วันศุกร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2566

“อภัย-บี”หนี่งในผลิตภัณฑ์คุณภาพ ของอภัยภูเบศร ป้องกันสมองเสื่อม ปลอดภัยต่อตับและไตเภสัชมหาวิทยาลัย อุบลฯ-ขอนแก่นคว้ารางวัลงานวิจัย


 

“อภัย-บี”หนี่งในผลิตภัณฑ์คุณภาพ ของอภัยภูเบศร ป้องกันสมองเสื่อม  ปลอดภัยต่อตับและไตเภสัชมหาวิทยาลัย อุบลฯ-ขอนแก่นคว้ารางวัลงานวิจัย  เวทีมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่20 

 เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2566    ในงานเวทีมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 20 เวทีการประกวดผลงานวิชาการด้านสมุนไพร การแพทย์แผนไทย การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ทางเลือก ในปีนี้มีผู้เข้าประกวด และผ่านการคัดเลือกรับรางวัลงานวิจัยจากหลากหลายหน่วยงาน โดยการประกวดนี้มีขึ้นเพื่อส่งเสริมการศึกษาวิจัย ยกระดับภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและสมุนไพรด้วยผลงานทางวิชาการ

@siampongnews #อภัย-บี หนี่งในผลิตภัณฑ์คุณภาพ ของ #อภัยภูเบศร ป้องกัน #สมองเสื่อม ปลอดภัยต่อตับและไตเภสัชมหาวิทยาลัย อุบลฯ-ขอนแก่นคว้ารางวัลงานวิจัย เวที #มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่20 #ข่าวtiktok ♬ เสียงต้นฉบับ - samran sompong

โดยในปีนี้ อภัย-บี หรือ ตำรับกลีบบัวแดง เป็นหนึ่งในงานวิจัยที่ได้รับรางวัล โดยทีมนักวิจัย รศ.ดร.พรทิพย์ วรวุฒิ คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี และ รศ.ดร.จันทนา บุญยะรัตน์ จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้รับรางวัลงานวิจัยรองชนะเลิศอันดับ 1 เรื่อง ผลการป้องกันความจำเสื่อมในสัตว์และการทดสอบความเป็นพิษของยาสมุนไพรตำรับกลีบบัวแดง และยังได้รับรางวัลนวัตกรรมเพื่อสังคม 60 ปี มหาวิทยาลัยขอนแก่น เนื่องจากเป็นการวิจัยที่ช่วยยกระดับภูมิปัญญาของไทยและสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ ซึ่งการวิจัยในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุดโครงการการวิจัยตำรับอภัย-บี เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์สมุนไพรให้ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ  ซึ่งดำเนินการมามากกว่า 5 ปี  ตั้งแต่การพัฒนามาตรฐานวัตถุดิบ การทดสอบฤทธิ์ รวมถึงการวิจัยในคน จนปัจจุบันตำรับอภัย-บีได้รับการอนุมัติให้ขึ้นทะเบียนเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรเพื่อสุขภาพจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา  ที่สามารถจำหน่ายได้ทั่วไป



ในการศึกษาวิจัยนี้ได้รับการสนับสนุนยาสำหรับการวิจัย คือผลิตภัณฑ์อภัย-บี กลีบบัวแดง ของ มูลนิธิ รพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร โดยภายในงาน คณะนักวิจัยยังได้มีการบรรยายความรู้ให้ประชาชนที่มาร่วมงานผ่านเวทีอภัยภูเบศร ในหัวข้อ เปิดงานวิจัย อภัย-บี ตำรับแก้สมองเสื่อม โดยนักวิจัยได้เผยว่า การศึกษาวิจัยนี้เป็นการดูถึงประสิทธิผลในการป้องกันและรักษาอัลไซเมอร์ของตำรับยาสมุนไพรกลีบบัวแดงในหนูทดลองที่ทำจาก บัวหลวง บัวบก และ พริกไทย จากงานวิจัยในสัตว์ทดลองพบกลไกหลากหลายในต้านอัลไซเมอร์ ทั้งการบำรุงเซลล์สมอง  ปกป้องสมองจากสารพิษ  ต้านเอนไซม์อะเซทิลโคลินเอสเตอเรส ลดการสะสมของโปรตีน tau และ โปรตีนอะไมลอยด์ในสมอง  ช่วยเพิ่มความจำของหนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นสมองเสื่อม โดยสามารถฟื้นฟูความจำทั้งระยะสั้นและระยาว จึงสามารถใช้ได้ทั้งการป้องกันและรักษาอัลไซเมอร์ได้ รวมถึงการทดสอบความเป็นพิษต่อตับและไตแล้วพบว่ามีความปลอดภัยต่อตับและไต ซึ่งงานวิจัยนี้สอดคล้องกับการวิจัยในอาสาสมัครสุขภาพดีที่ดำเนินการไปแล้ว  ทั้งนี้กลุ่มนักวิจัยมีเป้าหมายที่จะศึกษาฤทธิ์ในมนุษย์เพิ่มเติมในประสิทธิผลการป้องกันอัลไซเมอร์  เพราะปัญหาสมองเสื่อมปัจจุบันพบมากขึ้นด้วยสังคมผู้สูงอายุ ประกอบกับยาที่ใช้กันทั่วโลกมีเพียง 5 ชนิด และใช้ได้สำหรับกรณีที่เป็นอัลไซเมอร์ที่มีความรุนแรงน้อยถึงปานกลางเท่านั้น  โดยยาที่อนุมัติมาก่อนหน้านี้เป็นยาที่ออกฤทธิ์ด้วยกลไกเดียว ซึ่งตำรับอภัย-บี  ออกฤทธิ์หลายกลไกน่าจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ได้    โดยวางแผนวิจัยในอนาคตว่าจะมีการนำเทคนิคทางการวิจัยขั้นสูงทั้งโปรติโอมิกส์และเมตาโบโลมิกส์เข้ามาใช้  เพื่อให้เข้าใจการออกฤทธิ์แบบองค์รวมของตำรับยาสมุนไพรดังกล่าว



รศ.ดร.จันทนา  หัวหน้าชุดโครงการได้กล่าวเพิ่มเติมว่า  "ตำรับอภัย-บี กลีบบัวแดง  เราทำงานวิจัยมาต่อเนื่อง  งานวิจัยที่นำมาเสนอในครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในชุดโครงการใหญ่ที่ผ่านมา โดยที่ผ่านมาเราได้ทดสอบฤทธิ์ในการต้านความจำเสื่อม  พบว่าเป็นตำรับที่มีศักยภาพ พบการออกฤทธิ์หลายกลไก ทั้งการช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ปกป้องสมอง ช่วยฟื้นฟูความจำ ลดระดับฮอร์โมนความเครียดในสมองส่วนฮิปโปแคมปัส  ซึ่งสอดคล้องกับองค์ความรู้ดั้งเดิม  และผ่านการวิจัยในมนุษย์ที่มีภาวะรู้คิดบกพร่องเล็กน้อย (Mild Cognitive Impairment หรือ MCI ) ซึ่งเป็นอาการที่เกิดขึ้นก่อนภาวะสมองเสื่อมไปแล้ว พบว่ามีความปลอดภัยและกำลังดำเนินการต่อเพื่อศึกษาประสิทธิผลในกลุ่มผู้ป่วยจำนวนมากขึ้น ซึ่งในส่วนตัวก็มีความรู้สึกมั่นใจว่าเราจะสามารถพัฒนาตำรับยานี้มาเพื่อแก้ปัญหาสมองเสื่อมให้กับประเทศได้อย่างแน่นอน"

สำหรับท่านที่สนใจสามารถเที่ยวชมงานและปรึกษาสุขภาพได้ ที่งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 20 ณ อิมแพ็คเมืองทองธานี ฮอลล์ 11-12 โดยงานยังคงมีตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2566 เวลา 10.00-20.00น. และสามารถติดตามรับฟังข้อมูลความรู้จากเวทีอภัยภูเบศรย้อนหลังได้ทาง เฟซบุ๊คสมุนไพรอภัยภูเบศร และYoutube อภัยภูเบศร

"เอกนัฏ" ยัน "พีระพันธุ์" จะสละตำแหน่งส.ส. ขอทำงานกับ "บิ๊กตู่" ตำแหน่งเลขาฯนายกฯจนหมดวาระรัฐบาล



เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรคโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว จะอยู่ทำหน้าที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรีทำงานจนนาทีสุดท้ายกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า มีสื่อมวลชนโทรศัพท์เข้ามาสอบถามกันมากถึงเรื่องดังกล่าว เพื่อป้องกันความสับสน ขอยืนยันว่า นายพีระพันธุ์ ได้สละตำแหน่ง ส.ส.เพื่อที่จะปฏิบัติงานในตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จนหมดวาระรัฐบาลรักษาการ

 ทั้งนี้นายพีระพันธุ์  โพสต์ข้อความว่า 

 วันนี้และตลอดไป

ผมเคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 66 ว่าผมไม่มีวันทิ้ง “ลุงตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และจะทำหน้าที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรีจนวินาทีสุดท้ายของท่านในการทำงานและการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีของคนไทยและประเทศไทย

วันนี้  30 มิ.ย. 66 เป็นวันที่ผมยืนยันในคำประกาศของผม

ผมไม่มีวันทิ้งคนดีที่ตั้งใจทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง ที่รักชาติบ้านเมืองและสถาบันหลักของชาติยิ่งชีวิต อย่าง “ลุงตู่” พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ ท่านไม่เคยเป็นนักการเมือง ไม่เคยยุ่งเกี่ยวการเมือง ไม่เคยมีประสบการณ์การเมือง แต่เมื่อต้องมารับผิดชอบบ้านเมือง ท่านกลับทำหน้าที่ผู้นำประเทศ ดูแลบ้านเมืองและประชาชนได้ดีกว่านักการเมืองทุกคนที่ผมเห็นและรู้จักมากว่า 30 ปี 

