วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

เจ้าคุณอายุ 101 ปีร่วมพิธีเปิดงาน ปิดทองหลวงพ่อต่อศักดิ์สิทธิ์บางพลัด พูดถึงสมเด็จอาจ


เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566  น.ส.บุณณดา สุปิยพันธุ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขตบางพลัด-บางกอกน้อย พรรคพลังประชารัฐ  เปิดเผยว่า  วันนี้(18ก.พ.) ไปร่วมพิธีเปิดงานประจำปี พ.ศ.2566 ปิดทองหลวงพ่อต่อศักดิ์สิทธิ์ ณ อุโบสถมหาอุตม์ ณ วัดภาณุรังษี เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร งานมีตั้งแต่วันที่ 17 -26  กุมภาพันธ์ 2566 (10 วัน 10  คืน)  โดยพระมหาอุดร สุทฺธิญาโณ ป.ธ.9 ,ดร. เจ้าอาวาสวัดภาณุรังษี  ในงานมีพิธีสงฆ์อันศักดิ์สิทธิ์ โดยได้รับเมตตาจากพระธรรมวชิรมุนี เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร  เป็นประธานฯ  พระราชอุดมมงคล (วิสิทธิ์ นนฺทิโย) อายุ 101 ปี ร่วมในพิธีโดยพูดถึงสมเด็จพระพุฒาจารย์ (อาจ ดวงมาลา ฉายา อาสโภ ) อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

"อุตตม"แนะต้องปฏิรูประบบงบฯ วิธีแก้หนี้สาธารณะของรัฐบาลมากสุด



วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566    ดร.อุตตม สาวนายน ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับหนี้สาธารณะที่ถูกหยิบมาอภิปรายในสภาฯว่า 

เวทีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามมาตรา 152 ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อวานนี้ ประเด็นหนี้สาธารณะประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายอีกครั้ง  โดยมีการยกตัวเลขหนี้สินประเทศปัจจุบัน ที่มากกว่า 10.6 ล้านล้านบาท ซึ่งในมุมของประชาชนย่อมมีความเป็นห่วง เพราะหนี้สาธารณะเป็นดัชนีตัวหนึ่งที่ชี้วัดความกินดีอยู่ดีของประชาชนในอนาคต

หนี้ก้อนใหญ่ที่สุดคือหนี้รัฐบาล ที่กู้มาเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ เนื่องจากประเทศไทยทำงบประมาณขาดดุลติดต่อกันมากว่า 10 ปี ซึ่งเข้าใจได้ว่าเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจ รวมถึงหนี้ที่กู้เพื่อใช้ในมาตรการดูแลเยียวยาและฟื้นฟูโควิด ช่วงปี 2563-64 ก็ถือว่ามีความจำเป็นเร่งด่วน

รัฐบาลประเมินว่าจะสามารถจัดทำงบประมาณให้สมดุลได้ในอีก 10 ปีข้างหน้า นั่นหมายความว่ารัฐบาลต้องจัดหารายได้เพิ่มมากขึ้นในแต่ละปีเพื่อให้ทันกับค่าใช้จ่าย จากที่ผ่านมามีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยปีละ 2-3 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำได้ตามที่คาดหวังต้องขึ้นกับปัจจัยสำคัญคือเศรษฐกิจประเทศขยายตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามล่าสุดสภาพัฒน์ ได้ประกาศจีดีพี 2565 โตเพียงร้อยละ 2.6 ต่ำกว่าที่คาดมาก และยังลดเป้าปีนี้ลงเหลือร้อยละ 3.2 ซี่งผมได้เคยตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนหน้านี้ว่า เราไม่ควรประมาทกับภาวะเศรษฐกิจโลกในปีนี้ที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะกับเครื่องยนต์เศรษฐกิจสำคัญ ทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยว

การที่ประเทศไทยพึ่งฟื้นไข้จากพิษโควิด ยังจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อดูแลประชาชนให้หลุดพ้นจากความยากลำบาก ขณะเดียวกันก็ต้องลงทุนที่มุ่งเป้าให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ดังนั้นการบริหารงบประมาณที่มีประสิทธิภาพสูงสุด จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ผมยังเห็นว่าการปฏิรูประบบงบประมาณของประเทศเป็นสิ่งจำเป็น หากเราต้องการให้ประเทศไทยพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง และสามารถกลับมาทำงบประมาณสมดุลได้ ซึ่งเป็นบันไดขั้นแรกสู่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนต่อไป


วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

“สมเด็จพระมหาวีรวงศ์-ปลัดมท.-ขรรค์ชัย" ร่วมปลูก “ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” สถานปฏิบัติธรรม “สมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร)” ปทุมธานี



สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ พร้อมด้วยปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานพัฒนาพื้นที่สถานปฏิบัติธรรม สมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) คลอง 9 ปทุมธานี เพื่อเป็น Landmark ธรรมะและธรรมชาติ ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้นแบบพื้นที่การพัฒนาที่ยั่งยืน 

มื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2566  เวลา 14.00 น. เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม นำนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายขรรค์ชัย บุญปาน ประธานกรรมการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ร่วมลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานพัฒนาสถานปฏิบัติธรรม สมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) ณ คลอง 9 ตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี โดยได้รับเมตตาจาก พระธรรมรัตนาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต พระอารามหลวง พระราชสารเวที เจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม พระอารามหลวง และพระเถรานุเถระ ร่วมลงพื้นที่ โดยมี นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี  นายอดิเทพ กมลเวชช์ นายสิทธิชัย สวัสดิ์แสน นายพงศธร กาญจนะจิตรา รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี นายคมสัน ญาณวัฒนา หัวหน้าสำนักงานจังหวัดปทุมธานี นางสาวกันตรัตน์ เริ่มสูงเนิน ปลัดจังหวัดปทุมธานี หัวหน้าส่วนราชการ นายอำเภอ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และศิษยานุศิษย์ กว่า 200 คน ร่วมลงพื้นที่

(คลิปบรรยากาศ https://youtube.com/shorts/Dahpld-Aw40?feature=share)

โอกาสนี้ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ พร้อมด้วยนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และคณะ ได้ร่วมเอามื้อสามัคคี ขุดหลุม ปลูกต้นจามจุรี (ต้นก้ามปู) และต้นมะฮอกกานี ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่และเติบโตเร็ว อันเป็นการน้อมนำหลักการตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมุ่งสืบสาน รักษา และต่อยอด แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “ป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง” มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับพื้นที่ เป็นต้นแบบการพึ่งพาตนเอง ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา นำไปสู่การพัฒนาพื้นที่ได้อย่างยั่งยืน พร้อมทั้งเดินเยี่ยมชมบริเวณพื้นที่ก่อสร้างพระวิหาร กุฏิ อาคารเสนาสนะ แปลงโคก หนอง นา และพื้นที่โดยรอบบริเวณ พร้อมทั้งร่วมรับฟังบรรยายสรุปความคืบหน้าของการดำเนินโครงการฯ ประกอบด้วย 1) เรื่องการดูแลรักษาต้นไม้ในพื้นที่ โคก หนอง นา สัปปายะและรมณียสถาน 2) การสำรวจ ออกแบบและประมาณการราคาค่าก่อสร้างถนนและท่อระบายน้ำ 3) การหารือการสนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี 4) การดำเนินงานติดตั้งระบบไฟฟ้า 5) การยื่นขอรังวัดที่ดิน เพื่อตรวจสอบแนวเขตที่ดินสำหรับการย้ายเสาไฟฟ้า 6) เครื่องสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ 


นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า โครงการพัฒนาสถานปฏิบัติธรรมสมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) คลอง 9 ตำบลลำลูกกา อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เป็นโครงการที่เจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อมฺพรมหาเถร) ทรงประทานที่ดิน จำนวน 127 ไร่แห่งนี้ให้ก่อสร้างสถานปฏิบัติธรรม โดยแบ่งพื้นที่เป็น 3 ส่วน ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 ขนาดพื้นที่ 60 ไร่ เป็นสถานปฏิบัติธรรม ดำเนินการโดย วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ส่วนที่ 2 ขนาดพื้นที่ 27 ไร่ เป็นแปลงเกษตรสาธิต ดำเนินการโดยเครือเจริญโภคภัณฑ์ ส่วนที่ 3 ขนาดพื้นที่ 40 ไร่ ดำเนินการพัฒนาเป็นแปลงโคก หนอง นา เพื่อเป็นสัปปายะและรมณียสถานศูนย์ปฏิบัติธรรมสมเด็จพระสังฆราช (อมฺพรมหาเถร) โดยจังหวัดปทุมธานี ได้บูรณาการภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการพัฒนาและขยายผลให้เป็นแหล่งเรียนรู้พัฒนาตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับบันทึกข้อตกลงความร่วมมือบทบาทในการเกื้อหนุนระหว่างวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน ที่เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม กระทรวงมหาดไทย และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้ลงนามร่วมกันเพื่อให้เกิดการบูรณาการภาคีเครือข่ายการพัฒนาทุกมิติ ส่งเสริมสัมมาชีพ สัมมาปฏิบัติ เสริมสร้างสังคมสุขภาวะ สร้างความสุขสังคมไทยขยายผล ช่วยสังคมโลกให้มีความสุขอย่างยั่งยืน โดยใช้หลักธรรมนำทางโลก เพื่อให้เกิดสุขภาวะ 4 มิติ คือ กาย จิต สังคมและปัญญา


“ที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยร่วมกับวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ภาครัฐ ภาคเอกชน จิตอาสา และภาคีเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี ดำเนินการบ่มเพาะฝึกอบรมหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา ในรูปแบบวิถีชาวบ้าน ด้วยการปั้นโคก ขุดหนอง และทำนา โดยมีข้าราชการ ประชาชน และจิตอาสา ได้นำไปดำเนินการจนสามารถพึ่งพาตนเองได้ เช่น ในพื้นที่อำเภอลำลูกกา เป็นต้น ซึ่งได้ดำเนินการผ่านการฝึกอบรมเพิ่มศักยภาพและการน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปสู่การปฏิบัติควบคู่กับการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตให้มีความสมบูรณ์ ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ - มิถุนายน 2565 โดยได้มีการนัดหมายกันมาร่วมเอามื้อสามัคคี สัปดาห์ละ 1 ครั้งในทุกวันอาทิตย์” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว


นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ได้บูรณาการภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ในการพัฒนาสถานที่แห่งนี้ รวมทั้งทำให้ท่านนายอำเภอทุกอำเภอ ได้เป็น “ผู้นำ” ของ “ทีมอำเภอ” ที่เกิดจากพลังจิตอาสาทุกภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคีในพื้นที่ อันได้แก่ ภาคราชการ ภาคผู้นำศาสนา ภาควิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาคประชาชน และภาคสื่อมวลชน มาร่วมกันบูรณาการพัฒนาสถานที่แห่งนี้ไว้เป็นแหล่งเรียนรู้ และเป็นพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่โคก หนอง นา เป็น “Landmark ธรรมะและธรรมชาติของจังหวัดปทุมธานี” เพื่อให้ประชาชนชาวจังหวัดปทุมธานี รวมถึงประชาชนผู้สนใจ ได้มาศึกษาแล้วนำไปพัฒนาและต่อยอดในพื้นที่ของตนเอง อันจะทำให้ชาวปทุมธานีสามารถสร้างงาน สร้างรายได้ ให้กับตนเอง และชุมชน ส่งผลให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน เกิดความสุขแบบชาวบ้าน ประชาชนพึ่งพาตนเองได้ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืน

 


ผอ.สันติศึกษา"มจร" บรรยายสันติภาพ แก่นักศึกษา๔ส.รุ่น๑๓ สถาบันพระปกเกล้า


(คลิป https://youtube.com/shorts/haL6l_4Kgxs?feature=share)

วันที่ ๑๖  กุมภาพันธ์  ๒๕๖๖  พระครูปลัดปัญญาวรวัฒน์, ศ.ดร. ผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตรนานาชาติและผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)  บรรยายแลกเปลี่ยนกับนักศึกษาหลักสูตร "เสริมสร้างสังคมสันติสุข" รุ่น ๑๓ สถาบันพระปกเกล้า โดยกล่าวประเด็นสำคัญว่า "ตัวรู้ กับ ความรู้" โดยเรามุ่งตัวความรู้มากกว่าความตัวรู้ แต่แท้จริงแล้วตัวรู้มีความสำคัญมากกว่าความรู้ จึงต้องพัฒนาสันติภาพที่มีความเย็นสงบ โดยInner Peace มีความสำคัญอย่างไร ? อะไรคือสันติภาพภายนอกโดยมอง ๕ P. ประกอบด้วย มิติสังคม (People) มิติเศรษฐกิจ (Prosperity) มิติสิ่งแวดล้อม (Planet) มิติสันติภาพและสถาบัน (Peace) และมิติหุ้นส่วนการพัฒนา (Partnership) โดยมิติของสันติภาพมี ๔ มิติ อันประกอบด้วย 

๑)สันติภาพเชิงกายภาพ   เป็นมิติสิ่งแวดล้อม  การอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติ  จึงมุ่งพัฒนาสันติศึกษาโคกหนองนา ธนาคารน้ำ ใส่ใจดินน้ำลมป่าอาหาร อาชีพ เป็นการรับผิดชอบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒)สันติภาพเชิงพฤติภาพ  เป็นมิติการอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่างและความขัดแย้งในสังคม การเข้าไม่ถึงความยุติธรรม จึงมีการขับเคลื่อนศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน สันติศึกษาพัฒนาผู้ไกล่เกลี่ยอย่างมืออาชีพ  ๓)สันติภาพเชิงจิตตภาพ เป็นมิติด้านจิตใจ คนมีความทุกข์มากในสังคม แต่เราหายใจไม่เป็น จึงมุ่งพัฒนาสันติภายใน เป็น  ๔)สันติภาพเชิงปัญญาภาพ มิติการทำงานร่วมกัน ใช้ปัญญาออกไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์  

จึงสะท้อนว่า การสร้างสันติภายในคือ การพัฒนาสติ จึงมุ่งพัฒนาเชิงรับเพื่อสนับสนุนเชิงรุก  เหมือนน้ำในเขื่อนมีความนิ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้า สติเป็นมารดาของทุกสิ่งทุกอย่าง เพียงสนใจสติตัวเดียวเท่านั้นจบมีพลังอำนาจแต่อำนาจภายในสำคัญที่สุด โดยอำนาจภายใจประกอบด้วย "ศรัทธาเชื่อมั่นตนเอง วิริยะมีความกล้า  สติปักมุดชีวิต  สมาธิมีความแน่วแน่  และปัญญาจะหาเครื่องมือมาช่วย" สติไม่ได้อยู่ภายนอกแต่สติอยู่ภายในของเรา จึงต้องไม่สงสัยในความสามารถของตนเอง 

