วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2563

"พี่ศรี"ทำดีโวยแทนพระสงฆ์! ถามรบ.หมดเงินเยียวยาช่วงโควิดแล้วหรือ


วันที่ 1 กันยายน 2563 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลได้มีมาตรการเยียวยาคนไทยผู้ได้รับผลกระทบในแนวทาง "เราไม่ทิ้งกัน" ทั้งผู้มีอาชีพอิสระ เกษตรกร ผู้ประกันตนตามกฎหมายประกันสังคม เป็นเวลา 3 เดือน รวมถึงเงินช่วยเหลือเด็กแรกเกิดจนถึง 6 ขวบ การให้สิ้นเชื่อทั้งปลอดดอกเบี้ยและดอกเบี้ยต่ำ รวมทั้งการเยียวยากลุ่มเปราะบาง ทั้งผู้สูงอายุและผู้พิการนั้น

 อย่างไรก็ตาม สมาคมฯได้รับการร้องขอจากพระสงฆ์จำนวนมาก ในส่วนของพระสงฆ์กว่า 2.5 แสนรูป โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ต่างเฝ้ารอคอยฟังข่าวด้วยความสงบนิ่งมาเป็นเวลานาน ว่าเมื่อไรรัฐบาลจะพิจารณาให้การช่วยเหลือตามสมควร โดยก่อนหน้านี้นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น ได้เสนอเยียวยาพระสงฆ์รูปละ 60 บาทต่อวัน เพื่อสนับสนุนค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าใช้จ่ายอื่นๆภายในวัด โดยจะส่งเงินให้ทางวัดเป็นผู้บริหาร ซึ่งจะให้ทั้งหมด 91 วัน ย้อนหลังตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายน          

ทั้งนี้ มาตรการเยียวยาพระสงฆ์ 2.5 แสนรูป ที่ได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากประชาชนทำบุญที่วัดน้อยลง และผลกระทบจากมาตรการงดเว้นกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา โดยให้มีการจ่ายเงินเยียวยาพระสงฆ์ เช่นเดียวกับมาตรการเยียวยาพระสงฆ์ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ไม่สามารถออกบิณฑบาตได้จากเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ โดยที่คณะรัฐมนตรี ปี 2552 คณะรัฐมนตรีมีมติจ่ายเงินค่าบิณฑบาตและค่าอาหารพระวันละ 100 บาทต่อรูป ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจึงจะใช้โมเดลนี้ แต่จะลดจำนวนเงินลงเหลือเพียงวันละ 60 บาทต่อรูป โดยจะโอนเงินให้วัดไปบริหารจัดการเองตามจำนวนพระที่มี เพื่อใช้จ่ายเป็นค่าอาหารหรือค่าใช้จ่ายภายในวัด

"กระทั่งบัดนี้กว่า 5 เดือนไปแล้ว มาตรการเยียวยาพระสงฆ์กลับเงียบหายไปกับการตกกระป๋องของรัฐมนตรีหน้าเดิม แล้วเปลี่ยนรัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรีคนใหม่มาดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติแทน จนมีข่าวลือกันอย่างหนาหูว่ารัฐบาลถังแตก หมดเงินคงคลังไปแล้ว มาตรการหรือคำสัญญาต่างๆที่เคยสร้างภาพสวยหรูไว้ก่อนหน้านี้ เป็นเพียงคำโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้น ใช่หรือไม่"  นายศรีสุวรรณ กล่าว          

นายศรีสุวรรณ กล่าวด้วยว่า พระสงฆ์ทั่วประเทศท่านมีศีลวัฒน์ประจำตน ไม่อาจออกมาเดินขบวน ร้องแร่แห่กระเฌอ เดินถ่ายรูปชูสามนิ้ว เพื่อเอาไปอวดกันในโลกโซเชียลได้ ดังนั้นหากรัฐบาลยังคงมีศีล มีธรรม อยู่บ้าง พระท่านขอบิณฑบาตได้โปรดเร่งดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาพระสงฆ์ทั่วประเทศที่ต้องเผชิญกับโควิด-19 ให้สำเร็จโดยเร็วเถิด จะได้บุญมหาศาลช่วยต่ออายุรัฐบาลต่อไปได้ เพราะถ้าหลอกประชาชน นะหลอกได้ แต่ถ้าหลอกพระสงฆ์องค์เจ้า ระวังบาปกรรมจะทำให้หมดสิ้นอำนาจไปโดยไม่รู้ตัว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้นายศรีสุวรรณก็ได้ออกมาแสดงความเห็นให้รัฐบาลช่วยเหลือคณะสงฆ์บ้างเพราะพระก็เดือดร้อนเหมือนกัน จนกระทั้งอดีตรัฐมนตรีที่ดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินำเรื่องเข้าเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีโดยมอบให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี หารือกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวแต่เรื่องก็เงียบหายไป จนกระทั้งนายศรีสุวรรณออกมาแสดงความเห็นในครั้งนี้อีกครั้ง

16 ก.ย.ได้ฤกษ์! ม.สงฆ์ "มจร" เปิด "ศูนย์ไกล่เกลี่ย" หวังมีส่วนร่วมแก้สังคมขัดแย้ง



วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ.2563 พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส,รศ.ดร. ผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติและหลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ท่ามกลางการยื้อแย่งแข่งขันในกระแสยุคดิจิทัลที่ถูกกระตุ้นด้วยความ "ไว เร็ว แรง"  จึงทำให้ผู้คนจำนวนมากเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง ในหลายสถานการณ์ที่หาทางออกไม่ได้ จึงนำไปสู่ความรุนแรงด้วยการด่าทอ ทำร้าย เอาเปรียบ ความเหลื่อมล้ำ การแบ่งปันทรัพยากร และการบังคับใช้กฏหมายที่ไม่ทั่วถึง เท่าเทียม และเป็นธรรม

จึงหลายเป็นตัวแปรที่กระตุ้นให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยพระราชปริยัติกวี,ศ.ดร. อธิการบดี ได้สั่งการเป็นนโยบายให้วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ และหลักสูตรปริญญาโทและเอก สาขาสันติศึกษา ทั้งภาคภาษาและอินเตอร์ ได้ผนึกกำลังกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และสำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ได้จัดตั้ง "ศูนย์ไกล่เกลี่ย" ภายใต้พระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้แพิพาท 2562




"โดยในวันที่ 16 กันยายน 2563 เวลา 08:30 น.  จะเป็นพิธีเปิดศูนย์ไกล่เกลี่ยอย่างเป็นทางการ ณ อาคารพระพรหมบัณฑิต ชั้น 3 โดยมีพระราชปริยัติกวี อธิการบดี  นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ มาร่วมพิธีเปิดศูนย์ ทั้งนี้ ในงานดังกล่าว มหาวิทยาลัย โดยอธิการบดี จะร่วมลงนามความร่วมมือกับตำรวจโทพงศ์ธร ธัญญสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม  กระทรวงยุติธรรมด้วย"  พระมหาหรรษา กล่าวและว่า 

นอกจากนี้ ระหว่างวันที่ 16-20 กันยายน 2563 มหาจุฬาฯ ร่วมกับกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ จะได้จัดอบรมผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท จำนวน 50 รูป/คน เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.2562  เมื่อขึ้นทะเบียนแล้ว อธิการบดีได้มีนโยบายให้ผู้ไกล่เกลี่ยได้จัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในวิทยาเขต และ วิทยาลัยสงฆ์ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดต่างๆ กว่า 40 จังหวัด เพื่อช่วยเสริมสร้างสังคมสันติสุขในชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงต่อไป

กมธ.ดีอีเอสจัดถกเห็น "AI"พลิกวิกฤต รีสตาร์ทประเทศไทยหลังยุคโควิด-19



กมธ.ดีอีเอส จัดสัมมนา "เทคโนโลยีดิจิทัลพลิกวิกฤต รีสตาร์ทประเทศไทยในยุค โควิด-19"  ขณะที่ "กัลยา"ชี้เทคโนโลยีต่างๆมีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตประจำวันเพราะโลกเปลี่ยนไป "เศรษฐ์พงค์"หวังปชช.ได้ข้อมูลนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 31 สิงหาคม 2563  ที่โรงแรมรามา การ์เด้นส์ คณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคมและดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) สภาผู้แทนราษฎร จัดสัมมนา "เทคโนโลยีดิจิทัลพลิกวิกฤต รีสตาร์ทประเทศไทยในยุค COVID-19"

พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะรองประธานกมธ.ดีอีเอส กล่าวรายงานว่า ขณะนี้ประเทศไทยและทั่วโลกมีการระบาดโควิด-19  ซึ่งกระทบกับด้านเศรษฐกิจ สังคม และทำให้การใช้ชีวิตของประชาชนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง และมีการคาดการณ์ว่าการระบาดจะทำให้ชีวิตของทุกคนเปลี่ยนพฤติกรรมใหม่ ดังนั้นการใช้ชีวิตวิถีใหม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า กมธ.ดีอีเอส ในฐานะที่มีหน้าที่กำกับด้านดิจิทัลและเทคโนโลยี ได้เล็งเห็นความสำคัญในการนำความรู้เผยแพร่ให้ประชาชนเพื่อนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น อินเตอร์เน็ตชุมชน ข้อมูลการเดินทาง ข้อมูลด้านสาธารณสุข ดังนั้นกมธ.ดีอีเอสจึงได้จัดสัมมนานี้ขึ้น เพื่อหวังว่าจะมีประโยชน์ทำให้ทุกคนจะสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ 

น.ส.กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ส.ส.สระบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานกมธ.ดีอีเอส กล่าวเปิดสัมมนา ว่า เราทราบกันดีถึงวิกฤตโควิด-19 ทำให้ทุกคนได้รับผลกระทบ ชีวิตต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง วันนี้เทคโนโลยีมีความสำคัญอย่างยิ่งในการนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน และเทคโนโลยีต่างๆในวันนี้ มีการพัฒนารุดหน้าไปมาก โดยเฉพาะด้านดิจิทัล ที่ทุกประเทศยอมรับว่า จะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่สังคมอย่างเห็นได้ชัด เราจะเห็นได้ว่ารอบตัวเรามีเทคโนโลยีที่เข้ามาตอบสนองการดำรงชีวิต และสามารถนำมาพัฒนาประเทศให้เข้มเแข็งได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การศึกษา เกษตรกรรม อุตสาหกรรม และยังรวมถึงการเสริมสร้างอาชีพในยุคโลกใหม่ ตนหวังว่าการสัมมนาในครั้งนี้ทุกท่านจะได้มีความรู้นำไปพัฒนาทักษะชีวิต และสร้างศักยภาพอันเข้มแข็งเพื่อนำไปพัฒนาสังคมได้ต่อไป

ด้านนายมนศักดิ์ โซ่เจริญธรรม ผอ.ฝ่ายเดตาโซลูชันส์ภาครัฐ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) บรรยายหัวข้อ "Government Data Solution : Connecting Data , Connecting Governmemt" ว่า ในอนาคตระบบดิจิทัลต่างๆ จะมีการพัฒนาที่ไปไกลมาก ระบบ AI จะเข้ามามีบทบาทในการทำงานมากขึ้น รวมทั้งระบบการนำทางต่างๆจะละเอียดมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตของผู้คน เช่น คนตาบอดที่จะมีระบบการนำทางที่เข้ามาช่วยเหลือ ทำให้การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น ซึ่งในขณะนี้หลายประเทศ หลายบริษัทมีการลงทุนสร้างดาวเทียม สร้างโปรแกรมต่างๆ ซึ่งหากใครทำได้ละเอียดก็จะเป็นที่นิยมและมีคนใช้มาก ซึ่งการพัฒนาเหล่านี้จะเป็นผลดีกับผู้บริโภค 

นายภาคภูมิ ไตรพัฒน์ ผู้ชำนาญด้านการบริการจัดการชื่อโดเมนและการอภิบาลอินเตอร์เน็ต จากมูลนิธิศูนย์สารสนเทศเครือข่ายไทย บรรยายหัวข้อ "อนาคตบรอดแบรนด์เพื่อชุมชน" ว่า การที่ทำให้ประชาชนในพื้นที่ต่างๆสามารถใช้เครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้เป็นสิ่งสำคัญ และการลดช่องว่างของการใช้อินเตอร์เน็ตจะทำให้ประชาชนมีศักยภาพมากขึ้น เพราะทุกวันนี้เทคโนโลยีต่างๆนั้นเข้ามามีบทบาทในการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งประเทศไทยนั้นเราควรมีการพัฒนาโดเมนและอีเมล์ ที่เป็นของประเทศไทยเราเอง โดยเป็นภาษาไทย เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน ทั้งนี้การสร้างโครงข่ายให้ชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกลจะทำให้ประเทศเจริญแบบก้าวกระโดด เพราะประชาชนจะได้ความรู้ทางด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจ ดังนั้นการพัฒนาอินเตอร์เน็ตจะเป็นการลดช่องว่างระหว่างคนชนบทกับคนเมืองได้เป็นอย่างมาก



 

 

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2563

"พปชร."โยนกลอง! โวย 2 รมต.เคลียร์กันให้ชัด ปม"พาราควอต" ชี้เกษตรกรสับสน




วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม 2563 นายสัมฤทธิ์ แทนทรัพย์ ส.ส.ชัยภูมิ พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ รับข้อร้องเรียนจาก สมาพันธ์เกษตรปลอดภัย และจะจัดทำหนังสือยกเลิกการแบนสารพาราควอตถึงคณะกรรมการวัตถุอันตราย แต่ น.ส. มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ไม่เห็นด้วยกับนายเฉลิมชัย ว่า เรื่องนี้ทำให้เกษตรกรสับสนว่ารัฐบาลจะเอายังไงกันแน่ รมว.ว่าอย่างหนึ่ง ส่วนรมช. ก็จะเอาอีกอย่างหนึ่ง คนที่เดือดร้อนคือพี่น้องเกษตรกร ที่ผ่านมาการยกเลิกสารพาราควอต ก็ทำให้ต้นทุนการผลิตของเกษตรกรเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว การที่เริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย.2563 หากมีใครครอบครองจะต้องโทษจำคุกถึง 10 ปี ปรับเงิน 1 ล้านบาท ถือเป็นโทษที่รุนแรงมากกว่าคดียาเสพติดเสียอีก นอกจากนี้ยังมีการห้ามนำเข้า ข้าวสาลีและถั่วเหลือง จากประเทศที่ใช้สารพาราควอต หรือจะต้องปลอดจากสารพาราควอต แบบ 100 % ซึ่งจะกระทบต่อภาคการผลิตในหลายอุตสาหกรรมอย่างแน่นอน แม้ที่ผ่านมาจะมีการผ่อนผันบ้างแต่หลายสิ่งที่ประกาศออกมาก็ไม่มีความชัดเจนเลย


"วันนี้ทั้ง 2 ท่านต้องไปคุยกันให้ชัดว่าจะเอายังไง อย่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเพราะประชาชนเขาเดือดร้อน ก่อนหน้านี้ยืนยันหนักแน่นว่าจะแบน พอมีโดนด่ามากๆก็เริ่มเปลี่ยนใจ นายเฉลิมชัยและน.ส.มนัญญา ต้องเอาให้ชัดๆ อย่าเอาดีใส่ตัวแล้วเอาชั่วใส่คนอื่น วันนี้เกษตรกรต้องการความชัดเจน จะได้เตรียมตัวรับมือกันถูก ผมแนะนำว่าหากท่านแก้ปัญหาไม่ได้ก็ลาออกไป แล้วให้คนที่เขามีความสามารถเข้ามาทำงานแทนจะดีกว่า" นายสัมฤทธิ์ กล่าว

