"อดิศร เพียงเกษ" โฆษกผู้นำฝ่ายค้านยันไม่เคยแตะรัฐธรรมนูญหมวด 1 โบ้ยเป็นความเห็นส่วนตัวนักวิชาการ จี้ "บิ๊กตู่" ในฐานะผู้อำนวยการ กอ.รมน. ยับยั้งเอาผิด ขู่ ฝ่ายค้านเตรียมอภิปรายงบ กอ.รมน. ลามถึงอภิปรายไม่ไว้วางใจเดือน ธ.ค. แน่ ขณะที่ "ชัยเกษม" ติง "บุรินทร์" อย่าแจ้งความหว่านแห
วันที่ 4 ต.ค.2562 ที่สัปปายะสภาสถานรัฐสภา นายอดิศร เพียงเกษ ในฐานะโฆษกผู้นำฝ่ายค้านสภาผู้แทนราษฎรแถลงกรณีที่พลตรีบุรินทร์ ทองประไพ ผู้ชำนาญการสำนักงาน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า หรือ กอ.รมน. ที่ได้รับมอบหมายจากแม่ทัพภาคที่ 4 ให้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษแกนนำ 7 พรรคฝ่ายค้านกรณีที่จัดเวทีเสวนาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใน จ.ปัตตานี เป็นการยุยงปลุกปั่น ซึ่งเป็นการกระทำผิดตามมาตรา 116 ว่า นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้าน เห็นว่าการกระทำของกอ.รมน.ภาค 4 เป็นการแจ้งความที่หลงละเมอเพ้อพกว่าปัจจุบันประเทศไทยไม่ได้ปกครองโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. แต่พลตรีบุรินทร์ ได้ดิบได้ดีจากพันโทถึงพลตรี ในช่วงที่ประเทศปกครองโดยระบอบเผด็จการคือ คสช. ความจริงการเคลื่อนไหวที่จะแก้รัฐธรรมนูญของพรรคร่วมฝ่ายค้านทำตามรัฐธรรมนูญทุกประการ ซึ่งได้มีการเคลื่อนไหวตั้งแต่จังหวัดเชียงใหม่ มหาสารคาม ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และปัตตานี เพื่อไปรับฟังความคิดเห็นของประชาชนว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีข้อบกพร่องควรจะแก้ไขอย่างไร เพื่อให้ได้รัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตย
นายอดิศร กล่าวว่า โดยส่วนตัวได้เข้าร่วมการเสวนาของ 7 พรรคฝ่ายค้าน ไม่ได้มีการแตะต้องหมวดที่ 1 และที่ 2 เลย มีแต่เพียงต้องการเรียกร้องสิทธิ เสรีภาพอันจะพึงมีพึงได้ โดยนำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาเป็นแบบอย่างในการที่จะแก้ไข และไม่เคยมีการกระด้างกระเดื่องปลุกปั่นยุยง ตามที่กอ.รมน. ฝันกลางวัน
นายอดิศร กล่าวต่อว่า โดยแท้จริง แล้ว กอ.รมน. เกิดจากการที่ คสช. ผ่องถ่ายอำนาจของตัวเองมาให้ ซึ่งพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงไม่สะทกสะท้าน ไม่ยินดียินร้าย และไม่ให้ความร่วมมือกับสภา ทำตัวเหมือนหัวหน้า คสช. เพราะ กอ.รมน.คือรัฐซ้อนรัฐ จึงขอฝากไปถึงพลเอกประยุทธ์ว่าที่ไปพูดอยู่ที่สหประชาชาติว่าศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย เพราะระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบที่ดีที่สุดในโลกนั้น เป็นการไปโกหกคนทั้งโลกหรือไม่ ดังนั้น ในฐานะที่พลเอกประยุทธ์เป็นผู้อำนวยการ กอ.รมน. จึงอยากให้พลเอกประยุทธ์ระงับยับยั้ง อย่าให้มีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นอีก เพราะปัจจุบันมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมีสภาผู้แทนราษฎรแล้ว
"สาเหตุเหล่านี้จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ฝ่ายค้านจะเอาไปอภิปรายในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ในส่วนงบประมาณของ กอ.รมน. และนําไปสู่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งจะมีขึ้นอย่างแน่นอนในเดือน ธ.ค. นี้ ทั้งนี้ ผู้นำฝ่ายค้านมีความเป็นห่วงว่า สถานการณ์การเมืองในระบอบประชาธิปไตยกำลังเดินทางไปสู่สภาพปกติ จึงไม่อยากให้มีอะไรมาขัดขวางอีก" นายอดิศร กล่าวและว่า