"มหานิยม" ติง "บิ๊กตู่" ไม่จริงใจแก้ปัญหาให้กับชาวพุทธชายแดนใต้



เมื่อเวลา 15.08 น. วันที่ 16 ก.พ. 2566 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษเพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริง หรือ เสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีการลงมติ ตามมาตรา 152 โดยนายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีโดยระบุว่า ชาวไทยพุทธในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้มองว่าพล.อ.ประยุทธ์ไม่มีความจริงใจ ใส่ใจแก้ปัญหาให้เป็นรูปธรรม รวมถึงประเด็นศาสนสมบัติย่านประตูน้ำ

อย่างไรก็ตามได้มี ส.ส.พรรคประชารัฐ ลุกประท้วงการอภิปรายของนายนิยม  ทำให้นายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาผู้แทนราษฎรไทยคนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม จึงได้กล่าวตักเตือนนายนิยม โดยเฉพาะคำว่ากอดคอน่าจะใช้คำว่าโอบไหล่พระสงฆ์แทน  เพราะจากภาพคือการโอบไหล่และความหมายของ 2 คำนี้ ต่างกัน  

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

กรมการศาสนา (ศน.) บูรณะฟื้นฟูศาสนสถานประสบภัยในพื้นที่ 58 จังหวักว่า 600 แห่ง



วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566  นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวว่า ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 การดำเนินงานตามนโยบาย “9 ดี 12 เดือน 12 เด่น นำธรรมะสู่ใจประชาชน” ที่มุ่งเน้นการขับเคลื่อนให้ศาสนสถานทุกศาสนาเป็นศูนย์กลางของประชาชน ส่งเสริมสนับสนุนให้ศาสนิกชนเข้าไปประกอบศาสนกิจตามศาสนาที่ตนนับถือ ซึ่งศาสนสถานนั้นควรมีสภาพที่มั่นคง ปลอดภัย สะอาดและสวยงาม เหมาะสมสำหรับการเข้าไปประกอบกิจกรรมทางศาสนา แต่เมื่อมีการใช้ศาสนสถานเป็นเวลานานย่อมเกิดความเสียหาย ทรุดโทรม และเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา อีกทั้ง ความเสียหายที่เกิดจากภัยพิบัติต่าง ๆ เช่น อุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย หรือเหตุอื่นที่ส่งผลให้ไม่สามารถใช้ศาสนสถานประกอบศาสนกิจได้ตามปกติ จึงได้ดำเนิน “โครงการเงินอุดหนุนการบูรณะศาสนสถาน” เพื่อสมทบในการบูรณะซ่อมแซมศาสนสถานที่มีอยู่แล้ว ให้สามารถใช้ในการประกอบศาสนกิจได้ตามความเหมาะสม คุ้มค่า โดยไม่จำเป็นต้องสร้างศาสนสถานขึ้นใหม่ สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ได้ดำเนินการจัดสรรเงินอุดหนุนบูรณะศาสนสถานในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 58 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 678 แห่ง ประกอบด้วย ศาสนสถานของศาสนาอิสลาม 560 แห่ง ศาสนาคริสต์ 115 แห่ง ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู 1 แห่ง และศาสนาซิกข์ 2 แห่ง 

อธิบดีกรมการศาสนา กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ได้ดำเนินการประชุมพิจารณาแนวทางการดำเนินงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยจะสำรวจและรวบรวมแบบคำขอรับเงินอุดหนุนบูรณะศาสนสถานทั่วประเทศ เพื่อนำเสนอคณะกรรมการพิจารณาจัดสรรตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ อีกทั้ง ในช่วงต้นปีงบประมาณที่ผ่านมา หลายพื้นที่ของประเทศไทยได้รับผลกระทบจากมรสุม และสถานการณ์พายุโนรู (NORU) ทำให้มีฝนตกหนักพร้อมกับมีลมแรง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำท่วมขัง เป็นเหตุให้บ้านเรือนประชาชน และศาสนสถานของศาสนาอื่น ๆ ที่ทางราชการรับรองได้รับความเสียหาย กรมการศาสนาได้ขอความร่วมมือสำนักงานวัฒนธรรมทุกจังหวัด สำรวจข้อมูลศาสนสถานที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัยในครั้งนั้น พบว่า มีศาสนสถานที่ประสบภัยขอรับการสนับสนุน 14 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดกระบี่ ฉะเชิงเทรา ชัยภูมิ เชียงใหม่ นครนายก บุรีรัมย์ พระนครศรีอยุธยา ร้อยเอ็ด ระยอง เลย ศรีสะเกษ สตูล สมุทรปราการ และอุบลราชธานี สำหรับศาสนสถานได้รับผลกระทบทั้งสิ้น จำนวน 34 แห่ง ประกอบด้วยศาสนสถานของศาสนาอิสลาม 23 แห่ง และศาสนาคริสต์ 11 แห่ง ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาจัดสรรเงินอุดหนุนศาสนสถาน กรณีประสบภัยแล้ว และจะได้สนับสนุนงบประมาณในการบูรณะซ่อมแซมศาสนสถานให้กลับมามีสภาพพร้อมใช้สำหรับการประกอบศาสนกิจทางศาสนาต่อไป

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

"หมอระวี" จับมือ "เครือข่ายกัญชาเพื่อ ปชช." ชูนโยบายพัฒนากัญชา



เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 12.00 น.นพ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.พรรคพลังธรรมใหม่ รับยื่นหนังสือจาก นายต้นน้ำ นิยมาภา บุตรชายของนายบัณฑูร นิยมาภา ผู้ได้รับการขนานนามว่า บิดากัญชาไทยภาคประชาชน และคณะ เพื่อแสดงความขอบคุณที่เสนอนโยบายเพื่อพัฒนากัญชา ในแนวทางที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน

โดย นพ.ระวี ได้กล่าวขอบคุณภาคเครือข่ายกัญชาเพื่อประชาชน  และทางเพจกัญชามหาชน ที่มายื่นหนังสือเพื่อจะประกาศทิศทางของเครือข่ายกัญชาเพื่อประชาชน สำหรับพรรคพลังธรรมใหม่ได้กำหนดนโยบาย ให้ชัดเจนว่า ข้อที่ 1 คือ เราคัดค้านกัญชาเสรี ขณะเดียวกัน เราก็คัดค้านการที่จะนำกัญชากลับไปเป็นยาเสพติด จากความเห็นของนักการเมืองบางคน ดังนั้นเราจะต้องสู้กันในสมัยหน้าต่อไป

"ทิศทางพรรคของพลังธรรมใหม่เห็นว่า กัญชาต้องเกิดขึ้นเพื่อทางการแพทย์ กัญชาเพื่อเศรษฐกิจ กัญชาเพื่อสังคม ก็คือกัญชาต้องเป็นส่วนหนึ่งของสมุนไพรไทยที่มีประโยชน์ ในการที่จะใช้ร่วมกับแพทย์ผสมผสาน คือแพทย์แผนไทย แพทย์ทางเลือก และแพทย์แผนปัจจุบัน เพื่อผนึกกำลัง ทั้งนี้ประชาชนในครัวเรือน ต้องปลูกได้ ใช้เป็น โดยต้องสามารถปลูกกัญชาตัวที่เหมาะสม เพื่อ ดูแลสุขภาพ และเพื่อรักษาโรคของประชาชนได้"

นพ.ระวี กล่าวต่อว่า ส่วนนโยบายกัญชาเพื่อเศรษฐกิจ ที่ผ่านมาเกิดความผิดพลาด ฝ่ายประชาชนปลูกเยอะ แต่ไม่มีการตลาด และที่สำคัญกัญชาทางการแพทย์ ต้องนำด้วยการตลาดก่อน รัฐบาลต้องดำเนินการแก้ปัญหาการตลาดในประเทศ  นอกประเทศให้ได้ก่อน จึงจะส่งเสริมประชาชนปลูกด้วยกฎหมายที่เหมาะสม เคร่งครัด ชัดเจน ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดผลเสีย ต่อสังคมไทย หรือผลเสียต่อเยาวชน 

"ข้อสุดท้ายขอฝากประชาชนทุกท่าน ใครเห็นด้วยกับกัญชาทางการแพทย์ กัญชาทางเศรษฐกิจ  กัญชาทางสังคม และเห็นด้วยกับการคัดค้านไม่ให้กัญชากลับมาเป็นยาเสพติด เพราะถ้ากัญชากลับมาเป็นยาเสพติด ประชาชนทั่วประเทศ ปลูกกัญชาใช่ทุกครัวเรือนผิดกฎหมายหมด ครับ ดังนั้นเราคัดค้านตรงจุดนี้ครับ ก็อันนี้เป็น นโยบาย พรรคพลังธรรมใหม่"


 

“จุรินทร์” ยืนยันล้านเปอร์เซ็นต์ประชาธิปัตย์ขอทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรจนนาทีสุดท้าย



เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.20 น.ที่รัฐสภานายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมสภาผู้แทนราษฎรถึงจุดยืนของพรรคเกี่ยวกับการอภิปรายทั่วไปครั้งนี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าพรรคไม่ล่มองค์ประชุม และได้ยืนยันมาก่อนหน้านี้แล้วว่า เราสนับสนุนในเรื่องการที่จะให้เปิดสภาได้ และประชาธิปัตย์ก็ยืนยันว่าเราไม่กลัวการตรวจสอบ เพราะเราเป็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และเป็นพรรคการเมืองแรกที่ประกาศว่าเราจะร่วมประชุมในครั้งนี้มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เพิ่งจะมาประกาศวันนี้ 

“ประชาธิปัตย์ไม่มีความปรารถนาใดๆ ทั้งสิ้นที่จะทำให้องค์ประชุมล่ม แต่ทั้งหมดต้องอาศัยความร่วมมือหลายพรรค ที่จะทำให้การประชุมเดินหน้าต่อไปได้ ผมได้กำชับ ส.ส.ของพรรคไปก่อนหน้านี้แล้วว่าเรามาประชุม และ ส.ส. ของพรรคทุกคนเข้าใจบทบาทหน้าที่อยู่แล้ว และผมยืนยันเลยไปเลยว่าเราจะทำหน้าที่จนนาทีสุดท้าย ในฐานะผู้แทนราษฎร” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว 


ผู้สื่อข่าวถามว่าได้มีการประเมินการอภิปรายในครั้งนี้ไว้อย่างไรนั้น นายจุรินทร์กล่าวว่า ไม่คิดว่าจะมีผลกระทบที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร เพราะการอภิปรายครั้งนี้ไม่ใช่ญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่เป็นญัตติอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ฝ่ายค้าน หรือผู้ยื่นญัตติสามารถแสดงความคิดเห็น แนะนำรัฐบาล หรือสอบถามรัฐบาลได้ เป็นญัตติทั่วไปเกิดมาหลายครั้งแล้ว ไม่ใช่ของใหม่ บรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญเกือบจะเรียกว่าทุกฉบับ 

ส่วนที่มีข่าวว่าฝั่งรัฐบาลพยายามล็อบบี้ให้องค์ประชุมไม่ครบนั้น นายจุรินทร์กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่ประชาธิปัตย์ไม่ทำอย่างนั้น ตนยืนยันล้านเปอร์เซ็นต์ 

ส่วนที่มีความเป็นห่วงว่าจะมีการขยายผลไปถึงการหาเสียงเลือกตั้งนั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ถ้ามันเป็นสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความจริงมันก็ไม่มีผลอะไร และการเอาไปขยายผลนอกสภามันก็ต่างกับในสภา ในสภานี้รัฐบาลก็สามารถชี้แจงได้ ไม่ได้มีปัญหาอะไร ถามมาก็ตอบไป ถ้าเรามั่นใจในความสุจริตของเรา ก็ไม่ต้องกลัวการตรวจสอบใดๆ ทั้งสิ้น

“สุทิน” ห่วงองค์ประชุมอภิปราย 152 ไม่ครบ จ่ออภิปรายนอกห้องประชุมหากสภาล่มทั้งสองวัน

    


เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 09.30 น.  ที่รัฐสภา นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่ออภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ในวันนี้ซึ่งเป็นวันแรก ว่า จะเริ่มโดยผู้นำฝ่ายค้านแถลงญัตติ และขยายความภาพรวม จากนั้น จะเป็นกลุ่มหัวหน้าพรรค ก่อนเริ่มการอภิปรายตามลำดับ สำหรับวันแรกฝ่ายค้านจะอภิปรายถึงประเด็นเศรษฐกิจ พลังงาน และต่างประเทศ ส่วนพรุ่งนี้ (16 ก.พ.) จะอภิปรายประเด็นปัญหายาเสพติด ปัญหาสังคม และการทุจริต      

เมื่อถามว่า คาดว่าจะเปิดประชุมได้หรือไม่ นายสุทิน กล่าวว่า พรรคร่วมฝ่ายค้านมากันครบ ขอให้มั่นใจว่าฝ่ายค้านไม่มีปัญหา หากจะมีปัญหาก็มีที่รัฐบาล ดังนั้น วันนี้องค์ประชุมจะครบหรือไม่ก็คง 50 - 50 ในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล อย่างน้อยพรรคประชาธิปัตย์ก็ยืนยันมาร่วมประชุม แต่องค์ประชุมคงหวุดหวิดพอสมควร คงต้องลุ้นกัน        

“เรากำชับวิปรัฐบาลให้ช่วยกันรักษาระบบสภา เพราะการอภิปรายใหญ่ ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ คงอยู่ที่ความสำนึก แต่เรายังหวังว่าไม่น่าจะถึงขั้นทำให้ระบบนี้หายไป อย่างไรก็ตาม ฝ่ายค้ายเตรียมแผนไว้แล้วว่าหากองค์ประชุมล่มวันนี้ และพรุ่งนี้ประชุมต่อแล้วล่มอีก เราจะอภิปรายนอกห้องประชุมสภาที่โพเดี่ยมห้องโถงแห่งนี้” นายสุทิน กล่าว

    เมื่อถามว่า เป็นห่วงพรรคร่วมรัฐบาลพรรคไหนเป็นพิเศษหรือไม่ที่อาจไม่มาร่วมประชุม นายสุทิน กล่าวว่า ก็ห่วงทุกพรรคตามที่เป็นข่าว ซึ่งพรรคภูมิใจไทยยังไม่ส่งสัญญาณอะไร พรรคพลังประชารัฐก็บอกไม่มั่นใจ มีเพียงพรรคประชาธิปัตย์ที่แสดงความชัดเจน     

