช่างไฟ ช่างภาพ และก็ต้องจ่ายให้คนอ่านข่าวหรือพรีเซ็นเตอร์ การมี AI จึงสามารถช่วยลดต้นทุนตรงนี้ได้
ในส่วนของการนำเสนองาน ยกตัวอย่างเช่น ผู้บริหารที่มีภาระงานเยอะแต่ต้องการที่จะเข้าประชุมหรือเข้าพูดคุยกับพนักงานในองค์กรก็สามารถโคลนนิ่งใบหน้าของตนเองในช่วงวัยนั้น แล้วใช้กับบางการประชุมที่ไม่ซับซ้อน หรือบางการแถลงข่าวสั้น ๆ ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องจัดเองทั้งหมดแต่ใช้ AI พรีเซ็นเตอร์ในการเล่าเรื่องและก็นำเสนอเรื่องราวของของตนเองได้ และการสร้างหน้าขึ้นมาใหม่จะเป็นรูปแบบของ Bussiness Model อย่างเช่น น้องไอรีน โดยทำให้น้องคนนี้กลายเป็นอินฟลูอินเซอร์ เป็นพรีเซ็นเตอร์ เป็นนางแบบ ที่เราสามารถเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์หน้าได้ ทางบริษัทสามารถออกแบบใบตามสิ่งที่ลูกค้าต้องการ
> “ปิ๊งมองว่ามันเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัยมากยิ่งขึ้นเพราะว่าเรามีการใช้ AI พรีเซ็นเตอร์เข้ามาช่วย แค่มาถ่าย Staff หน้าไว้เพียงแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นก็สามารถนำไปใช้งานพรีเซ็นต์ในเรื่องต่าง ๆ ได้เลย ซึ่งมันจะเป็นมิติใหม่ของการทำคอนเทนต์ที่ไม่จำเป็นต้องจ้าง Full Production แล้ว”
ผลตอบรับจากการนำ AI มาใช้นำเสนอผลิตภัณฑ์
หลังจากที่ Dues Work เปิดบริษัทมาได้ 3 เดือน ขณะนี้มีผู้ใช้บริการคือ
1. บริษัท ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป (WHA GROUP) ซึ่งนำเอา AI พรีเซ็นเตอร์ไปเป็นพนักงานขาย (Sale) เท่ากับว่าพนักงานขายที่เป็นมนุษย์จริง ๆ ได้เอาเวลาไปทำงานอย่างอื่นที่ยากขึ้น เช่น วิเคราะห์ลูกค้า เก็บข้อมูลลูกค้า หรือการออกแบบวิธีการขาย ส่วนเซลล์เวอร์ชั่น AI ก็จะทำหน้าที่แค่อธิบาย Product ให้กับลูกค้าได้เข้าใจ ซึ่งก็จะมีภาษาหลากหลายภาษาให้ลูกค้าสามารถเลือกฟังได้
ซึ่ง WHA ส่วนใหญ่จะมีลูกค้าจากประเทศเวียดนาม ญี่ปุ่น และจีน เขาอยากพูดกับลูกค้าโดยตรงก็ใช้ AI ในการทำหน้าที่ตรงนี้แทน จะประหยัดเวลากว่าการต้องร่าง Statement เอาไปให้ล่ามตรวจ และเอาไปจ้างกองถ่ายเพื่อมาถ่ายทำ จึงใช้ AI พรีเซ็นเตอร์เพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความรวดเร็ว
2. สถานีข่าวเนชั่น (Nation TV) ที่ใช้การโคลนนิ่งใบหน้าของผู้สื่อข่าว เพื่อนำไปรายงานข่าวที่ง่าย ๆ หลายภาษา ใช้กับข่าวที่มีความสั้น กระชับ เน้นความรวดเร็ว และความหลากหลายของภาษาพูด
3. กลุ่มสุขภาพและการท่องเที่ยว โดยจะใช้อินฟลูเอนเซอร์ AI โปรโมทการท่องเที่ยวของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นโมเดลที่ออกแบบหน้าตาใหม่ทั้งหมด เป็นตัวละครในโลกใบใหม่ที่สามารถใส่คอนเทนต์ลงไป ไม่ต้องคำนึงถึงเบื้องหลังของบุคคลคน ๆ นี้
ในสนามการแข่งขัน Dues Work อยู่ตรงไหน?
