วันพุธที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2560
ดีอีออกโรงเตือนโฆษณาออนไลน์เกินจริงมีโทษทั้งจำทั้งปรับ
น.อ.สมศักดิ์ ขาวสุวรรณ์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี)ในฐานะโฆษกประจำกระทรวงดีอี เปิดเผยว่า จากรายงานของ“ศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค” ที่มีการเปิดเผยตัวเลขการร้องเรียนปัญหาต่างๆ ของผู้บริโภคในช่วงเดือนมกราคม- พฤศจิกายน2560มีจำนวน1,153ราย
โดยปัญหาอันดับหนึ่งที่ผู้บริโภคร้องเรียนมากที่สุด คือ ปัญหาด้านสินค้าและบริการทั่วไป โดยเฉพาะการโฆษณาเกินจริงที่ทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อและซื้อสินค้า อันดับสอง คือ การถูกเอาเปรียบ ซึ่งมีสาเหตุจากพฤติกรรมของผู้ประกอบธุรกิจที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายทำให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลข่าวสารไม่ครบถ้วน รวมถึงข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม และหน่วยงานรัฐไม่มีมาตรการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการใช้ช่องทางการโฆษณาขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ที่หลากหลาย และ
อันดับสาม คือ เรียกร้องให้หน่วยงานรัฐและหน่วยงานที่ดูแลผู้บริโภค ดำเนินการเชิงรุกในการแก้ปัญหาเชิงนโยบายไม่ใช่รายกรณี โดยออกกฎระเบียบหรือกฎหมายบังคับเกี่ยวกับการอนุญาตโฆษณาขายสินค้าที่กระทบกับสุขภาพของผู้บริโภค รวมทั้งให้มีตรวจสอบและเฝ้าระวังการโฆษณาขายสินค้าผ่านช่องทางต่าง ๆ
สำหรับกรณีของการโฆษณาขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์ ที่มีลักษณะหลอกลวงให้ผู้ซื้อหลงเชื่อและเข้าใจผิดในคุณสมบัติ หรือบรรยายสรรพคุณเกินจริงนั้น ในส่วนของกระทรวงดีอี ได้มีการติดตามเฝ้าระวังการกระทำที่ผิดกฎหมายบนสื่อออนไลน์มาโดยตลอด
หากตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นความผิดจริงอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา14 (1)“อันเป็นการนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน5ปี หรือ ปรับไม่เกิน100,000บาท” และศาลอาจสั่งให้ระงับการเข้าถึง หรือ ลบข้อมูลหลอกลวงนั้นออกจากระบบ หรือ ดำเนินการอื่นๆ ตามที่ศาลเห็นสมควรได้
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากระทรวงดีอีได้ประสานการทำงานกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และหน่วยเกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่มาโดยตลอด และได้มีการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลโฆษณาขายสินค้าที่มีลักษณะหลอกลวงมาอย่างต่อเนื่อง ตามที่ตรวจพบหรือที่ได้รับแจ้ง
นอกจากนั้นกระทรวงดีอียังได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดฯ ที่มีภารกิจเกี่ยวข้องดำเนินการสื่อสารให้ความรู้ ประชาชนเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้าและบริการผ่านระบบออนไลน์ รวมถึงแนะนำวิธีการรู้เท่าทันกลโกงของผู้ไม่หวังดีหรือกลุ่มมิจฉาชีพผ่านช่องทางสื่อต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการย้ำเตือนประชาชนหรือผู้บริโภคให้ระวังปัญหาดังกล่าว ซึ่งถือเป็นการทำงานทั้งเชิงรุกและรับ อีกทั้งเพื่อปกป้องประชาชนผู้ บริโภคไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของผู้ประกอบการที่หวังเพียงแต่ได้โดยไม่สนใจผลเสียที่อาจเกิดขึ้น
ทั้งนี้ ในส่วนของประชาชนเองยังสามารถร่วมกันสอดส่องและแจ้งเบาะแสให้หน่วยงานรัฐผ่านเบอร์สายด่วนร้องเรียนออนไลน์ 1212 หรือผู้ให้บริการสื่อออนไลน์ต่างๆ ดำเนินการตรวจสอบได้อีกทางหนึ่ง เพื่อช่วยกันดูแลสิทธิของผู้บริโภคไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ขายหรือผู้ให้บริการอีกต่อไป
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
วิเคราะห์ ๗. วรรคที่ ๗ ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘ ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต
วิเคราะห์ ๗. วรรคที่ ๗ ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘ ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต: ในปริบทพุทธสันติวิธี บทนำ พระไตรปิฎก...
-
เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 พระราชวัชรสารบัณฑิต หรือ “เจ้าคุณประสาร” รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(...
-
วิจารณ์สนั่นหลักสูตรบาลีป.ธ.1-2 ถึงป.ธ. 9 เรียนพระไตรปิฎก 149 หน้า "เจ้าคุณหรรษา" ยกสามเณร 2 รูป หนึ่งจบ ป.ธ. 9 อายุ 17 ปี หนึ่งจบ...
-
พระปิดตายันต์ยุ่งมหาอุตโม หลวงปู่ทิม อิสริโก จัดสร้างเพื่อหารายได้ สร้างหอฉันอุตตโม ออกแบบโดยช่างเกษม มงคลเจริญ ประกอบด้วย เนื้...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น