"สารี" ลั่นต้องยกเลิกพาราควอต ชวนเครือข่ายผู้บริโภคท้าชน"เฉลิมชัย"



ยังหวัง ปชป.มีที่ยืนในสังคม หลังเคยโวหาเสียงผลักดันเกษตรอินทรีย์

วันที่ 31 ส.ค.2563 นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่าตนรู้สึกสะท้อนใจที่นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ตัดสินใจเลือกข้างบริษัทสารเคมีและจะเดินหน้าทบทวนการยกเลิกพาราควอต ของคณะกรรมการการวัตถุอันตราย

"อยากให้รัฐมนตรีเกษตร คิดทบทวนให้ดีที่ออกมาหนุนการยกเลิกการแบนสารพิษ เพราะที่ผ่านมา นโยบายพรรคประชาธิปัตย์และกระทรวงพาณิชย์ที่พรรคดูแลอยู่ก็เน้นนโยบายเกษตรอินทรีย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงหาเสียง ทีมเศรษฐกิจของพรรคชูนโยบายแบนสามสารพิษ พวกเรายังอยากเห็นพรรคประชาธิปัตย์มีที่เหยียบที่ยืนในสังคมไทย มิใช่ผิดคำพูดตลอดกาล"

ทั้งนี้ มูลนิธิจะรณรงค์และประสานงานองค์กรผู้บริโภคทุกภูมิภาคให้เดินหน้าการยกเลิกสารเคมีอันตรายทั้งสามตัวให้ได้ โดยจะร่วมมือกับเครือข่ายองค์กรผู้บริโภคภาคเหนือ เก็บตัวอย่างน้ำปู๋มาทดสอบ

การตกค้างของพาราควอตในกบหนอง ปูนา หอยกาบน้ำจืด และปลากะมัง ได้รับการยืนยันโดยข้อมูลของ ผศ.ดร.นพดล กิตนะ ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่พบพาราควอตตกค้างในตัวอย่างปูนาระหว่าง 24- 56 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม พบในกบหนอง 17.6- 1,233.8 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม พบในปลากะมัง 6.1-12.5 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม และพบในหอยกาบน้ำจืด 3.5-7.7 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม 

สำหรับน้ำปู๋ซึ่งนิยมนำมาประกอบอาหาร เช่น น้ำพริกน้ำปู แกงหน่อไม้ ตำส้มโอ ตำกระท้อน เป็นต้น นั้นพบว่าบางชนิดมีพาราควอต สูงถึง 200 เท่าจากมาตรฐานที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) กำหนดไว้ไม่เกิน 5 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัม

 ส่วนการที่มีผู้นำข้อมูลของ "ฉลาดซื้อ"  ไปอ้างว่าไม่พบพาราควอตในปูนานั้น ขอยืนยันว่าศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อไม่เคยทดสอบปูนาหรือน้ำปู๋ ที่ผ่านมาเป็นการสุ่มตัวอย่างปูดองเค็ม (ที่ใช้ในการทำส้มตำ) จำนวน 16 ตัวอย่าง จากตลาดสด 14 แห่ง ระหว่างวันที่ 19-20 ธันวาคม 2561 ในพื้นกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ไม่ใช่การทดสอบน้ำปู๋หรือปูนาจากพื้นที่ภาคเหนือแต่อย่างใด

 

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2563

“ลดาวัลลิ์”ชูธนาคารน้ำใต้ดินนโยบายน้ำมั่นคง

 


“ลดาวัลลิ์”ชูนโยบายสร้างความมั่นคงด้านน้ำ แนะชาวกาฬสินธุ์สู้ภัยแล้งด้วยธนาคารน้ำใต้ดิน พร้อมช่วยทวงคืนอิสรภาพการบริหารกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีตามหลักการเดิมที่ได้ริเริ่มไว้


วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ.2563 นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานฯและผู้ร่วมก่อตั้งพรรคเสมอภาค  ลงพื้นที่เยี่ยมศูนย์เรียนรู้โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอเขาวง ของนายรัฐวัสส์ จรัสอภิรักษ์ โอกาสนึ้ได้พบปะเกษตรกรจากอำเภอเขาวง อำเภอกุฉินารายณ์และอำเภอห้วยผึ้ง จังหวัดกาฬสินธุ์เมื่อช่วงเช้า วันที่ 29 สิงหาคมนี้เพื่อรับฟังความเดือดร้อนของชาวบ้าน ทำให้ทราบว่าเป็นพื้นที่ประสบภัยแล้งมาตลอดและความช่วยเหลือจากภาครัฐยังไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ ควรปรับปรุงกระบวนการขุดลอกแหล่งน้ำให้ได้ผลอย่างแท้จริงแก้ปัญหาขุดลอกแล้วยังไร้น้ำ กลายเป็นห้วยแล้ง สระแล้งมากมาย


นางลดาวัลลิ์จึงได้ขี้แจงนโยบายของว่าที่พรรคเสมอภาคที่กำหนดโครงการสร้างความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำไว้หลายวิธี ที่สำคัญที่สุดคือโครงการเก็บน้ำไว้ใต้ดินหรือธนาคารน้ำใต้ดิน จึงแนะนำการทำธนาคารน้ำใต้ดินร่วมกับการทำแก้มลิงบนหน้าดินแก่เกษตรกรชาวกาฬสินธุ์ เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งให้เก็บน้ำได้อย่างแท้จริง ข้อดีของธนาคารน้ำใต้ดินคือสามารถกักเก็บน้ำฝนไว้ใต้ดิน น้ำจะไม่ระเหยเพราะความร้อนเหมือนน้ำในบ่อบนผิวดิน  ทำให้ในหน้าแล้งยังมีน้ำเพียงพอสำหรับทำการเกษตร   


ในช่วงบ่ายนางลดาวัลลิ์และทีมเสมอภาค ได้พบปะประชาชนหลายอาขีพจาก 15 อำเภอในจังหวัดกาฬสินธุ์ มีตัวแทนกรรมการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจังหวัดกาฬสินธุ์ได้บอกเล่าถึงอุปสรรคปัญหาการบริหารจัดการกองทุนที่ย้ายจากสำนักนายกรัฐมนตรีไปอยู่ภายใต้กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ทำให้กลุ่มสตรีต้องจำยอมรับโครงการที่คิดโดยข้าราชการแม้ไม่สนองความต้องการของสตรีก็ตาม เพราะถ้าไม่รับก็จะไม่จัดสรรงบประมาณให้ ซึ่งเป็นความอึดอัดใจของกลุ่มสตรีทั่วประเทศแต่ไม่รู้จะแจ้งให้ใครมาข่วยแก้ไขให้ได้ รู้สึกดีใจเมื่อมาพบนางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ซึ่งเป็นผู้คิดริเริ่มก่อตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีตั้งแต่ปี 2548 ด้วยทุนประเดิมจากรัฐบาล 780 ล้านบาท และได้กลายมาเป็นนโยบายรัฐบาลปี 2544 ด้วยทุนที่เพิ่มขึ้นเป็น 7,800 ล้านบาท จึงขอให้ช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้สตรีทั่วประเทศด้วย ซึ่งนางลดาวัลลิ์ ได้ชี้แจงว่า ตั้งแต่ปี 3548 ตนวางแผนดำเนินการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีไว้ 3 ระยะ คือระยะแรกนำร่อง 780 ล้านบาทตั้งกองทุนไว้ระดับตำบลๆละ 100,000บาท สำหรับ 7,800 ตำบล/ชุมชน ระยะที่สองคือ 7,800 ล้านบาทสำหรับ 78,000 หมู่บ้าน/ชุมชน และระยะที่สามคือ 78,000 ล้านบาทสำหรับ 78,000 หมู่บ้าน/ชุมชนๆละ 1,000,000 บาทอยู่คู่กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนทั่วประเทศ


“หลักการที่คิดไว้ตั้งแต่ต้นคือ การให้ สตรีบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีด้วยตนเอง ให้ข้าราชการทำหน้าที่ให้คำปรึกษาเท่านั้นไม่ควรเข้ามาครอบงำการตัดสินใจแทนสตรี  วิธีนี้จะเป็นการพัฒนาบทบาทและศักยภาพการเป็นผู้นำของสตรีให้มีความรู้มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์และการตัดสินใจ ในแต่ละโครงการแต่ละกิจกรรมที่จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของสตรีไทยให้มีความก้าวหน้า ทันสมัย และยกระดับสตรีไทยให้เก่งในด้านทำธุรกิจการค้าขาย การลงทุนและการส่งออก สตรีจะพึ่งตนเองได้ สตรีจะมีบทบาทร่วมพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างเข้มแข็ง จึงขอเชิญชวนสตรีไทยทุกหมู่บ้านทุกชุมชน มารวมพลังกันให้แน่นแฟ้นเพื่อแก้ไขทุกอุปสรรคปัญหาของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีของพวกเราให้สำเร็จโดยเร็ว เพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติโดยรวม ไม่ใช่ประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง” นางลดาวัลลิ์กล่าว

ศาลอาญาพระโขนงเปิดอบรม "โมเดลไกล่เกลี่ยแนวพุทธ"



 แก่ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของศาลอาญาพระโขนงกว่า 50 รูป/คน พร้อมตั้งคณาจารย์ที่เป็นพระภิกษุหลักสูตรสันติศึกษา มจร ร่วมเป็นผู้ไกล่เกลี่ย 4 รูป


เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2563 ที่ศาลอาญาพระโขนง กรุงเทพมหานคร พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) รับนิมนต์จาก ดร.เชวง ชูศิริ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาพระโขนง เป็นวิทยากรนำเสนอกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามแนวพุทธให้แก่ผู้ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของศาลอาญาพระโขนง จำนวนกว่า 50 รูป/คน  

พระมหาหรรษากล่าวว่า กระบวนการไกล่เกลี่ยแนวพุทธมีจุดเด่นที่เน้นให้ผู้ไกล่เกลี่ยได้ไกล่เกลี่ยกับตัวเอง เพือจัดการความขัดแย้งเพื่อให้เกิดสันติภาพของตัวเองให้ได้ก่อน หลังจากนั้น จึงเข้าเริ่มต้นสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างคู่ความทั้งโจทย์และจำเลยที่กำลังเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง

 


"กระบวนการไกล่เกลี่ยแนวพุทธจึงเริ่มต้นจากพัฒนา และฟื้นฟูสติของคู่ความ เพื่อให้เกิดการตื่นรู้  และเท่าทันพร้อมทั้งจัดการอารมณ์ (Emotion Management) ทั้งชอบไม่ชอบ และโกรธเกลียดระหว่างกันในขณะที่กำลังเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง" พระมหาหรรษา กล่าวและว่า 

ก่อนเริ่มการไกล่เกลี่ยจึงมีการสวดมนต์และแผ่เมตตาร่วมกันระหว่างคู่ความก่อน เมื่ออารมณ์เย็นลงจะทำให้คู่ความฟังกันมากขึ้น จนสามารถค้นหาความต้องการที่แท้จริง จนพบทางออกแล้วนำไปสู้การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีงามผ่านการขอโทษจากหัวใจ 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลอาญาพระโขนงได้แต่งตั้งคณาจารย์ที่เป็นพระภิกษุจากหลักสูตรสันติศึกษา มจร ประกอบด้วยพระมหาหรรษา พระมหาดวงเด่น ฐิตญาโณ พระปราโมทย์ วาทโกวิโท และพระมหาวีรศักดิ์ อภินนฺทเวที  ขณะนี้ได้ช่วยทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยคู่ความสำเร็จไปแล้วเกือบ 10 คดี นับเป็นศาลแรกที่แต่งตั้งพระภิกษุเข้าไปช่วยไกล่เกลี่ยคดีอาญาในศาล 


 

พระอาจารย์"ม.สงฆ์มจร" ชี้แนะเทคนิคการสอนสำคัญกว่าเทคโนโลยี



ยันเป้าหมายการสอนคือ คิดได้ ปฏิบัติเป็น ไม่ใช่จดจำนำไปทำข้อสอบ มาตรฐานการสอนมิใช่ของครูหากแต่เป็นมาตรฐาการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคนต่างกัน


เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2563ที่ผ่านมา พระปลัดสรวิชญ์ อภิปญฺโญ,ผศ.ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนะแนว คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร)  จัดกิจกรรมเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับครูพระสอนศีลธรรมในโรงเรียน หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาการสอนศีลธรรมในโรงเรียน จัดโดยคณะสงฆ์ภาค 2  ร่วมกับ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  ที่วัดถ้ำกระบอก อำเภอพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ในหัวข้อ "จิตวิทยาการเรียนการสอนแนวใหม่ : การใช้สติและสมาธิเป็นฐาน"  

พระปลัดสรวิชญ์ กล่าวว่า ครูพระสอนศีลธรรมต้องเป็นต้นแบบของการสอนที่มีสติและสมาธิเป็นฐาน เพราะสิ่งที่เราสอนมีเป้าหมายเพื่อให้เด็กทุกคน คิดได้ ปฏิบัติเป็น ไม่ใช่จดจำนำไปทำข้อสอบ "เทคนิคการสอนจึงสำคัญกว่าเทคโนโลยี"  เราบอกว่าเรามีมาตรฐานในการสอน จัดทำแผนการสอนดี สื่อการสอนเด่น เป็นไปตามเวลาและขั้นตอน ทั้งหมด แต่ทำไหมนักเรียนไม่เข้าใจหรือไม่สนใจในการเรียน คำตอบ "มาตรฐานของใคร"  นักเรียน 10 คน มีมาตรฐานความรู้เท่ากันหรือไม่ การสอนแต่ละครั้งควรใส่ใจความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียนให้มาก มาตรฐานการสอนมิใช่ของครูหากแต่เป็นมาตรฐาการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละกันต่างหาก เพราะเราไม่ใช่พนักงานสอน ที่จะสอนวิชาตามเวลาจบแล้วก็คือจบ เราต้องเติมจิตวิญญาณความเป็นครูเข้าไปด้วยและต้อง "มองเห็นเด็กทุกคนเป็นอนาคตของสังคม"   

ท่ามกลางของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมโลกพระสงฆ์จะอยู่อย่างไรในสังคมไทย บทบาทพระสงฆ์ที่เคยเป็นที่พึ่งทางจิตใจและสติปัญญาถูกปรับเปลี่ยนเป็นผู้นำศาสนพิธีอย่างเดียว ในอดีตพระสงฆ์ได้รับความเชื่อมั่นและศรัทธาในภูมิธรรมและภูมิสติปัญญา สามารถเป็นผู้นำทั้งด้านจิตใจและปัญญาแก่ประชาชนได้ เพราะการศึกษาของสังคมไทยในอดีตยังไม่กว้างขวาง ยังอยู่ในการดูแลของพระสงฆ์ แต่พอมีการส่งประชาชนไทยไปศึกษาในต่างประเทศมากขึ้น คนไทยที่จบการศึกษาจากต่างประเทศก็นำเอารูปแบบและระบบการจัดการศึกษาแบบตะวันตกเข้ามาใช้ในสังคมไทย การศึกษาของประชาชนจึงมีรูปแบบใหม่และมีการพัฒนาอย่างต่อเนี่อง ขณะที่ระบบการศึกษาของพระสงฆ์ยังไม่มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงทั้งด้านหลักสูตรและรูปแบบการจัดการศึกษา 