พูดได้ว่าช่วง 8 ปีภายใต้การนำของท่านประเทศไทยพลิกโฉมไปสู่ความเจริญแบบก้าวกระโดด มีการวางรากฐานทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อรองรับอนาคต ชาติให้เติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนทุกด้าน แม้จะยังไม่จบครบถ้วนแต่ก็คืบหน้าไปมาก 

ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างแท้จริงที่มีโอกาสรู้จัก มีโอกาสใกล้ชิด และมีโอกาสทำงานกับท่าน ยิ่งในเวลาเช่นนี้ผมยิ่งต้องอยู่กับท่านจนวินาทีสุดท้าย สำหรับผม ไม่ว่าท่านจะอยู่ในสถานะใด ท่านก็คือท่านคนเดิมและสถานะเดิมเสมอ...ตลอดไป...  ไม่เปลี่ยนแปลง  กราบขอบพระคุณสำหรับกำลังใจที่มีให้ผมและพรรครวมไทยสร้างชาติอย่างมากมาย ผมตื้นตันใจอย่างยิ่งครับ

ไม่ต้องกังวลนะครับ พรรครวมไทยสร้างชาติมี ส.ส. มือเก๋าที่มีประสบการณ์สูงหลายคนที่สามารถดูแลงานในสภาฯ ได้ไม่น้อยไปกว่าผม รวมทั้ง ส.ส. ใหม่ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจ มีหัวใจเดียวกัน จึงไม่เป็นปัญหาอุปสรรคใดในการทำงานของพรรคในสภาฯ

ในฐานะหัวหน้าพรรคผมไม่ได้หายไปไหน ผมยังคงทำหน้าที่กองหนุนและดูแลการทำงานของพรรค ของ ส.ส. และของสมาชิกพรรคให้ดีที่สุดเพื่อประเทศชาติของเราต่อไป

ขอบคุณครับ


ผู้ตรวจการแผ่นดินเบรคเสาไฟฟ้าประติมากรรมประดับเมือง ไม่ตอบโจทย์ความคุ้มค่า สวนทางความจำเป็น



ผู้ตรวจการแผ่นดินถกความเห็นร่วมกรมบัญชีกลาง สตง. สถ. และกระทรวงมหาดไทย กรณีข้อพิพาทการใช้จ่ายงบประมาณในการติดตั้งเสาไฟฟ้าประติมากรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพบเป็นความสวยไม่คุ้มทุน จี้สตง.ส่งต่อข้อมูลทั่วประเทศต่อ คตง.โดยเร็ว แนะออกมาตรการป้องปรามการจัดซื้อจัดจ้างตัดตอนความเกลื่อนเมือง ย้ำต้องยึดมาตรฐาน“ความปลอดภัยของประชาชน และความคุ้มค่า”เป็นหลัก พร้อมสนับสนุนการส่งเสริมเอกลักษณ์ท้องถิ่นให้เป็น Landmark จุดท่องเที่ยวสำคัญของแต่ละ อปท.

วันที่  30 มิถุนายน พ.ศ. 2566  รองศาสตราจารย์อิสสรีย์ หรรษาจรูญโรจน์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน เผยว่า ปัจจุบันเสาไฟฟ้าประติมากรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังเป็นกระแสวิพากษ์ วิจารณ์ในสังคมอย่างต่อเนื่องถึงความไม่เหมาะสมทั้งสถานที่ตั้ง และราคาที่สูงเกินจำเป็น สังคมมีทัศนะและมุมมองที่สะท้อนถึงปัญหาการใช้งบประมาณและความคุ้มค่าอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเสาไฟฟ้ากินรีขององค์การบริหารส่วนตำบลราชาเทวะที่ปรากฏเป็นข่าว โดยการนี้ได้มอบให้เจ้าหน้าที่สอบสวนสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินขยายผลพบว่า มีอปท.อีกหลายแห่งกำลังดำเนินโครงการจัดซื้อจัดจ้างเสาไฟฟ้าประติมากรรมโดยมีลักษณะการใช้งบประมาณที่สูงเกินความจำเป็น ขาดการคำนึงถึงความเหมาะสม ความคุ้มค่า จึง ได้เชิญผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย กรมบัญชีกลาง สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกระทรวงมหาดไทย ร่วมหารือพร้อมติดตามการแก้ไขปัญหาซึ่งพบข้อสังเกต 3 ประเด็น 



1) ยังไม่มีการกำหนดรายละเอียด คุณลักษณะเฉพาะ และราคากลางของเสาไฟฟ้าประติมากรรมสำหรับเป็นมาตรฐานอ้างอิงราคาประกอบการจัดซื้อจัดจ้าง ทั้งนี้กรมบัญชีกลางจะจัดทำฐานข้อมูลเพื่อให้หน่วยงานของรัฐใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดซื้อจัดจ้าง 

โดยมุ่งว่าจะส่งผลต่อความคุ้มค่า โปร่งใส เกิดประสิทธิผล และตรวจสอบได้มากยิ่งขึ้น และต้องพัฒนาระบบให้มีการจัดหมวดหมู่ ประเภทของสินค้าและพัสดุให้ง่ายต่อการค้นหาและตรวจสอบได้สะดวก 

2) ยังไม่มีแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพการจัดซื้อจัดจ้างเสาไฟฟ้าประติมากรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 แต่กรมบัญชีกลางจะกำลังเสนอมาตรการป้องปราม ต่อคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ โดยให้ส่วนขั้นตอนการประชาคมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้น ควรต้องแจ้งวงเงินงบประมาณที่ใช้ในการจัดซื้อจัดจ้างในแต่ละครั้ง เพื่อให้ทราบว่าการจัดซื้อจัดจ้างนั้นวงเงินเท่าไหร่ เพื่อประกอบการพิจารณาถึงความคุ้มค่าที่จะได้รับ ที่สำคัญองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องแจ้งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเพื่อทราบด้วย 

3) แนวทางและมาตรการเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำกับการใช้จ่ายงบประมาณในการติดตั้งเสาไฟฟ้าประติมากรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปัจจุบันกระทรวงมหาดไทยได้มีการหารือถึงเรื่องการกำกับการใช้จ่ายงบประมาณให้มีประสิทธิภาพโดยแยกเป็น 2 ส่วน คือ เรื่องเสาไฟฟ้ากับเรื่องประติมากรรม โดยเสาไฟฟ้าเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ที่สามารถกำหนดราคากลางได้และต้องชัดเจนเรื่องความคุ้มค่า เช่น ความสูงของเสาไฟ ความสว่าง ระยะห่าง เป็นสิ่งต้องมีมาตรฐานที่ชัดเจน สำหรับเรื่องประติมากรรมนั้นเป็นเรื่องที่กล่าวกันมาโดยตลอดว่ามีราคาแพงและอาจไม่คุ้มค่า ซึ่งประเด็นนี้การกำหนดช่วงราคาและรายละเอียดวัสดุที่ใช้ เช่น ปูนปั้นหรือวัสดุอื่นใดจะชัดเจนมากขึ้น และสำคัญที่สุดคือพื้นที่ที่ในการติดตั้งเสาไฟฟ้าต้องมีความเหมาะสม หรือในบางพื้นที่ที่ต้องการความปลอดภัยต้องใช้แสงสว่างให้เพียงพอ การติดตั้งเสาไฟฟ้าธรรมดาก็สมประโยชน์แล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางความคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผลในการใช้งบประมาณ เมื่อได้กำหนดแนวทางไว้แล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอต้องกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดให้มากขึ้น 

รองศาสตราจารย์อิสสรีย์ กล่าวย้ำว่า เพื่อให้ปัญหานี้เกิดข้อยุติและมีแนวปฏิบัติที่ดีร่วมกันผู้ตรวจการแผ่นดินได้ มีข้อเสนอแนะให้แต่ละหน่วยงานดำเนินการ กำชับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นแจ้งแนวปฏิบัติไปยังแต่ละจังหวัดเพื่อให้ทุกจังหวัดแจ้ง อปท. ในพื้นที่ให้ทราบถึงแนวทางการก่อสร้างเสาไฟฟ้าประติมากรรมพร้อมอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าด้วย การดำเนินงานต้องแยกเรื่องเสาไฟฟ้ากับรูปทรงประติมากรรมออกจากกันและต้องยึดหลักความคุ้มค่า โปร่งใส มีประสิทธิภาพประสิทธิผล และตรวจสอบได้ การติดตั้งเสาไฟฟ้าต้องมุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นหลัก ส่วนรูปทรงประติมากรรมที่แสดงถึงเอกลักษณ์ของท้องถิ่นควรก่อสร้างในพื้นที่ชุมชนหรือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญเฉพาะจุดเพื่อสร้างสีสัน บรรยากาศ และความโดดเด่นของพื้นที่ 

  กรมบัญชีกลางต้องเร่งรัดเสนอมาตรการป้องปรามในการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุในภาครัฐต่อคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและบริหารพัสดุภาครัฐ โดยเร็ว พร้อมกันนี้ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินต้องเร่งรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการตรวจสอบการจัดซื้อเสาไฟฟ้าประติมากรรมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศ รวมถึงแนวทางการแก้ไขข้อบกพร่องเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินงบประมาณในการจัดซื้อเสาไฟฟ้าประติมากรรมต่อคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเพื่อพิจารณาดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจต่อไป      