เมื่อถามถึงสาเหตุที่พรรคร่วมรัฐบาลอาจไม่ร่วมเป็นองค์ประชุม นายสุทิน กล่าวว่า คิดอื่นไกลไม่ได้นอกจากกลัว หนีการตรวจสอบ เพราะกลัวเสียเครดิตก่อนเลือกตั้ง ส่วนที่บางพรรคไม่กำชับส.ส.โดยบอกว่าเป็นเอกสิทธิ์นั้น เห็นว่าเป็นคำแก้ตัวเพื่อหาเหตุผลไม่ร่วมประชุม ตามมาตรา 152 ซึ่งทุกพรรคต้องคิดว่าเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้น การอ้างเรื่องเอกสิทธิ์จึงไม่มีเหตุผล และเมื่อก่อนก็ไม่เคยพูดกันแบบนี้ 

"ทสท."เอาอีกติดป้ายทั่วอภิปรายล้อนอกสภา "8 ปีหนี้ท่วม" เหน็บในมีวาระซ่อนเร้น


วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 นายสุพันธุ์ มงคลสุธี รองหัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ พร้อมด้วย นายการุณ โหสกุล อดีต ส.ส. กทม. เขตดอนเมือง และดร.ชนิดา จารุจินดา คณะทำงานด้านเศรษฐกิจยุทธศาสตร์ขับเคลื่อนประเทศ ร่วมติดป้ายอภิปรายไม่ไว้วางใจนอกสภาผู้แทนราษฎร ล้อกับการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบไม่ลงมติตามมาตรา 152 โดยมีเนื้อหาวิจารณ์การบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ไม่มีประสิทธิภาพว่า “พอที 8 ปีหนี้ท่วม” “หยุดอุ้มเจ้าสัว เหยียบหัวประชาชน” “เซ็งป่ะ? แอปเป๋าตังค์ที่ไม่มีตังค์” 

https://youtube.com/shorts/IjL4Hpxf3Bc?feature=share

และมีป้ายที่เสนอนโยบายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจคนตัวเล็กและ SMEs เพื่อปิดช่องว่างของรัฐบาล ได้แก่ “สุดารัตน์-สุพันธุ์ แก้หนี้-เติมทุนให้ประชาชน” “เงินด่วนประชาชน 5,000 ถึง 50,000 บาท” “ยกเว้นภาษี SMEs 3 ปี” “พักหนี้เสียโควิด 3 ปี จ่ายดอกให้ 2 ปี”

นายสุพันธุ์ กล่าวว่า พรรคไทยสร้างไทยไม่มี ส.ส. แต่เราเห็นหนี้ที่ประชาชนต้องแบกรับสูงขึ้นเรื่อยๆ รวมทั้งหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ซึ่งสะท้อนถึงการบริหารที่ล้มเหลวของภาครัฐ จึงอยากจะสื่อสารไปถึงผู้บริหารประเทศให้แก้ไขปัญหาเรื่องนี้โดยด่วน รวมทั้งแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำและเติมทุนให้ประชาชนและ SMEs เดินหน้าทำธุรกิจต่อไปได้ 

นายการุณ กล่าวว่า 8 ปีที่ผ่านมาไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างเต็มภาคภูมิเลยเพราะว่ามันมีวาระซ้อนเร้นมาตลอด มีการคุยกันหลังบ้านเพื่อเอื้อเจ้าสัว ร่วมขบวนการคอร์รัปชันและทำให้บ้านเมืองเสียหาย 

ส่วนตัวเห็นว่าแม้จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 15-16 กุมภาพันธ์นี้ เต็มที่ก็อาจจะทำได้แค่ประจานเรื่องส่อทุจริตกันบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้เสียหาย 

“ถ้าอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงได้คงเปลี่ยนไปหลายปีแล้ว แต่เชื่อว่าทำได้เพียงสะกิดสะเกา และเป็นการหาวาระซ่อนเร้นเพื่อออกแบบหาเสียงของแต่ละพรรคการเมือง ผมเชื่อว่าจะไม่มีอะไรในกอไผ่ มีแต่หนาม เป็นเพียงสงครามน้ำลายเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้พรรคตัวเอง เป็นการเคาะปี๊บเรียกร้องประโยชน์เข้าพรรคการเมือง” นายการุณ กล่าว

นายการุณ กล่าวว่า วันนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่มาหน้ารัฐสภาเพื่อนำเสนอเสียงของภาคประชาชนที่ลำบาก แร้นแค้น และความเจ็บช้ำจากการจับกุมคุมขังทุกรูปแบบ แต่ไม่เคยได้รับการแก้ไข อย่างน้อยวันนี้เรามาหาทางออก มานำเสนอทางออกของพรรคไทยสร้างไทยอย่างยั่งยืนและเต็มรูปแบบให้กับประชาชน

นายสุพันธุ์ กล่าวเสริมว่า ประเทศไทยมีโอกาสเยอะแยะมาก แต่วันนี้รัฐบาลและเอกชนต้องร่วมกันทำ ถ้าไทยสร้างไทยได้เป็นรัฐบาลเชื่อว่าจะแก้หนี้และทำให้เศรษฐกิจกลับมาดีได้ภายใน 3 ปี เราจะเน้นแก้หนี้และเติมทุนให้ประชาชนมีอาวุธในการกลับไปทำธุรกิจ และเชื่อไทยจะกลับมาเป็นยักษ์ผู้บิ่งใหญ่ในอาเซียนได้แน่นอน ป้ายทั้งหมด 7 แบบถูกติดหน้าสภาผู้แทนราษฎร ถนนทหาร หน้ากระทรวงการคลัง และหน้ากระทรวงพาณิชย์ ในเช้าวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566

ก่อนหน้านี้พรรคไทยสร้างไทยได้ติดป้ายลักษณะเช่นนี้มาแล้วเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่น

"ลุงป้อม700" ขึ้นรถแห่แจกดอกกุหลาบชาวป้อมปราบฯวันวาเลนไทน์ นำว่าที่ผู้สมัคร กทม.กราบพระวัดเล่งเน่ยยี่-สระเกศเอาชัย

“พลเอกประวิตร” นำว่าที่ผู้สมัคร กทม.ขึ้นรถแห่ปราศรัยเขตป้อมปราบฯ พบปะปชช. ปักธงชิงคะแนนเสียง กทม.กวาด 12 ที่นั่ง วอน เลือก พปชร.เข้าสภาฯขจัดปัญหาความขัดแย้ง

เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2566  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวพรรค พปชร.ใช้ฤกษ์วันวาเลนไทน์ นำผู้บริหารพรรคประกอบด้วยนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรค นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค นายสกลธี ภัททิยกุล กรรมการบริหารพรรค นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค ที่รับผิดชอบพื้นที่กทม. และว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ลงพื้นที่หาเสียงในเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เป็นพื้นที่แรก 

ทั้งนี้ก่อนเคลื่อนขบวนพลเอกประวิตร ได้เข้าไปในวัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) เพื่อสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 9 จุด เพื่อความเป็นสิริมงคล โดยมีประชาชนที่มาทำบุญรอทักทายจำนวนมาก พร้อมกล่าวว่า "ลุงป้อมสู้" ต่อจากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้ขึ้นรถแห่ปราศรัยหาเสียงและขอให้ชาวกรุงเทพฯ เลือกผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ เข้ามาทำหน้าที่แทนประชาชน ในการขจัดปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทย

ขบวนรถแห่ได้เคลื่อนตัวออกจากไปยังวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร โดยตลอดเส้นทาง ได้ผ่านหน้า สน.พลับพลาไชย มุ่งหน้า ถ.หลวง เข้าแยกแม้นศรี เข้าวัดสระเกศฯ ด้านถนนจักรพรรดิพงษ์ โดยคณะของพล.อ.ประวิตร ได้ทักทาย พ่อค้า แม่ค้า ประชาชน ที่มาทำบุญ และจับจ่ายซื้อตลอดสองข้างทาง ซึ่งได้รับการต้อนรับที่ดีจาก กทม.ต่างโบกมือทักทาย พร้อมชูป้ายสนับสนุนให้ พล.อ.ประวิตร เป็นจำนวนมาก 

พล.อ.ประวิตร กล่าวในการสัมภาษณ์ช่วงหนึ่งว่า เป็นเป็นครั้งแรกที่ขึ้นรถปราศรัยหาเสียง ที่ลงพื้นที่ในวันนี้เพราะเป็นวันวาเลนไทน์ ต้องการให้ความรัก ก้าวข้ามความขัดแย้ง และแก้ปัญหาความยากจน ซึ่งเป็นนโบบายของพรรคพลังประชารัฐ ในวันนี้ก็ได้รับการต้อนรับจากชาว กทม.เป็นอย่างดี ตนก็ต้องขอขอบคุณทุกคนด้วย ส่วนการเลือกตั้งในจังหวัด กทม.ตนตั้งใจไว้ว่าพรรคพลังประชารัฐจะได้ 12 คน แต่สุดท้ายก็ต้องขึ้นอยู่กับประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจ แต่เราพยายามคัดคนที่มีความรู้ ความสามารถ ที่จะเข้ามาทำงานให้กับประชาชน 

 ทั้งนี้ ว่าที่ผู้สมัคร กทม.ที่ร่วมขบวนการปราศรัยในวันนี้ ประกอบด้วย นายรังสรรค์ กียปัจจ์ เขตหลักสี่, น.ส.ชญาภา ปรีดาพากย์ เขตยานนาวา ,น.อ.บัญชาพล อรัณยะนาค  เขตสายไหม ,น.ส.ณิรินทร์ เงินยวง เขตบึงกุ่ม  , นายภูวกร ปรางภรพิทักษ์ เขตวัฒนา , นายสาโรจน์ ซึ้งไพศาลกุล เขตบางขุนเทียน , นางนาถยา แดงบุหงา เขตสะพานสูง ,ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช  เขตบางซื่อ  ,พ.ต.ท.วันชัย ฟักเอี้ยง เขตตลิ่งชัน  ,นายกานต์ กิตติอำพน  เขตห้วยขวาง  ,นายสฤษดิ์ ไพรทอง เขตดุสิต ,นายปราโมทย์ เพ็ชรฤทธิ์ เขตจตุจักร ,นพวรรณ หัวใจมั่น เขตบางเขน ,น.ส.บุณณดา สุปียพันธุ์ เขตบางพลัด ,สุชาดา เวสารัชตระกูล  เขตจอมทอง ,นายศิริพงษ์ รัศมี  เขตดอนเมือง  ,นายพีระพงษ์ รัศมี  เขตหนองจอก ,นายกิติภูมิ นีละไพจิตร  เขตมีนบุรี  ,นายระพีพัฒน์ สุเมธโชติเมธา เขตคลองสามวา  ,นายเอกษัย ผ่องจิตร์  เขตราษฎร์บูรณะ ,น.ต.นิธิ บุญยรัตกลิน  เขตบางแค  ,นางนฤมล รัตนาภิบาล เขตทวีวัฒนา  ,นายศันสนะ สุริยะโยธิน  เขตบางกะปิ  ,ร.อ.รชฏ พิสิษฐบรรกร  เขตคลองสาน ,นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ เขตพญาไท  ,นายคมสัน พันธุ์วิชาติกุล เขตลาดพร้าว ,นายพณิชย์ วิทยาภัทร์  เขตบางกอกน้อย  ,นายภูมิพิชัย ธารดำรงค์  เขตราชเทวี ,นายตรีสิทธิ์ ศิริวรรณ  เขตบางรัก  ,นายสุวัฒน์ ม่วงศิริ  เขตพระโขนง


วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

"ลุงป้อม700" โผล่กลางเวทีเมืองกาญจน์ด้วยระบบไฮดรอลิก ปราศรัยครั้งแรกประกาศข้ามขัดแย้ง แก้แล้งแก้จน



"ลุงป้อม700"โผล่กลางเวทีเมืองกาญจน์ด้วยระบบไฮดรอลิก ปราศรัยครั้งแรกประกาศปลุกกระแส 3 นโยบายมัดใจ ย้ำก้าวข้ามทุกปัญหา ทุกความขัดแย้ง    ส่ง 5 ว่าที่ผู้สมัคร พปชร.กวาดยกจังหวัดแก้ปัญหาน้ำ ที่ดินทำกิน ตรงจุด 

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา19.00 น พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ( พปชร.)  นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค นายวิรัช รัตนเศรษฐ รองหัวหน้าพรรค  และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม   ลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชน  จ. กาญจนบุรี  เป็นการเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ ครั้งแรกของพื้นที่ภาคกลาง   บริเวณเกาะรัตนกาญจน์ ต.บ้านเหนือ อ.เมือง จ.กาญจนบุรี  ซึ่งมีประชาชนมารอต้อนรับอย่างเนืองแน่น   และชูป้ายให้กำลังใจ ขึ้นเป็นนายกคนที่ 30  พร้อมกับการชูแคมเปญของพื้นที่จังหวัดที่มุ่งมั่น “เปลี่ยนคน เปลี่ยนเมือง เพื่อคนเมืองกาญจน์ของเรา  ผ่านการขับเคลื่อนของว่าที่ผู้สมัคร ทั้ง5 เขต และ 1 สส บัญชีรายชื่อ      

พร้อมกับการเปิดนโยบายแก้จนภายใต้แคมเปญ “มีเรา ไม่มีแล้ง มีน้ำไม่มีจน”  “มีเรา  มีที่ทำกิน   มีที่ดินไม่มีจน” และ”ลุงป้อม 700” พร้อมไปกับการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐ ทั้ง 5 เขต และสส.บัญชีรายชื่อ   ต่อพี่น้องประชาชน   ประกอบด้วยเขต 1 นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ เขต 2 นายชูเกียรติ จีนาภัคดิ์ เขต 3 พล.ต.ต.กมลสันติ กลั่นบุศย์ เขต 4 นางสาวลำยอง  ยิ้มใหญ่หลวง เขต 5 นายประเทศ บุญยงค์ และนางศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ ระบบบัญชีรายชื่อ 

ทั้งนี้พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวทักทายกับชาว เมืองกาญจน์ กว่า 20,000 คนที่มาร่วมรับฟังคำปราศรัย โดยขึ้นเวที ด้วยระบบไฮดรอลิก ผมรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่ได้มาเยือนจังหวัดกาญจนบุรี โดยเราตั้งมั่นว่า จะนำความรุ่งเรือง ความยิ่งใหญ่มาให้กับชาวจังหวัดเมืองกาญจน์ และจะเป็นส่วนหนึ่งของความรุ่งเรืองในประเทศไทยบ้านของเราทุกคน วันนี้ตนมายืนอยู่ตรงนี้พร้อมกับพี่น้องพรรคพลังประชารัฐ มาเพื่อให้คนกาญจน์มั่นใจว่า แนวความคิด แนวทาง และหัวใจของพวกเราทุกคนได้คัดสรรคนเกรดเอเข้ามารับใช้ทุกท่าน