"สำหรับตัวแปรสำคัญทำให้เกิดความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อพระสงฆ์ในปัจจุบันก็คือ พระสงฆ์มีระดับการศึกษาทางโลกมากขึ้น เป็นแบบอย่างด้านการศึกษาให้กับประชาชน พระสงฆ์ได้กลับมาทำบทบาททางด้านผู้นำทางด้านจิตใจ สติปัญญาและพัฒนาสังคมเหมือนอดีตที่ผ่านมา เราต้องกราบขอบพระคุณพระมหาเถระที่ได้วางรากฐานการศึกษาระดับอุดมศึกาของคณะสงฆ์ไว้เป็นอย่างดี" พระปลัดสรวิชญ์ กล่าว


"ดร.สุเมธ"เตือนสติคนไทย! ไม่มีหุ่นยนต์ตัวใดผลิตข้าวให้เรากินได้ 


ความเห็นของ ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ที่เป็นประธานในพิธีแถลงข่าวพร้อมกล่าวปาฐกถา "ชุมชนเข้มแข็ง สังคมก้าวหน้า ร่วมพัฒนาอย่างยั่งยืน"  ตามที่เครือข่ายพันธมิตร 11 องค์กรได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เอสซีจี เพื่อนชุมชน บมจ.พีทีทีโกลบอล เคมิคอล(GC) กลุ่มบ.ดาวประเทศไทย กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด บมจ.วีนิไทย บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ร้านภัทรพัฒน์ มูลนิธิชัยพัฒนา กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม(กสอ.)และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) ร่วมแถลงข่าว "ผนึกกำลัง Big Brothers …นำชุมชนสู่กิจการเพื่อสังคมปีที่ 4 " เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2563ที่ผ่านมา 

ดร.สุเมธกล่าวว่า โครงการนี้ตั้งแต่ปีแรกจนถึงสู่ปีที่ 4 เครือข่ายที่ร่วมเป็นพี่เลี้ยง ในการผลักดันการพัฒนาชุมชนในรูปแบบกิจการเพื่อสังคม(Social Enterprise :SE ) ที่จะขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน ถามว่าพอใจหรือยัง ผมคิดและอยากเสนอว่าไม่น่าจะจำกัดเฉพาะแค่ 11 รายนี้แต่อยากเห็นเป็น 110 ราย เป็น 1,100 รายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อยากฝากไว้ อย่าไปคิดว่าเราใช้ส่วนเกินของเราไปช่วยคนที่อ่อนแอกว่าหรือชุมชนที่อยู่อย่างยากไร้ถ้าคิดเช่นนั้นเราอาจจะไม่เข้าใจสถานะการใช้ชีวิตของเราก็ได้ เพราะชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับโรงงานหรือกิจกรรมที่ลงทุนใหญ่โต ชีวิตไม่ว่าอยู่ระดับไหน ไม่ว่าเราจะมี Robot สักกี่ตัว AI ก้าวหน้าไปแค่ไหนก็ตาม ผลสุดท้ายเราก็ต้องกลับมานั่งอยู่หน้าจานข้าวอยู่ดี” ดร.สุเมธกล่าว

ดร.สุเมธกล่าวย้ำเตือนสติต่อว่า เมื่อวันนั้นมี ข้าว น้ำตาล ผัก เนื้อต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้มาจากการพัฒนาเมืองใหญ่ทุกอย่างที่เลี้ยงดูชีวิตเรามาจาก “ชุมชน” เขาเป็นผู้มีพระคุณ ถ้าชุมชนหยุดผลิต เขาล้มละลายเมื่อไหร่ เราก็สูญสิ้นสลายชัดเจนที่สุด ทีนี้เข้าใจหรือยัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ท่านใช้เวลา 8 เดือนต่อปีเป็นเวลา 70 ปีเพื่ออยู่กับชุมชนโดยเฉพาะในชุมชนชนบท เพราะคนเมืองใหญ่ไม่ว่าโตเกียว นิวยอร์ค ที่ไหนก็แล้วแต่บริโภคแล้วก็ถ่ายออกเป็นขยะไม่ได้ผลิตอะไรเลย

AI แอพลิเคชั่น ทำให้เราสะดวกขึ้นแต่ไม่ได้เลี้ยงดูชีวิตเรา โควิด-19 ชัดเจนเลยระบบกระบวนการผลิตหยุดหมด วัตถุดิบไม่ถูกส่งเข้าโรงงาน ต่อให้เงินสด เครดิต เดินไปในห้างร้าน ชั้นสินค้าก็ว่างเปล่า แม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วก็ไม่มีอะไรขายแย่งชิงกัน ปัญหาใหญ่วันนี้ทรัพยากรหร่อยหรอ แต่การบริโภคมากขึ้น ด้วยประชากรไทยและโลกเพิ่มขึ้นมากโดยคาดกันว่าโลกในอีก 30 ปีข้างหน้าประชากรจะไปสู่ระดับ 9,000 ล้านคนจากวันนี้ 7,400 ล้านคน

สงครามเกิดขึ้นทุกมุมโลก ลองคิดดูว่าความขัดแย้งด้านการเมือง ศาสนา แต่จริงๆคือแย่งชิงทรัพยากรเพราะในบ้านตัวเองหมด มีเงินแต่ไม่มีอาหาร สภาพความจริงต้องกลับไปสู่อาหารการกิน ไม่มี Robot หรือหุ่นยนต์ไหนปลูกข้าวให้เรากินได้ ดังนั้น Social Enterprise :SE ไม่ใช่มารยาทของธุรกิจที่ต้องทำให้ดูดีแต่ต้องทำเพื่อความอยู่รอดของเราและให้ธุรกิจอยู่รอด ถ้าโรงงานจะยิ่งใหญ่แค่ไหน วัตถุดิบก็มาจากพื้นที่ที่เจ้าของเป็นชุมชน ไม่เลี้ยงดูเขาใครจะป้อนวัตถุดิบมาให้ และขณะเดียวกันเขาเหล่านี้ก็เป็นลูกค้าเราอีก ดังนั้นจึงต้องเลี้ยงดูเขา ซึ่งไม่ใช่แค่ SE แต่ต้อง Social Responsibillity คือ ความรับผิดชอบต่อสังคมที่ต้องทำ ไม่ใช่แค่ 11 รายทุกคนต้องรับผิดชอบ

"เราเจอวิกฤติและต่อไปก็ไม่รู้จะเจออะไรอีก วันนี้อย่าไปนึกถึงกำไรสูงสุด ตอนนี้เศรษฐกิจพอเพียงเข้าใจหรือยัง เข้าใจซะก่อนที่จะสายเกินไป วันนี้ชาวบ้านเขาต้องการอะไร เรามีความรู้ต้องเข้าไปช่วย แผนพัฒนาประเทศฉบับที่ 8 รัฐบาลเองวันนี้ก็เอามาใช้คือ คำว่าประชารัฐ รัฐ กับประชา ต้องเดินไปด้วยกัน ซึ่งประชาก็คือ Big Brother ทั้งหลายด้วย เราต้องไปช่วยเขาบริหารน้ำ บริหารทรัพยากร นี่คือทางรอดของไทยและของโลกและเป็นกระแสที่ยั่งยืน ผลิตแล้วตลาดก็สำคัญ ร้าน7-11 ช่วยเพิ่มสินค้าสำหรับชุมชนจะได้ไหม" ดร.สุเมธกล่าว

สรุปแล้ว "ชุมชน" คือ "รากแก้ว" อย่าไปเรียกว่ารากหญ้า ดอกไม้ยิ่งใหญ่แค่ไหน ดอกสวยแค่ไหน วันใดที่รากขาด ต้นไม้ก็อยู่ไม่ได้ ฉันใดฉันนั้น ชุมชน จะต้องแข็งแรงเพื่ออยุงต้นไม้ทั้งต้น คือประเทศชาติให้อยู่รอดปลอดภัย เพื่อให้มีพื้นที่ให้ลูกหลานอยู่อย่างมีความสุขต่อไป

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2563



ศึกษาศาสตร์ มรภ.จันทรเกษม เสริมสร้างจิตวิญญาณความเป็นครู เพื่อการตื่นรู้สู่ความเป็นครูวิชาชีพ อาจารย์ ม.สงฆ์ มจร นำนักศึกษาประกาศเจตจำนงค์ ความเป็นครูในศตวรรษที่ 21  


คำว่า "ครู"  เป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์และมีศักศรี เราจะใช้คำนี้ รักษาตัวและหัวใจเพื่อยึดมั่นในจิตวิญญาณและอุดมการณ์ของความเป็นครู  โดยระหว่างวันที่  24–28 สิงหาคม 2563  ที่ห้องประชุมชั้น 2 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม   กรุงเทพมหานาคร ได้จัดโครงการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู สู่การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21  มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม  ให้เป็นผู้มีความรู้ความสามารถและประสบกาณ์ด้านต่างๆ 


พร้อมด้วยคุณลักษณ์ที่พึ่งประสงค์ ตามพระราโชบายด้านการศึกาและคุณลักษณะครูในศตวรรษที่ 21 โดยมีนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และคณะสังคมศาสตร์ ชั้นปีที่ 1 และ 2 เข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 979 คน  ในการจัดกิจกรรมเป็นการบรรยายให้ความรู้แก่นักศึกษาด้านการปรับตัว ปรับใจนักศึกษายุคใหม่ ใส่ใจคุณธรรม นำสู่การเสริมสร้างจิตวิญญาณความเป็นครู

 

พระปลัดสรวิชญ์ อภิปญฺโญ,ผศ.ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจิตวิทยาการศึกษาและการแนแนว คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) กล่าวว่า จากข่าวในปัจจุบันพบว่า ครู ทำผิดจรรยาบรรณวิชาชีพครูมากขึ้น เช่น การทำอนาจารเด็ก ข่มขืนนักเรียน ลงโทษนักเรียนไม่มีเหตุผล ขาดสติ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อวิชาชีพขณะเดียวกันทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นและศรัทธาของผู้ปกครอง สังคมที่มีต่อครูอีกส่วนหนึ่ง การที่จะป้องกันหรือแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้จำเป็นต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมหรือการกระทำของครูในปัจจุบันซึ่งเกิดจากปัจจัยส่วนบุคคล และสังคมสิ่งแวดล้อมทางเศรษกิจ สังคม ทำให้ครูขาดการตระหนักรู้ถึงบทบาทหน้าที่และจิตวิญญาณของความเป็นครูซึ่งหากเรามองในแง่ของการป้องกันปัญหาในอนาคต 


จำเป็นจะต้องสร้างความตระหนักรู้ถึงบทบาทหน้าที่และจิตวิญญาญของครูให้มีการตื่นรู้มากยิ่งขึ้น โดยการสร้าง สัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้องเกี่ยวกับบาทบาทและความรับผิดชอบของครูที่มีสถาบันการศึกษาและสังคม มีหิริโอตัปปะ เกิดความละอายและความเกรงกลัวต่อบาปหรือผลเสียที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ เป็นธรรมะที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิตและการอยู่ร่วมกันในสังคม เพราะหากผู้ที่ทำหน้าที่เป็นครูไม่ละอายต่อการกระทำผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ ไม่เกรงกลัวต่อผลของการกระทำนั้นๆ บุคคลนั้นก็สามารถทำสิ่งที่เลวร้ายเสียหายให้เกิดขึ้นแก่ตนเอง นักเรียน ชุมชน และสังคมส่วนร่วมได้ทุกอย่าง ฉะนั้น บุคคลที่จะทำหน้าที่เป็นครูที่ดีได้นั้น จำเป็นจะต้องมีธรรมทั้งสองข้อนี้ปกป้องคุ้มครอง เรียกได้ว่า เป็นธรรมโลกบาล หรือ ธรรมะที่คุ้มครองโลก ซึ่งสามารถสรุปเป็นแนวสังเขปได้ดังนี้

1.ครูต้องมีความละอายแก่ใจในการทำบาป (หิริ) หรือสิ่งที่ผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ ศีลธรรมอันดีงามของสังคม ตลอดทั้งกฏหมายบ้านเมือง  หากบุคคลสามารถพัฒนาหิริจนเกิดขึ้นในจิตใจกลายเป็นนิสัยในการดำเนินชีวิต ก็สามารถควบคุมอารมณ์ยับหยั่งตัวเองไม่ให้ความชั่ว กิเลส ตัณหาเข้ามาครอบงำจิตใจได้ เพราะบุคคลเกิดความละอายที่จะคิด พูด และกระทำ ความชั่วเหล่านั้น  ถามว่า ทำอย่างไรจะทำให้บุคคลเกิดความละอายแก่ใจได้? 


คำตอบ คือ หิริ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการฝึกฝนพัฒนาตนให้มีค่านิยมที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตและการอยู่ร่วมกันในสังคม ในสมัยโบราณจะอบรมเลี้ยงดูลูกหลานให้มีความเกรงกลัวต่อบาป ด้วยการยกเรื่องราว เหตุการณ์เกี่ยวกับบุคคลที่กระทำผิดศีล ผลที่เกิดขึ้นในชีวิตหลังความตายก็จะตกนรก พบกับยมบาล ถูกทำโทษในอเวจีขุมต่างๆ  ทำให้คนเกิดความเกรงกลัวต่อการกระทำนั้นๆ  สำหรับคนในปัจจุบันอาจจะไม่เชื่อถือเรื่องราวเหล่านี้ก็ต้องเพิ่มเติมการอธิบายผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นเป็นวิทยาศาสตร์หรือสิ่งที่จับต้องได้เพื่อให้เกิดการตระหนักถึงผลเสียที่เกิดขึ้นจากการกระทำหากบุคคลไม่ละอายแก่ใจในการกระทำผิดกฏระเบียบ จารีตประเพณีหรือกฏหมายของบ้านเมือง   สำหรับพฤติกรรมของผู้ที่ขาดหิริ มีลักษณะอย่างไร? ผู้ที่ขาดหิริ คือผู้ที่ไม่มีความละอายใจต่อบาปการดำเนินชีวิตก็จะมีพฤติกรรมในการคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว ได้ทุกเวลา ทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น          


2. ครูต้องมีความเกรงกลัวต่อบาป (โอตัปปะ) มิใช่กลัวเฉพาะกฏหมายเท่านั้น เพราะบางกรณีจะพบว่า บุคคลที่กระทำความผิดกฏหมายแต่จะไม่กลัวกฏแห่งกรรม  ผู้ที่ทำผิดกฏหมายก็จะพยายามช่องโหว่ทของกฏหมายเพื่อให้ตนเองพ้นจากความผิด โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง เหมาะสม ฉะนั้นสังคมจะต้องมีมาตรการในการสร้างค่านิยมยกย่องคนดี ตำนิหรือลงโทษผู้กระทำความผิดและปฏิเสธการใช้เงินหรืออำนาจในการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น ขณะเดียวกันหากครูมีจิตวิญญาณตื่นรู้มีสติและสมาธิในการประกอบวิชาชีพสามารถ โอตตัปปะ คือความเกรงกลัวต่อบาป เกิดขึ้นทุกๆ ลมหายใจเข้าออก ยึดมั่นและมั่นคงอยู่กับจรรยาบรรณวิชาชีพครู ดำเนินชีวิตอยู่บนหลักประกันชีวิตและสังคม (ศีล 5 ) เข้าใจในกฎแห่งกรรม เชื่อว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว 