นอกจากนี้ ย้ำให้จังหวัดและอำเภอในฐานะผู้กำกับดูแลการปฏิบัติหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการรวบรวมข้อมูลเรื่องการก่อสร้างเสาไฟฟ้าประติมากรรมว่ามีรายละเอียดอย่างไร ทั้งโครงการ งบประมาณ และสถานที่ตั้ง  โดยขอให้มีการรายงานตามลำดับชั้นตั้งแต่จังหวัด ไปกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จนถึงกระทรวงมหาดไทยเพื่อทราบ โดยให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นใช้เป็นฐานข้อมูลและแนวทางกำหนดนโยบายให้ทุก อปท.ได้ใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าและเกิดประสิทธิผล  และ ลงพื้นที่ตรวจสอบเกี่ยวกับความคุ้มค่าและการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการจัดซื้อจัดจ้างเสาไฟฟ้าประติมากรรม รวมถึงโครงการก่อสร้างอื่น ๆ ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอมาด้วย เพราะเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญที่สุด 

“เป้าหมายหลักของการติดตั้งเสาไฟฟ้า คือ ‘แสงสว่าง’ เพื่อความปลอดภัย หากจะนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้แสงสว่างมากขึ้นต้องคำนึงเรื่องความประหยัดร่วมด้วย เช่น นำเทคโนโลยีช่วยตอบโจทย์ความคุ้มค่า  ในทางกลับกันประติมากรรมนั้นเป็นเรื่องสุนทรียศาสตร์จึงทำให้มูลค่านั้นสูงขึ้น ซึ่งไม่ตรงวัตถุประสงค์ของการนำไปใช้ประโยชน์ร่วมกัน  และเข้าใจถึงความประสงค์ของผู้ที่คิดเรื่องนี้อยากให้ทุกที่เต็มไปด้วยความสุนทรียภาพ ความมีเอกลักษณ์ แต่การนำความสุนทรียะไปบวกเข้ากับเสาไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก ๆ อาจทำให้ความงามมันเจือจางลงไป ซ้ำยังทำให้เสียงบประมาณเพิ่มขึ้น ดังนั้น เรื่องนี้ต้องแยกกันเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน และคุ้มค่าต่อการใช้งบประมาณแผ่นดินอย่างแท้จริง” รองศาสตราจารย์อิสสรีย์ กล่าวเพิ่มเติม


ผู้ว่าฯศรีสะเกษจัดโครงการวัดประชารัฐสร้างสุข ปลูกต้นไม้ถวายพระกุศลแด่สมเด็จพระสังฆราช



วันที่  30 มิถุนายน พ.ศ. 2566   ที่สถาบันสติภาวนาสากล วัดท่าคอยนาง อำเภอปรางค์กู่ จังหวัดศรีสะเกษ นายสำรวย เกษกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ นำข้าราชการท้องที่ ท้องถิ่น และจิตอาสาพัฒนาชุมชน จัดกิจกรรมวัด ประชา รัฐ สร้างสุข โดยการพัฒนาวัดภายใต้ฐานคิดสัปปายะ วัด 5 ส ร่วมถึงการปลูกต้นไม้และพืชผักสวนครัว

 


ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมดังกล่าว เป็นการน้อมถวายพระกุศลแด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก ในโอกาสที่พระองค์มีพระชนมายุครบ 8 รอบ ในช่วงวันที่ 26 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา   การทำบุญด้วยการปลูกต้นไม้แล้วถวายพระกุศลนั้น สอดรับกับพุทธพจน์ที่ว่า ผู้ใด ขุดบ่อ สร้างสะพาน ปลูกต้นไม้ และสร้างสวนดอกไม้อันน่ารื่นรมย์ จักได้บุญ ทั้งกลางวันและกลางคืน 



@siampongnews ดร.สำราญสมพงษ์ ฐานะศิษย์เก่า #มจร ชวนวิ่งรับบุญระดม #ทุนการศึกษา วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม2566นี้ #ข่าวtiktok ♬ เสียงต้นฉบับ - samran sompong

สุดเจ๋ง! อภัยภูเบศรคว้ารางวัลผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพ “มัสคูลสเปรย์” จากกระดูกไก่ดำ ทางเลือกลดปวดปลอดภัย



 สุดเจ๋ง! อภัยภูเบศรคว้ารางวัลผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพ “มัสคูลสเปรย์” จากกระดูกไก่ดำ ทางเลือกลดปวดปลอดภัย สร้างรายได้ชุมชน 

วันที่  30 มิถุนายน พ.ศ. 2566 ตามที่กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ดำเนินการคัดเลือกผลิตภัณฑ์สมุนไพรคุณภาพ ที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาด  ให้ผู้ประกอบการด้านสมุนไพร ซึ่งเป็นการเสริมผู้ประกอบการตามพระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ.2562 และทำให้ประชาชนได้รู้จัก เชื่อมั่น ชอบ ใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรมากขึ้นนั้น ซึ่งปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ประจำปี 2566 โดยในปีนี้ มูลนิธิโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้ผ่านการคัดเลือกรับรางวัลประเภทที่ 1 Premium Herbal Products ผลิตภัณฑ์สมุยไพนคุณภาพ คือ “มัสคูลสเปรย์” โดยเข้ารับรางวัลในวันที่ 30 มิถุนายน 2566 ในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 20 ที่ อาคารอิมแพค เมืองทองธานี 

@siampongnews สเปรย์ #ฟ้าทะลายโจร ♬ เสียงต้นฉบับ - samran sompong

สำหรับ มัลคูลสเปรย์ นั้นเปิดตัวครั้งแรกในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 14 เมื่อปี 2560 และได้รับรางวัล Prime minister Herbal Award (PMHA)  ตั้งแต่ปีแรกที่ออกผลิตภัณฑ์ ทำจากสารสกัดต้นกระดูกไก่ดำอินทรีย์  ที่ปลูกจากเครือข่ายเกษตรอินทรีย์ใน 5 จังหวัด ได้แก่ ปราจีนบุรี สระแก้ว ฉะเชิงเทรา เลย และมหาสารคาม มีสรรพคุณแก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ลดการอักเสบ มีคุณภาพมาตรฐานเทียบเท่ายาแผนปัจจุบัน มัสคูลสเปรย์ ย่อมากจาก muscle ที่แปลว่ากล้ามเนื้อ และ cool ที่แปลว่าเย็น เพราะหลังจากฉีดสเปรย์จะให้ความรู้สึกเย็นสบายคลายความปวดลงทันที ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่นำสมุนไพรกระดูกไก่ดำมาทำเป็นสเปรย์เป็นครั้งแรกของโลก 

ความสำเร็จในการพัฒนามัสคูลสเปรย์ ตั้งแต่การปลูก การเก็บเกี่ยวและการสกัด  จนถึงกระบวนการวิจัยทางคลินิกที่พบว่ามีประสิทธิผลในการบรรเทาปวด ลดการอักเสบไม่แตกต่างจากยาไดโคลฟิแนคชนิดสเปรย์  ทำให้โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ซึ่งเป็นผู้ร่วมวิจัยผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ได้เลือกใช้ยานี้ทดแทนสเปรย์แก้ปวดกลุ่ม NSAIDs  นอกจากนั้นมัสคูลสเปรย์เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางจากภาคประชาชน เนื่องจากอาการปวดเป็นอาการที่พบบ่อย และการรับประทานยาแก้ปวดอาจมีผลข้างเคียงในระยะยาว มัสคูลย์สเปรย์จึงเป็นทางเลือกแก้ปวดที่ปลอดภัยประกอบกับหาซื้อได้ง่าย เนื่องจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาให้เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรจำหน่ายทั่วไปได้ เมื่อใช้ได้ผลก็เกิดการบอกต่อปากต่อปาก  ซึ่งรูปแบบการพัฒนาผลิตภัณฑ์มัสคูลสเปรย์นี้ เป็นต้นแบบในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรอื่นๆ เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งทางด้านสุขภาพในการพัฒนายาที่ทดแทนการนำเข้ายาจากต่างประเทศ และด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการกระจายเงินสู่ชมุชนผู้ปลูกสมุนไพรในประเทศไทยได้ 

สำหรับท่านที่สนใจสามารถเที่ยวชมงาน และปรึกษาสุขภาพได้ ที่งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ครั้งที่ 20 ณ อิมแพ็คเมืองทองธานี ฮอลล์ 11-12 โดยงานยังคงมีตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 2 กรกฎาคม 2566 เวลา 10.00-20.00น. และสามารถติดตามรับฟังข้อมูลความรู้จากเวทีอภัยภูเบศรย้อนหลังได้ทาง เฟซบุคสมุนไพรอภัยภูเบศร และYoutube อภัยภูเบศร


นายกฯ Kick off แอปฯไทยดี (ThaID) "Drives for Changing Thailand : เปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีด้วยเทคโนโลยีขับเคลื่อนประเทศ"



นายกรัฐมนตรี Kick off แอปพลิเคชันไทยดี (ThaID) "Drives for Changing Thailand : เปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีด้วยเทคโนโลยีขับเคลื่อนประเทศ" เน้นย้ำ ทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันเพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชนให้ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืน

