วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559


กูรูพลังงานหมุนเวียนชูไทยเป็นผู้นำพลังงานแห่งอาเซียน แนะรัฐบาลเร่งออกนโยบายสนับสนุนพลังงานหมุนเวียน เพราะราคาถูกกว่าพลังงานหลักปัจจุบัน 


               ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย วันที่ 6 ก.ย. ชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม จัดเวทีเสวนาเรื่อง “อนาคตพลังงานหมุนเวียนไทยกับทิศทางพลังงานภูมิภาคอาเซียน” เพื่อเป็นเวทีแสดงความคิดเห็นถึงทิศทางพลังงาน และแนวโน้มการใช้พลังงานทดแทนในอนาคตว่าจะไปในทิศทางใดต่อไป

               นายศุภกิจ นันทะวรการ ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสาธารณะ มูลนิธินโยบายสุขภาวะ มองถึงการใช้พลังงานหมุนเวียนประเภทต่างๆ บนโลกใบนี้ รวมถึงในประเทศไทยว่า ปัจจุบันพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมมีการซื้อขายได้จริง ซึ่งทำให้เกิดการแข่งขันทางการค้าแล้ว เห็นได้จากข้อมูลราคาพลังงานทดแทนใน 16 ประเทศ จาก 6 ทวีปทั่วโลก ปัจจุบันราคาพลังงานแสงอาทิตย์เฉลี่ยอยู่ที่ 1.70-3.30 บาท/หน่วย ส่วนพลังงานลมราคาอยู่ที่ 1.10-3.50 บาท/หน่วย หากเทียบกับพลังงานหลักที่ใช้ในปัจจุบัน พลังงานหมุนเวียนมีราคาถูกกว่า

               สำหรับประเทศไทยตั้งแต่ปี 2552-2556 มีการใช้พลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น เห็นได้จากการขายพลังงานเข้าสู่ระบบของไทยที่มีมากสุดในภาคกลาง รองลงมาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคใต้ ตามลำดับ

               อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันนโยบาย แผนพัฒนาการผลิตไฟฟ้าของรัฐบาลปี 2558-2579 ที่รัฐบาลอนุมัติเมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา ได้กำหนดว่าจะก่อสร้างโรงไฟฟ้าประเภทต่างๆ เพิ่ม อาทิ โรงไฟฟ้าถ่านหิน 9 โรง โรงไฟฟ้านิวเคลียร์และโรงไฟฟ้าอื่นๆ ในอนาคต โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากที่ผ่านมาไทยทำลายสถิติการใช้พลังงานไฟฟ้าเลยจุดสูงสุดหลายครั้ง เห็นได้จากเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2558 มีการใช้ไฟฟ้าสูงสุดที่ 29,619 เมกะวัตต์ แต่หากเทียบกับกำลังผลิตไฟฟ้าสูงสุดของประเทศที่สามารถรองรับได้ถึง 40,932 เมกะวัตต์ ซึ่งตรงนี้มีค่าส่วนต่าง 11,313 เมกะวัตต์ ฉะนั้นจึงมองว่าตรงนี้ไทยยังมีกำลังผลิตไฟฟ้าที่เพียงพออยู่


               "อีก 10 ปีข้างหน้าตั้งแต่ปี 2558-2568 รัฐบาลจะมีการสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มอีก 25 แห่ง ซึ่งจะทำให้อัตราค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 3.75 บาท/หน่วย เพิ่มเป็น 5.26 บาท/หน่วย โดยราคานี้ไม่นับรวมภาษีอื่นเพิ่มเติม แต่ผมมองว่าศักยภาพการผลิตพลังงานหมุนเวียนของไทยยังเพียงพอต่อจุดพีกการใช้พลังงานไฟฟ้าของประเทศในอีก 20 ปีข้างหน้า แต่การดำเนินการขึ้นอยู่ที่ว่าส่วนราชการจะทำหรือไม่นั้น"

               ทั้งนี้ปัญหา 10 ปีที่ผ่านมาของไทยกับนโยบายการรับซื้อพลังงานแสงอาทิตย์ ส่วนตัวมองว่าเป็นนโยบายการคอร์รัปชั่น รูปแบบหนึ่ง คือ 1.การรับซื้อมีการกำหนดปริมาณเฉพาะและเปิดเป็นรอบๆ โดยไม่ยอมให้เปิดแบบรับซื้อเสรี จึงทำจำนวนการรับซื้อพลังงานทดแทนไม่มีความแน่นอน  2.ราคารับซื้อถูกกำหนดโดยฝ่ายการเมือง และไม่ยอมเปิดให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการพิจารณาราคากลาง จึงทำให้การปรับราคาไม่โปร่งใส 3.การอนุมัติโครงการต่างๆ ยังคงมีความล่าช้าในการพัฒนาทางธุรกิจ จึงทำให้ภาพรวม 3 นโยบายดังกล่าวเอื้อต่อการคอร์รัปชั่น