"ที่ผ่านมาผมได้เรียนรู้ว่า ถ้าจะเลือกผู้สมัคร ส.ส.มาให้กับชาวเมืองกาญจน์ อย่าเลือกคนที่แค่อยากจะเป็น ส.ส.แต่ไม่มีอุดมการณ์ แต่ต้องเลือกคนที่อยากทำงานอยากแก้ปัญหา มาเพิ่มโอกาสให้กับคนเมืองกาญจน์พรรคพลังประชารัฐจึงต้องพิจารณาอย่างหนัก เพื่อสรรหาคนที่ดีที่สุด และเอาใจใส่ มีความมุ่งมั่น ทุ่มเทและรู้ถึงปัญหาของคนเมืองกาญจน์อย่างแท้จริง ที่สำคัญคือ ต้องแก้ปัญหาให้กับชาวจังหวัดกาญจนบุรีให้ได้ ผู้สมัครของพรรคในครั้งนี้เรานำคนเกรดเอ เพื่อมาช่วยพัฒนากาญจนบุรีเป็นจังหวัดเกรดเอให้ได้ และวันนี้ผู้สมัครทั้ง 6 คน ของพรรคพลังประชารัฐ พร้อมแล้วที่จะทำงานให้กับพี่น้องชาวจังหวัดกาญจนบุรี ขอให้ชาวเมืองกาญจน์ลงคะแนนให้กับคนทำงานได้เข้าไปแก้ปัญหาอย่างรู้จริง"

พล.อ.ประวิตร กล่าวต่อว่า ในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นเมืองกาญจน์หรืองพื้นที่อื่น ๆ พรรคพลังประชารัฐขอยืนยันว่า จะแก้ปัญหาให้กับประชาชนให้ได้ในทุกๆเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำ เรื่องการพัฒนาแหล่งน้ำ รวมไปถึงแหล่งกักเก็บน้ำ ท่อส่งน้ำไปให้กับพี่น้องประชาชนได้มีน้ำบริสุทธิ์ใช้บริโภคอุปโภค พรรคพลังประชารัฐยังเร่งแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนที่ยังมีความเดือดร้อนอยู่ รวมถึงปัญหาเรื่องที่ดินทำกินก็เป็นปัญหาเรื้อรังมานานในหลายจังหวัด พรรคพลังประชารัฐของเราก็พยายามที่จะแก้ปัญหาให้กับทุกคน ที่ได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็นการโดนไล่ที่ดิน หรือการถูกรื้อถอนที่อยู่อาศัย นโยบายของพรรคของเราจะช่วยกันขับเคลื่อนกับทุกภาคส่วน เพื่อแก้ปัญหาให้กับชาวจังหวัดกาญจนบุรีและคนไทยทั้งประเทศให้ได้

นอกจากนี้ปัญหาไม่ได้มีแค่เรื่องน้ำ หรือที่ดิน แต่ยังมีปัญหาในเรื่องของการท่องเที่ยว ยาเสพติด การค้าขายตามแนวชายแดน รวมถึงปัญหามลพิษต่างๆ และราคาปุ๋ย ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ เราต้องมาช่วยกันแก้ไขความยากจนให้กับคนจน พลังประชารัฐจะสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และพัฒนาคน เราต้องเตรียมคน เตรียมเมืองให้พร้อม เราจะต้องต่อสู้เพื่ออนาคตของลูกหลาน เพราะเขาจะต้องมาดูแลบ้านเมืองต่อจากพวกเรา

พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวขอให้ทุกท่านได้โปรดลงคะแนนให้กับ ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐเพื่อมาทำหน้าที่คอยสื่อสารความต้องการของท่าน และนำไปสู่การแก้ไขปัญหาให้เป็นรูปธรรม ส.ส.ของพรรคเราจะต้องทำให้ได้จริง เมื่อเป็น ส.ส.แล้วก็ต้องทำงานให้คุ้มกับที่ประชาชนเลือกมา จะทำให้ประชาชนหรือจังหวัดเสียโอกาสไม่ได้

"พรรคพลังประชารัฐไม่ต้องการขัดแย้งกับฝ่ายใดเพราะถ้าหากมัวแต่ทะเลาะกัน บ้านเมืองก็จะไม่ไปไหนทุกคนจะต้องมีเป้าหมายสร้างความสมานฉันท์และทำงานร่วมกันเพื่อให้ประเทศเดินหน้า และให้ประชาชนอยู่ดีกินดี พรุ่งนี้เป็นวันแห่งความรัก ผมขอถือโอกาสนี้มอบความรัก และความปรารถนาดีให้กับพี่น้องชาวจังหวัดกาญจนบุรี และพี่น้องคนไทยทั่วประเทศ ขอให้เชื่อมั่นในความรัก ความสามัคคี ขอให้บ้านเมืองของเราสงบสุข และขอให้ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข พรรคพลังประชารัฐจะก้าวข้ามความขัดแย้งขจัดทุกปัญหา พัฒนาทุกพื้นที่"  พล.อ.ประวิตร กล่าว 

ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ได้มายืนในที่กาญจนบุรี ทำให้คิดถึงเมื่อสี่ปีที่แล้ว และครั้งนี้ก็ยังได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นเหมือนเคยต้องขอขอบคุณชาวจังหวัดกาญจนบุรีทุกคน พลเอกประวิตรตัดสินใจเลือกจังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่จะนำชัยชนะมาให้ จึงเปิดการปราศรัยใหญ่ที่นี่เป็นจังหวัดแรก การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาชาวจังหวัดกาญจนบุรีได้ให้โอกาส ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐถึง 4 จาก 5 คนและครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐก็ยังมีคนคุณภาพมาให้พี่น้องเลือกเช่นเคย 

กาญจนบุรี เป็นพื้นที่แรก  หลังจากที่ พรรค ได้ออกนโยบายเพิ่มเติมเพื่อนำเสนอต่อประชาชน    โดยเน้นการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม น้ำแล้ง และ ปัญหา ที่ทำกิน เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับประชาชนทั่วประเทศ พร้อมฝากและเลือกว่าที่ผู้สมัครทุกเขตทั้งจังหวัด  เพื่อเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน  ที่จะเข้าไปทำหน้าที่ไปผลักดันนโยบายแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและยกระดับความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น พรรคไม่มีความขัดแย้งกับใคร เพราะเราจะมุ่งก้าวข้ามความขัดแย้ง ขจัดความยากจน ทุกพื้นที่ของประเทศ

ในขณะที่นโยบายเพิ่มเงินสวัสดิการประชารัฐ เป็น 700 บาท หรือที่เรียกกันว่า “ลุงป้อม 700”  ได้รับกระแสการตอบรับที่ดีจากพี่น้องประชาชนในการลดภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้นในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ว่าที่ผู้สมัครทั้ง  5 คน  และ สส. บัญชีรายชื่อ อีก 1 คน ได้ขึ้นปราศรัย เพื่อปลุกพลังคนพลังประชารัฐ  แสดงจุดยืน การันตีผลงาน  และประสบการณ์ที่ผ่านมา พร้อมดูแลประชาชน อย่างต่อเนื่อง และเข้าใจปัญหาทุกด้านของคนเมืองกาญจน์ที่จะถูกนำไปแก้ไขทันที หากได้รับความไว้วางใจแบบยกทีมจากพี่น้องประชาชน  เพื่อร่วมกัน หนุน พล.อ.ประวิตร  วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ หัวหน้าพรรค เป็นนายกคนที่30 



"อนุชา"ตื่นติดตามงานพศจ.ทั่วประเทศ จี้ทำงานเชิงรุกแพร่ข่าวดีลบภาพเสื่อมเสีย



รมต.อนุชา ติดตามงาน พศจ. ทั่วประเทศ หลังกำชับทำงานเชิงรุก เชื่อมั่น 1-3 เดือนเห็นผลชัดเจน ย้ำเร่งสร้างเครือข่าย สอดส่อง ดูแล ลบล้างความเสื่อมเสียทางพระพุทธศาสนา

เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566  เวลา 11.00 น. ณ ห้องประชุมสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะผู้บริหารสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เพื่อติดตามการดำเนินงานภายหลังจากที่มอบนโยบายให้สำนักงานเร่งดำเนินงานเชิงรุก จากกรณีที่มีการนําเสนอข่าวพระพุทธศาสนาเชิงลบผ่านสื่อช่องทางต่างๆ โดยมี นายธัชชญาณ์ณัช  เจียรธนัทกานนท์  เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายอินทพร จั่นเอี่ยม รองผู้อำนวยการ รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ นายสิปป์บวร แก้วงาม ที่ปรึกษาสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เข้าร่วม 

ภายหลังการประชุมฯ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกวันนี้มีการเผยแพร่ข่าวสร้างความเสื่อมเสียทางพระพุทธศาสนา ทั้งทางวิทยุ โทรทัศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางโซเชียลมีเดียมีการแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งบางเรื่องไม่เป็นความจริง และบางเรื่องยังไม่ได้รับการตรวจสอบข้อมูลที่ถูกต้อง ส่งผลให้ความศรัทธาของชาวพุทธถดถอย และไม่เป็นที่ยอมรับดังอดีต โดยได้เน้นย้ำให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทั่วประเทศเร่งติดตามและตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่มีข่าวฉาวสร้างความเสื่อมเสีย โดยให้มีการประสานเครือข่ายที่มีความใกล้ชิดชุมชน เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน เพราะคนกลุ่มนี้มีความใกล้ชิดประชาชนและมีข้อมูลจริงของพื้นที่ พร้อมกับให้ตั้งวอร์รูม ในสำนักพระพุทธฯ และให้ พศจ. รายงานผลทุกวัน ในส่วนจังหวัดให้ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดโดยตรง และให้รายงานผลเป็นรูปธรรมชัดเจน

ด้าน นานอินทพร  ได้รายงานผลการดำเนินงานต่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้นำประเด็นนี้ถวายรายงานที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) โดยที่ประชุมได้รับทราบและจะติดตามดูแลพฤติกรรมของคณะสงฆ์อย่างใกล้ชิด ด้านการประสานงานเครือข่าย ได้หารือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศเพื่อบูรณาการการดำเนินงานและติดตามตรวจสอบกรณีที่สร้างความเสื่อมเสียในทางพระพุทธศาสนา นอกจากนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติยังได้เตรียมตั้งคณะกรรมการและจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเพื่อติดตามและสอดส่องกรณีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สำหรับกรณีพระสงฆ์ที่ปฏิบัติตนไม่เหมาะสม ไม่สำรวม หากเกิดในพื้นที่ใดทาง พศจ. จะเร่งนำเรื่องนี้หารือเจ้าคณะปกครองพื้นที่ตามลำดับชั้น และจะสนับสนุนการดำเนินงานเจ้าคณะผู้ปกครองอย่างใกล้ชิด

"สำนักพุทธฯ จะต้องปรับรูปแบบการทำงานให้เป็นองค์กรที่ตอบสนองต่อการปกป้องและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเชิงรุก โดยเฉพาะการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ดีงาม เพื่อดึงศรัทธาของพุทธศาสนิกชนและประชาชนชาวไทยกลับมาเชื่อมั่นในความดีงามของพระพุทธศาสนาอีกครั้ง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลักของชาติ เราทุกคนต้องปกป้องมิให้สิ่งใดมาสร้างความเสื่อมเสียและทำร้าย ในส่วนที่ไม่ดี ต้องมีการตรวจสอบและลบล้างออกไป เช่น พระสงฆ์ที่ปฏิบัติตนไม่เหมาะสม ขอให้ พศจ. เร่งประสานพืันที่และรายงานมายังส่วนกลางอย่างต่อเนื่อง ส่วนที่ดีต้องทำนุบำรุงไว้เพื่อให้รุ่นลูกหลานได้สืบทอดความดีงามนี้ไว้ต่อไป หากปฏิบัติต่อเนื่องเช่นนี้ คาดว่าภายใน 1-3 เดือนนี้ การดำเนินงานเชิงรุกของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะเห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำ

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

วัดราชบัณนะวิหาร วัดพระธรรมกาย มูลนิธิธรรมกาย จัดบวชสามเณรบังกลาเทศ 500 รูป ปลูกฝังศีลธรรมเยาวชน



เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566   พระครูสมุห์สนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย กล่าวว่า วันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 วัดราชบัณนะวิหาร ประเทศบังกลาเทศ วัดพระธรรมกาย และมูลนิธิธรรมกาย ประเทศไทย ร่วมกันจัดพิธีบรรพชาสามเณร 500 รูป  ในโครงการบรรพชาสามเณร ครัังที่ 3 ณ วัดปันชารี สันติปูร์ อรัญกุฏิ เมืองคาร์กาชารี ประเทศบังกลาเทศ โดยได้รับความเมตตาจากพระศาสนรักขิตตะ มหาเถโร เจ้าอาวาสวัดปันชารี สันติปูร์ อรัญกุฏิ เป็นพระอุปัชฌาย์ พร้อมด้วยคณะสงฆ์ในเครือวัดราชบัณนะวิหาร พระอาจารย์สมาน ฐานสโม และคณะสงฆ์จากวัดพระธรรมกาย ร่วมพิธีคล้องอังสะให้กับธรรมทายาท

พิธีเริ่มในภาคเช้า โดยธรรมทายาทประกอบพิธีเวียนประทักษิณ ต่อด้วย พิธีขอขมา มอบผ้าไตร และคล้องอังสะ จากนั้นภาคบ่าย เป็นพิธีบรรพชาสามเณร ซึ่งภายในพิธีมีคณะญาติผู้ปกครอง และพุทธศาสนิกชนร่วมพิธีด้วยความศรัทธา และปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ว่างเว้นการจัดโครงการบรรพชามานานกว่า 3 ปี การจัดบรรพชาครั้งนี้นับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์การฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในดินแดนแห่งนี้ร่วมกันอีกครั้งหนึ่งระหว่างคณะสงฆ์ไทยกับบังกลาเทศ

“โครงการบรรพชาสามเณร ประเทศบังกลาเทศ จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างวัดราชบัณนะวิหาร ประเทศบังกลาเทศ วัดพระธรรมกาย และมูลนิธิธรรมกาย ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 8-22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ณ วัดปันชารี สันติปูร์ อรัญกุฏิ เมืองคาร์กาชารี ประเทศบังกลาเทศ มีวัตถุประสงค์เพื่อการฟื้นฟูและเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนแห่งนี้ ให้เจริญรุ่งเรื่อง นำพาสันติสุขให้แผ่ขยายไปทั่วทั้งบังกลาเทศ และทั่วโลกสืบต่อไป โดยสามเณร 500 รูปในโครงการดังกล่าว ได้มีโอกาสในการฝึกฝนอบรมตนเองด้วยหลักปฏิบัติความดีสากล UG5 ได้ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ฝึกจิตใจให้ผ่องใส และได้เรียนรู้พระพุทธศาสนาเพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิต และฟื้นฟูเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนแห่งนี้ต่อไป” พระครูสมุห์สนิทวงศ์กล่าว

