เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 เฟซบุ๊ก Naga King ได้โพสต์ข้อความว่า ปัญหาการทำวิจัยด้านคัมภีร์..(ที่พบบ่อย)
@ หากคนที่อยู่ในแวดวง ม.มจร.โดยเฉพาะสายวิชาการด้านคัมภีร์ไม่ว่าจะเป็นสาขาพระไตรปิฎกหรือสาขาพระพุทธศาสนาก็ตาม เรื่องหนึ่งที่พบว่าเป็นปัญหามากเวลาสอหรือนำเข้าสู่บทเรียนก็คือ
(๑) "นักศึกษาขาดความรู้ในเรื่องพระไตรปิฎกหรือคัมถีร์ทางพระพุทธศาสนา" เพราะหลายท่านจบมาจากมหาวิทยาลัยข้างนอกหรือแม้แต่เป็นพระภิกษุเองก็ไม่ค่อยได้สนใจอ่านหรือปูพื้นฐานด้านคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนามาก่อนจนแทบจะบอกได้ว่า แม้เป็นพระก็ยังไม่เคยเปิดพระไตรปิฎกเลยก็มี คือเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก เมื่อเวลาที่เขา/ท่านเหล่านั้นหันเข็มทิศมาเรียนสาขาพระไตรปิฎกหรือสาขาวิชาพระพุทธศาสนาก้จะเป็น "ภาระ"ของบรรดาครูบาอาจารย์ที่อยู่ในหลักสูตรนั้นๆจะต้อง "เทรนด์หรือขุนให้มีความรู้พื้นฐานให้ได้ หรือให้เท่าทันเพื่อน
(๒) นักศึกษาผูกติดกับทฤษฎีตะวันตก แล้วไปลากกรอบแนวคิดแบบตะวันตกโดยเฉพาะเรื่องสถิติวิจัยมาปนกับงานวิจัยแบบัมภีร์ และโดยมากเมื่อเข้ามาเรียนแล้วจะ "เคลมวิธีการแบบคัมภีร์ว่าโบราณคร่ำครึไม่ทันสมัย" แล้วยังลุล่วงไปบอกว่า วิธีการเรียนคัมภีร์ไม่มี "นัยทางสถิติ"ไม่ทันสมัยไม่สามารถตรวจสอบได้ วิทยานิพนธ์ที่ทำๆออกมาก็ไม่ต่างไปจากรายงานเล่มหนึ่งเท่านั้น เฮ่อ ...มากกมายหลายคำพูดที่จะนำมาว่า
(๓) ระบบคิดในคัมภีร์มันโบราณไม่เข้ากับยุคสมัย คำสอนต่างๆก็ประยุกต์กับโลกในยุค New Normal ไม่ได้เอาเสียเลย ทำให้คัมภีร์หรือพระไตรปิฏกนั้นเป็นเสมือนโทรศัพท์ที่ตกยุค ไม่ทันสมัยทำประโยชน์ไม่ได้ ไม่ตอบโจทย์คนในยุคนี้ได้เลย
@ ปัญหาพวกนี้เป็นปัญหาที่พบมากในการเรียนการสอนในระดับบัณฑิตวิทยาลัย ดังนั้น บรรดาครูบาอาจารย์ที่สอนจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับผู้เรียนด้านคัมภีร์ว่าไม่ได้มีเฉพาะคนที่เรียนรู้คัมภีร์เท่านั้นที่มาเรียนแต่ยังมีบรรดานักเรียนผู้ไม่มีพื้นฐานมาเรียนด้วย ซึ่งผู้สอนจะต้องทำการอบรมและปูื้นฐานให้ความรู้ปรับทัศนคติของผู้เรียนให้ตรงต่อสายที่เรียนคือ ต้องนำผุ้เรียนเข้าไปสู่การเรียนรู้ในสาขาที่ตนเองศึกาาอยู่ให้ได้ แม้ว่ามันจะดูยากลำบากอยู่สักหน่อยก็ตาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น