วันที่  30 มิถุนายน พ.ศ. 2566    เวลา 11.00 น. ณ ลาน Promotion ชั้น 1 ห้างสรรพสินค้า เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิด "การใช้งานระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล และระบบเปรียบเทียบภาพใบหน้าโดยใช้งานผ่านแอปพลิเคชันไทยดี (ThaID) อย่างเป็นทางการ ภายใต้แนวคิด "Drives for Changing Thailand : เปลี่ยนเพื่อสิ่งที่ดีด้วยเทคโนโลยีขับเคลื่อนประเทศ" โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ อธิบดีกรมการปกครอง นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) ผู้แทนกระทรวง กรม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้บริหารกรมการปกครอง สื่อมวลชน และประชาชน ร่วมในพิธี

@siampongnews Cheetahtalk #เครื่องแปลภาษา ♬ เสียงต้นฉบับ - samran sompong

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งมั่นนำพาประเทศไทยไปสู่ Digital Thailand อย่างต่อเนื่อง โดยได้นำเทคโนโลยี Digital มาเป็นองค์ประกอบหลักในการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน เพื่อให้บริการภาครัฐมีความเป็นเลิศ ตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และทำให้ผู้รับบริการทุกคนสามารถติดต่อขอรับบริการภาครัฐได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย 



"วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างความสำเร็จของการพัฒนาระบบดิจิทัลภาครัฐเพื่อพี่น้องประชาชน ซึ่งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และหน่วยงานต่าง ๆ จะเป็นพลังร่วมกันในการดำเนินโครงการระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID) และระบบเปรียบเทียบภาพใบหน้า (Face Verification System) โดยการใช้งานผ่านแอปพลิเคชันไทยดี (ThaID) จนสำเร็จและสามารถเปิดการใช้งานอย่างเป็นทางการได้ในครั้งนี้ ถือเป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ รวมถึงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการบริการภาครัฐให้มีความเท่าเทียมกับมาตรฐานสากล และหวังว่าหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จะได้นำแอปพลิเคชันไทยดี (ThaID) ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการให้บริการพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง" พลเอก ประยุทธ์ฯ กล่าว

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวเน้นย้ำว่า การขับเคลื่อนงานของรัฐบาล เฉกเช่นการพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID) และระบบเปรียบเทียบภาพใบหน้า (Face Verification System) โดยการใช้งานผ่านแอปพลิเคชันไทยดี (ThaID) ในวันนี้ไม่ได้เป็นการทำวันนี้หรือพรุ่งนี้แล้วจะเสร็จ แต่เราทำมาตั้งแต่ปี 2562 เดินหน้ามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้มีการปรับปรุงกฎหมายหลัก กฎหมายรองต่าง ๆ จนกระทั่งสำเร็จในวันนี้ได้ และต่อไปเราก็จะได้เอามาใช้ให้มากขึ้น ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยเราจะไม่หยุดนิ่งและจะเดินหน้าพัฒนาต่อไป เพื่อประโยชน์สูงสุดของพี่น้องประชาชนคนไทยทั้ง 66 ล้านคน

"ขอขอบคุณกระทรวงมหาดไทย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และทุกหน่วยงาน ที่ทำให้การขับเคลื่อนเพื่ออำนวยความสะดวกพี่น้องประชาชนประสบความสำเร็จ เพราะสิ่งสำคัญ คือ เราต้องการอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องประชาชน ลดภาระค่าใช้จ่าย และลดการเดินทางมาติดต่อที่สำนักงานต่าง ๆ เพื่อทำให้การให้บริการภาครัฐเร็วขึ้น สะดวก รวดเร็ว และสำคัญที่สุด คือ "ความปลอดภัย" และขอให้ทุกฝ่ายได้ร่วมมือร่วมใจกันขับเคลื่อนโครงการดี ๆ นี้และต่อยอดไปสู่การบริการภาครัฐที่ครอบคลุมบริการทุกด้านเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับระบบราชการไทย เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชนให้ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืน" พลเอก ประยุทธ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย

พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า รัฐบาลได้วางนโยบายและมีแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 20 ปี (2561 - 2580) ให้ประเทศไทยสามารถสร้างสรรค์และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างเต็มศักยภาพ ในการพัฒนาการให้บริการ นวัตกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยกระทรวงมหาดไทยมีความมุ่งมั่นที่จะตอบสนองนโยบายของรัฐบาลด้วยการพัฒนาโครงสร้างการให้บริการทางดิจิทัลเพื่อให้บริการประชาชน ได้แก่ ระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID) และระบบเปรียบเทียบภาพใบหน้า (Face Verification System) โดยเริ่มจากการพัฒนาระบบพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID) จากข้อมูลอัตลักษณ์ของคนไทยจำนวนมากกว่า 66 ล้านคน ไม่ว่าจะเป็นลายพิมพ์นิ้วมือและภาพใบหน้า ที่จะสามารถพิสูจน์และยืนยันตัวตนได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ และมีสำนักทะเบียน จำนวน 2,533 แห่ง ปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันตลอดเวลา เพื่อให้ผู้ใช้บริการเกิดความมั่นใจในความถูกต้อง ลดการใช้เอกสารและการปลอมแปลงเอกสาร ส่งผลให้การให้บริการประชาชนเกิดความถูกต้อง สะดวก และรวดเร็ว

"กระทรวงมหาดไทยโดยกรมการปกครองได้ริเริ่มพัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID) มาตั้งแต่เดือนตุลาคม พ.ศ. 2563 และในปี พ.ศ. 2565 ได้รับการสนับสนุนงบประมาณมาดำเนินการพัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID) และระบบเปรียบเทียบภาพใบหน้า (Face Verification System) ให้เกิดความสมบูรณ์ ทั้งสำหรับการให้บริการของภาครัฐและเอกชน จำนวน 325,120,000 บาท ขณะนี้พร้อมให้บริการอย่างเต็มรูปแบบแล้ว ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2566 อาทิ การย้ายปลายทาง การตรวจสอบข้อมูลตนเอง การคัดรับรองเอกสารด้วยตนเอง" พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าว

พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีหน่วยงานภาครัฐใช้บริการระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล (Digital ID) จำนวน 50 หน่วยงาน และภาคเอกชน 24 หน่วยงาน รวมทั้งมีประชาชนมาลงทะเบียนเพื่อรับบริการ จำนวนมากกว่า 3,500,000 คน โดยกระทรวงมหาดไทยได้รับการสนับสนุนการดำเนินการจากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DEs) ซึ่งมีส่วนสำคัญยิ่งในการช่วยผลักดันให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จ จนสามารถเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการได้


พาณิชย์ ปักธงจัดงาน Thailand Local BCG Plus Expo 2023 ชูสินค้า Local BCG+ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

 


พาณิชย์ ปักธงจัดงาน Thailand Local BCG Plus Expo 2023 ชูสินค้า Local BCG+ สร้างโอกาสการค้าอย่างยั่งยืน พร้อมเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ 7-9 ก.ค. นี้ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

กระทรวงพาณิชย์ ประกาศความพร้อมจัดงาน “Thailand Local BCG Plus Expo 2023”  ครั้งแรกกับงานแสดงสินค้า Local BCG + ที่รวบรวมสินค้ารักษ์โลกจากทุกจังหวัดทุกภูมิภาคที่ครบวงจรและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Be The Change Generation” รักษ์โลก รักษ์สิ่งแวดล้อม หวังสร้างโอกาสทางการค้าอย่างยั่งยืน เตรียมรวมตัวยกขบวนอย่างยิ่งใหญ่ 7-9 ก.ค. นี้  ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

@siampongnews สเปรย์ #ฟ้าทะลายโจร ♬ เสียงต้นฉบับ - samran sompong

นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า “สินค้า Local BCG+ หมายถึงสินค้าที่มีคุณภาพ   ดีต่อผู้บริโภค ดีต่อผู้ผลิต และดีต่อสิ่งแวดล้อม เป็นสินค้าที่อยู่ภายใต้การพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG ยกระดับเพิ่มมูลค่าให้สินค้าท้องถิ่นกลายเป็นสินค้าที่มีศักยภาพแข่งขันในตลาดได้ กระทรวงพาณิชย์ เล็งเห็นโอกาสในการขยายตลาดสินค้า Local BCG+ รวมทั้งการสร้างความตระหนักรู้ให้ผู้บริโภคเห็นถึงความสำคัญในการบริโภคสินค้าที่รักษ์โลกและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงได้กำหนดให้มีการจัดงานแสดงสินค้า Thailand Local BCG Plus Expo 2023 ซึ่งเป็นครั้งแรกในไทยที่ได้มีการรวบรวมผู้ผลิตผู้ประกอบการธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินค้า Local BCG+ ทั่วทุกภูมิภาคอย่างครบวงจร และได้ทำการคัดเลือกสินค้าที่เข้าร่วมงานอย่างพิถีพิถันเพื่อให้ได้สินค้าที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายมากที่สุด โดยมุ่งเน้นสินค้าใน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 



1. กลุ่ม BCG – สินค้ารักษ์โลก สินค้าออร์แกนิกและสุขภาพ 2. กลุ่มอัตลักษณ์ – สินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่น และ 3. กลุ่ม นวัตกรรม – สินค้าเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งมั่นใจได้ว่าผู้เข้าร่วมงานจะได้ซื้อสินค้าที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ ปลอดจากสารตกค้างและเป็นพิษ และผ่านกระบวนการผลิตแบบธรรมชาติที่คำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมแบบองค์รวม ในอีกทางหนึ่งยังเป็นการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและลดภาวะโลกร้อนอีกด้วย”