รู้ว่าเมื่อทำกรรมดีย่อมได้รับผลดีเป็นเครื่องตอบแทน หากทำกรรมช่วงย่อมรับรับผลชั่วเป็นเครื่องตอบแทนในชาติปัจจุบัน หรือ เชื่อว่าทั้งกรรมชั่วและกรรมดีย่อมส่งผลให้ผู้ที่ประกอบกรรมนั้น ได้รับในชาตินี้และชาติต่อ ๆไป หากครูเป็นผู้มีคุณธรรมข้อนี้จะไม่กล้าทำความชั่ว เกรงกลัวต่อบาป ไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน ก็จะกระทำแต่กรรมดี มีจิตเมตตากรุณาช่วยเหลือผู้อื่น เรียกได้ว่าดำเนินชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาณ ใช้มีสติปัญญารักษาตนให้พ้นภัยได้


"จากสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นกับพฤติกรรมของครูในทางที่เสียหายในปัจจุบัน ทำให้เราต้องกลับมาพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครูที่มีการตื่นรู้ มีสติและสมาธิเป็นฐานในการฝึกฝนอบรมให้เป็นวิถีชีวิต โดยเฉพาะการอยู่กับลมหายใจอย่างรู้เท่าทั้น เราเกิดมาบนโลกนี้มีอะไรที่เป็นเพื่อนที่แท้จริงบ้าง ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่จนกระทั้งคลอดออกมาและมีชีวิตรอดอยู่ในสังคมนี้ ไม่มีอะไรที่อยู่เคียงข้างเราที่แท้จริงนอกจาก "ลมหายใจ" ลมหายใจเท่านั้นที่จะบอกเราว่า เราทุกข์ หรือ เรามีความสุขกับทำงาน ตอนนี้เรามีกายและใจที่จะต้องเรียนรู้อยู่กับการเปลี่ยนแปลงทุกๆ วินาที ทุกๆ ลมหายใจเข้าออก กาย เปรียบเสมือน บ้านและใจเปรียบเสมือนเจ้าของบ้าน การอยู่ในบ้านกับนอกบ้านทำให้เราได้รับความทุกข์และความสุขต่างกัน นอกบ้านมีเรื่องราวมากมายที่เข้ามาในชีวิตเรา  แต่เมื่อไรที่เรากลับมาอยู่ที่บ้านของเรา เราจะรู้สึกอบอุ่นและเย็นลง ฉะนั้น ความเป็นครูของเราก็เช่นเดียวกัน เมื่อไรก็ตามที่เราเอาเรื่องราวต่างๆ เข้ามาวุ่ยวายในบ้านเราหรือในการทำหน้าที่ความเป็นครู จะทำให้เราสูญเสียจิตวิญาณความเป็นครูทันที เราจะต้องมีความละอายและเกรงกลัวต่อการทำบาป โดยฝึกฝนปฏิบัติตามตามคุณสมบัติครูวิถีพุทธ 7 ประการ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น  "ครู" เป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์และมีศักศรี เราจะใช้คำนี้ รักษาตัวและหัวใจเพื่อยึดมั่นในจิตวิญญาณและอุดมการณ์ของความเป็นครู" พระปลัดสรวิชญ์ กล่าว

 

ต้นกล้า‘"ไทอาหม-ผาเก’" งอกใต้ต้นโพธิ์พุทธคยา

  


ต้นกล้า‘ไทอาหม-ผาเก’งอกใต้ต้นโพธิ์พุทธคยา หวังนำพระพุทธศาสนาเจริญในรัฐอัสสัม : สำราญ สมพงษ์ นิสิตปริญญาโทสันติศึกษา มจร รายงาน


เนื่องในโอกาสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเจริญพระชนมายุ 5 รอบ 60  พรรษา ในวันที่ 2 เมษายน 2558 ที่ผ่าน คนไทยได้กิจกรรมต่างๆ เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระองค์ท่าน ในจำนวนนั้นมีกิจกรรมที่คนไทยพุทธทั่วโลกนำบุตรหลานทั้งชายและหญิงบวชสามเณรและบวชศีลจาริณีหรือบวชชีพราหมณ์ถวายเป็นพระราชกุศลตามวัดต่างๆ ประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมจึงเป็นโอกาสนำบุตรหลานเข้าวัดด้วยและกิจกรรมดังกล่าวได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้


นอกจากจะมีการบวชตามวัดในประเทศไทยแล้ว มีบางส่วนถือโอกาสนำพาบุตรหลานไปบวชที่เจดีย์พุทธคยาอันเป็นการสื่อเข้าใกล้พระพุทธเจ้าด้วย พร้อมกันนี้ได้เห็นภาพการบวชสามเณรของบุตรหลานที่เป็นคนเชื้อสายเดียวกับคนไทย(บางส่วน)ด้วย


              วันที่ 18 เม.ย.2558 เฟซบุ๊ก"วัดไทยพุทธคยา 935 งานเผยแผ่พระธรรมทูตอินเดีย-เนปาล"ได้โพสต์ภาพและข้อความโดยสรุปว่า "พระเทพโพธิวิเทศ(วีรยทฺโธ)หัวหน้าพระธรรมทูตไทยสาย อินเดีย-เนปาล เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา มอบหมายให้ พระครูนิมิตธรรมภินันท์(หลวงพ่อบุญเลิศ) เป็นอุปัชฌาย์บวชสามเณรภาคฤดูร้อนชาวอัสสัม  โครงการบวชสามเณรภาคฤดูร้อนชาวอินเดียรัฐอัสสัม ของพระอาจารย์สิริชัย ที่ได้มีการจัดบวชมาเป็นเวลาหลายปี ในแต่ละปีจะมีเด็กๆชาวอัสสัมมาของบวชหลายรูป


              ในปีนี้มีเด็กมาขอบวช 51 คน แต่อีก 4 คน มาไม่ทันบวชเพราะรถไฟไม่ยอมวิ่งจึงทำให้ไม่ได้เข้าบวชในครั้งนี้ ทำให้เด็กที่ได้รับการบรรพชาเป็นสามเณรใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ 47 รูป และจะปฏิบัติธรรมระหว่างวันที่ 18  เมษายน-17 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 โดยทางวัดไทยพุทธคยาจะดูแลน้ำปานะและอาหารเช้าที่อู่น้ำทุกวัน  โดยมีพระธรรมวังสะชาวรัฐอัสสัม พระภิกษุที่ประจำที่วัดไทยพุทธคยาเป็นพระพี่เลี้ยง


              ชาวอัสสัมนั้นคือคนไทอาหมและไทผาเกที่เดิมเป็นคนไทที่อพยพมาจากอาณาจักรเมาหลวงทางตอนใต้ของประเทศจีนข้ามเทือกเขาปาดไก่มาอยู่บริเวณแม่น้ำดาวผี ซึ่งปัจจุบันก็คือแม่น้ำพรหมบุตรของอินเดียนั่นเองก ษัตริย์พระองค์แรกคือพระเจ้าเสือก่าฟ้ามีชีวิตอยู่ในช่วง 700 ปีก่อนซึ่งตรงกับช่วงสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ในยุคสุโขทัย"


              ได้ติดตามการเคลื่อนไหวคนไทที่รัฐอัสสัมมาระยะหนึ่งทางเฟซบุ๊กและเมื่อตอนที่เดินทางไปแสวงบุญตามสังเวชนียสถาน  4 ตำบลกับคณะนิสิตปริญญาโทสันติศึกษา มจร ได้สัมผัสกับพระที่เป็นคนไท  ทำให้รู้สึกว่าคนไทที่รัฐอัสสัมมีความสัมพันธ์กับอินเดียมากกว่าประเทศไทย โดยมีคนไทที่รัฐอัสสัมเข้ามาบวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดในประเทศอินเดียหลายรูปและได้พยายามที่จะรื้อพื้นพระพุทธศาสนาในรัฐอัสสัม


              และเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2557 ที่ผ่านมา องค์ทะไล ลามะผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบตได้เดินทางไปที่รัฐอัสสัมประเทศอินเดีย โดยประทับที่เมืองกุวาหตี (Guwhati) เป็นเวลา 5 วัน ร่วมงานเทศกาลศิลปะชาวธิเบต เพราะรัฐอัสสัมนี้มีคนชาติพันธุ์ไทหรือไตอาศรัยอยู่คือชาวไทอาหมมากพอสมควร นั่นก็แสดงว่าองค์ทะไล ลามะให้ความสำคัญกับรัฐอัสสัม  ทั้งนี้สามารถติดตามรายละเอียดได้ที่ http://www.komchadluek.net/detail/20140206/178351/ทะไลลามะเยือนถิ่นไทอาหมแนะสู้แบบสันติวิธี.html


              ขณะนี้คนไทอาหมกำลังรื้อฟื้นภาษาไทอาหมขึ้นมาใหม่เพราะว่าไม่ได้ใช้มาเป็นเวลานานหลายร้อยปีแล้ว  ซึ่งภาษาไทอาหมนั้นมีรากศัพท์ส่วนใหญ่ก็คล้ายกับคำไทย ขณะที่คนไทพาเกยังคงรักษาภาษาของต้นอยู่จนถึงทุกวันนี้ 


 การที่มีบุตรหลานคนไทที่รัฐอัสสัมเข้ามาบวชเช่นนี้คงจะทำให้พระพุทธศาสนาเจริญงอกงามในรัฐอัสสัมอย่างแน่นอน เพราะสามเณรคือหน่อเนื้อเหล่ากอ "ผู้สงบ สันติ"


https://www.komchadluek.net/news/lifestyle/204918


 

"ดร.สุเมธ"เตือนสติคนไทย! ไม่มีหุ่นยนต์ตัวใดผลิตข้าวให้เรากินได้

 "ดร.สุเมธ"เตือนสติคนไทย! ไม่มีหุ่นยนต์ตัวใดผลิตข้าวให้เรากินได้จี้ทุกฝ่ายดูแล"ชุมชน"มุ่งศก.พอเพียงรับมือทุกวิกฤติ

 

วันที่ 28 สิงหาคม 2563  เครือข่ายพันธมิตร 11 องค์กรได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เอสซีจี เพื่อนชุมชน บมจ.พีทีทีโกลบอล เคมิคอล(GC) กลุ่มบ.ดาวประเทศไทย กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด บมจ.วีนิไทย บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา ร้านภัทรพัฒน์ มูลนิธิชัยพัฒนา กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม(กสอ.)และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ(วช.) ร่วมแถลงข่าว”ผนึกกำลัง Big Brothers …นำชุมชนสู่กิจการเพื่อสังคมปีที่ 4 “โดยมีดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ประธานในพิธีแถลงข่าวพร้อมกล่าวปาฐกถา “ชุมชนเข้มแข็ง สังคมก้าวหน้า ร่วมพัฒนาอย่างยั่งยืน”

          “ โครงการนี้ตั้งแต่ปีแรกจนถึงสู่ปีที่ 4 เครือข่ายที่ร่วมเป็นพี่เลี้ยง ในการผลักดันการพัฒนาชุมชนในรูปแบบกิจการเพื่อสังคม(Social Enterprise :SE ) ที่จะขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน ถามว่าพอใจหรือยัง ผมคิดและอยากเสนอว่าไม่น่าจะจำกัดเฉพาะแค่ 11 รายนี้แต่อยากเห็นเป็น 110 ราย เป็น 1,100 รายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ อยากฝากไว้ อย่าไปคิดว่าเราใช้ส่วนเกินของเราไปช่วยคนที่อ่อนแอกว่าหรือชุมชนที่อยู่อย่างยากไร้ถ้าคิดเช่นนั้นเราอาจจะไม่เข้าใจสถานะการใช้ชีวิตของเราก็ได้ เพราะชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับโรงงานหรือกิจกรรมที่ลงทุนใหญ่โต ชีวิตไม่ว่าอยู่ระดับไหน ไม่ว่าเราจะมี Robot สักกี่ตัว AI ก้าวหน้าไปแค่ไหนก็ตาม ผลสุดท้ายเราก็ต้องกลับมานั่งอยู่หน้าจานข้าวอยู่ดี” ดร.สุเมธกล่าว

          ดร.สุเมธกล่าวย้ำเตือนสติต่อว่า เมื่อวันนั้นมี ข้าว น้ำตาล ผัก เนื้อต่างๆ เหล่านี้ไม่ได้มาจากการพัฒนาเมืองใหญ่ทุกอย่างที่เลี้ยงดูชีวิตเรามาจาก “ชุมชน” เขาเป็นผู้มีพระคุณ ถ้าชุมชนหยุดผลิต เขาล้มละลายเมื่อไหร่ เราก็สูญสิ้นสลายชัดเจนที่สุด ทีนี้เข้าใจหรือยัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ท่านใช้เวลา 8 เดือนต่อปีเป็นเวลา 70 ปีเพื่ออยู่กับชุมชนโดยเฉพาะในชุมชนชนบท เพราะคนเมืองใหญ่ไม่ว่าโตเกียว นิวยอร์ค ที่ไหนก็แล้วแต่บริโภคแล้วก็ถ่ายออกเป็นขยะไม่ได้ผลิตอะไรเลย

          AI แอพลิเคชั่น ทำให้เราสะดวกขึ้นแต่ไม่ได้เลี้ยงดูชีวิตเรา โควิด-19 ชัดเจนเลยระบบกระบวนการผลิตหยุดหมด วัตถุดิบไม่ถูกส่งเข้าโรงงาน ต่อให้เงินสด เครดิต เดินไปในห้างร้าน ชั้นสินค้าก็ว่างเปล่า แม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วก็ไม่มีอะไรขายแย่งชิงกัน ปัญหาใหญ่วันนี้ทรัพยากรหร่อยหรอ แต่การบริโภคมากขึ้น ด้วยประชากรไทยและโลกเพิ่มขึ้นมากโดยคาดกันว่าโลกในอีก 30 ปีข้างหน้าประชากรจะไปสู่ระดับ 9,000 ล้านคนจากวันนี้ 7,400 ล้านคน

          สงครามเกิดขึ้นทุกมุมโลก ลองคิดดูว่าความขัดแย้งด้านการเมือง ศาสนา แต่จริงๆคือแย่งชิงทรัพยากรเพราะในบ้านตัวเองหมด มีเงินแต่ไม่มีอาหาร สภาพความจริงต้องกลับไปสู่อาหารการกิน ไม่มี Robot หรือหุ่นยนต์ไหนปลูกข้าวให้เรากินได้ ดังนั้น Social Enterprise :SE ไม่ใช่มารยาทของธุรกิจที่ต้องทำให้ดูดีแต่ต้องทำเพื่อความอยู่รอดของเราและให้ธุรกิจอยู่รอด ถ้าโรงงานจะยิ่งใหญ่แค่ไหน วัตถุดิบก็มาจากพื้นที่ที่เจ้าของเป็นชุมชน ไม่เลี้ยงดูเขาใครจะป้อนวัตถุดิบมาให้ และขณะเดียวกันเขาเหล่านี้ก็เป็นลูกค้าเราอีก ดังนั้นจึงต้องเลี้ยงดูเขา ซึ่งไม่ใช่แค่ SE แต่ต้อง Social Responsibillity คือ ความรับผิดชอบต่อสังคมที่ต้องทำ ไม่ใช่แค่ 11 รายทุกคนต้องรับผิดชอบ