พรรคชาติพัฒนากล้าลุยสำรวจเส้นทางท่องเที่ยวเศรษฐกิจสายมู จากความศรัทธาสู่การสร้างรายได้อย่างไม่รู้จบ



เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 พรรคชาติพัฒนากล้า นำโดย นายวรวุฒิ อุ่นใจ รองหัวหน้าพรรค นายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ หรือ นายกอุ๊ ที่ปรึกษาพรรค พร้อมด้วยนางสาวยศยา ชิยาปภารักษ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพมหานคร นางสาววิเวียน จุลมนต์ และนางสาวกชพร คีรีโชติ ทีมนโยบายพรรค เดินทางสำรวจแหล่งท่องเที่ยวสายมู ณ วัดโบสถ์ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี , วัดไชยวัฒนาราม และอุทยานหลวงปู่ทวด จ.พระนครศรีอยุธยา 

โดยวัดโบสถ์นั้น มีการสร้างหลวงพ่อโต องค์ใหญ่ ติดแม่น้ำเจ้าพระยา โดย นายกอุ๊ เป็นผู้ดำเนินการจัดสร้างเมื่อกว่า 10 ปี ที่แล้ว จากวัดเล็ก ๆ ขยายเติบโตเป็นวัดขนาดใหญ่ ที่ประชาชนจากทั่วประเทศ เข้ามาสักการะไม่ขาดสาย สร้างรายได้ให้กับชาวบ้านในพื้นที่ ที่นำของมาจำหน่าย สร้างรายได้ให้เกิดขึ้นในชุมชน ส่วนที่วัดไชยวัฒนาราม ก็เป็นแลนด์มาร์กสำหรับแหล่งเช็คอินของชาวไทยและต่างประเทศ  สร้างรายได้ให้กับร้านค้า เช่าชุดไทย ที่นักท่องเที่ยวนิยมใส่ถ่ายรูปกันอย่างเนืองแน่นโดยเฉพาะเสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ และที่ อุทยาน หลวงปู่ทวด ซึ่งนายกอุ๊ ได้จัดสร้างขึ้นมาใหม่ จากพื้นที่นาโล่ง ๆ  กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ที่สร้างรายได้ให้กับร้านค้าชุมชนในพื้นที่ต่อเดือนตั้งแต่ 100,000 – 350,000 บาท 

นางสาวยศยา หรือ นุ่น ว่าที่ผู้สมัครส.ส.ของพรรคชาติพัฒนากล้า ซึ่งเป็นผู้ที่ทำธุรกิจสายมู กล่าวว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเชื่อและความศรัทธาในศาสตร์การกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่คู่คนไทยมาช้านานตั้งแต่อดีตกาลจนถึงปัจจุบันกาล การกราบไหว้และบูชาในศาสตร์ต่างๆเปรียบดั่งการยึดเหนี่ยวจิตใจ รวมถึงปลุกขวัญและกำลังใจในการใช้ชีวิตทางโลกได้อย่างเสถียรภาพและมีคุณภาพ  มีบทวิจัยจากนักวิจัยหลายประเทศเป็นเครื่องยืนยันว่าศาสตร์ของการมูเตลูและการนั่งสมาธิสามารถเยียวยาจิตใจ รักษาโรคภัย และเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับมวลมนุษย์ได้

นางสาวยศยา กล่าวว่า ตนเป็นอีกคนหนึ่งที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้าในการบูชาองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและศาสตร์การบูชาองค์เทพสายขาวทุกแขนง เริ่มต้นจากผู้ศรัทธากลายมาเป็นผู้บูชา จนมาถึงเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ one stop services เกี่ยวกับการมูเตลู นุ่นเป็นทั้งผู้ซื้อสินค้าและบริการ จนกลายมาเป็นผู้ให้บริการทางด้านสินค้าและบริการทางศาสตร์มูเตลู เป็นเครื่องยืนยันได้จากประสบการณ์จริงว่า ความศรัทธา สามารถเปลี่ยนเป็นเม็ดเงิน และ ต่อยอดทางธุรกิจและเศรษฐกิจได้อย่างไม่รู้จบ 

“ยกตัวอย่างเช่น นุ่นศรัทธาองค์ท้าวเวสสุวรรณ นุ่นจึงตัดสินใจที่ไปทำบุญวัดจุฬามณี จังหวัดสมุทรสงครามซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของท่าน ระหว่างทางนุ่นได้ซื้อดอกไม้และเครื่องสักการะต่างๆในการบูชา เพียงเท่านี้ก็สามารถกระจายรายได้สู่ผู้ประกอบการและชุมชนละแวกนั้น นี่ยังไม่นับรวมถึงการเช่าบูชางานพุทธศิลป์ที่มีราคาค่อนข้างสูง แต่ผู้คนตัดสินใจเช่าบูชาเพราะความศรัทธา เม็ดเงินส่วนนี้ก็จะหลั่งไหลเข้าวัดเพื่อไปต่อยอดการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไป  รวมไปถึงเป็นการสร้างงานสร้างอาชีพสร้างความมั่นคงให้กับศิลปินช่างปั้นในประเทศไทยเราด้วย” นางสาวยศยา กล่าว 

นางสาวยศยา กล่าวอีกว่า เมื่อพูดถึงนโยบายเศรษฐกิจเฉดสีขาวของพรรคชาติพัฒนากล้า หรือ เศรษฐกิจสายมู ที่เน้นสร้างรายได้กระจายสู่จังหวัดและชุมชนทั่วทุกจังหวัดในประเทศไทย โดยมีแรงผลักดันที่เรียกว่า ความศรัทธา และความเชื่อ นั่นเองที่จะนำพาความผาสุข และ ความอยู่ดีกินดีงานดีมีเงินของไม่แพง  ของคนไทยกลับมาสู่ประเทศอีกครั้ง ในอนาคตที่หวังเป็นอย่างยิ่งว่านักท่องเที่ยวจะเปลี่ยนจุดมุ่งหมายของทริปทำบุญจากประเทศอื่นมาเป็นประเทศไทย การท่องเที่ยวสายบุญซึ่งมีความศรัทธาเป็นเข็มทิศ จะดึงดูดให้นักท่องเที่ยวหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายวัฒนธรรม มารวมตัวกัน และ ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวอย่างสวยงามของระบบเศรษฐกิจในประเทศไทย


ประชาชาติพบปะ “บาบอ-โต๊ะครู-อุสตาส” สถาบันปอเนาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมรวมกันเป็นหนึ่งเพื่ออุมมะห์

 


นายกสมาคมปอเนาะ ขอให้รื้อฟื้น ‘มหาวิทยาลัยฟาตอนีดารุสสาลาม’ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” พบบาบอผู้บริหารปอเนาะชายแดนใต้ รับข้อเรียกร้องปลดแอกการศึกษาสถาบันปอเนาะ เปิดโอกาสให้นักเรียนที่จบศาสนาชั้น 10 เรียนต่ออิสลามศึกษาในมหาวิทยาลัยได้ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ย้ำ!  ส.ส.ประชาชาติ ยืนหยัดปกป้องกฎหมายอิสลามจากพวกสุดโต่ง ขณะที่ “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” ยกย่อง “ปอเนาะ” กำแพงสกัดสิ่งชั่วร้าย พร้อมประกาศยกระดับภาษามลายูเป็นภาษาราชการ

 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ที่โรงแรมปาร์ค อินทาวน์ อ.เมือง จ.ปัตตานี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ เป็นประธานเปิดโครงการสัมนาสมาคมสถาบันศึกษาปอเนาะจังหวัดชายแดนภาคใต้ "พบปะโต๊ะครู 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เนื่องในโอกาสอิซเราะ เมี๊ยะรอจ” 

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าวว่า 2-3 วันที่ผ่านมา มีคนกลุ่มหนึ่งร้องเรียนไปที่รัฐสภา ให้ยกเลิกกฎหมายเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม 4 ฉบับ (พ.ร.บ. บริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540 , พ.ร.บ.ส่งเสริมกิจการฮัจย์ พ.ศ.2524 , พ.ร.บ.ฮัจย์ พ.ศ.2559 , พ.ร.บ.ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย และการรับรองตราฮาลาล) ซึ่งหมายนี้กำหนดให้มีจุฬาราชมนตรี  มีคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย มีคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด มีโต๊ะอิหม่าม คอเต็บ บิหลั่น เขาขอให้ยกเลิก เขาบอกว่ากฎหมายนี้ไม่มีประโยชน์ และขัดต่อรัฐธรรมนูญ ขัดต่อกฎหมายประเทศ ถ้ายกเลิกเราจะไม่มีจุฬาราชมนตรี ไม่มีประธานกรรมการอิสลาม ไม่มีอิหม่าม ไม่มีคอเต็บ บีหลั่น ไม่มีการจดทะเบียนมัสยิด 

“ไม่ทราบเป้าหมายที่เขาบอกขัดต่อรัฐธรรมมนูญ ประชาชนเราจะเอาอันไหน จะให้ยกเลิก พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม ยกเลิก พ.ร.บ.ฮัจย์ และยังมีการขอให้ยกเลิก พ.ร.บ.ฮาลาล เขาบอกว่า ฮาลาลไม่จำเป็น ส่วนตัวไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ถ้าเกิดที่เมียนมาร์ก็ไม่แปลก”

“โอกาสนี้ต้องขอบคุณผผู้แทนราษฏรของพรรคประชาชาติ 6 คน ที่ต่อสู้เพื่อพี่น้องของเรา ขอให้ทุกคนรู้ไว้ว่า ศาสนากับการเมืองต้องไปด้วยกัน ทุกวันนี้เรายังมีภาษาและวัฒนธรรม เพราะเรามีปอเนาะ เรามีภาษามลายู” หัวหน้าพรรคประชาชาติ กล่าว

โอกาสนี้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ ได้บรรยายเรื่องการศึกษาสถาบันศึกษาปอเนาะกับการพัฒนาสู่เวทีอาเซียน โดยมี นายมูฮำหมัดซูวรี สาแล นายกสมาคมสถาบันปอเนาะจังหวัดชายแดนภาคใต้ และบาบอผู้บริหารสถาบันปอเนาะกว่า 900 คน รวมทั้ง ส.ส.พรรคประชาชาติ และคณะผู้บริหารพรรคร่วม

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง กล่าวว่า การศึกษาจะทำให้มนุษย์มีความแข็งแกร่งทั้งทางร่างก่ายและจิตใจ การศึกษาในปอเนาะและเป็นการศึกษาที่เกี่ยวกับศาสนา มั่นใจสถาบันปอเนาะจะสามารถเป็นกำแพงและเป็นสะพานที่จะปกป้องจิตใจผู้เรียนให้มีความแข็งแกร่ง สกัดกั้นสิ่งชั่วร้าย แม้แต่พนันออนไลน์ในปัจจุบัน หนทางป้องกันคือการปฏิบัติตามหลักศาสนา โอกาสที่จะสร้างความเจริญให้ประเทศ คือโอกาสมาจากการศึกษา สิ่งที่ถูกมองข้ามที่สุดคือสถาบันปอเนาะ  

พ.ต.อ.ทวี ยังพูดถึงสถาบันปอเนาะที่เคยถูกโจมตีจากภาครัฐในอดีต หนักจนกระทั่งไม่ให้มีการขยายปอเนาะ โต๊ะครูต้องพลีชีพและต้องต่อสู้กับรัฐนิยม ภาษามลายูถูกกดทับ การโจมตีครั้งล่าสุดจากอำนาจนิยม ก็คือ 4 ม.ค.2547 สถาบันปอเนาะถูกตรวจค้น ถูกปิดล้อม  ใช้คำพูดว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะ มีหนังสือเวียนจากแม่ทัพไปถึงผู้ว่าฯ ว่าสถานที่บ่มเพาะ คือ โรงเรียนสอนศาสนา ตอนนี้มี พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ กำลังพิจารณาอยู่ในสภา มีการใช้ภาษาว่าบ่มเพาะ ที่ว่าร้ายปอเนาะ แต่เขากลับไปเขียนใน พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ 

“สมัยเป็นเลขาธิการ ศอ.บต. สถาบันปอเนาะสะปอม (โรงเรียนอิสลามบูรพา) ถูกปิด ก็ได้ดำเนินการจนสามารถเปิดการเรียนการสอนปกติได้จนถึงทุกวันนี้ เพราะอำนาจเลขาธิการ ศอ.บต. เขียนไว้ว่า ต้องส่งเสริมสนับสนุนการศึกษา สถาบันปอเนาะคือการส่งเสริมการศึกษา นี่คือหนึ่งตัวอย่าง และพรรคประชาชาติมีแนวคิดจะยกคุณภาพ ยกศักยภาพสถาบันปอเนาะ ถึงเวลาแล้วที่ภาษามลายูเป็นภาษาราชการภาษาที่ 2 ใช้เฉพาะในสามจังหวัด  วันนี้ภาษา วัฒนธรรม และศาสนาต้องไม่มีพรมแดน” เลขาธิการพรรคประชาชาติ ระบุ


ด้านนายมูฮำหมัดซูวารี ได้ยื่นข้อเรียกร้องเพื่อให้พรรคประชาชาติแก้ปัญหาให้กับสถาบันปอเนาะ เช่น การจดทะเบียนสถาบันปอเนาะที่กำหนดให้โต๊ะครูต้องจบปริญญาตรี ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด  145 แห่งที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน (ส.ช.) ไม่สามารถจดทะเบียนให้ได้ จึงขอให้พรรคประชาชาติช่วยแก้ปัญหา ให้มีการผ่อนปรน เพื่อให้สามารถเปิดการเรียนการสอนได้ปกติก่อนในระหว่างดำเนินการ และขอให้สถาบันปอเนาะสงขลา สตูล ได้รับเงินอุดหนุนเช่นเดียวกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 


นอกจากนั้น ยังได้ร้องขอให้พรรคประชาชาติ แก้ปัญหาให้นักเรียนที่เรียนจบชั้น 10 ทางศาสนา สามารถรองรับวุฒิการศึกษา เข้าเรียนต่อคณะอิสลามศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในประเทศได้ เนื่องจากปัจจุบันวุฒิอิสลามศึกษาชั้น 10 (ซานาวี) สามารถไปเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัยในต่างประเทศได้ แต่ไม่สามารถเรียนในไทยได้ และขอให้มีการพัฒนาสถาบันปอเนาะ เหมือนสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย และเพื่อไทย ที่มีเงินอุดหนุนปอเนาะ จะได้นำไปพัฒนาปอเนาะ รวมถึงขอให้รื้อฟื้นการจัดตั้งมหาวิทยาลัยฟาตอนีดารุสสาลาม โดยการนำหลักสูตรมหาวิทยาลัยอัลอัซฮัร มาเปิดการเรียนการสอนในพื้นที่ด้วย 