Thailand Local BCG Plus Expo 2023 มีกำหนดจัดขึ้น 3 วัน ระหว่างวันที่ 7-9 กรกฏาคม 2566 ณ ฮอลล์ 7 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายใต้แนวคิด “Be The Change Generation” รักษ์โลก  รักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อตอบโจทย์เมกะเทรนด์โลก และตอบสนองแนวโน้มความต้องการของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับประเด็น Global warming และใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ภายในงานมีผู้ประกอบการเข้าร่วมจัดแสดงกว่า 200 บูธ ครอบคลุมสินค้า Food & Beverage ทุกกลุ่มทั้ง ข้าว ผักผลไม้ อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้า Non-Food เช่น สิ่งทอ เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกาย รวมทั้งบริการ โดยแบ่งคูหาและการจัดพื้นที่ออกเป็น 3 โซน ได้แก่  1. โซนสินค้าอาหารและเครื่องดื่ม 2. โซนสินค้าไม่ใช่อาหาร และ 3. โซนสินค้าบริการและอื่นๆ  



 “นอกจากการจัดแสดงและจัดจำหน่ายสินค้า Local BCG+ แล้ว ทางกระทรวงพาณิชย์ ยังได้จัดกิจกรรม Business Matching เพื่อสร้างเครือข่ายและโอกาสทางการค้าซึ่งจัดทำทั้งช่วงก่อนงานโดยได้นัดหมายผู้ซื้อ (Buyer) ไว้ล่วงหน้ารวมถึงช่วงระหว่างงานและหลังจบงาน สำหรับกลุ่มผู้ซื้อเป้าหมายจะเน้นกลุ่มฐานลูกค้าที่มีศักยภาพมีทั้งผู้บริโภครายย่อยทั่วไป กลุ่มธุรกิจเอกชน และองค์กรขนาดใหญ่ที่มีการซื้อสินค้าชุมชนท้องถิ่นไปใช้งานจำนวนมากและสามารถกระจายสินค้าให้กับผู้บริโภคได้ในวงกว้าง อาทิ ห้างสรรพสินค้า กลุ่มโมเดิร์นเทรด โรงพยาบาล กลุ่มโรงแรม และแพลตฟอร์มจำหน่ายสินค้าออนไลน์ เป็นต้น โดยคาดว่ามูลค่าการจำหน่ายและการเจรจาทางธุรกิจภายในงานจะสูงกว่า 400 ล้านบาท รวมกับการจัดงานในภูมิภาคและส่วนกลางจะเกินกว่าเป้าหมายโครงการที่ตั้งไว้ 650 ล้านบาท” ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวเพิ่มเติม

ภายในงานยังมีการจัดกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ นิทรรศการให้ความรู้ Thailand Local BCG+ Pavilion จัดแสดงข้อมูลสินค้า Local BCG+ ที่โดดเด่นรวมถึงการจัดแสดงของขวัญของที่ระลึกสำหรับผู้นำและแขกพิเศษของเขตเศรษฐกิจ APEC Thailand 2022  ที่จัดทำขึ้นภายใต้แนวคิด BCG จำนวน 3 ชิ้นงาน และพลาดไม่ได้กับการสัมมนาทางวิชาการด้านการพัฒนาตลาดสินค้า Local BCG+ ใน หัวข้อ “แรงบันดาลใจสู่ความสำเร็จของสินค้า Local BCG+ พร้อมผลักดันอัตลักษณ์ไทยทันสมัยอย่างยั่งยืน” และ “เรียนรู้วิธีชูสินค้า Local BCG+ สร้างตัวตนแบรนด์ให้ชัด พร้อมการจัดเต็มทุกตลาด” โดยได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิมากมายในหลากหลายอุตสาหกรรม รวมถึงคลีนิกให้คำปรึกษาให้บริการผู้ประกอบการที่สนใจด้านตลาดต่างประเทศและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมสร้างความบันเทิงอีกมากมาย อาทิ กิจกรรมเวิร์กช็อปในสไตล์รักษ์โลกอาทิ การทำอาหารสุขภาพ กิจกรรม DIY เป็นต้น รวมถึงการแสดงดนตรีสด และศิลปินดาราต่างๆ เข้าร่วมงาน

กระทรวงพาณิชย์ ขอเชิญชวนผู้ที่สนใจร่วมชมงาน Thailand Local BCG Plus Expo 2023  ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่าง วันศุกร์ที่ 7 – วันอาทิตย์ 9 กรกฎาคม 2566 เวลา 10.00 - 20.00 น. ณ ฮอลล์ 7                  ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สำหรับผู้สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดตามได้ทาง Facebook:  Thailand Local BCG Plus Expo หรือ โทร. 02-507-6929 

งานนี้ คนเจนใหม่ เจนรักษ์โลก ไม่ควรพลาด !


ปากท้องมาก่อน! ‘เศรษฐา’ นำทีมเพื่อไทยศึกษาดูงานธนาคารน้ำใต้ดินนครพนม ไอเดียพระเสนอแบบเพอร์มาร์คัลเจอร์



ปากท้องมาก่อน! ‘เศรษฐา’ นำทีม ส.ส.เพื่อไทย ศึกษาดูงานธนาคารน้ำใต้ดิน ของ อบต.บ้านผึ้ง จ.นครพนม หวังผลักดันแก้ปัญหาภัยแล้งให้พี่น้องเกษตรกร  ไอเดียพระเสนอแบบเพอร์มาร์คัลเจอร์ 

วันที่  30 มิถุนายน พ.ศ. 2566  นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองประธานคณะกรรมการเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายชัย วัชรงค์ ทีมนโยบายด้านการเกษตร พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย ส.ส.พรรคเพื่อไทย  อาทิ นายภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์ ส.ส.นครพนม นางมนพร เจริญศรี ส.ส.นครพนม  นายนิพนธ์ คนขยัน ส.ส.บึงกาฬ น.ส.ธัญธารีย์ สันตพันธุ์ ส.ส.อุบลราชธานี นางนุชนาถ จารุวงษ์เสถียร ส.ส.ศรีสะเกษ น.ส.สกุณา สาระนันท์ ส.ส.สกลนคร เดินทางมายังองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บ้านผึ้ง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เพื่อรับฟังการดำเนินการและติดตามดูระบบการดำเนินการโครงการธนาคารน้ำใต้ดินระบบปิด ของ อบต.บ้านผึ้ง เพื่อแก้ขปัญหาภัยแล้ง แม้จังหวัดนครพนมจะมีฝนตกปีละ 2,000 มิลลิลิตร ถือว่าปริมาณฝนลำดับต้นๆ ของประเทศ แต่ยังประสบปัญหาภัยแล้ง เนื่องจากระบบประปาน้ำบาดาลไม่เพียงพอ ซึ่งต่อมาได้ทดลองใช้การบริหารจัดน้ำระบบธนาคารน้ำใต้ดินนอกเขตชลประทานในการแก้ไขปัญหา 

 จากนั้น นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ว่า เป็นห่วงสถานการณ์ภัยแล้งที่จะเกิดขึ้น เพราะวันนี้ฝนตกเหลือเพียง 100 กว่าวัน จึงมาลงพื้นที่ดูเรื่องบริหารจัดการน้ำ ก็แปลกใจที่จังหวัดนครพนม เป็นพื้นที่มีฝนตกมาก แต่กักเก็บน้ำไว้ใช้ไม่ได้ เนื่องจากยังมีวิธีการบริหารจัดการน้ำท่วมน้ำแล้งยังไม่ดีพอ โดย ตำบลบ้านผึ้ง มีการบริหารจัดการน้ำ เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใต้ดินเมื่อฝนตกและนำน้ำขึ้นมาใช้เมื่อต้องการได้ 

@siampongnews ปากท้องมาก่อน! #เศรษฐา นำทีม #เพื่อไทย ศึกษาดูงาน #ธนาคารน้ําใต้ดิน นครพนม ไอเดียพระเสนอแบบ #เพอร์มาร์คัลเจอร์ จากเพจพระปัญญาวชิรโมลี นพพร #ข่าวtiktok ♬ เสียงต้นฉบับ samran sompong

 ผู้สื่อข่าวถามถึงกระแสข่าวพรรคเพื่อไทยอาจได้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายเศรษฐา ตอบว่า ไม่ทราบว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะจัดสรรอย่างไร แต่พรรคเพื่อไทยมีฐานเสียงหนักคือพี่น้องประชาชนในภาคอีสาน จึงอยากดำเนินการโครงการธนาคารน้ำใต้ดินโดยเร็ว เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าพรรคเพื่อไทยทำได้จริง แก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้งได้  หากพรรคได้รับการมอบหมายให้ดูแลกระทรวงนี้จะสามารถบริหารจัดการแก้ไขปัญหาได้อย่างแน่นอน

ขณะที่เพจพระปัญญาวชิรโมลี นพพร ได้โพสต์ภาพและข้อความว่า  ธนาคารน้ำใต้ดินเพอร์มาคัลเจอร์  เก็บน้ำไว้ใช้หน้าแล้ง แก้ปัญหาน้ำท่วมขังหน้าฝน และปรับปรุงดินให้ดินดี