          “เราเจอวิกฤติและต่อไปก็ไม่รู้จะเจออะไรอีก วันนี้อย่าไปนึกถึงกำไรสูงสุด ตอนนี้เศรษฐกิจพอเพียงเข้าใจหรือยัง เข้าใจซะก่อนที่จะสายเกินไป วันนี้ชาวบ้านเขาต้องการอะไร เรามีความรู้ต้องเข้าไปช่วย แผนพัฒนาประเทศฉบับที่ 8 รัฐบาลเองวันนี้ก็เอามาใช้คือ คำว่าประชารัฐ รัฐ กับประชา ต้องเดินไปด้วยกัน ซึ่งประชาก็คือ Big Brother ทั้งหลายด้วย เราต้องไปช่วยเขาบริหารน้ำ บริหารทรัพยากร นี่คือทางรอดของไทยและของโลกและเป็นกระแสที่ยั่งยืน ผลิตแล้วตลาดก็สำคัญ ร้าน7-11 ช่วยเพิ่มสินค้าสำหรับชุมชนจะได้ไหม“ดร.สุเมธกล่าว

          สรุปแล้ว "ชุมชน"คือ “รากแก้ว “ อย่าไปเรียกว่ารากหญ้า ดอกไม้ยิ่งใหญ่แค่ไหน ดอกสวยแค่ไหน วันใดที่รากขาด ต้นไม้ก็อยู่ไม่ได้ ฉันใดฉันนั้น ชุมชน จะต้องแข็งแรงเพื่ออยุงต้นไม้ทั้งต้น คือประเทศชาติให้อยู่รอดปลอดภัย เพื่อให้มีพื้นที่ให้ลูกหลานอยู่อย่างมีความสุขต่อไป

          นายพัฒนา แสงศรีโรจน์ รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ กฟผ. กล่าวว่า กฟผ.ได้ร่วมมือกับพันธมิตรรวม 11 องค์กรนำโดย กสอ.และวช. ดำเนินโครงการ Big Brother เพื่อผลักดันการพัฒนาชุมชนรูปแบบ SE ด้วยการเป็นพี่เลี้ยงเพื่อช่วยชุมชนให้มีกิจการที่สร้างรายได้จากการผลิตหรือจัดจำหน่ายสินค้าและบริการของชุมชน ปีนี้เครือข่ายเตรียมเปิดตลาดปันสุข จัดจำหน่ายสินค้า 3 ครั้งได้แก่ ครั้งที่1 ระหว่างวันที่ 21-24 ก.ย. 63 ครั้งที่ 2 ระหว่าง 11-16 พ.ย. ณ เซ็นทรัลพลาซา ระยอง ส่วนครั้งที่ 3 ระหว่างวันที่ 24-29 พ.ย. ณ เซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยา บีชเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

          “กฟผ.ได้ส่งเสริมชุมชนรอบโรงไฟฟ้าและเขื่อนของกฟผ. ซึ่งสามารถต่อยอดจัดตั้งเป็นวิสาหกิจชุมชนหลายแห่ง จนทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายเป็นที่ได้รับความนิยม พร้อมกันนี้ยังได้เพิ่มช่องทางการขายผลิตภัณฑ์ชุมชนในรูปแบบออนไลน์ Facebook Fanpage ตลาดนัดเอนจี้ ของดีทั่วไทย อีกด้วย”นายพัฒนากล่าว

          นายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดี กสอ. กล่าวว่า กสอ.ได้รับความร่วมมือหลายหน่วยงานที่ได้เข้ามาช่วยกันต่อยอดองค์ความรู้ด้วยการนำจุดแข็งของแต่ละองค์กรมาให้ความรู้และโอกาสชุมชนผลิตต่อยอดสู่ธุรกิจ SE ซึ่งเราได้เริ่มต้นตั้ง 12 ก.ค. 2560 จนสู่ปีที่ 4 โดยวันนี้(28 ส.ค.)ก็มีสินค้าตัวอย่างมาออกบูธที่กฟผ.เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็ง โดยต่อไปจะมีการขยายเครือข่ายพันธมิตรให้มากขึ้น


ที่มา: https://mgronline.com

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2563

คกก.EdPEx แนะ "IBSC มจร" เพิ่มความเป็นเลิศ ด้วยนวัตกรรมพุทธดิจิทัล ส่งมอบปัญญาสู่ชาวโลก


เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2563 ที่วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ(IBSC) มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา คณะกรรมการประเมินวิทยาลัยฯ ตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศ หรือ EdPEx (Education Criteria for Performance Excellence) นำโดย ผศ.ดร.เสาวลักษณ์ สุขประเสริฐ ประธานกรรมการ และกรรมการสองท่านประกอบด้วยอาจารย์วรวุฒิ แจ้งศุภนิมิต และ รศ.ดร.อนันต์ มุ่งวัฒนา ที่มหาวิทยาลัย มจร แต่งตั้งได้เข้ามาทำหน้าที่ประเมินการบริหารจัดการวิทยาลัยตามเกณฑ์ EdPEx 


ผศ.ดร.เสาวลักษณ์ กล่าวว่า "โลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ฉะนั้นวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติตามกรอบการประเมินแบบ EdPEx ควรปรับวิสัยทัศน์ และแผนกลยุทธ์ให้สอดรับวิถีความเป็นไปของโลก และความต้องการของผู้เข้ามารับบริการซึ่งกำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์กทั้งกำลังโหยหาความสุขและความมั่นคงทางใจ ซึ่งถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง"

ในขณะที่อาจารย์วรวุฒิ กล่าวเสริมว่า "IBSC มีความได้เปรียบทางการแข่งขัน เพราะประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก  เป็นเวทีที่ชาวพุทธโลกโลกทั้งเถรวาท มหายาน และวัชรยานได้มาพบปะแลกเปลี่ยนผ่านกิจกรรมนานาชาติ ฉะนั้น IBSC จะต้องเร่งสร้างนวัตกรรมที่เป็นพุทธดิจิทัลเพื่อส่งมอบพุทธปัญญาให้แก่ชาวโลกซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับความทุกข์และพยายามหาทางรอดในขณะนี้"

พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส,รศ.ดร. ผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มจร กล่าวว่า วิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มจร เป็นหน่วยงานจัดการศึกษาแห่งแรกของมหาจุฬาฯ ที่เข้ารับการประเมินคุณภาพแบบ EdPEx  และคณะต่างๆ ในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย เช่น จุฬาฯ และมหิดล ก็ได้ใช้เครื่องมือประเมินคุณภาพแบบ EdPEx เช่นกัน เพราะเหมาะที่จะนำองค์กรก้าวไปสู่การสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันด้านการจัดการศึกษาในสังคมโลกที่กำลังผันผวนและเปลี่ยนแปลงไป

ผู้แทน "ม.สงฆ์ มจร" มอบเจลป้องโควิด "ซื่อสัตย์ เพื่อชาติ" แก่ "ครม."



"วิษณุ"รับมอบเจล"ซื่อสัตย์ เพื่อชาติ" จากผู้แทนม.สงฆ์ "มจร"   มอบให้ ครม. และหน่วยงานภายในทำเนียบรัฐบาล ใช้ดูแลสุขอนามัยป้องกันโควิด-19

เมื่อเวลา 12.55 น. เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2563   ที่ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี รับมอบเจลแอลกอฮอล์  "ซื่อสัตย์ เพื่อชาติ" ขนาด 50 มิลลิลิตร จำนวน 1,000 หลอดและสติ๊กเกอร์ "ซื่อสัตย์ เพื่อชาติ" จำนวน 400 ชิ้น จากนางแก้วเก้า เผอิญโชค ประธานมูลนิธิ คิดดี ทำดี พูดดี นางชัยลดา ตันติเวชกุล และผศ.ดร.กมลาศ ภูวชนาธิพงศ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ในฐานะผู้แทนมหาวิทยาลัยที่ทำงานร่วมโครงการซื่อสัตย์ เพื่อชาติ เพื่อนำไปมอบต่อให้กับคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานภายในทำเนียบรัฐบาล ในการใช้ดูแลสุขอนามัยและป้องกันโรคโควิด-19          

โอกาสนี้นายวิษณุกล่าวว่า ในนามของรัฐบาลขอขอบคุณมูลนิธิคิดดี ทำดี พูดดี โครงการซื่อสัตย์ เพื่อชาติจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย รวมทั้งเครือสหพัฒน์ซึ่งเป็นองค์กรสนับสนุนโครงการฯ ที่ได้นำเจลแอลกอฮอล์และสติ๊กเกอร์มามอบให้ในวันนี้ โดยจะได้มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับไปดำเนินการแจกจ่ายให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ของสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มีภารกิจในการติดต่อกับประชาชน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้เจลแอลกอฮอล์ ส่วนสติ๊กเกอร์ก็สามารถนำไปติดที่รถและสถานที่ทั่วไปได้ ซึ่งจะได้ดำเนินการตามวัตถุประสงค์และตามกุศลเจตนาต่อไป

นายวิษณุ กล่าวด้วยว่า ตนนั้นถือว่า เป็นศิษย์ มจร  เพราะเคยได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์สาขาวิชารัฐประสานศาสตร์ รวมทั้งเคยเป็นประธานสร้างหอพระไตรปิฏกที่มหาวิทยาลัยด้วย 

ผุดนวัตกรรม AI สร้างงานใหม่ยกคุณภาพชีวิตคนพิการทางการเห็น



สสส.- มูลนิธินวัตกรรมทางสังคม-มูลนิธิธรรมิกชนฯ ชูศักยภาพคนพิการทางการเห็น เสริมทักษะจำเป็นช่วยให้ไม่ตกงานยุคดิจิทัล เน้น “รู้เท่าทันเทคโนโลยี มีทักษะภาษาต่างประเทศ ทำงานเป็นทีมได้” เพิ่มโอกาสจ้างงาน ผุดนวัตกรรม AI สร้างงานใหม่ พร้อมลงนาม MOU ผลิตหนังสือเสียง 1หมื่นเล่ม

เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ที่ศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ นางภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) นายอภิชาติ การุณกรสกุล ประธานมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม นายธรรม จตุนาม รองประธานกรรมการ มูลนิธิธรรมิกชนเพื่อคนตาบอดในประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และนางสาวเมธาวี ทัศนาเสถียรกิจ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทวัลแคน โคอะลิชั่น โซเชียล เอ็นเตอร์ไพรซ์ ร่วมกันแถลงข่าว “ถอดรหัสศักยภาพคนพิการทางการมองเห็น สู่…โอกาสการจ้างงาน” และมีพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือโครงการผลิตหนังสือเสียง 10,000 เล่ม ระหว่าง มูลนิธิธรรมิกชนเพื่อคนตาบอดในประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และบริษัทบริษัทวัลแคน โคอะลิชั่น โซเชียล เอ็นเตอร์ไพรซ์

นางภรณี กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีคนพิการร้อยละ 3.08 ของประชากรทั้งหมด ในจำนวนนี้มีคนพิการที่เรียนจบชั้นอุดมศึกษาร้อยละ 1.04 เกินครึ่งเป็นคนพิการทางการมองเห็น ซึ่งได้รับการจ้างงานน้อยกว่าคนพิการประเภทอื่น ๆ สสส. จึงสนับสนุนโครงการสำรวจลักษณะงาน ทักษะที่จำเป็นในการทำงาน และการช่วยเหลือที่สมเหตุสมผลต่อผู้พิการทางการเห็น โดยมีวัตถุประสงค์สำรวจอาชีพและทักษะที่เหมาะกับคนพิการทางการเห็น ในอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ หรือ ยุคAI ซึ่งทักษะที่จำเป็น ได้แก่ 1.ทักษะที่ต้องใช้ความรู้ (Hard Skill) เช่น การใช้สื่ออินเทอเน็ต ทักษะภาษาต่างประเทศ ฯ 2. ทักษะทางสังคม (Soft Skill) เช่น ยอมรับตนเองในระดับดีมาก มีสุขภาพจิตอยู่ในเกณฑ์ดี และ3. ทักษะสนับสนุน (Support skill) เช่น ปรับตัวเข้ากับองค์กรได้ดี เข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆ ได้รวดเร็ว

​“คนพิการทางการเห็นโดดเด่นเรื่องการฟัง พูด อ่าน พิมพ์สัมผัส และถอดเทปได้ดี ดังนั้น งานที่ทำได้ 1.งานที่ใช้การสื่อสาร เช่น ประสานงาน ประชาสัมพันธ์ 2. งานที่ใช้ความรู้/ทักษะเฉพาะ เช่น งานด้านกฎหมาย งานด้านภาษา 3. งานธุรการ เช่น จดบันทึก เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ 4. งานที่ใช้เทคโนโลยี เช่น ผลิตสื่อ ฐานข้อมูล 5. งานบริการและงานนันทนาการ เช่น สร้างความบันเทิง งานให้บริการ และ 6. งานที่ใช้ประสาทสัมผัสอื่น เช่น ผู้เชี่ยวชาญในบริษัทน้ำหอม นอกจากนี้ สสส. ยังสนับสนุนเรื่องการส่งเสริมโอกาสการมีงานทำโดยสนับสนุนการเตรียมความพร้อมของคนพิการและสถานประกอบการ การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการผ่านการมีส่วนร่วมในชุมชน รวมทั้งส่งเสริมกิจกรรมสร้างเสริมสุขภาพและการมีส่วนร่วมในสังคม ทั้งกิจกรรมวิ่งด้วยกัน  ดูหนังด้วยกัน เป็นต้น” นางภรณี กล่าว 

นายอภิชาติ กล่าวว่า โครงการจ้างงานกระแสหลัก Inclusive workplace หรือ IW ทำขึ้นเพื่อส่งเสริมการจ้างงานบัณฑิตและเยาวชนที่พิการ ทำหน้าที่ออกแบบ พัฒนา ส่งเสริม สนับสนุน ให้เตรียมความพร้อมก่อนเข้าทำงานจริง แบ่งเป็น 4 ส่วน ได้แก่ 1.สร้างและพัฒนากระบวนการประสานงานและส่งเสริมให้เกิดการจ้างงาน 2.ส่งเสริมความพร้อมในการทำงานกับบัณฑิตพิการ 3.ส่งเสริมให้นักศึกษาพิการได้ฝึกงาน 4.สนับสนุนทุนอาชีพแก่ครอบครัวเยาวชนพิการให้เข้าถึงการศึกษา ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2556 

นายธรรม กล่าวว่า โครงการห้องสมุดเบญญาลัย มีเป้าหมายให้คนพิการทางการเห็นมีงานทำในยุค AI โดยจะต้องส่งเสริมด้านการศึกษา อาชีพ ฟื้นฟูสมรรถภาพเต็มที่ ผ่านระบบห้องสมุดออนไลน์ แพลตฟอร์มนี้สามารถใช้ได้ทุกคนในการเพิ่มทักษะด้านต่าง ๆ เพื่อสะท้อนความเสมอภาคในสังคม เพราะความรู้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก ย่อมสามารถสร้างความเท่าเทียมกันในสิทธิของมนุษย์

​นางสาวเมธาวี กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการผลิตหนังสือเสียง 10,000 เล่มทำขึ้นมาเพื่อคนพิการวัยทำงานกว่า 3แสนคน ที่กำลังว่างงานและต้องพึ่งพาสวัสดิการของรัฐ ให้มีทักษะเท่าทันอุตสาหกรรมปัญญาประดิษฐ์ ที่กำลังขาดแคลนแรงงานด้านจัดเตรียมข้อมูล (Data Labelling)  ในฐานะบริษัทพัฒนาด้านนี้ จึงมองเห็นโอกาสที่จะทำให้ผู้พิการมีทักษะด้านนี้ผ่านแพลตฟอร์มและหลักสูตรออนไลน์ เพื่อสร้างโอกาสการทำงานรูปแบบใหม่ ผ่านความถนัดของผู้พิการทางการเห็น