 

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid028LoNdm7XyrUTffuNmAkQDGDnfeoZatUuuiYkWysGHcgyAGMfauVCyugEMo3eKfpnl&id=100069375242527&mibextid=qC1gEa

ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด "อดีตรองเลขาฯกกต." ไม่รับมอบ"ถุงเมล์" บัตรเลือกตั้งส.ส.ปี2562


เมื่อวันที่ 13 กุภาพันธ์ 2566 นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีกล่าวหา นายณัฏฐ์ เล่าสีห์สวกุล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการ การเลือกตั้ง กับพวก รวม 3 ราย ว่ากระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีละเว้นไม่ดำเนินการรับมอบและติดตามถุงเมล์การทูตที่บรรจุซองใส่บัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนอกราชอาณาจักร จากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวลลิงตัน ประเทศนิวซีแลนด์ จากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ทั้งที่ทราบว่าถุงเมล์การทูตดังกล่าว มาถึงประเทศไทย เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2562 เป็นเหตุให้คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติให้บัตรเลือกตั้งฯ จากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวลลิงตัน ไม่สามารถนำมานับเป็นคะแนนได้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 114

จากการไต่สวนข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายณัฏฐ์ ซึ่งได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ควบคุม ติดตาม ตรวจสอบ กำกับดูแล จัดการ ประสานงานการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อปี 2562 กำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของคณะทำงานคัดแยกซองใส่บัตรเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส. 5/2) (นอกเขตเลือกตั้งและนอกราชอาณาจักร) ทราบตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2562 ว่าการส่งถุงเมล์การทูตที่บรรจุบัตรเลือกตั้งฯ จากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวลลิงตัน กลับมาประเทศไทย เกิดปัญหาความล่าช้าและอาจไม่ทันกำหนดส่งบัตรเลือกตั้งดังกล่าวให้เขตเลือกตั้ง ภายในวันที่ 23 มีนาคม 2562 รวมทั้งยังได้รับการรายงานปัญหาดังกล่าวจากผู้ใต้บังคับบัญชา และหน่วยงานสนับสนุนการเลือกตั้งอีกหลายครั้ง

แต่นายณัฏฐ์ ไม่แก้ไข แนะนำ สั่งการ ประชุมปรึกษาหารือ หรือรายงานผู้บังคับบัญชาเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว จนกระทั่งวันที่ 23 มีนาคม 2562 เวลา 20.50 น. ถุงเมล์การทูตดังกล่าวถึงสนามบินสุวรรณภูมิ และนายณัฏฐ์ ได้รับทราบแล้ว แต่กลับไม่สั่งการหรือประสานงานเพื่อให้รับถุงเมล์การทูตดังกล่าว หรือรายงานผู้บังคับบัญชาเพื่อให้มีการแก้ไขปัญหา เป็นเหตุให้บัตรเลือกตั้งฯ จากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงเวลลิงตัน ไม่สามารถนำมานับเป็นคะแนนได้

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วมีมติว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการแสดงออกถึงสิทธิและเสรีภาพ ความเท่าเทียม ความอิสระ รวมทั้งเป็นหน้าที่สำคัญของปวงชนชาวไทย ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ และต้องใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก ผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเอาใจใส่และให้ความสำคัญอย่างมาก การที่นายณัฏฐ์ ไม่ดำเนินการตามหน้าที่เพื่อให้เกิดการแก้ไขหรือบรรเทาความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากปัญหาข้างต้น จึงมีมูลเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของสำนักงาน และมติของคณะกรรมการ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่สำนักงานอย่างร้ายแรง ขัดคำสั่งหรือหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย ระเบียบ และแบบธรรมเนียมของสำนักงาน อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่สำนักงานอย่างร้ายแรงตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม

ส่วนผู้ถูกกล่าวหาอีก 2 คน ซึ่งเป็นข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ได้ดำเนินการติดตามถุงเมล์การทูตดังกล่าวตามอำนาจหน้าที่แล้ว ข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอรับฟังได้ว่า มีเจตนาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงให้ข้อกล่าวหาเป็นอันตกไป

(ที่มา-https://www.nacc.go.th/categorydetail/2018083118464105/20230213093321?fbclid=IwAR1TxTzA3GvV07otWMQDtWi65G0b4YYPTQg1vAoum7BTd25EWJoiR-y_u5w)

ม.รังสิต มอบรางวัล "สุริยเทพ" แก่ "ชูวิทย์" ยกย่องเป็นต้นแบบคุณธรรมความกล้าหาญ



เมื่อวันที่ 13 กุภาพันธ์ 2566  เพจเฟซบุ๊กมหาวิทยาลัยรังสิต “Rangsit University”ได้โพสต์ข้อความ ขอแสดงความยินดีแก่ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ในโอกาสที่ มหาวิทยาลัยรังสิต มีมติมอบรางวัล ‘สุริยเทพ’ ในฐานะผู้เป็นต้นแบบคุณธรรมความกล้าหาญในการตีแผ่ความจริงเพื่อปราบปรามการทุจริตคอรัปชัน โดยจะมีพิธีมอบรางวัล ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566 ที่ มหาวิทยาลัยรังสิต

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รางวังดังกล่าวเนื่องจาก นายชูวิทย์ ได้ออกมาเปิดโปงข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มทุนจีนสีเทา จนนำไปสู่การจับกุมนายตู้ห่าว และพวก รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง โดยไม่เกรงกลัวอำนาจหรือผู้มีอิทธิพล ถือเป็นบุคคลที่มีคุณธรรมและความกล้าหาญ

"ปู จิตกร"ร่วมวงเสวนา ปชป. ชี้ "เว็บพนันออนไลน์” แก้ได้ถ้าทุกฝ่ายเอาจริงแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”



เมื่อวันที่ 13 กุภาพันธ์ 2566  คณะกรรมการยุทธศาสตร์ กทม. พรรคประชาธิปัตย์ จัดเสวนา "เว็บพนันออนไลน์ อาชญากรร้ายสังคมไทย” โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย พลตำรวจตรี ดร.วิชัย สังข์ประไพ  อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย นักวิชาการอิสระด้านกฎหมาย ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นายจิตกร  บุษบา นักสื่อสารมวลชนชื่อดัง ดำเนินรายการโดย นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ กทม. กล่าวว่าเว็บพนันออนไลน์น่ากลัวกว่าการพนันทั่วไป เพราะสามารถทะลุทะลวงเข้าถึงทุกเพศทุกวัย ทุกชนชั้นในสังคม และเป็นที่น่าเศร้าใจว่าในปัจจุบันมีข่าวคราวของตำรวจซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้รักษากฎหมายกลับเป็นผู้กระทำความผิดเสียเอง หรือมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อม ทั้งนี้มองว่าการพนันออนไลน์คือมะเร็งร้ายของสังคมไทย ถ้าไม่เร่งแก้ไขและยังปล่อยให้เรื่องนี้ยังอยู่ในสังคมไทย 

ทางด้าน พล.ต.ต.ดร.วิชัย  สังข์ประไพ หรือผู้การแต้ม กล่าวว่า เว็บพนันออนไลน์เป็นอาชญากรร้ายก่อให้เกิดอาชญากรรม ถือเป็นภัยร้ายที่สำคัญที่สุด จากการสำรวจพบว่าเว็บพนันออนไลน์มีกว่า 30,000 เว็บไซต์ ซึ่งเติบโตขึ้นด้วยปัจจัยหลัก 3 ประการคือ 1. กฎหมายที่เกี่ยวข้องคือ พ.ร.บ.การพนัน มีโทษน้อยแค่ปรับ จำคุก หรือรอลงอาญา  2.เจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้อง สนับสนุน ให้โอกาส 3.การบังคับใช้กฎหมายมีจุดบกพร่อง เว็บใหญ่รอด เว็บเล็กถูกจับ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ไม่สามารถปิดกั้นการเข้าถึงหรือบล็อกได้ และที่น่าตกใจมากขณะนี้คือเว็บต่าง ๆ ที่เปิดให้ดูหนังฟรี จะแทรกโฆษณาชักชวนให้เล่นการพนัน ทำให้เด็กเยาวชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ชี้ชูวิทย์  กมลวิศิษย์คือตัวอย่างที่ดีในการที่ภาคประชาชนออกมาติดตามตรวจสอบ การกระทำความผิดของหน่วยงานภาครัฐ ทำให้สังคมเข้มแข็ง พร้อมฝากถึงตำรวจในฐานะที่ตนเคยรับราชการตำรวจว่าอยากให้ตำรวจทุกคนเรียกศรัทธาจากประชาชนกลับคืนมา ด้วยการทำงานตามหน้าที่ ตรงไปตรงมา ไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน

“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลต้องตั้งเป็นวาระแห่งชาติ ตำรวจต้องปราบปรามอย่างจริงจัง ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน บ้านเมืองสงบต้องจบด้วยกฎหมาย ผมยืนยันว่าเว็บพนันออนไลน์ แก้ได้  หากทุกฝ่ายเอาจริง เพราะผมเคยทำได้ และเคยทำมาแล้วในการปราบปรามยาเสพติด” ผู้การแต้ม กล่าว

ทางด้าน นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย แสดงความคิดเห็นว่า ปัจจุบันไม่มีกฎหมายที่บังคับใช้กับพนันออนไลน์ แต่ใช้กฎหมายพนันที่มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2478 โทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท จำคุกไม่เกิน 1 ปี ไม่เข้ากับยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งกฎหมายที่ดีต้องเจริญเติบโตไปพร้อมกับสังคม ตัวอย่างในต่างประเทศ เช่น ประเทศอังกฤษมีคณะกรรมการการพนันหรือ Gambling Committee เพื่อกำกับดูแล ไม่เน้นลงโทษ แต่เน้นการสร้างข้อกำหนดทางกฎหมายเข้ามาช่วยควบคุม ในขณะที่สหรัฐอเมริกามีกฎหมายระดับรัฐบาลกลาง ควบคุมการสื่อสารคมนาคม ลงโทษ จำคุก ผู้โฆษณา ผู้รับเงิน สำหรับบ้านเรามองว่าธนาคารต้องตั้งระบบให้เจ้าของเว็บและผู้เล่นไม่สามารถจ่ายเงินผ่านธนาคารได้ พร้อมทั้งระบุว่าหากจะแก้ปัญหาเรื่องพนันออนไลน์กลไกของรัฐต้องเข้มแข็ง และนอกเหนือจากกระทรวงดีอีเอสแล้ว กสทช. ก็เป็นอีกหน่วยงานหนึ่งที่มีบทบาทในการควบคุม มีอำนาจสั่งบริษัทผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตเพื่อปิดกั้นการสื่อสารของเว็บพนันออนไลน์ได้ จึงฝากทั้งสองหน่วยงานให้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่จริงจังเพื่อหาแนวทางในการแก้ไข ไม่ใช่โยนความรับผิดชอบกันไปมาอย่างที่เป็นในปัจจุบัน

ในขณะที่ ปู จิตกร บุษบา นักสื่อสารมวลชนชื่อดัง แสดงความคิดเห็นอย่างเผ็ดร้อนว่า เว็บพนันออนไลน์แข็งแรงเติบโตขึ้นทุกวันเกิดจากกลไกหลัก 3 ประการ  คือ 1. กลไกที่มนุษย์อ่อนแอ ต้องการความหวังในชีวิต หวังว่าเงินจะเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น  สื่อนำเสนอข่าวคนถูกหวยซึ่งเป็นจิตวิทยาที่ผิดในการกระตุ้นให้คนอยากเล่น ทำให้เกิดกลไก อยากได้เงินเยอะๆ ไม่รู้จักพอ เว็บพนันออนไลน์ต่าง ๆ จึงจู่โจมได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องเดินไปบ่อน  2. กลไกสังคมไม่แข็งแรง ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ แต่ทำไมมีบ่อน มีซ่อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ย้อนแย้ง ในขณะที่รัฐบาลเป็นเจ้ามือหวยในนามสลากกินแบ่งรัฐบาล จึงทำให้คนสับสนกับหลักเกณฑ์ศีลธรรมของสังคม  3. กลไกการบังคับใช้กฎหมาย โดยกฎหมายการพนันที่มีล้าหลังไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายให้ร่วมสมัย อีกทั้ง ประเทศไทยไม่เคยบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง เข้มงวด และตนเองเชื่อว่าหากสังคมไทยเป็นสังคมที่ผู้คนพึ่งพาตนเองได้ มีรายได้เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ ก็จะสามารถลดปัญหาการเสี่ยงโชคเพื่อหวังมีรายได้จากการพนันได้

พร้อมฝากไปถึงทุกพรรคการเมืองว่า มีนโยบายการแก้ปัญหาเว็บพนันออนไลน์หรือไม่?  โดยต้องเริ่มจากการตั้งคำถามว่าอะไรเป็นบ่อเกิดและการดำรงอยู่ของการพนัน ควรหาฐานะและข้อสรุปของการพนันให้ได้ว่าจะทำให้ถูกกฎหมายหรือไม่ ชัดเจนอย่างไร ถูกควบคุมด้วยหน่วยงานใด และที่สำคัญหากจะทำให้ถูกกฎหมาย แล้วสังคมปลอดภัยจะปลอดภัยได้อย่างไร ควรต้องทำให้เรื่องนี้เป็นวาระแห่งชาติ ต้องระดมทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงพัฒนาสังคม กระทรวงศึกษาธิการ ฯลฯ เข้ามาพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง ทำอย่างเข้มแข็ง และผู้บังคับใช้กฎหมายต้องจริงจังเข้มงวด มีการปราบปรามแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน พนันออนไลน์” จึงจะช่วยแก้ปัญหาได้

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

มาอีกแล้ว! "หมอระวี"ขอเป็นตัวแทนชาวพุทธทำหน้าที่ในสภาฯหวังปฏิรูป พรบ.สงฆ์



เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2566    นพ.ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่ กล่าวถึงนโยบายหลักของพรรคพลังธรรมใหม่ ในเรื่องศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ และประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาของโลกว่า เราจะเสนอบรรจุ “ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ” ไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยเราไม่มีนโยบายที่จะสร้างความแตกแยก หรือลดความสำคัญของศาสนาอื่น แต่ต้องการปฏิรูป พรบ.สงฆ์ให้สามารถ สนับสนุน ส่งเสริม พัฒนา พุทธศาสนาให้เข้มแข็งขึ้น ให้มีบทลงโทษต่อภิกษุ ฆราวาส ที่สร้างความเสื่อมเสียต่อพุทธศาสนา