ที่ข้างกุฏิเวลาหน้าฝนน้ำท่วมขังทุกปีกว่าจะแห้งใช้เวลาหลายวัน คิดว่าจะทำหลุมดักน้ำให้ซึมลงในดินอย่างรวดเร็วก็ไม่มีเวลา วันนี้มีรถมาทำงานเลยถือโอกาสให้เขาลองทำที่กักน้ำในดิน เพื่อจะใหเดินบริเวณนั้นดูดซับน้ำไว้ ลดปัญหาน้ำท่วมขังได้ และเมื่อถึงช่วงหน้าแล้งที่ขาดแคลนน้ำ บางที่ก็บอกว่าสามารถสูบน้ำขึ้นมาใช้ได้ แต่ที่นี่คิดว่าความชื้นในดินสูง จากเดิมประมาณเดือนมีนาคม ถึงเมษายน ดินจะแห้งมาก ถ้าเราเลื่อนความชื้นในดินอออกไปอีกถึงเดือนพฤษภาคม เท่านี้ก็ดีมากแล้ว

ธนาคารน้ำใต้ดินจะมี 2 ระบบคือ ระบบปิด กับระบบเปิด แต่ที่มีเวลาทำนี้คือระบบปิดขนาดใหญ่ ปกติเขาจะทำประมาณ 1 เมตร แต่ที่ทำนี้คือกว้าง 3 เมตร ลึก 4 เมตร ตรงกลางขุดเป็นร่องลงตามสูตรเขาเรียกว่าสะดือ แล้วนำหินหยาบ ¾ มารองก่อน 

@siampongnews Cheetahtalk #เครื่องแปลภาษา ♬ เสียงต้นฉบับ - samran sompong

แล้วนำท่อ PVC วางที่กลางบ่อ โดยให้ท่อมีความยาวสูงกว่าปากบ่อ แล้วใช้ไม้ไผ่มามัดขึงกับท่อ PVC ให้ได้แนวดิ่งตั้งฉากกลางบ่อ โดยรอบ ๆ ท่อเจาะรูให้เป็นที่หายใจเวลาเติมน้ำลงจะเติมได้เร็ว

นำอิฐ, หิน, กระเบื้องแตก หรือเศษปูน ใส่ลงในก้นหลุมจนเหลือพื้นที่จากปากบ่อประมาณ 20 ซม.คลุมด้วยตาข่าย แล้วทับด้วยก้อนหินขนาดเล็กหรือกรวด ให้ต่ำกว่าผิวดิน 5 ซม. จากนั้นใช้ PVC สามทางสวมปลายท่อด้านบน โดยให้ปลายท่อหมุนตามทิศทางลม พร้อมปรับระดับดินรอบบ่อ เพื่อให้น้ำไหลเข้าธนาคารน้ำใต้ดินได้สะดวก

แต่ที่นี่พิเศษคือใช้ตอไม้ขอนไม้มาแทนเศษอิฐเศษปูน เพราะต้องการปรุงดินไปในตัว เมื่อผ่านไป 10 ปี 20 ปี ที่นี่จะเป็นดิน เป็นอาหารของต้นไม้ และไม่ได้รดน้ำอีกต่างหาก เป็นการทำเกษตรประหยัดน้ำ ประหยัดปุ๋ยจึงเรียกว่าเพอร์มาร์คัลเจอร์ เมื่อมารวมกับธนาคารน้ำใด้ดินจึงเรียกว่า ธนาคารน้ำใต้ดินเพอร์มาร์คัลเจอร์


วันพฤหัสบดีที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2566

"อนุทิน" ยันพร้อมหนุนเพื่อไทย หากได้ร่วมรัฐบาลตามกลไกรัฐสภา



วันที่  30 มิถุนายน พ.ศ. 2566    นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี ระบุถึง การหารือกับธนาคารโลก วันนี้ ไม่ได้มีการถามถึงสถานการณ์ ทางการเมืองของไทย แต่ตนได้สื่อสารไปว่า ก็ให้เป็นไปตาม สิ่งที่ควรจะเป็น เพราะไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น รอให้ทุกอย่างเรียบร้อยค่อยว่ากัน   

เมื่อถามถึงการโหวต ประธานสภาในวันที่ 4 กรกฎาคม ทิศทางของพรรคภูมิใจไทย จะหารือภายในพรรคก่อนหรือไม่ว่า  นายอนุทิน กล่าวว่าปกติ จะทราบก่อนว่าแคนดิเดตของประธานสภาจะเป็นใคร และภูมิใจไทย จะไม่เสนอประธานสภาแข่ง ดังนั้นไม่มีความลำบากใจอะไร ก็จะขอดูแคนดิเดตของแต่ละพรรคที่จะเสนอก่อน และเราสามารถหารือกันที่สภาได้ เพื่อหามติร่วมกัน 

ส่วนที่พรรคก้าวไกล เสนอนายปดิพัทธ์ สันติภาดา ภูมิใจไทย สามารถเห็นแล้ว จะสามารถตัดสินใจได้ชัดเจนแล้วหรือไม่ว่า ก็เป็นไปตามแถลงการณ์ของพรรค ใน วันที่ 17 พ.ค.  ที่จะไม่รวมกับผักที่เสนอแก้ไขมาตรา 112 ไม่ว่าพรรคไหนจะเสนอส.ส.ใครขึ้นมา แต่จุดยืนของเรา ก็เป็นไปตามนั้น 

@siampongnews Cheetahtalk #เครื่องแปลภาษา ♬ เสียงต้นฉบับ - samran sompong

เมื่อถามว่ามีฝ่ายใดมาขอเสียงสนับสนุนจากพรรคภูมิใจไทยแล้วหรือยัง นายอนุทินระบุว่า ไม่มี

เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่พรรคเพื่อไทย ยอมถอยตำแหน่งประธานสภา ให้พรรคก้าวไกล แลกกับข้อเสนอใหม่ ให้เสนอชื่อ คนของพรรคเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรี พรรคภูมิใจไทยพร้อม สนับสนุนพรรคเพื่อไทยหรือไม่ว่า ขอให้มันเกิดขึ้นก่อน  ตอนนี้ เรายังไม่ทราบ ว่าใครจะถูกเสนอเป็นนายกฯ การลงมติจะเป็นอย่างไร ซึ่งภูมิใจไทยมีแนวทางอยู่ในใจอยู่แล้ว และต้องดูว่าสถานการณ์ในวันนั้นจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ให้ความมั่นใจได้ว่า เราจะไม่เป็นอุปสรรค ทำให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมือง และทำประโยชน์ให้กับ สถาบันหลัก คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน   

เมื่อถามว่าหากตัวเลือก นายกรัฐมนตรีเป็นคนของพรรคเพื่อไทย ภูมิใจไทยจะให้การสนับสนุนหรือไม่ว่า ทุกอย่างเป็นไปตามระบบรัฐสภา ถ้าเราเป็นฝ่ายรัฐบาล เราก็ต้องสนับสนุนรัฐบาล หากเป็นฝ่ายค้าน ก็ต้องทำหน้าที่เป็นฝ่ายตรวจสอบ มีแนวทางที่ปฏิบัติมาเป็นระยะเวลายาวนานแล้ว 

เมื่อถามถึงรอยลาวความขัดแย้งระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย มีแนวโน้มหรือไม่ที่พรรคภูมิใจไทยจะได้กลับมาร่วมรัฐบาลอีกครั้ง นายอนุทิน ถามกลับว่า ความขัดแย้งของพรรคก้าวไกลเพื่อไทย นั่นเป็นเรื่องของพระ  แล้วเณรเกี่ยวอะไร  เณรไม่เกี่ยว เพราะ... 

เมื่อถามย้ำว่าพรรคภูมิใจไทยพร้อมที่จะกลับไปทำหน้าที่ฝ่ายรัฐบาลหรือไม่ ยืนยันว่าเราไปรอส้มหล่นไม่ได้หรอก เพราะนี่เป็นเรื่องของ บ้านเมืองทำอะไรเรามีแผนอยู่แล้ว ต้องมีแนวทางและฉากทัศน์ 1 2 3 4 แต่วันนี้พรรคภูมิใจไทยไม่ใช่พรรคอันดับแรกดังนั้นเราก็พูดมาตลอดว่า พรรคภูมิใจไทยจะวางตัวให้เป็นไปตามมารยาททางการเมือง กติกาไม่มีหรอก แต่มารยาทเขามี ซึ่งเราวางตัวตามมารยาทตลอด วันนี้ไม่มีข่าวเลยว่าพรรคภูมิใจไทยพยายามที่จะไปตั้งรัฐบาลหรือไปติดต่อใครให้มาเป็นอุปสรรคขัดขวางการดำเนินการของพรรคที่ 1 และ 2 

เมื่อถามว่าวานนี้ ได้พบนายพานทองแท้ ชินวัตร ได้มีการพูดคุยการเมืองกันหรือไม่  นายอนุทิน ระบุว่าเจอกันในงานวันเกิดของวอยซ์ทีวี แต่ไม่ได้พูดคุยกันเหมือนกัน


ธนาคารน้ำใต้ดินแบบพระธรรมเพอร์มาคัลเจอร์ เก็บน้ำไว้ใช้หน้าแล้ง แก้ปัญหาน้ำท่วมขัง



วันที่  30 มิถุนายน พ.ศ. 2566   เพจพระปัญญาวชิรโมลี นพพร ได้โพสต์ภาพและข้อความว่า  ธนาคารน้ำใต้ดินเพอร์มาคัลเจอร์  เก็บน้ำไว้ใช้หน้าแล้ง แก้ปัญหาน้ำท่วมขังหน้าฝน และปรับปรุงดินให้ดินดี

@siampongnews [พร้อมส่ง] 1 ห่อมี 5ก้อน #สบู่สมุนไพรพรทิน่า ♬ เสียงต้นฉบับ - samran sompong