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2563

สาธุ! ทหารไทยศิษย์เก่าม.สงฆ์"มจร" นำทหารสหรัฐนั่งสมาธิทุกวัน


เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2563  ร.อ.สมญา มาลาศรี อนุศาสนาจารย์ทหารกองประจำการกองทัพบก ประเทศอเมริกา โพสต์ข้อความและภาพผ่าน เฟซบุ๊กส่วนตัว "Somya Malasri" ความว่า "ร้อยเอกอเล็กเเซนเด้อ เอนก นำพาทหารร่วมสวดมนต์ นั่งสมาธิ ฝึกโยคะ และแผ่เมตตา ทุกๆอาทิตย์ ที่ค่ายฟอร์ทเบ็นนิ่ง รัฐจอเจียร์ ร.อ. เอนก จบ พธ.บ.รุ่น 46 จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)  และ จบ M.DIV ที่ UWEST, CA. เป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของศิษย์ มจร" 



ปัจจุบันนี้มีคนไทยที่เข้ารับราชการทหารที่ประเทศสหรัฐอเมริกาหลายนาย สำหรับร.อ.สมญานั้นนับเป็นชาวพุทธไทยคนแรกที่เป็นทหารกองประจำการกองทัพบกสหรัฐอเมริกาในตำแหน่งอนุศาสนาจารย์(ครูสอนทหาร)  โดยเป็นคนบ้านนาศรีนวล ต.บุโพธิ์ อ.ลำปลายมาศ จ.บุรีรัมย์ บวชเป็นสามเณรและพระศึกษาพระธรรมวินัยภาษาบาลีจนสามารถจบปริญญาตรี ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยา(มจร) รุ่นเดียวกับพระมหาสมปอง ตาลปุตโต พระนักเทศน์ชื่อดัง เป็นพระธรรมทูตไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา สึกหาลาเพศเป็นทหารที่กองทัพสหรัฐอเมริกา และพัฒนาตัวเองมาโดยตลอดปัจจุบันกำลังศึกษาในระดับปริญญาเอก

"โคกหนองนาโมเดล" 1 ไร่ 1 แสนในแดนทัณฑสถาน

 


วันที่ 26 สิงหาคม 2563  ที่ทัณฑสถานเปิดบ้านนาวง ต.บ้านนา อ.ศรีนครินทร์ จ.พัทลุง ซึ่งเป็นที่ทัณฑสถานเปิด ที่มีการฝึกอาชีพให้กับผู้ต้องขังก่อนคืนปล่อยคนดีสู่สังคม โดยผู้ต้องขังที่ได้รับการอภัยโทษและเหลือโทษสถานเบาเข้ามาฝึกอาชีพที่หลากหลายภายใต้กฎเกณฑ์ของทัณฑสถาน ไม่ว่าช่างไม้ ช่างปูน ช่างก่อสร้าง หรือการประกอบอาชีพเพื่อการเกษตรให้กับผู้ต้องขังนำไปใช้หลังจากออกพ้นโทษ โดยหนึ่งในนั้นโครงการฝึกอาชีพทางด้านการเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ โคก หนอง นา โมเดล 1 ไร่ 1 แสน ในการจัดการพื้นที่ ซึ่งเหมาะสำหรับการเกษตร ที่อยู่พื้นที่กลางน้ำ ได้ทำการเกษตรผสมผสานเกษตรทฤษฎีใหม่ เข้ากับภูมิปัญญาพื้นบ้าน โดยให้ผู้ต้องขังเข้าปฎิบัติจริงเรียนรู้จริง จนทำให้ผู้ต้องขังได้มีความสุขกับการทำการเกษตร          

หนึงในผู้ต้องขัง กล่าวว่ ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่เข้ามาเรียนรู้จากการปฎิบัติจริงโครงเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามแนวพระราชดำรึทำให้เข้าใจถึงความพอเพียง และเข้าใจถึงสติอารมณ์และความรู้สึก ซึ่งคิดว่าหลังพ้นโทษออกไป จะนำหลักการทำการเกษตรแบบทฤษฎีใหม่ไปประยุคใช้เนื่องจากตนเองอาชีพเดิมคือการเกษตร แต่ขาดการเรียนรู้เป็นรากฐานเดิม          

ด้านนายธวัชวงศ์ ธรรมเพชร เจ้าพนักงานงานราชทัณฑ์ ชำนาญงาน ทัณฑสถานเปิดบ้านนาวง หัวหน้างานฝึกวิชาชีพผู้ต้องขัง กล่าวว่า โครงเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามแนวพระราชดำรึ ที่ทัณฑสถานเปิดบ้านนาวง เป็นการนำปรัชญาทางด้านการเกษตรมาประยุคใช้ ในการฝึกอาชีพแก่ผู้ต้องขัง ได้เรียนรู้วิถีของการเกษตรแบบทฤษฎีใหม่ โดยมีฐานการเรียนรู้ การปลูกพืช ปลูกผัก การเลี้ยงสัตว์ และการทำนา ซึ่งเมื่อพวกเขาพ้นโทษออกไปจะได้มีวิชาติดตัวและนำไปประกอบอาชีพสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัว          

นายธวัชวงศ์ ธรรมเพชร ยังกล่าวอีกว่า โครงเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามแนวพระราชดำรึ ที่ทัณฑสถานเปิดบ้านนาวงนอกจากจะเป็นเหล่งเรียนรู้ทางด้านการเกษตรแก่ผู้ต้องขังแล้ว ในวันนี้ยังเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาศึกษาดูงาน เพื่อนำไปใช้ในชีวิตประจำวันปลูกผักสวนครัวรั้วกินได้ ตามแนวเกษตรพอเพียง อีกด้วย

กมธ.ศาสนาฯสภาฯนิมนต์"เจ้าคุณว.วชิร​เมธี" เทศน์"พุทธ​​กับ​การเยียวยา​วิกฤติ​โลก"



วันที่ 26 สิงหาคม 2563   นายเทพไท​ เสนพงษ์​  ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานกรรมาธิการ​การศาสนา​ฯ สภาผู้แทนราษฎร​ ได้แถลงข่าวในการจัดงานวิชาการและปาฐกถา​ธรรม​ของสมาคม​บัน​ฑ​ิ​ต​ทางกฎหมาย​และ​พุทธศาสตร์​และขอเชิิญร่วมงานปาฐกถา​ธรรม​ในประเด็น"พระพุทธ​ศาสนา​กับ​การเยียวยา​วิกฤติ​โลก" โดยพระ​เมธี​ว​ชิ​โร​ดม​ (พระมหาวุฒิชัย วชิร​เมธี)  และปาฐกถา​นำในข้อ" การ​บังคับใช้​กฎ​หมา​ยเพื่อการรักษาพระธรรม​วินัย​"โดยศาสตรา​จารย์​พิเศษ​เดชอุดม​ ไกร​ฤทธิ์ ในวัน​เสาร์​ที่ 5 กันยายน ​2563​ เวลา​13.00-16.30​น. ที่อาคารเรียนรวมพุทธ​วิชชา​ลัย มหาวิทยาลัย​ราชภัฏ​พระนคร​  หลักสี่​ บางเขน​ กรุงเทพฯ ทั้งนี้เพื่อขับเคลื่อน​โครงการสัมมนาวิชาการในหมู่พระสงฆ์​สามเณรเรื่อง"กฎหมาย​ใกล้​สงฆ์" 




"ทราย เจริญปุระ" สอน "เพื่อไทย" ต้องปรับตัว หากยังหวังเสียงจากประชาชน



วันที่ 26 สิงหาคม 2563 "ทราย เจริญปุระ" นักแสดงสาวชื่อดัง ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Inthira Charoenpura ถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยไม่ร่วมลงชื่อปิดสวิตช์ส.ว. ร่วมกับพรรคก้าวไกล โดยโพสต์ดังกล่าวระบุว่า          

พรรคเพื่อไทยพลาดติดๆ กัน 2 ครั้งนี่ ยากจริงๆ แล้วนะคะ อย่างน้อยควรทราบว่า ต้องมีคำอธิบายที่สมเหตุผล          

และฝ่ายเผด็จการจารีตเครือข่ายรัฐพีนลึกอย่ายิ้มกริ่มไปค่ะ นี่คือวิถีปกติของประชาธิปไตยที่คุณต้องหัดเรียนรู้ พรรคการเมืองไม่ใช่เทวดา ทำผิดจากความคาดหวังของประชาชน ประชาชนมีสิทธิตำหนิ ซึ่งถ้าพรรคการเมืองยังหวังเสียงจากประชาชนจะต้องปรับตัว          

แต่แม้ในท่ามกลางความขัดแย้ง ประชาชนก็ยังเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เผด็จการจารีตเครือข่ายรัฐพันลึกต้องทำความเข้าใจให้มากขึ้น และคุณเองก็ต้องปรับตัว เพื่ออยู่ร่วมกันให้ได้ในโลกใหม่ที่ทุกคนจะมีความเป็นคนเท่าเทียมกัน

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2563

วัดเยื้องคงคารมเมืองอ่างทอง ปลูกพืชผักแจกชาวบ้านฟรี


เมื่อวันที่ 24 ส.ค.2563 ที่บริเวณวัดเยื้องคงคารม หมู่ที่ 1 ตำบลเทวราช อำเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง พบว่าบริเวณรอบเขตของวัดที่รกร้างว่างเปล่าดูแล้วไม่เกิดประโยชน์ ทาง พระครูสังฆรักษ์สมพงษ์ จตฺตมโล (จัดตะมะโล) เจ้าอาวาสวัดเยื้อง มีแนวคิดที่จะใช้พื้นที่รกร้างว่างเปล่าทิ้งไว้ไม่เกิดประโยชน์ในเขตบริเวณวัด จึงลงมือทำการเกษตรปลูกผักสวนครัวร่วมกับลูกศิษย์ อาทิ พริก มะเขือ บวบ มะระ ตะไคร้ มะกรูด คะน้า มะละกอ และอื่น ๆ เพื่อทำการแจกจ่ายให้ชาวบ้านในพื้นที่มาเป็นเวลากว่า 30 ปี แล้ว          

ในช่วงที่มีเชื้อโควิด 19 ระบาด จึงได้สนองพระราชดำริของสมเด็จพระสังฆราช ตามโครงการปลูกผักสวนครัวจากวัดสู่ชุมชนตามหลักบวร โดยได้ขยายพื้นที่ของวัดที่มีอยู่ประมาณ 35 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ว่างเปล่าไม่เกิดประโยชน์ ทำการปรับหน้าดินร่วมกันเพาะปลูกพืชผักสวนครัวแจกจ่ายให้กับชาวบ้าน โดยมีความคิดว่า ไม่นั่งรอกิจนิมนต์ พระปลูกโยมเก็บเอาไปกินได้ ซึ่งได้ผลตอบรับจากชาวบ้านในพื้นที่เป็นจำนวนมาก          

จากการสอบถาม พระครูสังฆรักษ์สมพงษ์ เจ้าอาวาส เล่าให้ฟังว่า ทางวัดเยื้องคงคาราม ได้สนองพระราชดำริของสมเด็จพระสังฆราช ในช่วงของการแพร่ระบาดของเชื้อควิด 19 ตามโครงการปลูกผักสวนครัวจากวัดสู่ชุมชนตามหลักบวร โดยการปลูกผักสวนครัวเพื่อแจกจ่ายให้ชาวบ้านในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อน แต่ก่อนหน้านี้ทางวัดได้ทำการปลูกผักสวนครัวแปลงเกษตรวิถีพุทธแจกจ่ายให้กับชาวบ้านอยู่แล้วมากว่า 30 ปี ในตอนแรกได้มีความคิดริเริ่มจากลูกศิษย์เพียงไม่กี่คน ร่วมกันลงมือใช้พื้นที่รกร้างว่างเปล่ารอบบริเวณวัด ปลูกพืชผักสวนครัวแจกจ่ายให้กับชาวบ้านและโรงเรียน ในช่วงหลังได้รับการตอบรับมีชาวบ้านและเด็กนักเรียนในพื้นที่ และชาวบ้านที่ทราบข่าว เข้ามาร่วมมือร่วมใจกันปลูกพืชผักสวนครัวเพิ่ม หลังจากมีโครงการของสมเด็จพระสังฆราชทางอาตมาจึงได้ปรึกษากับลูกศิษย์ ทำการลงมือปรับพื้นที่รอบบริเวณวัด โดยการขุดบ่อเพื่อเก็บกักน้ำ และทำการปลูกพืชผักสวนครัวเพิ่ม ซึ่งทางวัดมีโรงเรือนเพาะชำเอาไว้ใช้เพาะขยายพันธุ์พืชเอง          

ในส่วนของผลผลิตที่ได้ก็จะนำออกแจกจ่ายให้กับญาติโยมที่เข้ามาทำบุญในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ส่วนญาติโยมบางรายที่ต้องการซื้อเพราะเห็นว่าปลูกในพื้นที่ธรณีสงฆ์ ทางวัดก็เต็มใจที่จะขายให้ในราคาถูก เงินที่ได้จากการขายพืชผักสวนครัวก็จะเก็บไว้ชำระค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ที่เป็นหนี้ของสงฆ์ โดยมีชาวบ้านบางรายรับพืชผักของทางวัดไปขายในชุมชนในราคาถูก เพื่อนำเงินที่ได้มาบริจาคให้ทางวัดเพื่อใช้จ่าย          

นอกจากนี้ทางวัดยังได้ทดลองนำพันธุ์ต้นไม้ที่ปลูกอยู่แต่ละภาคของประเทศ อาทิ ทุเรียน อะโวคาโด อินทผลัม มาปลูกรอบบริเวณวัด โดยได้ทำการศึกษาว่าพันธุ์ไหนเหมาะที่จะนำมาปลูกในพื้นที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับคนในชุมชนมากที่สุด เพื่อแจกจ่ายให้กับชาวบ้านในชุมชนนำไปบริโภค อยู่ร่วมกันระหว่างวัด โรงเรียน และชุมชนอย่างมีความสุขกันต่อไป 

ดร.เฉลิม! เสนอร่างรธน.ใหม่นอกสภา ฝ่าวงล้อม "มรดกเลือด" ไม่ให้ตกหลุมผู้มีอำนาจ


เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ร่อนจดหมายเปิดผนึก ข้อเสนอ ฝ่าวงล้อม “มรดกเลือด” ร่างรัฐธรรมนูญใหม่นอกสภาหาทางออกประเทศไทย อ้าง เพื่อไม่ให้พวกเราหลงกล ตกหลุมพรางผู้มีอำนาจ ความว่า 


ตามที่ข้าพเจ้า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ได้เสนอทางออกประเทศไทยด้วยการยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แล้วนำรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๔๐ มาใช้บังคับทันที แล้วยุบสภาเลือกตั้งภายใน ๖๐ วัน ปลายปีนี้ ผลปรากฏว่าได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากและตามคาดหมายคือกลุ่มพิทักษ์รัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกมาคัดค้านว่าข้อเสนอของข้าพเจ้าไม่เป็นไปตามกฎหมาย ข้าพเจ้าจึงขอชี้แจงและเสนอหลักการและเหตุผลของการออกรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันที เพื่อเป็นการ “ฝ่าวงล้อมมรดกเลือด อันจะเป็นการหาทางออกให้ประเทศไทย” ดังนี้

หลักการและเหตุผล


ข้อ ๑. ผู้สั่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้มุ่งหมายให้ตนเองสืบทอดอำนาจ ๒๐ ปี ดังนั้น จึงสร้างกลไกและหมากค่ายกลในรัฐธรรมนูญไว้มากมายที่สำคัญ คือ ส.ว. มีอำนาจมหาศาล และเบ็ดเสร็จ การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำได้ยุ่งยากมาก คือ แก้ไขไม่ได้เลย และประการสำคัญ หากมีการยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ ก็จะได้ ส.ส. ตามความประสงค์ของ “ผู้มีอำนาจ” โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี


