วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ศาลฎีกายืนคุก 4 เดือน อดีตผู้สมัครส.ส.อนาคตใหม่คดีฉีกบัตร "ปิยบุตร" ให้กำลังใจ




เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2563 เวลา 09.30 น. ณ ศาลจังหวัดพระโขนง ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีฉีกบัตรออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฯ ปี 2560 คดีหมายเลขดำ 5952/2559 ที่พนักงานอัยการพระโขนงเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้ อดีตผู้สมัคร ส.ส. เขต 1 จ.กาฬสินธุ์ พรรคอนาคตใหม่ และอดีตนายกสมาคมเพื่อเพื่อน, นายจิรวัฒน์ เอกอัครนุวัฒน์ และนายทรงธรรม แก้วพันพฤกษ์ เป็นจำเลยที่ 1-3 ข้อหาทำลายเอกสารผู้อื่น ในประการที่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน และทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 358 และข้อหาทำลายบัตรออกเสียงตาม พ.ร.บ.ประชามติฯ มาตรา 59 รวมทั้งต่อมาได้แจ้งเพิ่มเติมในข้อหาก่อความวุ่นวายในหน่วยลงคะแนน ตามมาตรา 60 (9) ของ พ.ร.บ.ประชามติฯ โดยศาลพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
จำเลยทั้งสามเดินทางมาศาล พร้อมด้วย นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ร่วมฟังคำพิพากษา นอกจากนี้ยังมีประชาชนผู้รักประชาธิปไตยมาร่วมให้กำลังใจด้วย

นายปิยบุตร กล่าวว่า เดินทางมาให้กำลังใจทั้งสามคน ซึ่งเป็นนักกิจกรรม ผู้รักประชาธิปไตย ที่เห็นถึงความไม่ชอบธรรมของการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 60 และแสดงออกอย่างสันติ เป็นอารยะขัดขืน หรือที่เรียกว่าการดื้อแพ่งพลเมือง เพื่อประท้วงต่อกระบวนการและกฎหมายที่เป็นอยู่ พร้อมทั้งยอมถูกดำเนินการตามกฎหมาย 

"ผมเห็นว่าการทำประชามติครั้งนั้นไม่ได้มาตรฐาน เสรีภาพของฝ่ายที่ไม่อยากรับรัฐธรรมนูญรณรงค์ได้อย่างจำกัด ทุกวันนี้ยังมีคดีจำนวนมากค้างคาอยู่ในศาล ผมเห็นว่าในเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านการออกเสียงประชามติและประกาศใช้แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องคงคดีจากการประชามติเอาไว้ ตรงกับข้ามยิ่งเป็นสัญลักษณ์ให้เห็นว่าการประชามติมีปัญหา และแสดงถึงความไม่ชอบธรรมของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ด้วย"  เลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าว 

คดีฉีกบัตรออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฯ ปี 2560 เกิดจากกรณีเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2559 นายปิยรัฐเดินทางไปยังคูหาลงคะแนนเสียงที่เขตบางนาและฉีกบัตรลงคะแนน พร้อมกับตะโกนถ้อยคำของ ครูครอง จันดาวงศ์ ว่า “เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ” เพื่อแสดงออกว่าไม่ยอมรับการลงประชามติที่ปราศจากความชอบธรรม ภายใต้การใช้อำนาจควบคุมการแสดงออกของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยนายทรงธรรมกับนายจิรวัฒน์เป็นผู้ถ่ายคลิปวิดีโอการฉีกบัตรดังกล่าว

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2560 พิพากษาลงโทษนายปิยรัฐ จำเลยที่ 1 ฐานทำลายบัตรออกเสียง และทำให้เสียทรัพย์ โดยเป็นการกระทำเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานทำให้เสียทรัพย์ จำคุก 4 เดือน ปรับ 4,000 บาท จำเลยรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 2 เดือน ปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกรอลงอาญา 1 ปี ข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง และยกฟ้องจำเลยที่ 2 และ 3 ทุกข้อกล่าวหา 

ต่อมาศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2561 พิพากษาแก้เป็นนายปิยรัฐ จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานทำลายบัตรออกเสียง และก่อความวุ่นวายในที่ออกเสียง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานก่อความวุ่นวาย ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนัก ส่วนนายจิรวัฒน์ จำเลยที่ 2 และนายทรงธรรม จำเลยที่ 3 มีความผิดฐานก่อความวุ่นวาย ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 6 เดือน ปรับคนละ 6,000 บาท จำเลยทั้งสามให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 4 เดือน ปรับคนละ 4,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 1 ปี จำเลยทั้งสามยื่นฎีกาต่อศาลฎีกา และในวันนี้ ศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"มจร"สีเขียวยุคAI! จัดกิจกรรม "รักษ์ มจร รักษ์สิ่งแวดล้อม คืนขยะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน"

กิจกรรม “รักษ์ มจร รักษ์สิ่งแวดล้อม” เป็นตัวอย่างที่ดีของการผสมผสานระหว่างจริยธรรมและเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบัน ด้วยหล...