ที่ข้างกุฏิเวลาหน้าฝนน้ำท่วมขังทุกปีกว่าจะแห้งใช้เวลาหลายวัน คิดว่าจะทำหลุมดักน้ำให้ซึมลงในดินอย่างรวดเร็วก็ไม่มีเวลา วันนี้มีรถมาทำงานเลยถือโอกาสให้เขาลองทำที่กักน้ำในดิน เพื่อจะใหเดินบริเวณนั้นดูดซับน้ำไว้ ลดปัญหาน้ำท่วมขังได้ และเมื่อถึงช่วงหน้าแล้งที่ขาดแคลนน้ำ บางที่ก็บอกว่าสามารถสูบน้ำขึ้นมาใช้ได้ แต่ที่นี่คิดว่าความชื้นในดินสูง จากเดิมประมาณเดือนมีนาคม ถึงเมษายน ดินจะแห้งมาก ถ้าเราเลื่อนความชื้นในดินอออกไปอีกถึงเดือนพฤษภาคม เท่านี้ก็ดีมากแล้ว



ธนาคารน้ำใต้ดินจะมี 2 ระบบคือ ระบบปิด กับระบบเปิด แต่ที่มีเวลาทำนี้คือระบบปิดขนาดใหญ่ ปกติเขาจะทำประมาณ 1 เมตร แต่ที่ทำนี้คือกว้าง 3 เมตร ลึก 4 เมตร ตรงกลางขุดเป็นร่องลงตามสูตรเขาเรียกว่าสะดือ แล้วนำหินหยาบ ¾ มารองก่อน 

แล้วนำท่อ PVC วางที่กลางบ่อ โดยให้ท่อมีความยาวสูงกว่าปากบ่อ แล้วใช้ไม้ไผ่มามัดขึงกับท่อ PVC ให้ได้แนวดิ่งตั้งฉากกลางบ่อ โดยรอบ ๆ ท่อเจาะรูให้เป็นที่หายใจเวลาเติมน้ำลงจะเติมได้เร็ว

นำอิฐ, หิน, กระเบื้องแตก หรือเศษปูน ใส่ลงในก้นหลุมจนเหลือพื้นที่จากปากบ่อประมาณ 20 ซม.คลุมด้วยตาข่าย แล้วทับด้วยก้อนหินขนาดเล็กหรือกรวด ให้ต่ำกว่าผิวดิน 5 ซม. จากนั้นใช้ PVC สามทางสวมปลายท่อด้านบน โดยให้ปลายท่อหมุนตามทิศทางลม พร้อมปรับระดับดินรอบบ่อ เพื่อให้น้ำไหลเข้าธนาคารน้ำใต้ดินได้สะดวก



แต่ที่นี่พิเศษคือใช้ตอไม้ขอนไม้มาแทนเศษอิฐเศษปูน เพราะต้องการปรุงดินไปในตัว เมื่อผ่านไป 10 ปี 20 ปี ที่นี่จะเป็นดิน เป็นอาหารของต้นไม้ และไม่ได้รดน้ำอีกต่างหาก เป็นการทำเกษตรประหยัดน้ำ ประหยัดปุ๋ยจึงเรียกว่าเพอร์มาร์คัลเจอร์ เมื่อมารวมกับธนาคารน้ำใด้ดินจึงเรียกว่า ธนาคารน้ำใต้ดินเพอร์มาร์คัลเจอร์


"กากัน มาลิค"พร้อมชาวพุทธไทย-อินเดีย ร่วมสัมมนานานาชาติ - 11 ปท. ชู "ไมตรี กรุณา สามัคคี สมาธิ" สร้างสันติภาพโลก



วันที่  30 มิถุนายน พ.ศ. 2566  มูลนิธิกากัน มาลิค, คุณนิชา บางเร และเครือข่ายในเขตเทศบาลอัมลา เมืองเบตุล รัฐมัธยประเทศอินเดีย จัดงานสัมมนาสันติภาพนานาชาติ ระหว่างวันที่  25-26 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา งานเริ่มในวันที่ 25 มิถุนายน ภาคเช้า มีพิธีอัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุ จากวัดธาตุทองพระอารามหลวง นำโดยพระครูวิจิตรวีรญาณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดธาตุทอง ประเทศไทย ตามด้วย คณะสงฆ์วัดธาตุทอง พระครูสมุห์สนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ประเทศไทย, พระ ดร.พรชัย พลวธมฺโม ประธานองค์การพุทธโลก, ท่านวิทวัส ราชปักษี รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ประเทศศรีลังกา และผู้นำองค์กรพุทธนานาชาติ จาก 10 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย มาเลเซีย เมียนมา เกาหลีใต้ บังคลาเทศ กัมพูชา เวียดนาม ศรีลังกา สหราชอาณาจักร และอินเดีย โดยคณะได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ไปยังอนุสรณ์สถาน ธีกษาภูมี (Deeksha Bhoomi) เมืองนาคปูร์ รัฐมหาราษฏระ ให้ชาวท้องถิ่นได้สักการะบูชา จากนั้นคณะได้เดินทางต่อไปยัง เขตเทศบาลอัมลา เมืองเบตุล รัฐมัธยประเทศ สถานที่จัดงานสัมมนาสันติภาพนานาชาติ โดยมีผู้นำสตรีแกร่ง คือ คุณนิชา บางเร รองผู้บริหารระดับเขต เป็นผู้ประสานงานจัดงานในครั้งนี้ รอต้อนรับ พร้อมผู้นำ 11 ชาติ 11 ศาสนา/ความเชื่อ/ลัทธิ ในอินเดีย ได้แก่ ศาสนาฮินดู เชน อิสลาม คริสต์ ซิกข์ และประชาชน ที่มาร่วมงานกว่า 3,000 คน  

@siampongnews สเปรย์ #ฟ้าทะลายโจร ♬ เสียงต้นฉบับ - samran sompong

สำหรับงานสัมมนาในครั้งนี้ เริ่มจากผู้นำศาสนิกต่าง ๆ ในพื้นที่ทั้ง 5 ศาสนา ได้กล่าวถึงความร่วมมือ ความสามัคคีในการทำงานร่วมกัน ไม่แบ่งแยก ศาสนา เชื้อชาติ วัฒนธรรม ชนชั้น ซึ่งนำไปสู่ความสุขและสันติภาพอย่างแท้จริง และทุกท่านยินดีให้ความร่วมมือทุกอย่าง ในการทำงานเพื่อสันติภาพ จากนั้น เป็นการกล่าวสุนทรพจน์ ของ นายกากัน มาลิค ประธานมูลนิธิกากัน มาลิค ตอนหนึ่งว่า “ในการประชุมสันติภาพนานาชาติครั้งนี้ เราได้มาร่วมด้วยช่วยกัน เพื่อสร้างสันติภาพ ไม่ใช่เฉพาะในอินเดียเท่านั้น แต่หมายถึงทั้งโลก” 

จากผู้นำองค์กรพุทธประเทศต่าง ๆ อาทิ นายวิเจยาดาสะ ราชปักษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กิจการทัณฑสถาน และการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ แห่งประเทศศรีลังกา ได้กล่าวเน้นถึงมิตรไมตรี และกรุณา นำพาสันติภาพ และได้อ้างอิงถึงพุทธพจน์ ในโอวาทปาฏิโมกข์ด้วย, ด้าน พระ ดร.พรชัย พลวธมฺโม ประธานองค์การพุทธโลก กล่าวถึง ประเทศอินเดียซึ่งเป็นแผ่นดินแม่ของพระพุทธศาสนา ศาสนาแห่งสันติ พระเจ้าอโศกส่งพระธรรมทูตไป 9 สาย ทำให้ธรรมะเผยแผ่ไปทั่วโลก บัดนี้ถึงเวลาที่ ธรรม จะกลับสู่มาตุภูมิอีกครั้ง ด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย, ดร.ไล้เก็ตยง จากมาเลเซีย ที่ให้ทัศนะว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งสันติ และ เป็นเหตุผล สอนให้อดทน สร้างความเข้าใจอันดีระหว่างกัน และดร.มิถิลา โชว์ดรี้ จากบังคลาเทศ กล่าวชื่นชมผู้จัดงาน นำโดย คุณนิชา บากเร ที่เสียสละอุทิศตน เพื่องานนี้ และสนับสนุนให้มีการสร้างผู้นำต้นแบบ อันจะนำไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน และเป็นเอกภาพ เป็นต้น  

ด้านพระครูสมุห์สนิทวงศ์ วุฑฺฒิวํโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย ได้นำเสนอผลงานวิจัยในระดับดุษฎีบัณฑิต ปริญญาเอก หัวข้อ “อนาคตภาพการขับเคลื่อนเครือข่ายองค์กรพุทธนานาชาติ เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างยั่งยืน” พบว่า “เราทุกคนต่างต้องการเห็นสันติภาพของโลก ที่เราทุกคนสามารถร่วมมือกันได้ ด้วยความเมตตา กรุณา เห็นอกเห็นใจ และความสามัคคี ซึ่งเป็นไปได้ถ้าเราร่วมมือกัน และที่สำคัญ มีวิสัยทัศน์เป้าหมายเดียวกัน เพราะที่ผ่านมา เราต้องเผชิญหน้ากับโควิด-19 ภัยสงคราม และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ กระทั่งเราทุกคนต้องปรับตัวในการทำงาน ใช้เทคโนโลยี สื่อสังคมออนไลน์และทำงานเป็นเครือข่ายองค์กร เพื่อสร้างสันติภาพโลก ด้วยคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังเช่นที่ ดร.อัมเบดการ์ และเครือข่าย ดร.กากัน ทำมา สิ่งเหล่านี้ เริ่มต้นได้ง่าย ๆ ด้วยการเจริญสติ สมาธิ ปัญญา เพราะสันติสุขภายใน สร้างสันติภาพโลกได้” 

