วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.อุตตม สาวนายน ทีมเศรษฐกิจพรรคพลังประชารัฐ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเกี่ยวกับหนี้สาธารณะที่ถูกหยิบมาอภิปรายในสภาฯว่า
เวทีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามมาตรา 152 ที่เพิ่งเสร็จสิ้นไปเมื่อวานนี้ ประเด็นหนี้สาธารณะประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาอภิปรายอีกครั้ง โดยมีการยกตัวเลขหนี้สินประเทศปัจจุบัน ที่มากกว่า 10.6 ล้านล้านบาท ซึ่งในมุมของประชาชนย่อมมีความเป็นห่วง เพราะหนี้สาธารณะเป็นดัชนีตัวหนึ่งที่ชี้วัดความกินดีอยู่ดีของประชาชนในอนาคต
หนี้ก้อนใหญ่ที่สุดคือหนี้รัฐบาล ที่กู้มาเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ เนื่องจากประเทศไทยทำงบประมาณขาดดุลติดต่อกันมากว่า 10 ปี ซึ่งเข้าใจได้ว่าเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจ รวมถึงหนี้ที่กู้เพื่อใช้ในมาตรการดูแลเยียวยาและฟื้นฟูโควิด ช่วงปี 2563-64 ก็ถือว่ามีความจำเป็นเร่งด่วน
รัฐบาลประเมินว่าจะสามารถจัดทำงบประมาณให้สมดุลได้ในอีก 10 ปีข้างหน้า นั่นหมายความว่ารัฐบาลต้องจัดหารายได้เพิ่มมากขึ้นในแต่ละปีเพื่อให้ทันกับค่าใช้จ่าย จากที่ผ่านมามีรายได้ต่ำกว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยปีละ 2-3 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำได้ตามที่คาดหวังต้องขึ้นกับปัจจัยสำคัญคือเศรษฐกิจประเทศขยายตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามล่าสุดสภาพัฒน์ ได้ประกาศจีดีพี 2565 โตเพียงร้อยละ 2.6 ต่ำกว่าที่คาดมาก และยังลดเป้าปีนี้ลงเหลือร้อยละ 3.2 ซี่งผมได้เคยตั้งข้อสังเกตไว้ก่อนหน้านี้ว่า เราไม่ควรประมาทกับภาวะเศรษฐกิจโลกในปีนี้ที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะกับเครื่องยนต์เศรษฐกิจสำคัญ ทั้งการส่งออกและการท่องเที่ยว
การที่ประเทศไทยพึ่งฟื้นไข้จากพิษโควิด ยังจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อดูแลประชาชนให้หลุดพ้นจากความยากลำบาก ขณะเดียวกันก็ต้องลงทุนที่มุ่งเป้าให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ดังนั้นการบริหารงบประมาณที่มีประสิทธิภาพสูงสุด จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ผมยังเห็นว่าการปฏิรูประบบงบประมาณของประเทศเป็นสิ่งจำเป็น หากเราต้องการให้ประเทศไทยพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง และสามารถกลับมาทำงบประมาณสมดุลได้ ซึ่งเป็นบันไดขั้นแรกสู่ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น