               ผู้จัดการฝ่ายนโยบายสาธารณะ มูลนิธินโยบายสุขภาวะ ได้เสนอแนะว่า การใช้พลังงานทดแทนในอนาคตไทยยังติดอยู่กับรูปแบบการทำอุตสาหกรรมแบบเดิม ดังนั้นควรต้องปรับตัวเพื่อให้เท่าทัน เช่น กลางวันใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ ส่วนกลางคืนใช้พลังงานชีวมวล ถ้าตอบปัญหาเรื่องนี้ได้ ก็จะแก้ปัญหาพลังงานฟอสซิลในอนาคตได้


               ด้าน ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้พัฒนาธุรกิจพลังงานหมุนเวียนรายแรกในประเทศไทย อธิบายว่า พลังงานเป็นเรื่องที่ใกล้ชิดกับชีวิตของคน ซึ่งในประเทศไทยเริ่มมีการประกาศรับซื้อพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนครั้งแรกเมื่อ  6 ปีที่แล้ว สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสใหม่ทางด้านพลังงานของประเทศ

               อย่างไรก็ตาม หลังเอสพีซีจีประสบความสำเร็จจากโครงการที่ 1 ทำให้การลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในประเทศไทยและประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเซีย สำหรับประเทศไทยเอสพีซีจีสามารถช่วยสร้างานกว่า 20,000 คนในช่วงก่อสร้าง และอีกกว่า 2,000 ตำแหน่งงานในช่วงอีก 30 ปี นอกจากนี้เอสพีซีจียังช่วยลดมลภาวะ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เทียบแล้วจะลดการปล่อยคาบอนไดออกไซด์ 210,000 ตันต่อปี

               "ในประเทศไทยช่วง 5 ปีที่ผ่าน มีการพัฒนา และนำไปสู่การพึ่งตนเอง คือประชาชนที่มีความรู้ได้ติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อใช้เอง หรือเรียกว่า solar roof top และเชื่อมั่นว่า แนวทางการพัฒนาการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นพลังงานสะอาด เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยสร้างงานสร้างรายได้ในชนบท และเป็นพลังงานที่ยั่งยืนและมั่นคงแก่ประเทศในอนาคต"

               ดร.วันดี ยังมองถึงการเติบโตทางด้านการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์จากโซลาร์เซลล์ด้วยว่า ขณะนี้การผลิตพลังงาน โซลาร์เซลล์กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งประเทศไทยสามารถผลิตได้ปีละ 3,000 เมกะวัตต์ ใกล้เคียงกับประเทศอังกฤษ และไทยยังติด 1 ใน 10 ประเทศของโลกที่มีการพัฒนาเรื่องพลังงานแสงอาทิตย์ดีที่สุด จนถูกยกให้เป็นผู้นำด้านโซลาร์เซลล์ในอาเซียน และในอีก 20 ปีข้างหน้าคาดว่าไทยจะสามารถผลิตพลังงานจากแสงอาทิตย์ได้ถึงปีละกว่า 2 หมื่นเมกะวัตต์ เพราะอนาคตไม่เกิน 3 ปีข้างหน้าจะเป็นยุคของพลังงานหมุนเวียนและพลังงานทดแทน เพราะจะต้องเป็นโจทย์การใช้พลังงานของประเทศอย่างเห็นได้ชัด

               ขณะที่ นายธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการประจาประเทศไทย กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มองว่า ประเด็นพลังงานที่ผ่านมาในไทยมีการถกเถียงเรื่องนี้มาโดยตลอด เพราะถึงแม้ว่าพลังงานหมุนเวียนจะโตเร็วมากในอาเซียน แต่พลังงานฟอสซิลยังคงมีสัดส่วนการใช้ที่มีอยู่มาก เห็นได้จากประเทศในแถบยุโรป จีน อินเดีย ยังคงใช้เชื้อเพลิงถ่านหินเป็นหลักในการผลิตพลังงานอยู่ ทั้งนี้ จากแผนความร่วมมือด้านพลังงานหมุนเวียนในอาเซียน ที่มีแนวโน้มการประหยัดพลังงานในทางที่ดีขึ้น ซึ่งประเทศไทยถือว่าเป็นเสาหลักในการดำเนินการเรื่องนี้มาพอสมควร ดังนั้นคิดว่าหน่วยงานองค์กรต่างๆ ของไทยควรพัฒนาเรื่องพลังงานหมุนเวียนให้เกิดการขยายตัวในอาเซียน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วิเคราะห์ธรรมิกวรรคในพระไตรปิฎกเล่มที่ 22 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 14 อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ปฐมปัณณาสก์

  วิเคราะห์ธรรมิกวรรคในพระไตรปิฎกเล่มที่ 22 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 14 อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต ปฐมปัณณาสก์ ในปริบทพุทธสันติวิธี บทนำ ธรรมิกวร...