ปิ๊งเล่าว่า จุดเด่นของบริษัทคือ การใช้แรงงานคนไทยผลิต AI ซึ่งเป็นการสนับสนุนฝีมือคนภายในประเทศ และจุดแข็งที่สำคัญคือ ด้วยความเป็นบริษัทคนไทยจะมีเรทราคาที่ต่ำกว่า (เรทการผลิตอยู่ที่ 900 บาท) มีค่าลิขสิทธิ์ที่ถูกกว่าต่างประเทศ และทำให้ลดการพึ่งพาเทคโนโลยจากต่างชาติ นอกจากนี้ ตัว AI ของ Deus Work ก็สามารถพูดได้ถึง 50 ภาษา โดยเป็นสำเนียงตามเจ้าของภาษา ไม่ใช่การใช้เสียงคล้ายกูเกิ้ลแปลภาษา ทำให้ AI มีมิติมากยิ่งขึ้น
> “หลังจากนี้อีก 1-2 ปี จะมีการปรับการใช้เสียงของ AI ให้สามารถใช้เสียงของบุคคลคนนั้นได้เลย และยังมีแพลนต่อยอดไปยังรูปแบบโฮโลแกรม ภาพ 3 มิติ เพื่อเพิ่มฟังก์ชันให้เกิดการใช้งานในรูปแบบใหม่ ๆ ต่อยอดไปให้ถึง Global”
การเข้ามาของเมตาเวิร์สส่งผลกระทบกับวงการ AI อย่างไร
เมื่อ 20 ปีที่แล้ว อินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งแปลกใหม่ เชื่อว่าอีกสิบปีข้างหน้า เราก็จะรู้สึกคล้าย ๆ กันกับเมตาเวิร์ส (Metaverse) เพราะโลกเสมือนนี้จะสามารถเชื่อมคนที่อยู่ต่างสถานที่ได้มากกว่ารูปแบบที่ปัจจุบันมีอยู่
หัวใจของเมตาเวิร์สคือ “ความเป็นปัจจุบัน” ทุกอย่างไม่ได้จำกัดอยู่ที่ เม้าส์,คีย์บอร์ด, VDO หรือ text อีกต่อไป แต่มันจะไปถึงขั้นการส่งความรู้สึกสัมผัสผ่านออนไลน์
เราไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเมตาเวิร์สในอีก 10 ปีข้างหน้าจะไปได้ถึงขั้นไหน หน้าตาจะเป็นอย่างไร เพราะปัจจัยผันผวนนั้นมีเยอะ ทั้งเรื่องของเทคโนโลยีและความต้องการของผู้ใช้เปลี่ยนแปลงตลอด
ซึ่งในปัจจุบันธุรกิจที่สามารถทำให้ Concept ของเมตาเวิร์สที่เกิดขึ้นในโลกปัจจุบัน มันมีแผนชัดเจนขึ้น คือ ธุรกิจที่เกี่ยวกับซอฟต์แวร์ หรือธุรกิจที่ใช้โลกออนไลน์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกมส์ และอุตสาหกรรมบันเทิง
> “ไม่อยากให้ทุกคนกลัวการใช้หุ่นยนต์และกลัวเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพราะข้อดีของนวัตกรรมเหล่านี้จะสามารถทำให้เราสเกลอัปธุรกิจของตนเองไปสู่ตลาดได้อย่างก้าวกระโดด”
Cr.https://www.bangkokbiznews.com/tech/1024924
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น