ข้อ ๒. ดังนั้น เมื่อประชาชน นักเรียน นักศึกษา และผู้ใช้แรงงานออกมาเรียกร้องดังที่ปรากฏขณะนี้ด้วยข้อร้องเรียน ๓ ประการ คือ (๑) แก้ไขรัฐธรรมนูญ (๒) ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ (๓) หยุดคุกคามประชาชน จึงเข้าทาง “ผู้มีอำนาจ” ตามแผนการที่วางไว้ เรียกว่าทุกฝ่ายที่เรียกร้องประชาธิปไตยหรือปลดแอกล้วนตกหลุมพราง “ผู้มีอำนาจ” ทันที


ข้อ ๓. ที่ว่าตกหลุมพราง เพราะรัฐบาล และพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลจะพร้อมใจกัน ประกาศว่า เปิดรับ ยินดี ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของประชาชน นักเรียน นักศึกษา และผู้ใช้แรงงานทันที หรือเพียบพร้อมถ้วนหน้าภายในเดือนสิงหาคมถึงกันยายนนี้อย่างแน่นอน วิธีนี้คือ การบล็อกกลไกหรือสร้างเวทีหลุมพรางให้ทุกฝ่ายต้องเดินทางตามวิธีการหรือหมากกลที่ “ผู้มีอำนาจ” ได้สร้างไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งข้าพเจ้าขอเรียกมันคือ “มรดกเลือด”


ข้อ ๔. เป็นที่ชัดเจนว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามกติกาหรือบทบัญญัติที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้กำหนดไว้จะเป็นเพียงปาหี่หรือละครหลอกลวงเพราะนอกจากการแก้ไขจะต้องใช้เวลาประมาณ ๓ - ๔ ปี แล้ว ผลการแก้ไขก็จะเป็นไปเช่นเดิม เพราะขั้นตอนวิธีการเสียงของ ส.ว. และการต้องจัดรับฟังประชามติ ล้วนถูกออกแบบไว้แล้วว่าทุกอย่างทุกประการรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจจะคุมได้ ๒


แบบเบ็ดเสร็จ แม้แต่จะยกเลิก ส.ว. หรือจำกัดอำนาจ ส.ว. ก็ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น และนี้คือ “มรดกเลือด” ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยในชาติไทย


ข้อ ๕. ที่ว่า “มรดกเลือด” เพราะในที่สุดแล้วประชาชนจะถูกแบ่งแยกเป็นสองฝ่ายคือฝ่ายต้องการเปลี่ยนแปลงใหม่ กับฝ่ายพิทักษ์รัฐธรรมนูญเดิม และจะเดินไปสู่ความขัดแย้งถึงปะทะกัน แล้วฝ่ายถืออาวุธก็จะออกมาปราบปรามฆ่าประชาชนอีกรอบหนึ่ง ซึ่งจะเลวร้ายกว่าที่เคยปรากฏมาก่อน

ข้าพเจ้ารู้สึกเสียใจและเป็นทุกข์มากเมื่อได้รับรู้ว่า กลุ่มผู้มีอำนาจและผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้กำลังยินดีปรีดามากที่ทุกอย่างเดินไปตามแผนที่วางไว้ เป็นความภูมิใจสูงสุดที่ได้สร้างหลุมพรางได้สำเร็จและทุกฝ่ายก็หลงทาง


ข้อ ๖. การล้างมรดกเลือด ครั้งนี้มีทางเดียวคือ ต้อง “ไม่เล่นตามเกมส์ของผู้มีอำนาจ” ต้องไม่ต่อสู้หรือชกบนเวทีที่เขาสร้างไว้ เพราะเราไม่มีวันชนะ แต่เราต้องเปิดเกมส์ใหม่หรือสร้างเวทีใหม่ ข้าพเจ้าจึงเสนอวิธีการที่เรียกว่า “คิดใหม่หรือคิดนอกกรอบ” เพื่อสร้างโอกาสใหม่ เพื่อประชาชนเจ้าของแผ่นดินจะได้มีโอกาสชนะ และ “ผู้มีอำนาจ” ไม่สามารถรักษามรดกเลือด ไว้ได้อีก


ข้อ ๗. หลักการและเหตุผลสำคัญ คือ ต้องยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทันที นำรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๔๐ (ซึ่งเรายอมรับว่าดีที่สุดกว่ารัฐธรรมนูญทุกฉบับที่ประเทศไทยเคยมีมา) มาบังคับใช้แทนทันที เป็นการชั่วคราว แล้วประกาศยุบสภาจัดเลือกตั้งใหม่ภายใน ๖๐ วัน โดยการเลือกตั้งใหม่จะเป็นไปตามกติกาของรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ ไม่ใช่รัฐธรรมนูญฉบับนี้แต่อย่างใด จากนั้น ร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรให้แล้วเสร็จภายใน ๑๒๐ วัน


ข้อ ๘. นี้คือ วิธีเดียวเท่านั้นที่จะล้าง “มรดกเลือด” เพื่อหาทางออกให้ประเทศไทยในวันนี้ และต้องทำทันทีก่อนการล้มสลายของชาติบ้านเมือง


ข้อ ๙. ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าวิธีการของข้าพเจ้าที่เสนอนี้สามารถดำเนินการได้และชอบด้วยกฎหมายกล่าวคือ

หากเราจะได้ใช้สติไตร่ตรองให้ดีแล้วจะพบว่าประวัติศาสตร์ชาติไทยได้ถูกบันทึกว่า รัฐธรรมนูญเกือบทุกฉบับ เมื่อได้ใช้ไประยะหนึ่งก็มักจะถูกยกเลิกโดยวิธีฉีกทิ้งด้วยการปฏิวัติรัฐประหารเสมอๆ ดังเช่น เมื่อ คสช. ปฏิวัติก็ได้ฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งเช่นกัน แล้ว คสช. ก็ใช้บทบาทที่ไม่มีกฎหมายใดรองรับเลย เสนอประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๗ เป็นการชั่วคราวเช่นกัน ๓


แม้ว่าบ้านเมืองขณะนี้วิกฤตยิ่งกว่าก่อนการปฏิวัติเมื่อปี ๒๕๕๗ แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ส่งเสริม ให้มีการปฏิวัติเพื่อฉีกทิ้งรัฐธรรมนูญนี้อีก แต่การออกใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทันทีเพื่อยกเลิก ฉบับปี ๒๕๖๐ นี้แล้วนำเอาฉบับปี ๒๕๔๐ มาใช้ก่อนเป็นการชั่วคราวแล้วจัดการเลือกตั้ง สามารถกระทำได้ทันที

หากจะมีผู้กล่าวอ้างว่าวิธีนี้ไม่มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี ๒๕๖๐ ข้าพเจ้าขอเรียนว่าถูกต้อง เพราะมีแต่บทบัญญัติเรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ จึงเป็นความจริงที่ไม่มีบทบัญญัติว่าด้วยการออกรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเดิม กรณีจึงเป็นที่แน่ชัดว่าไม่มีบทบัญญัติเขียนให้กระทำได้ แต่ก็ไม่มีบทบัญญัติห้ามมิให้กระทำ ซึ่งย่อมต้องถือว่ากระทำได้ เพราะได้มีบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๖๐ นี้ ไว้ในมาตรา ๕ วรรคสองว่า

“เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัย กรณีนั้นไปตามประเพณีการปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”


ข้อ ๑๐. ข้าพเจ้าขอเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ต้องประกาศใช้ทันทีซึ่งน่าจะมีเพียง ๕ มาตรา ดังที่ปรากฏข้างท้ายนี้ (โปรดดูเอกสารแนบท้าย)


ข้อ ๑๑. แล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบจัดทำแล้วเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ซึ่งข้าพเจ้า ขอเสนอและเรียกร้องให้ประชาชน นักศึกษา นักธุรกิจ ผู้ใช้แรงงาน และทุกภาคส่วนเห็นชอบด้วยกับวิธีการนี้ แล้วช่วยกันเรียกร้องผลักดันผู้รับผิดชอบ “เพียงฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเท่านั้น” ดังต่อไปนี้

ฝ่ายที่ ๑ รัฐบาล โดย นายกรัฐมนตรี และ ครม. ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้วนำขึ้นทูลเกล้าเพื่อทรงพระบรมราชวินิจฉัยประกาศใช้

ฝ่ายที่ ๒ พรรคร่วมฝ่ายค้าน ดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ แล้วผู้นำฝ่ายค้าน นำขึ้นทูลเกล้าฯ

ฝ่ายที่ ๓ ภาคประชาชน กลุ่มผู้เรียกร้องซึ่งรวมตัวกันเป็นภาคประชาชนยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯ (เป็นการจัดตั้ง ส.ส.ร. นอกสภา)


ข้อ ๑๒. จะเห็นได้ว่าทั้ง ๓ ฝ่าย ที่ข้าพเจ้าเสนอนี้ล้วนเป็นการดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นอกสภาทั้งสิ้น ก็ด้วยเหตุผลและความจำเป็นดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นเอง ว่าต้องเป็นการดำเนินการนอกกรอบ นอกเวที เพื่อไม่ให้ตกหลุมพรางหมากกลที่เขาสร้างไว้ ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ๔


ซึ่งข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ทำได้เพราะมาตรา ๕ แห่งรัฐธรรมนูญดังกล่าวและนี้คือ วิธีเดียวและอาจเป็นวิธีสุดท้ายที่จะล้างมรดกเลือดเพื่อหาทางออกให้ประเทศไทย โดยหลีกเลี่ยงการปฏิวัติ การนองเลือด และฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งเหมือนอดีตที่เคยผ่านมา “พวกเราจะยอมหลงกลลวงโดยปล่อยพวกเขายินดีปรีดาที่หลอกลวงพวกเราอยู่เช่นนี้หรือ....ผมคนหนึ่งละที่ไม่ยอมและจะไม่หยุดพูดเด็ดขาด”


ด้วยความเคารพรักอย่างยิ่ง


ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง


๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๓ ๕

 

- ร่าง –

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

(ฉบับชั่วคราว)

พุทธศักราช ๒๕๖๓

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร

ตราไว้ ณ วันที่ พุทธศักราช ๒๕๖๓

เป็นปีที่ ๕ ในรัชกาลปัจจุบัน

ศุภมัสดุ พระพุทธศาสนกาลเป็นอดีตภาค ๒๕๖๓

มาตรา ๑ ให้ยกเลิก รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ตั้งแต่วันที่ พุทธศักราช ๒๕๖๓ และให้นำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาใช้บังคับแทนไปพลางก่อนจนกว่าจะได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับถาวรต่อไป

มาตรา ๒ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทำใด ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้

เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ซึ่งนำมาใช้ไปพลางก่อน บังคับแก่กรณีใด ให้กระทำการนั้นหรือวินิจฉัยกรณีนั้นไปตามประเพณี การปกครองประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

มาตรา ๓ ให้นายกรัฐมนตรี ดำเนินการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่รัฐธรรมนูญนี้มีผลใช้บังคับ

มาตรา ๔ ให้จัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ที่นำมาใช้ไปพลางก่อนภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร

มาตรา ๕ การร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ โดยให้แล้วเสร็จและประกาศใช้ภายใน ๑๒๐ วัน นับแต่วันจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ

 

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2563

"อนุชา"เยี่ยมหมู่บ้านรักษาศีล 5 ระยอง หวังพัฒนาสร้างสงบสุขแก่สังคม


เมื่อวันที่ 24 ส.ค.2563 เวลา 09.00 น. ที่วัดดอกกราย ต.แม่น้ำคู้ อ.ปลวกแดง จังหวัดระยอง นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมผลการดำเนินงานโครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา หมู่บ้านรักษาศีล 5 (ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี) ประจำปี 2563

นายอนุชา กล่าวว่า โครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5 เป็นโครงการที่มีความสำคัญ และเป็นภารกิจของคณะสงฆ์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนโครงการ ฯ  ให้ประสบผลสำเร็จ และบรรลุตามวัตถุประสงค์ ทั้งนี้ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน สังคม และประเทศชาติ ตลอดระยะเวลาที่ดำเนินโครงการประชาชนได้น้อมนำหลักศีล 5 มาประยุกต์และปรับใช้ในการดำเนินชีวิต ส่งผลให้ประชาชนมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้น สังคมมีความสงบร่มเย็น ประชาชนในชาติมีความสามัคคีปรองดองสมานฉันท์ 

ในนามรัฐบาล ขอแสดงความชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง และกราบขอบพระคุณคณะสงฆ์ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนโครงการนี้  ซึ่งทุกท่านได้เสียสละ และอุทิศตน ทั้งกำลังกาย กำลังใจ เพื่อขับเคลื่อนกิจการพระพุทธศาสนา นำมาซึ่งการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ ขอขอบพระคุณคณะสงฆ์จังหวัดระยอง รวมถึงหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคีเครือข่าย และพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดระยองที่ได้ร่วมกันส่งเสริมสนับสนุนขับเคลื่อนโครงการหมู่บ้านรักษาศีล 5   ตามแนวทางที่กำหนดด้วยดีเสมอมา หวังให้โครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยใช้หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา หมู่บ้านรักษาศีล 5 ได้รับการพัฒนาต่อยอดให้เจริญก้าวหน้า และสร้างประโยชน์สุขให้ประชาชนต่อไป 

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2563

“เจ้าคุณ ว.วชิรเมธี”ส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากพื้นที่จังหวัดเชียงราย

   

      

ซีพี ออลล์ ต่อยอดโครงการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากโดยชมรมจิตสาธารณะ ซีพี ออลล์ ร่วมกับ สำนักปฏิบัติการมณฑล RN พื้นที่จังหวัดเชียงราย จัดอบรมหลักสูตร “การจัดการร้านค้าปลีกยุคใหม่” และ “Good Manufacturing Practice (GMP) หลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร” เสริมสร้างทักษะองค์ความรู้ให้กับนักเรียนโรงเรียนชาวนา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับคนในชุมชน ณ มหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์ (ไร่เชิญตะวัน) จ.เชียงราย ซึ่งก่อตั้งโดย  พระเมธีวชิโรดม(ว. วชิรเมธี)  นายธานินทร์ บูรณมานิต กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. ซีพี ออลล์ ผู้บริหาร ออลล์ ออนไลน์ และเซเว่น อีเลฟเว่น และประธานชมรมจิตสาธารณะ ซีพี ออลล์ กล่าวว่า ด้วยความมุ่งหวังที่จะสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน สังคม และประเทศชาติ ซีพี ออลล์ ได้ขับเคลื่อนธุรกิจและตอบแทนสังคมผ่านโครงการต่างๆ ตามปณิธานของบริษัทฯ “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน” มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการสร้างโอกาสและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น          

