เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 เวลา 15.30น. ตามเวลาท้องถิ่น ณ คุนหมิง นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเข้าร่วมประชุม GMS ครั้ง 8 และการประชุม ACMECS ครั้งที่ 10 ซึ่งเป็นการประชุมแบบพบกันเป็นครั้งแรก หลังสถานการณ์โควิด-19 โดยการเดินทางมาร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง 6 ประเทศ (GMS) และการประชุมผู้นำยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี - เจ้าพระยา - แม่โขง (ACMECS) ที่นครคุนหมิง ครั้งนี้ เป็นโอกาสให้ได้พบหารือกับผู้นำหลายประเทศในภูมิภาค ได้แก่ จีน สปป. ลาว เวียดนาม เมียนมา กัมพูชา โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการขับเคลื่อน และความร่วมมือในหลายด้านที่เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต การพัฒนาคุณภาพชีวิต และความกินดีอยู่ดีของประชาชนในภูมิภาค เช่น น้ำท่วม ฝุ่นควัน อาชญากรรมข้ามชาติ ซึ่งมีประชากรในภูมิภาคนี้กว่า 200 ล้านคน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สนทนากับผู้นำเมียนมาระหว่างการประชุม ซึ่งนายกรัฐมนตรีแจ้งว่า ไทยพร้อมสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโดยสันติและปรารถนาที่จะเห็นความสงบสุขในเมียนมา เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการเจริญเติบโตไปพร้อมๆกัน รวมทั้งเพื่อให้สามารถร่วมมือกันแก้ไขปัญหา ข้ามแดน อาทิ ยาเสพติด การฉ้อโกงออนไลน์ หมอกควัน น้ำท่วม ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นายกรัฐมนตรียังได้ขอความร่วมมือฝ่ายเมียนมาช่วยแก้ไขปัญหาที่ผู้ประกอบการธุรกิจไทยในเมียนมาประสบอยู่ อาทิ ปัญหาการขอใบอนุญาตนำเข้าสินค้า ขณะที่ผู้นำเมียนมาขอความร่วมมือไทยนำแรงงานเมียนมาที่อยู่อย่างไม่ถูกต้องในไทยเข้าสู่ระบบ เพื่อให้สามารถได้รับการดูแลตามกฎหมาย ทั้งนี้ ผู้นำทั้งสองย้ำความสำคัญของการเสริมสร้างความเชื่อมโยงในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และจะร่วมมือแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการเชื่อมโยงระหว่างกันต่อไป
จึงเป็นที่มาของการวิเคราะห์บทบาทของไทยในการช่วยสร้างสันติภาพในเมียนมาในบริบทพุทธสันติวิธี: หลักการ อุดมการณ์ วิธีการ วิสัยทัศน์ แผนงาน โครงการ และอิทธิพลต่อสังคมไทย
บทนำ
ในช่วงปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาคอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงได้ก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาสำคัญอีกครั้ง โดยเฉพาะการประชุม GMS ครั้งที่ 8 และ ACMECS ครั้งที่ 10 ซึ่งมีการพบปะผู้นำประเทศในภูมิภาค รวมถึงการสนทนาเกี่ยวกับความร่วมมือเพื่อเสริมสร้างสันติภาพในเมียนมา บทความนี้มุ่งเน้นวิเคราะห์บทบาทของประเทศไทยในการช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยใช้แนวคิดพุทธสันติวิธีเป็นกรอบวิเคราะห์หลัก พร้อมเสนอแนะแนวนโยบายเพื่อส่งเสริมการสร้างสันติภาพอย่างยั่งยืน
1. หลักการและอุดมการณ์ของพุทธสันติวิธีในการสร้างสันติภาพ
พุทธสันติวิธีมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาโดยสันติ ปราศจากความรุนแรง และการใช้วิธีการแห่งปัญญา (Wisdom Approach) ในการสื่อสารและแก้ไขข้อขัดแย้ง โดยประเทศไทยสามารถนำหลักการเหล่านี้มาประยุกต์ใช้ในกระบวนการสร้างสันติภาพในเมียนมา เช่น การสนทนากับผู้นำเมียนมาด้วยความปรารถนาดี และเน้นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วยความเข้าใจที่ดีต่อกัน
2. วิธีการในการส่งเสริมสันติภาพในเมียนมา