นพ.ระวี กล่าวต่อว่า นโยบายดังกล่าวยังสามารถส่งเสริมการท่องเที่ยวให้คนทั่วโลก มาเที่ยวมาปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ ที่วัดไทยทั่วประเทศได้ โดยเราจะสนับสนุนการสร้างวัดไทยไปทั่วโลก ส่งเสริมบทบาทของวัดไทยทั่วโลก ให้เป็นจุดเผยแพร่พุทธศาสนา ให้คนต่างชาติได้เข้ามาปฏิบัติธรรมและสมานความสามัคคี ระหว่างคนไทยในต่างแดนกับคนต่างชาติเจ้าของประเทศ

"อีกเป้าหมายหนี่งที่สำคัญก็คือ พลังธรรมใหม่จะใช้พุทธศาสนาในการปฏิรูปจริยธรรมของนักการเมือง และข้าราชการทุกระดับ" 


 

"อธิการบดี มจร" หวั่น AI เป็นภัยคุกคาม เร่งอัพสกิลบุคลากรด้านไอทีอาทิ "ChatGPT"


เมื่อวันที่ 11  กุมภาพันธ์ 2566  พระธรรมวัชรบัณฑิต,ศ.ดร. อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)  ได้มอบนโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ "พลิกโฉมมหาจุฬาฯ มหาวิทยาลัยดิจิทัล" แก่บุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของมหาวิทยาลัย  3 ประเด็นด้วยกันคือ 1.สถานการณ์ปัจจุบันกับบทบาทของสถาบันอุดมศึกษา 2.ธรรมชาติของสถาบันอุดมศึกษากับความเป็นมหาวิทยาลัยดิจิทัลไปด้วยกันได้หรือไม่ 3.นโยบายด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ของ มจร 

สำหรับประเด็นสถานการณ์ปัจจุบันโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การเกิดขึ้นของปัญญาประดิษฐ์(เอไอ) การสื่อสารออนไลน์ทุกรูปแบบส่งผลให้คนทั้งโลกเป็นผู้สื่อข่าวอย่างไม่เป็นทางการทั้งโลก อันมีผลต่อสถานบันอุดมศึกษา และวิเคราะห์ดูแล้วน่าจะเป็นภัยคุกครามมากกว่า ต้องทำให้สถานบันอุดมศึกษาโดยเฉพาะ มจร จะต้องปรับเปลี่ยนเรียนรู้ ต้องขยันเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว ก็ต้องดูว่าองค์ประกอบของการสื่อสารมีอะไรบ้าง (SMCR)  ดังนั้นจึงมอบหมายให้บุคลากรด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นแม่งานในเรื่องนี้   

พระมหาขวัญชัย กิตฺติเมธี,ผศ.ดร.อาจารย์ คณะพุทธศาสตร์ มจร ได้เข้าร่วมการมอบนโยบายในครั้งนี้ด้วยได้เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "Khwanchai Kittimetee" ความว่า  "เป็นตัวแทนคณาจารย์คณะพุทธศาสตร์ อบรม MOOC ใน 2 วัน (10-11 กุมภาพันธ์ 2566) เป็นการ upskill การเรียนการสอนที่เชื่อมโยงกันระหว่าง content creator กับ สื่อออนไลน์ที่อาศัยเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาอย่างหลากหลาย ไล่ตั้งแต่ ChatGPT, metaverse, botnoi, streamlaps, loomai,kindmaster, iriun ฯลฯ และอีกมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนที่เขาเปรียบไว้ การศึกษาก็เหมือนพายเรือกลางน้ำเชี่ยว หากเราหยุดพายเมื่อใด เรือของเราไม่ให้จะหยุดอยู่กับที่ แต่จะถอยหลังออกไปทุกที"

นายบิล เกตส์ มหาเศรษฐีผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ แสดงความเห็นกับหนังสือพิมพ์ฮันเดลสบลัตต์ว่า ChatGPT แชตบอตเอไออัจฉริยะที่สามารถโต้ตอบผู้ใช้ได้คล้ายคลึงกับมนุษย์ มีความสำคัญเทียบเท่าการคิดค้นอินเทอร์เน็ต          

นายเกตส์กล่าวว่า "จนถึงตอนนี้ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำได้แค่อ่านและเขียน แต่ไม่สามารถเข้าใจเนื้อหาได้ โปรแกรมใหม่ ๆ อย่าง ChatGPT จะทำให้งานออฟฟิศมากมายมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยการช่วยเขียนอินวอยซ์หรือจดหมายต่าง ๆ ซึ่งสิ่งนี้จะเปลี่ยนโลกของเราได้"

ขณะนี้ ChatGPT Plus ได้เปิดบริการในประเทศไทยแล้วโดยคิดค่าบริการ 20 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือนหรือประมาณ 670 บาท

ทั้งนี้ส่วนเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้จัดโครงการพัฒนาศักยภาพนักพัฒนาระบบ ปี 2566 ระหว่างวันที่ 10 -12 กุมภาพันธ์ 2566 ณ ศาลาการเปรียญ ดร.อุไรศรี คะนึงสุขเกษม วัดมหาจุฬาลงกรณราชูทิศ โดยมีวัตถุประสงค์ พื่อพัฒนาและยกระดับทักษะบุคลากรของมหาวิทยาลัยด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสนับสนุนการนำองค์ความรู้ด้านดิจิทัลไปประยุกต์ใช้ในการสร้างพุทธนวัตกรรมและกระบวนการเรียนรู้ พัฒนาปัญญาและคุณธรรม 

การออกแบบหลักสูตรกิจกรรมดำเนินการและระยะเวลาดำเนินการ คณะทำงานร่วมกับวิทยากรออกแบบหลักสูตรจำนวน 4 ด้านตามนโยบายของมหาวิทยาลัย ดำเนินการระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน 2566 กิจกรรมดำเนินการ ฝึกอบรมเชิงปฏิบัติ จำนวน 8 ครั้ง เน้นการวิเคราะห์ การนำกรณีศึกษาจากการปฏิบัติงานมาฝึกปฏิบัติ เพื่อให้ผู้เข้าอบรมสามารถนำความรู้ ทักษะการฝึกอบรมไปใช้ปฏิบัติงานได้จริงตามภารงานที่ได้รับมอบหมาย ขอบเขตเนื้อหาการฝึกอบรมประกอบด้วย 

1) ด้านการพัฒนาระบบ (Developer) มุ่งเป้าทักษะการพัฒนาและบริหารฐานข้อมูลออนไลน์ 

2) ด้านการดูแลเว็บไซต์ (Web Master) มุ่งเป้าพัฒนา ปรับปรุงเว็บไซต์ส่วนงานให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีเว็บสมัยใหม่ 

3) ด้านการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนแบบออนไลน์แบบเปิดเสรี (MOOC) มุ่งเป้าให้ทุกส่วนงานจัดการศึกษาจัดการเรียนการสอนแบบออนไลน์แบบเปิดเสรี อย่างน้อยส่วนงานละ 1 รายวิชา 

4) ด้านการบริหารระบบเครือข่าย (Network) มุ่งเป้าทักษะการบริหารระบบเครือข่ายของบุคลากรที่ดูแลรับผิดชอบระบบเครือข่ายของมหาวิทยาลัยทั้งส่วนกลางและภูมิภาค 

ในการนี้ผู้บริหาร คณาจารย์ เจ้าหน้าที่ และนิสิต ที่ผู้รับผิดชอบงานทั้ง 4 ด้าน จำนวน 100 รูป/คน เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้



"นฤมล" แนะออกแบบแก้จนยั่งยืนไม่หว่านแห ต้องจากล่างขึ้นบน ชู"ธุรกิจเพื่อสังคมระดับชุมชน"



วันที่ 11 ก.พ. 66 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์แนวทางการแก้ปัญหาความยากจนผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวความว่า #แก้จนแบบไม่หว่านแห การแก้ปัญหาความยากจนเริ่มต้นที่ผู้มีรายได้น้อยส่วนใหญ่ คือ เกษตรกร จำเป็นต้องแก้ไขและจัดการเรื่องที่ทำกิน พร้อมกับการพัฒนาสภาพที่ดินและแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร 

นอกจากเรื่องดินและน้ำ ซึ่งคือปัจจัยพื้นฐานที่จะนำไปสู่การสร้างอาชีพและรายได้ การจัดสรรสวัสดิการแบบถูกฝาถูกตัว ยังเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการขจัดความยากจน สวัสดิการในการเข้าถึงสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานด้านต่างๆ เช่น เครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น การศึกษาและการฝึกอาชีพ หลักประกันทางสุขภาพ เป็นต้น 

การเข้าถึงสวัสดิการเหล่านี้ไม่ควรจัดสรรแบบหว่านแห แต่ควรจัดเมนูเฉพาะที่ตรงกับสิ่งที่ผู้มีรายได้น้อยยังเข้าไม่ถึง และตรงกับพื้นฐานของผู้มีรายได้น้อยและความต้องการของตลาดแรงงาน 

คนจนในเมือง อาจจะมีรายได้เกิน 1 แสนบาทต่อปี ไม่เข้าข่ายผู้ที่มีสิทธิได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่ต้องแบกค่าครองชีพ ทั้งค่าไฟฟ้า ค่าเดินทาง ค่าเช่าที่พัก จนรายได้ที่เหลือไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพอย่างมีคุณภาพ รัฐบาลจึงควรจัดสรรสวัสดิการให้กับกลุ่มคนจนในเมือง เช่น สวัสดิการค่าเดินทาง เพื่อป้องกันปัญหาการขยายตัวของกลุ่มคนจนในเมือง 


เราต้องเลิกแนวคิดแก้จนแบบบนลงล่าง การนั่งดูข้อมูลภาพรวมทั้งประเทศแล้วตัดสินใจออกแบบนโยบายแก้จนกันในห้องแอร์แบบหว่านแหจะไม่สามารถแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างยั่งยืน


การแก้ความยากจนไม่ใช่แค่เรื่องการจัดสรรสวัสดิการเท่านั้น แต่ต้องแก้กันด้วยเมนูแก้จนที่ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลแบบแยกรายกลุ่ม (เช่น กลุ่มเกษตรกร กลุ่มแรงงานในระบบ กลุ่มแรงงานนอกระบบ กลุ่มผู้พิการ เป็นต้น) แยกรายพื้นที่ (แยกรายภาค และแยกย่อยลงหัวเมือง ชนบท แหล่งอุตสาหกรรม แหล่งทำการเกษตร) จนถึงระดับแยกรายชุมชน และแยกรายครัวเรือน ที่สำคัญที่สุด การแก้จนจะสามารถทำสำเร็จได้ต้องให้คนจนและชุมชนมีส่วนร่วมออกแบบเมนูที่จะทำให้เขาพ้นจากความยากจน 

กลไกที่จะเข้าไปช่วยขับเคลื่อนการแก้จนได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่หน่วยราชการ แต่ควรเป็น “ธุรกิจเพื่อสังคมระดับชุมชน”


แก้จนอย่างสัมฤทธิ์ผล ต้องแก้จากล่างขึ้นบนเป็นสำคัญ

 

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

หมอประเวศเสนอ "การเมืองควอนตัม ประชาธิปไตย 2 ขา พาชาติออกจากวิกฤต"



เมื่อวันที่ 11  กุมภาพันธ์ 2566  ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ได้เสนอบทความเรื่อง "การเมืองควอนตัม ประชาธิปไตย 2 ขา พาชาติออกจากวิกฤต" เพื่อชี้ทางออกจากวิกฤตการณ์เรื้อรังของสังคมไทยในขณะนี้ ความว่า 

⦁ติดอยู่ใน 'หลุมดำ' เพราะประเทศถูกมัดตราสัง

ประเทศไทยมีทรัพยากรเพื่อพัฒนามาก แทนที่จะเจริญรุ่งโรจน์ กลับติดอยู่ใน "หลุมดำ" แห่งวิกฤตการณ์เรื้อรังมาเกือบ 1 ศตวรรษ ทำอย่างไรๆ


ก็ออกไม่ได้ เพราะเป็นประเทศที่ปิดศักยภาพของตัวเองประดุจถูกมัดตราสัง ระบบการเมืองและระบบราชการมีข้อจำกัดมากมาย เพราะถูกออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์ในสถานการณ์เก่า ซึ่งใช้ไม่ได้ผลในสถานการณ์ใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม สังคมปัจจุบันสลับซับซ้อนและยาก ต้องการมีสมรรถนะใหม่ที่เป็นความร่วมมือ ร่วมคิดร่วมทำ มากกว่าการต่อสู้ ระบบเก่าออกแบบมาเพื่อควบคุมมากกว่าเพื่อสมรรถนะในการจัดการสิ่งยาก ดังที่มีกฎหมาย กฎ ระเบียบ คำสั่ง ทั้งหมดกว่า 100,000 ฉบับ ที่ควบคุมการทำงานของระบบรัฐ ทำให้ไม่สามารถริเริ่มหรือตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญกับสถานการณ์พลิกผัน


การเมืองแบบแบ่งข้างแบ่งขั้ว เป็นปฏิปักษ์ต่อสู้โค่นล้มกันตลอดเวลา ไม่มีสมรรถนะในการเผชิญสิ่งยาก จนกระทั่งพูดกันว่าประชาธิปไตยแบบดั้งเดิมไม่ได้ผลแล้ว ในสหรัฐอเมริกามีคนตั้งคำถามว่า "เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร" คือ มีความเหลื่อมล้ำสุดสุด การเมืองที่แบ่งขั้วแบบสุดสุด และมีรัฐบาลที่ไม่มีสมรรถภาพ (Dysfunction Government) คนไทยที่เก่งๆ ดีๆ ก็มีจำนวนมาก แต่ไม่สามารถเข้าร่วมในระบบปิด และการแบ่งข้างแบ่งขั้ว เราจะเปิดระบบที่ปิดให้คนไทยทั้งหมดมีส่วนร่วมได้อย่างไร


⦁ฝรั่งไม่ได้ฉลาดกว่าพระพุทธเจ้า


เราตามก้นฝรั่งเสียจนเคยชินไม่รู้ตัว ชาวยุโรปมีปัญหาเรื่องวิธีคิดที่คิดแบบตายตัวแยกส่วน แยกข้างแยกขั้ว เป็นปฏิปักษ์ เผชิญหน้า จึงเกิดความขัดแย้งและรุนแรงตลอดมา ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยสงคราม สงครามโลก 2 ครั้ง ก็เริ่มในยุโรป สงครามอื่นๆ อีกสารพัดสร้างความขัดแย้งและความรุนแรงไปทั่วโลก