ในครั้งนี้ ซีพี ออลล์ ได้สานต่อโครงการพัฒนาทักษะและองค์ความรู้สู่นักเรียนโรงเรียนชาวนา และเกษตรกร ในหัวข้อ “การจัดการร้านค้าปลีกยุคใหม่” และ “Good Manufacturing Practice (GMP) หลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตอาหาร” เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ของพนักงานในด้านการจัดการร้านค้าปลีกยุคใหม่ และ ให้คำแนะนำและคำปรึกษาในเรื่องของหลักเกณฑ์ วิธีการที่ดีในการผลิต รวมถึงการเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับการขออนุญาตผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้ที่ผ่านการอบรมหลักสูตรนี้ สามารถนำองค์ความรู้ต่างๆ ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ซึ่งจะเพิ่มความเข้มแข็งให้กับตนเอง ชุมชน และสังคม ส่งผลให้เกิดเศรษฐกิจฐานรากที่มั่นคง อีกทั้งยังเป็นการรักษาแนวทางเกษตรกรรมในรูปแบบเกษตรอินทรีย์ตามแนวคิดหลักของโรงเรียนชาวนาพุทธเศรษฐศาสตร์ นั่นคือ ความรับผิดชอบต่อสังคม เริ่มต้นจากข้าวเมล็ดเดียว พร้อมทั้งบริหารผลิตผลทางการเกษตรอย่างปลอดภัย เป็นผลิตภัณท์ที่สามารถสร้างรายได้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเน้นการให้ธรรมชาติคืนสู่ธรรมชาติ          

ด้านพระเมธีวชิโรดม(ว. วชิรเมธี) ผู้ก่อตั้งมหาวิชชาลัยพุทธเศรษฐศาสตร์ กล่าวว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดในการอบรมครั้งนี้ คือ “ประสบการณ์” อย่าสูญสิ้นความหวังและกำลังใจเมื่อมีใครมาวิพากษ์วิจารณ์ผลงานของเรา จงใช้คำติ คำวิจารณ์เหล่านั้นมาเป็นขุมทรัพย์ ใช้มันเป็นประโยชน์ พัฒนาผลงานของเราให้ดียิ่งขึ้น เพราะการที่จะสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆนั้น เราต้องมั่นแสวงหาคำวิจารณ์ที่เที่ยงตรง มันจะช่วยฝึกหัดขัดเกลาผลงานของเรา แล้วผลงานนั้นจะเป็นผลงานที่ดีจริงๆ”          

“จงอย่ากลัวคำแนะนำ อย่ากลัวคำวิจารณ์ หากเราอยู่ในที่ที่มีแต่คำชมเราจะไม่ได้พัฒนา วิทยากรจาก ซีพี ออลล์ ที่มาช่วยอบรม ช่วยวิจารณ์ผลงานในวันนี้คือครู และคนเราจะดีไม่ได้หากไม่มีครู”ท่านว.วชิรเมธี ทิ้งท้าย“ซีพี ออลล์ ขอเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสและพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีและสร้างความเข้มแข็งให้กับชาวนาและเกษตรกรไทย เพื่อช่วยสร้างเศรษฐกิจฐานรากที่มั่นคงในระยะยาว ตามปณิธานที่ ซีพี ออลล์ ยึดมั่นมาเสมอนั่นก็คือ ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน”

ขัดแย้งหนักหวิดวางมวยกลางสภาฯ! "ชวน" เรียก "สิระ -เต้" สยบศึกด่วน


วันที่ 21 สิงหาคม 2563 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในเวลาประมาณ 12.00 น. บริเวณ ชั้น 2 อาคารัฐสภา ห้องทำงานของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเดินทางกลับจากการแจ้งความดำเนินคดีกับนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ที่ปรากฏเป็นข่าวครึกโครมในช่วงเย็น เมื่อวานนี้ (20 ส.ค.) โดยได้เดินทางเข้ามาพบนายชวน เพื่ออธิบายถึงปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นและขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร สอบจริยธรรมนายมงคลกิตติ์ ด้วยโดยใช้เวลาคุยประมาณ 15 นาที ก่อนออกจากทำงานของนายชวน ปรากฏว่า นายมงคลกิตติ์ ยืนรอต่อคิวเพื่อเข้าพบนายชวน เช่นกันโดยทั้งคู่ได้มองหน้ากันแต่ไม่ได้มีการทักทาย หรือพูดคุยใดๆ โดยนายมงคลกิตติ์ ได้เข้าพบนายชวน ประมาณ 10 นาทีก่อนออกจากห้องไป          

จากนั้นเวลา12.30น. ที่รัฐสภา นายชวน ประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีปัญหาความขัดแย้งระหว่างนายสิระ กับนายมงคลกิตติ์ ว่า บอกตรงๆมาภาพพจน์ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ต้องแยกระหว่างคนหมู่ใหญ่กับ คน 2 คน ออกจากกัน อย่าเหมาว่าทุกคนในสภา จะมีสภาพแบบนี้ ตนตั้งใจว่าจะให้ทั้ง 2 คนได้พบกันและคุยกัน เพราะว่าถ้าไม่คุยกันจะยิ่งขัดแย้งกัน โดยนายสิระ ยืนยันว่าจะเรื่องส่งกรรมการจริยธรรม พอดีกับสัปดาห์ที่แล้ว เรากำลังประชุมกรรมการจริยธรรม เพื่อมอบให้นายนิกร จำนง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคชาติไทยพัฒนา ไปร่างระเบียบ วิธีปฏิบัติก็จะเป็นหนึ่งในเรื่องที่ รวมเอาไว้เพื่อเสนอคณะกรรมการจริยธรรมต่อไป          

นายชวน กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องความรุนแรง ขอร้องว่าอย่าให้เกิดขึ้น การขัดแย้งเรื่องวาจาไม่เป็นไร ค่อยว่ากันแต่เรื่องความรุนแรงอย่าให้เกิดขึ้น ตนพยายามที่จะเชิญทั้ง 2 ฝ่ายมาคุยกัน แต่ทั้งคู่ไม่ยอม มาคุยกัน โดยคนที่ยืนกรานว่าจะไม่ขอคุยคือนายสิระ ซึ่งทางฝ่ายของนายมงคลกิตต์ เองก็ไม่ต้องการเช่นกัน          

เมื่อถามว่า หากมีการต่อยหรือตีกันในสภาฯจริงๆจะมีบทลงโทษอย่างไรบ้าง นายชวน กล่าวย้ำว่า "บอกแล้วว่ายังไงก็อย่าให้เกิดขึ้น ผมคิดว่าดีที่สุดคือเอาคำพูดของแต่ละฝ่าย มารวบรวม เรียบเรียงว่าเริ่มต้นอย่างไร ใครเป็นผู้ก่อเรื่องขึ้นมาก่อน และเรื่องตามมาอย่างไร ส่วนเรื่องที่บอกว่าจะเอาให้ฟันร่วงหมดเลย เขาก็ยืนยันว่าเขาจะไม่ทำ" 

"สิระ"-"เต้"เผชิญหน้า!กลางสภาถามใครเริ่ม

ก่อนหน้านี้ที่อาคารรัฐสภา ชั้น 1 ระหว่างที่นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ หัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ ให้สัมภาษณ์พิเศษสื่อมวลชนอยู่ ได้เห็นนายสิระ เจนจาคะ ส.ส.พลังประชารัฐเดินเข้ามาพอดี จึงได้ปรี่เข้าไปหานายสิระ และจับแขนข้างขวาของนายสิระ ซึ่งนายสิระได้ขอให้ผู้ที่อยู่บริเวณดังกล่าว ช่วยบันทึกภาพไว้เป็นหลักฐานก่อนจะสะบัดมือออกทันทีและพูดว่า อย่ามาจับตน จับตัวตนไม่ได้ นายมงคลกิตติ์เป็นนักเลง        

ก่อนที่นายมงคลกิตติ์ จะเดินตามนายสิระ แต่นายสิระได้พยายามเดินเลี่ยงหนี และขอให้ตำรวจสภามาพาตัวนายมงคลกิตติ์ออกไป และระบุว่าให้ภาพฟ้องคนทั้งประเทศว่า ส.ส.กระทำผิด นี่คือสภาอันทรงเกียรติ มาหาเรื่อง ขณะที่นายมงคลกิตติ์ สวนกลับว่า "ทำไมเวลาพูดไม่คิด ใครเป็นคนเริ่ม"  ทำให้นายสิระตอบกลับว่า คิดแล้ว และบอกว่าไม่ต้องมาพูดกับตน"          

นายสิระ เรียกร้องให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ช่วยสั่งให้เจ้าหน้าที่ ดูแลความปลอดภัย เพราะเดินไปทางไหนถูกนายมงคลกิตติ์เข้ามาก่อกวน รังควาน คุกคาม ในระหว่างเข้ามาทำหน้าที่ในสภาฯ          

ด้าน นายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า แทนที่นายสิระ จะมีสำนึกขอโทษ ในฐานะลูกผู้ชาย และตนไม่ได้ทำอะไรเพียงต้องการสอบถามว่าสิ่งที่นายสิระพูดคิดก่อนหรือไม่ ที่ต่อว่า และด่าผู้อื่นลับหลังหลายครั้ง ซึ่งตนไม่ชอบ ยืนยันไม่เคยด่าว่านายสิระ และไม่เคยเริ่มก่อน ปกติเวลามีไรเคลียร์กัน ตกลงกันไม่ได้ก็นอกห้อง ไม่ต้องเอาครูบาอาจารย์มาเกี่ยวหรือฟ้องผู้ใหญ่ ตนเป็นลูกผู้ชาย ปกติอ่อนน้อม เพียงแต่ว่าเจอคนมีการศึกษาเราก็มีการศึกษา มาว่าคนอื่นลับหลังไม่ใช่ลูกผู้ชาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หากเกิดการชกต่อยกันขึ้นระหว่างนายสิระกับนายมงคลกิตติ์กลางสภาฯ เท่ากับว่าความขัดแย้งนั้นได้พัฒนาเป็นความรุนแรง  ซึ่งความรุนแรงนั้นมีทั้งโดยตรงและโดยอ้อม   ซึ่งรศ.ดร.โคทม  อารียา  ที่ปรึกษาศูนย์ศึกษาและพัฒนาสันติวิธีมหาวิทยาลัยมหิดล  ได้นำเสนอตามกรอบความคิดของ"โยฮัน กัลตุง"  (Johan Galtung) โดยแบ่งเป็น 3  ระดับ คือ   ทางตรงหรือกายภาพ   เชิงโครงสร้าง   และเชิงวัฒนธรรม   ความรุนแรงทางกายภาพนั้นจะต้องมีผู้กระทำให้เกิดขึ้นทั้งทางกายและทางวาจา  

ส่วนความรุนแรงเชิงโครงสร้างหรือเชิงระบบจะไม่ปรากฏผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ มีลักษณะเป็นการขัดขวางไม่ให้มีการตอบสนองต่อความจำเป็นขั้นพื้นฐาน  การแบ่งชนชั้น ลัทธิเหยียดผิว ชาติพันธุ์ การทำลายตนเอง การทำลายชุมชน  และการทำลายรัฐ-ชาติ โดยรัฐประหาร การกบฏ การก่อการร้าย สงคราม ขณะที่ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรมก็จะไม่ปรากฏผู้กระทำและผู้ถูกกระทำเช่นกัน โดยจะการถ่ายทอดออกมาเป็นความเกลียด ความกลัว อคติ ความเจ็บแค้น เป็นความรุนแรงทางศาสนา อุดมการณ์ ภาษา และศิลปะ


วันพุธที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2563

ทูตสหรัฐอเมริกาเยือนมหาจุฬาฯ ปาฐกถาพิเศษ"เสรีภาพทางศาสนา"


วันที่ 19 สิงหาคม 2563 นายไมเคิล จอร์จ ดี ซอมบรี้ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย พร้อมคณะ ได้เดินทางไปเยือนพบปะผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา  โดยมีพระราชปริยัติกวี,ศ.ดร. อธิการบดี มจร พร้อมผู้บริหารระดับสูง ให้การต้อนรับด้านหน้าหอพระไตรปิฎก  นำสักการะพระบรมสารีริกธาตุแล้ว นำเอกอัครราชทูตเยี่ยมชมวัดมหาจุฬาลงกรณ์ราชูทิศ กราบพระประทานภายในอุโบสถกลางน้ำ ชมพุทธศิลป์และจิตกรรมฝาผนัง ชมภาพบันทึกเหตุการณ์สึนามิในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ.2547


จากนั้นเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยได้ไปยังศาลาคุณหญิงอุไรศรี คณึงสุขเกษม วัดมหาจุฬาฯ เพื่อปาฐกถาพิเศษ เรื่อง "เสรีภาพทางศาสนา" ว่า ในประเทศสหรัฐอเมริกามีเสรีภาพในการนับถือศาสนา และห้ามออกกฎหมายยกย่องศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นพิเศษ ทั้งห้ามออกกฎหมายห้ามประชาชนนับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งด้วย ซึ่งประเทศไทยก็มีการให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาเช่นกัน ซึ่งการให้เสรีภาพการนับถือศาสนานั้น เป็นการสร้างรากฐานแห่งการไว้ใจกัน ประชาชน 8 ใน 10 ของโลกยังขาดเสรีภาพในการนับถือศาสนา ดังนั้นเราต้องร่วมมือกันเพื่อให้เกิดเสรีภาพในเรื่องดังกล่าวมากขึ้น


เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาฯ กล่าวต่อไปว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา มีนโยบายให้ตั้งเครือข่ายเสรีภาพทางศาสนาแล้วเมื่อเดือนก.พ.2563 ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการตั้งเครือข่ายในลักษณะดังกล่าวขึ้น ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ก็มีการดำเนินงานของผู้ติดต่อระหว่างประเทศว่าด้วยเสรีภาพการนับถือศาสนาและความเชื่อ ซึ่งขณะนี้มีสหรัฐอเมริกา และแคนาดา ร่วมดำเนินงานกันอยู่ เพื่อส่งเสริมเสรีภาพการนับถือศาสนาในระดับสากล และกำลังรอประเทศสมาชิกเข้าร่วมดำเนินการเพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้การเคารพเสรีภาพในการนับถือศาสนา จะทำให้ทั้งสหรัฐอเมริกา และไทย เป็นประเทศที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม พร้อมกันนี้ขอเป็นกำลังใจให้กับการทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ เพราะถือว่าเป็นงานไม่ง่าย จึงขอให้ภูมิใจในการทุ่มเททำงานนี้


พระโสภณวชิราภรณ์ (ไสว โชติโก) รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ มจร กล่าวว่า นายไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรี ต้องการศึกษาวัฒนธรรมไทย รากฐานของสังคมไทย จึงได้ประสานมายังมจร ทั้งยังต้องการดูมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ของทางมจร ด้วย โดยก่อนหน้านี้ทราบมาว่า นายไมเคิล จอร์จ ดีซอมบรี ได้เดินทางไปเยี่ยมชมวัดไทยหลายแห่งมาแล้ว

เสร็จแล้วพระราชปริยัติกวีกล่าวอนุโมทนาขอบคุณเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย แลกเปลี่ยนของที่ระลึก และร่วมกันถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึก เสร็จแล้วนำคณะทูตไปที่หอฉัน เข้าชมนิทรรศการ "มหาจุฬาฯกับ อเมริกา" เดินทางขึ้นไปยังหอฉันชั้น 2 เพื่อร่วมพิธีตักบาตรและถวายภัตตาหารเพลแก่ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ นิสิต มหาจุฬาฯ อธิการบดีกล่าวอนุโมทนา ให้พร คณะทูตกราบลาพระรัตนตรัยก่อนเดินทางกลับจากมหาจุฬาฯโดยสวัสดิภาพ



โครงสร้างนิยายเรื่อง "น่านรัก"

โครงสร้างนิยายเรื่อง "น่านรัก" 1. บทนำ เปิดเรื่อง : สันติสุข ชายหนุ่มนักเขียนนิยายธรรมะที่ต้องการค้นหามิติใหม่ของการเล่าเรื่องธรรม...