ประเทศไทยได้แสดงเจตจำนงในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาในเมียนมาโดยสันติ เช่น การเจรจาระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยกับผู้นำเมียนมาเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาข้ามแดน เช่น ยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ และการจัดการแรงงาน ทั้งนี้ การใช้วิธีการเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกันเป็นเครื่องมือสำคัญในการประสานความร่วมมืออย่างมีประสิทธิภาพ
3. วิสัยทัศน์ของไทยในการส่งเสริมสันติภาพในภูมิภาค
การสนับสนุนสันติภาพในเมียนมาไม่เพียงแต่เป็นเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความสงบสุขในประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความกินดีอยู่ดีของประชาชนในภูมิภาค โดยการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจและการส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่างๆ เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ภูมิภาคเข้มแข็ง
4. แผนงานและโครงการที่เกี่ยวข้อง
การเสริมสร้างสันติภาพในเมียนมาต้องอาศัยการดำเนินแผนงานและโครงการที่ชัดเจน เช่น โครงการส่งเสริมความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาข้ามแดน การสนับสนุนการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม การให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยในเมียนมา และการจัดการแรงงานเมียนมาในไทยอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
5. อิทธิพลต่อสังคมไทย
การที่ไทยมีบทบาทในการสร้างสันติภาพในเมียนมามีผลกระทบในเชิงบวกต่อสังคมไทย ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ตัวอย่างเช่น การเสริมสร้างความสัมพันธ์เชิงเศรษฐกิจที่ดีขึ้นกับเมียนมา และการแก้ไขปัญหาที่ส่งผลต่อความมั่นคงภายใน เช่น ยาเสพติดและการฉ้อโกงออนไลน์ นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังสะท้อนความสามารถของไทยในการเป็นผู้นำในการสร้างสันติภาพในภูมิภาค
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
การส่งเสริมการสนทนาระดับทวิภาคี: ควรเน้นการเจรจาโดยใช้พุทธสันติวิธีเพื่อสร้างความไว้วางใจและความเข้าใจที่ดีระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศ
การพัฒนาโครงการความร่วมมือข้ามแดน: สนับสนุนโครงการที่เน้นการแก้ไขปัญหาข้ามแดนอย่างยั่งยืน เช่น การควบคุมยาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติ
การสนับสนุนการพัฒนาชุมชนในเมียนมา: ส่งเสริมโครงการพัฒนาชุมชนโดยใช้หลักพุทธสันติวิธี เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางสังคมและเศรษฐกิจ
การบูรณาการระบบแรงงานเมียนมาในไทย: สนับสนุนการนำแรงงานเข้าสู่ระบบให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อให้แรงงานได้รับการดูแลและป้องกันการกระทำผิดกฎหมาย
สรุป
ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการสร้างสันติภาพในเมียนมา โดยใช้แนวทางพุทธสันติวิธีผ่านการสนทนาและการเจรจาอย่างสันติ ส่งเสริมความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาข้ามแดน เช่น ยาเสพติดและอาชญากรรม การดำเนินแผนงานและโครงการเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์และเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ของไทยในการสร้างความมั่นคงและความกินดีอยู่ดีร่วมกัน การส่งเสริมสันติภาพดังกล่าวยังมีอิทธิพลต่อสังคมไทยทั้งในด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง พร้อมข้อเสนอแนะในการใช้การเจรจาและโครงการที่ยั่งยืนในการสร้างเสถียรภาพในภูมิภาคต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น