ส่วนกรณีที่นักวิชาการได้ออกมาแสดงความคิดเห็นว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญในหมวดที่ 1 ซึ่งเป็นการพูดบนเวทีของเก็บพรรคร่วมฝ่ายค้านนั้นเป็นความเห็นส่วนตัว เพราะนักวิชาการเขาเป็นคนสอนหนังสือ ดังนั้น ต้องเปิดเวทีให้นักวิชาการได้มีโอกาส อย่าให้ประเทศนี้มืดมน อย่าให้เป็นประเทศที่เขาบอกว่าเป็นกะลาแลนด์เลย ขอให้ กอ.รมน. เปิดกะลาและกะโหลกของออกมาหน่อย
"ชัยเกษม"ติง"บุรินทร์"อย่าแจ้งความหว่านแห
นายชัยเกษม นิติสิริ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคด้านการตรวจสอบกระบวนการยุติธรรมและอำนาจรัฐ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ดูจากรายงานประจำวันที่บันทึกการแจ้งความข่าวพบว่า ไม่มีการแจ้งว่าใคร พูดอะไร ตอนไหน อย่างไร ที่จะเข้าข่ายความผิดมาตรา 116 นี้ เป็นเพียงการแจ้งความหว่านแห แสดงให้เห็นว่าคนแจ้งยังไม่เข้าใจชัดเจนด้วยซ้ำว่าข้อเท็จจริงจะเข้าความผิดมาตรานี้ และปล่อยให้เป็นดุลยพินิจเจ้าพนักงาน เหมือนกับการแจ้งความที่เกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศอยู่ในระบอบการปกครองของ คสช. และสุดท้ายนำไปสู่การไม่ฟ้องของอัยการ และการยกฟ้องของศาล เนื่องจากไม่มีน้ำหนักเพียงพอ
ทั้งนี้ นายชัยเกษม กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นฝ่ายกฎหมายของทหาร ควรกลั่นกรองให้ดีก่อนที่จะฟ้องใคร ไม่ใช่ให้เจ้าพนักงานเขาไปดูเอง ไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำสำหรับนักกฎหมายที่จะกล่าวหาคนอื่นในลักษณะนี้ ทั้งนี้ตนเองอ่านเนื้อหาที่แจ้งความแล้วยังไม่รู้ว่าตรงไหนที่จะเข้า ปั่นป่วน กระด้างกระเดื่อง ก่อความไม่สงบ หรือล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ดังนั้นผู้แจ้งความควรตัดตอนออกมาให้ชัดเจนว่าคำกล่าวท่อนไหนที่ผิด ไม่ใช่กล่าวหาลอยๆ กว้างๆ แล้วให้เจ้าพนักงานไปทำเอาเอง รู้แต่ข้อหา แต่ไม่รู้ว่าตรงไหนอย่างไร เหมือนโยนเข็มในมหาสมุทร ให้พนักงานไปทำงานเอง
นายชัยเกษม ย้ำว่า หมดยุค คสช. หมดยุคที่หน่วยงานทั้งหลายที่จะทำตามความเห็น คสช. และหมดยุคการใช้อำนาจตาม มาตรา 44 แล้ว ทั้งนี้ยังยอมรับว่าการกระทำเช่นนี้อาจไม่ใช่การหวังผลทางกฎหมาย แต่อาจจะทำเพื่อให้ส่งผลต่อประชาชนให้ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญมากกว่า ทั้งที่การแสดงความคิดเห็นของประชาชนเป็นสิทธิที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญอยู่แล้ว ถ้าใครวิจารณ์แล้วผิดกฎหมายก็ต้องรับผิดชอบตามนั้น อีกทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังสามารถทำได้ตามหมวด 15 เว้นแต่สิ่งที่พูดแล้วน่าจะทำไม่ได้คือมาตรา 255 ในรัฐธรรมนูญคือเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐจะกระทำไม่ได้ แต่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง เช่น การปกครองท้องถิ่นที่มีเอกภาพของตัวเองมากขึ้นอย่าง กรุงเทพมหานคร หรือเมืองพัทยา เป็นสิ่งที่สามารถทำได้และหยิบยกขึ้นมาพูดได้
ทั้งนี้ นายชัยเกษม กล่าวสรุปว่า การแจ้งความไว้ก่อนเป็นสิ่งไม่ควรกระทำในยุคที่ประเทศเริ่มเป็นประชาธิปไตย การกระทำลักษณะนี้อาจเป็นการเตือนว่าอย่ามาพูด อย่ามาแสดงความคิดเห็น แม้จะมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ การเอาคนไปอยู่คดีไว้ก่อน ไม่ใช่วิธีการตามหลักประชาธิปไตย เพราะถ้าคนๆ นั้นมีโอกาสหาทนายเองหรือช่วยเหลือตัวเองได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคนที่ไม่มีเงินหรือโอกาสมากพอที่จะเข้าถึงทนายและกระบวนการยุติธรรม ก็จะกระเทือนถึงสิทธิเสรีภาพของบุคคลนั้นด้วย ตนจึงขอร้องว่าประเทศกำลังเดินทางไปในเส้นทางประชาธิปไตยที่ดี อย่างเอาวิธีการในสมัยปฏิวัติรัฐประหารมาใช้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น