โดยสรุปแนวทางของฝรั่ง คือ สร้างความรู้ เอาความรู้ไปเป็นอำนาจ เอาอำนาจไปแย่งชิง เขียนเป็นรหัสพัฒนาได้ว่า "ความรู้ - อำนาจ - แย่งชิง"


พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทางสายกลาง คือ การใช้ปัญญา ไม่แบ่งข้างแบ่งขั้ว ไม่สุดโต่ง ไม่คิดเชิงปฏิปักษ์ แต่เน้นไมตรีจิตและความร่วมมือ เขียนเป็นรหัสการพัฒนาแบบพุทธได้ว่า "ปัญญา - ไมตรีจิต - ความร่วมมือ"


แนวทางตะวันตกกับทางสายกลางแบบพุทธจึงไม่เหมือนกัน ประชาธิปไตยทางสายกลาง คือ ใช้แนวทางปัญญา - ไมตรีจิต - ความร่วมมือ


ถ้าพรรคการเมืองทั้งหมดและคนไทยทั้งหมดร่วมมือกันจะเกิดพลังมหาศาล พาชาติออกจากวิกฤต สู่ความเจริญอย่างแท้จริง


เมื่อทั้งหมดรวมพลังกัน อะไรๆ ก็ทำให้สำเร็จได้ทั้งสิ้น และใครว่าการรวมพลังของคนทั้งชาติไม่ใช่ประชาธิปไตย


⦁ประชาธิปไตย 2 ขา


การยกเลิกประชาธิปไตยแบบเก่าเป็นเรื่องที่ยากจะทำได้ วิธีที่จะทำได้ก็คือ ประชาธิปไตยแบบเก่าก็ทำไป เป็นประชาธิปไตยที่เป็นทางการ


มายาคติของเราอย่างหนึ่ง คือ เคารพความเป็นทางการมากกว่าความไม่เป็นทางการ ความจริงคือ ความไม่เป็นทางการมีมาก่อน ใหญ่กว่า เป็นธรรมชาติมากกว่า และคล่องตัวกว่า ความเป็นทางการ (Formal) ก็ติดฟอร์มหรือรูปแบบ พิธีการ กฎระเบียบมากมาย ทำให้ไม่คล่องตัวและติดขัด


ขนาดคุณทักษิณ ชินวัตร เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์ เมื่อ พ.ศ.2544 ยังเคยตะโกนว่า "กลุ้มใจชิบหายเลยโว้ย ทำไอ้โน่นก็ไม่ได้ ทำไอ้นี่ก็ไม่ได้" เพราะติดกฎระเบียบข้อบังคับที่เต็มไปหมด


การเลือกตั้ง 2566 มีอะไรเป็นประกันว่ารัฐบาลหลังจากนั้นจะไม่ติดขัดเหมือนเดิม


คำตอบคือ ประชาธิปไตย 2 ขา


ขาหนึ่งก็คือ ทำไปเหมือนเดิม ระหกระเหินไปตามเหตุปัจจัยของมัน แก้ไขอะไรไม่ได้ หรือยิ่งแก้ยิ่งยุ่งมากขึ้น


ประชาธิปไตยขาที่ 2 คือ ร่วมกันทำสิ่งใหม่ที่ดี นั่นคือประชาธิปไตยทางสายกลาง ไม่แยกข้างแยกขั้ว ไม่เป็นปฏิปักษ์


ทุกพรรครวมตัวร่วมคิดร่วมทำกับคนไทยทั้งปวง อย่างไม่เป็นทางการ ไม่มีอะไรที่ห้ามไม่ให้ทำ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม ตรงข้ามเป็นความถูกต้องตามหลักธรรมทางสายกลางคือใช้ ปัญญา - ไมตรีจิต - ความร่วมมือ


ขาหนึ่งเป็นทางการ ก็ทำไปอย่างเคย อีกขาหนึ่ง ไม่เป็นทางการ ทุกพรรครวมตัวร่วมคิดร่วมทำกับประชาชน


เมื่อทุกพรรครวมตัวร่วมคิดร่วมทำกับประชาชน ก็จะก้าวข้ามความแตกแยกทุกชนิด ประเทศไทยเกิดพลังมหาศาล ทำอะไรก็สำเร็จทุกเรื่อง และจะไปช่วยการเมืองเก่าที่มีข้อจำกัดมาก ทำอะไรให้สำเร็จได้ยาก แต่จะสำเร็จด้วยประชาธิปไตย 2 ขา


⦁ความจริงใหม่ - การเมืองใหม่


การเมืองควอนตัม - Quantum Politics


การเมืองควอนตัม - Quantum Politics ชาวยุโรปนั้นคิดแบบตายตัว 1 ไม่ใช่ 2 และ 2 ไม่ใช่ 1 วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ที่เรียกว่า Quantum physics พบว่า ธรรมชาติไม่ตายตัวแยกส่วน เช่น อิเล็กตรอนเป็นอวัตถุ คืออนุภาค หรือเป็นคลื่นพลังงาน คือ โฟตอนก็ได้ ในขณะเดียวกันนั่นคือเป็น 1 และ 2 ก็ได้ในขณะเดียวกัน ตรงกับพุทธศาสนาที่ว่า สรรพสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง คือ ไม่ตายตัว เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย 1 กับ 2 อยู่ที่เดียวกันก็ได้ ถ้าเหตุปัจจัยให้มันเป็นเช่นนั้น มันก็เป็นเช่นนั้น


โลกทัศน์เก่าเป็นโลกแบบตายตัวแยกส่วน โลกทัศน์ใหม่หรือโลกควอนตัม เป็นโลกแบบเชื่อมโยง ไม่มีอะไรดำรงอยู่อย่างแยกส่วนเป็นเอกเทศ


โลกเก่าล้วนพัฒนาแบบแยกส่วน จึงขัดแย้งรุนแรง เสียสมดุล โลกใหม่จะเชื่อมโยง บูรณาการไปสู่สันติสมดุล ประชาธิปไตยเก่าบูรณาการกับประชาธิปไตยใหม่ หรือประชาธิปไตย 2 ขา เป็นทางออกจากวิกฤตการณ์เรื้อรังของไทยและของโลก


ในปี 2566 จะเป็นปีที่ประเทศไทยค้นพบระบบการเมืองใหม่ที่พาไทยออกจากวิกฤต

พรรคประชาชาติส่ง "มนตรี" เสวนาเวทีผู้นำฝ่ายค้านฯ ระดมสมองหาทางออก แก้หนี้ แก้จน เพื่อชีวิตใหม่


เมื่อวันที่ 11  กุมภาพันธ์ 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานจาก โรงแรมสยามริเวอร์รีสอร์ท อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ว่า เมื่อเวลา 09.30น. ที่ผ่านมา นายมนตรี บุญจรัส กรรมการบริหารพรรคประชาชาติ และ รองโฆษกพรรคประชาชาติ, ที่ปรึกษากรรมาธิการแก้ไขปัญหาราคาผลิตผลเกษตรกรรม และ กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย ในฐานะ ผู้แทนพรรคประชาชาติ เดินทางมาเสวนา “โครงการผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรพบประชาชน : ระดมสมอง หาทางออก แก้หนี้ แก้จน เพื่อชีวิตใหม่” โดยมีแกนนำและตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายค้าน รวมถึงประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมอย่างคึกคัก อาทิ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ฯลฯ เป็นต้น 

นายมนตรี บุญจรัส กรรมการบริหารพรรคประชาชาติ และ รองโฆษกพรรคประชาชาติ ระบุว่า “ภาครัฐควรมุ่งเน้นการให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนภาคการเกษตรของประเทศ รวมถึงการลดต้นทุนการผลิต ทั้งนี้ ภาคเกษตรถือเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยเนื่องจากเป็นต้นทางของปัจจัยในการดำรงชีวิต ทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค รวมทั้งยังเป็นแหล่งรองรับแรงงานจากภาคการผลิตอื่น ๆ และไม่ว่าราคาผลผลิตจะตกต่ำอย่างไร เกษตรกรควรต้องมีกำไร การลดต้นทุนการผลิตที่สำคัญ คือ การส่งเสริมสนับสนุนแนวคิดการลดต้นทุนปุ๋ยเคมีให้เป็นศูนย์ ซึ่งประเทศไทยมีแหล่งแร่โพแทสเซียมจำนวนมหาศาล อยู่ที่แอ่งชัยภูมิและแอ่งโคราช รัฐจึงควรเร่งสร้างโรงงานปุ๋ยผลิตเองและนำไปบาร์เตอร์กับแม่ปุ๋ยตัวอื่น ๆ เช่น ไนโตรเจนและ ฟอสฟอรัสจากประเทศผู้ส่งออก และให้ความสำคัญจากผลพลอยได้ แม่ปุ๋ยไนโตรเจน (N) ที่ได้จากการผลิตน้ำมัน สามารถนำมาใช้ในภาคการเกษตรให้มากขึ้น แทนที่จะไปเป็นสารตั้งต้นให้กลุ่มอุตสาหกรรมมากเกินไป เพื่อให้ปุ๋ยในประเทศมีราคาถูก เพื่อมุ่งลดต้นทุนให้เกษตรกร รวมถึงรัฐควรมีนโยบายส่งเสริมเรื่องการคืนสิทธิ์ที่ดินทำกินและโครงการล้างหนี้ให้เกษตรกรตามคุณสมบัติที่กำหนดไว้ด้วย”


นายมนตรี บุญจรัส กล่าวเพิ่มเติมว่า “ภาครัฐควรดำเนินนโยบายขับเคลื่อนภาคเกษตร ในมิติต่าง ๆ ทั้งการสนับสนุนปัจจัยพื้นฐานของการทำเกษตร การบริหารจัดการน้ำ และการพัฒนาระบบขนส่ง ทั้งระบบขนส่งทางรางและท่าเรือน้ำลึก การส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาช่องทางการตลาดที่หลากหลาย ตลอดจนการแก้ไขปัญหาหนี้สินและพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่ออาชีพเกษตรกรครับ”

หน.พรรคเสมอภาคหนุนเพิ่มค่าตอบแทน อบต. กำนัน ผญบ. ต้องทำหน้าที่ "ปราบโกงซื้อเสียงขายสิทธิ์ด้วย



เมื่อวันที่ 11  กุมภาพันธ์ 2566 นางรฎาวัญ วงศ์ศรีวงศ์ หัวหน้าพรรคเสมอภาค กล่าวว่า การประกาศนโยบายของรัฐบาลในช่วงนี้ ในทางการเมืองมองว่าเป็นการได้เปรียบคู่แข่งขัน เป็นเรื่องธรรมดาที่เคยเกิดขึ้นทุกสมัยก่อนการเลือกตั้ง  สำหรับการขึ้นค่าตอบแทนสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล และขึ้นเงินเดือนให้กำนันผู้ใหญ่บ้านนับเป็นเรื่องดี ถ้ารัฐบาลคิดอย่างรอบคอบแล้วว่าไม่เป็นภาระต่อเงินงบประมาณแผ่นดิน เนื่องจากสมาชิก อบต.และกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านล้วนแล้วแต่ทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนในหมู่บ้านในชุมชนทั่วประเทศแทบไม่มีวันหยุดพักเลย การได้รับเงินเดือนและค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นเป็นการให้ขวัญให้กำลังใจที่ดีและเป็นการกระตุ้นให้ทุกคนทบทวนการทำหน้าที่ว่ามีข้อบกพร่องอะไรบ้าง รวมทั้งการปรับปรุงแก้ไขการทำหน้าที่ของตนเองให้ดียิ่งขึ้น

ดร.ธำรง แผนสมบูรณ์ รองหัวหน้าพรรคเสมอภาครับผิดชอบภาคเหนือตอนบน กล่าวว่า เห็นด้วยกับการปรับขึ้นเงินเดือนและค่าตอบแทน อบต. และ กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งอยู่ใกล้ชิดประชาชนดูแลแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง แทบไม่มีวันหยุด แต่ขอฝากเสียงสะท้อนจากประชาชนที่พรรคเสมอภาคเราได้รับฟังเมื่อลงพื้นที่ชุมชนตลอดมาว่า ควรกำหนดวาระการเลือกตั้ง กำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน ทุก 4 ปี เป็นการให้ประชาชนพิจารณาผลงานในรอบ 4 ปี ถ้าทำดีเป็นที่ถูกใจ ประชาชนก็จะลงคะแนนเลือกให้ดำรงตำแหน่งสมัยต่อไปอีก โดยกำหนดให้ดำรงตำแหน่งต่อเนื่องได้ 2สมัย เว้นวรรค 1สมัย และที่สำคัญจะเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปและคนรุ่นใหม่ที่มีคุณสมบัติพร้อมและมีความสนใจ มีสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้นำท้องที่ได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมตามครรลองประชาธิปไตย

 

ทางด้าน ดร.ฐิติพร ฌานวังศะ เลขาธิการพรรคเสมอภาค กล่าวว่า เป็นการสมควรแล้วที่จะปรับขึ้นค่าตอบแทนและเงินเดือนของกำนันผู้ใหญ่บ้านและสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลทั่วประเทศ ซึ่งพรรคเสมอภาคมองข้ามการได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง เรื่องใดที่ฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านทำเพื่อประชาชนถือว่าเป็นเรื่องที่ดีทั้งสิ้น แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากในช่วงนี้ไปจนกระทั่งถึงวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็คือ การใช้เงินหรือการแจกสิ่งของเพื่อจุงใจในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายเลือกตั้ง เราจะช่วยกันป้องกันแก้ไขเรื่องนี้ให้ได้ผลอย่างไร ที่จะไม่ให้กลายเป็นประเพณีนิยมที่ไม่ถูกต้อง จึงขอเสนอให้เพิ่มบทบาทหน้าที่ของกำนันผู้ใหญ่บ้านและ อบต. ในการป้องกันและปราบปรามการซื้อสิทธิ์การขายเสียงให้ได้ผลอย่างจริงจัง โดยอาจมีเงินรางวัลพิเศษให้ผู้ที่สามารถจับกุมและดำเนินคดีผู้กระทำผิดซื้อสิทธิ์ขายเสียงด้วย รวมทั้งให้มีหน้าที่รณรงค์ชี้แจงทำความเข้าใจถึงการถูกลงโทษ ทั้งคนซื้อและคนขาย และผลเสียที่จะเกิดขึ้นจากการซื้อสิทธิ์-ขายสิทธิ์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการได้นักการเมืองทุจริตคอร์รัปชั่น 


 

วิเคราะห์ปัญจาลวรรคในพระไตรปิฎกเล่มที่ 23 อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต ปัณณาสก์

  วิเคราะห์ปัญจาลวรรคในพระไตรปิฎกเล่มที่ 23: พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 15 อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต ปัณณาสก์ในปริบทพุทธสันติวิธี บทนำ พระไตรปิฎกเล...