หลังการสัมมนา คณะผู้นำองค์กรพุทธนานาชาติ นำโดย คุณกากัน มาลิค ได้เดินทางต่อไปยัง องค์กรบราห์มา กุมารี เป็นองค์กรที่เน้นเรื่อง สมาธิ เพื่อสันติภาพโลก โดยปัจจุบันมีสาขากว่า 5,000 แห่ง ใน 140 ประเทศ มีการต้อนรับอย่างเป็นทางการ หลังชมประวัติความเป็นมา แนวคำสอน และการกล่าวสุนทรพจน์ โดยผู้แทนองค์กรบราห์มา กุมารี เชิญชวนนั่งสมาธิ ประกอบดนตรีราว 7 นาที ซึ่งสร้างความประทับใจกับทุกท่านมาก เพราะสันติสุขภายใน อันเกิดจากการทำสมาธิ ย่อมนำไปสู่สันติภาพโลกในที่สุด 

@siampongnews [พร้อมส่ง] 1 ห่อมี 5ก้อน #สบู่สมุนไพรพรทิน่า ♬ เสียงต้นฉบับ - samran sompong

ในวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2566 คณะได้มีโอกาสดีในการเยี่ยมชม นมัสการ พระเจดีย์สาญจีพุทธสถาน มรดกโลก 1 ใน 4 แห่งของอินเดีย (อีก 3 แห่ง คือ พุทธคยา มหาวิทยาลัยนาลันทา และถ้ำอชันตา) เจดีย์เป็นเจดีย์ทรงโดม ครึ่งวงกลม สร้างโดยพระเจ้าอโศก มีอายุกว่า 2,200 ปี เป็นเจดีย์เดียวที่หลงเหลืออยู่ในบรรดา 84,000 เจดีย์ ที่พระเจ้าอโศกสร้าง เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุของพระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ และพระอรหันต์อีก 10 พระองค์ ที่เป็นพระธรรมทูต 9 สาย ยุคพระเจ้าอโศก สถูปแห่งนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า กลุ่มพุทธสถานแห่งสาญจี (Buddhist Monuments at Sanchi) เพราะจริง ๆ มีสถูปถึง 3 แห่ง และสิ่งก่อสร้างโบราณมากมายบนเขา ในเขตหมู่บ้านรายเสน เมืองโภปาล รัฐมัธยประเทศแห่งนี้ 

การสัมมนาครั้งนี้แม้เป็นช่วงระยะสั้น รวม 2 วัน เดินทางตั้งแต่ รัฐมหาราษฏระ เมืองนาคปูร์ อนุสรณ์สถานธีษา ภูมี แห่งการปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ของ ดร.อัมเบ็ดการ์ และชาวอินเดีย 500,000 คน เมื่อปี พุทธศักราช 2500  เมืองเบตุล สถานที่สัมมนาสันติภาพนานาชาติ รัฐมัธยประเทศ และนมัสการกลุ่มพุทธสถานแห่งสาญจี นับเป็นการเดินทางที่ทรหดแต่ก็คุ้มมาก ๆ การได้เห็นศรัทธาของชาวพุทธท้องถิ่นในอินเดีย รวมถึงเพื่อนต่างศาสนิก ที่มาสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และสนใจ ตั้งใจฟังการสัมมนาอย่างจริงจัง เป็นสัญลักษณ์ว่า พุทธศาสนา คงจะได้กลับมารุ่งเรือง ในแผ่นดินมาตุภูมิ อย่างแน่นอน


"สิริน"ส.ส.กทม.ก้าวไกลขอโทษกรณีทำร้ายแฟนสาว

 


เมื่อวันที่ 29  มิถุนายน 2566 นายสิริน สงวนสิน ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงกรณีถูกแจ้งความคดีทำร้ายร่างกายแฟนสาว โดยระบุว่า ต้องขออภัยต่อผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทั้งหมด และพี่น้องประชาชน สาเหตุที่ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ที่ปรากฏเป็นข่าวล่าช้า เนื่องจากประสบอุบัติเหตุเล็กน้อย ศีรษะแตก จึงใช้เวลาสองวันที่ผ่านมาในการรักษาตัว และขอแสดงความเสียใจอย่างมากในสิ่งที่ได้ทำลงไป ขออภัยคุณเอ (นามสมมุติ) คุณพ่อคุณแม่ของคุณเอ (นามสมมุติ) และขออภัยพี่น้องประชาชนที่เลือกตนให้เข้ามาทำหน้าที่ ส.ส. และทำให้ทุกคนผิดหวัง จากนี้ตนยินดีเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย และการสอบสวนวินัยจากพรรคก้าวไกล และจะน้อมรับผลที่ตามมาจากการกระทำที่ปราศจากความยั้งคิดโดยดุษฎี

นายสิริน ยืนยันว่า ข่าวที่สื่อนำเสนอรายละเอียดเหตุการณ์ และอ้างว่าตนให้ข้อมูลว่าทำไปเพราะความเป็นห่วงคุณเอ (นามสมมุติ) ทั้งหมดไม่เป็นความจริง ตนและคุณเอยังไม่เคยให้สัมภาษณ์หรือกล่าวถึงเหตุการณ์นี้แม้แต่ครั้งเดียว และไม่เคยคิดจะอ้างว่ากระทำไปด้วยความเป็นห่วง ตนขอแสดงความสำนึกผิดและขออภัยต่อผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ทุกคนด้วยใจจริง

@siampongnews [พร้อมส่ง] 1 ห่อมี 5ก้อน #สบู่สมุนไพรพรทิน่า ♬ เสียงต้นฉบับ - samran sompong

"แทนคุณ​"ย้อนเกล็ดก้าวไกล  จี้ "พิธา" ไล่ออกขอโทษ ชดใช้เหยื่อ-ค่าเลือกตั้งใหม่

ขณะที่นายแทนคุณ​ จิตต์​อิสระ​ ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ​พรรค​ประชา​ธ​ิ​ปัตย์​กล่าว​ว่าเป็น​เรื่อง​ที่สังคมไม่ควรยอมรับและนิ่งเฉยเนื่องจาก​การใช้ความรุนแรง​ต่อ​ผู้หญิง​ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวแต่​เป็น​ปัญหาสังคม โดยเฉพาะ​เมื่อคนที่ทำร้าย คือส.ส. เป็นนักการเมือง​ที่ควรมีมาตรฐาน​ทางจริยธรรม​ที่สูงกว่าแค่กรอบของ​กฎหมาย​กำหนดไว้และสังคมไทยไม่ควรนิ่งเฉย​ดูดายและควรมีส่วนร่วมกันประนาม กดดันไม่ให้ส.ส.คนดังกล่าว​ได้หลุดรอดในบ่วงกรรมที่ตนได้กระทำต่อผู้หญิง​ที่ไม่สามารถ​ต่อสู้​และขัดขืนต่อการใช้ความรุนแรง​ได้

โดยเรื่อง​นี้ไม่ควรเงียบและปล่อยผ่านหรือให้เป็น​เรื่องเฉพาะบุคคล​ เพราะส.ส.ถือว่าเป็​นผู้ทรงเกียรติ​และเป็​นบุคคลสาธารณะ​ที่ควรเป็น​แบบอย่าง​ให้กับประชาชนและสังคม โดยเฉพาะ​เยาวชน​ที่กำลังเรียนรู้ผ่านการเลียนแบบพฤติกรรม​ต่างๆของ​นักการเมือง​ที่อาจจะเป็น​ฝ่ายที่เขาชื่นชอบ หากมีการยอมรับ​ให้พฤติกรรมการใช้ความรุนแรง​เป็นเรื่อง​ปกติ ยอมรับได้ เป็น​เรื่องส่วนตัว โดยพรรคก้าวไกลมีส่วนในการจงใจช่วยเหลือ​ปกป้องเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้เกิดการกระทำซ้ำๆ การผลิต​ซ้ำชุดความคิดชายเป็น​ใหญ่ที่ยัดเยียดความรุนแรง​ให้กับสตรี ในรูปแบบต่างๆ ได้แน่นอน รวมทั้งผู้มีความหลากหลาย​ทางเพศด้วย โดยกรณีดังกล่าว​สร้างความไม่สบายใจ​ให้กับสังคม

ดังนั้น​เพื่อแสดง​ความรับผิดชอบ​ต่อ​สังคม​ นายพิธา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี  ควรไล่ส.ส.คนดังกล่าวออกและแสดงความ​รับผิดชอบ​ต่อสังคมด้วยการ "ขอโทษ​" และชดใช้ค่าเสียหาย​ให้กับสตรีผู้เสียหาย​และชดใช้ค่าใช้จ่าย​ในการเลือกตั้ง​ซ่อมที่จะต้องมีเกิดขึ้น ทั้งกับกรณีนี้และกรณีส.ส.อีกหลายคนที่มีคดีความติดตัวและหากต้องคำพิพากษา​จนจำคุก​ก็ต้องเลือกตั้งใหม่ค่าใช้จ่าย​ซึ่ง​เป็น​เงินภาษีจากประชาชน​ทุกบาททุกสตางค์​ควรเก็บที่พรรคก้าวไกล ทั้งสิ้น


พระไม่ทิ้งโยม! ร่วมมือรับพิษเอลนีโญ่ ใช้ศาสตร์พระราชาพัฒนาแหล่งน้ำ ได้แรงหนุนจากชาวพุทธนานาชาติ

 


เมื่อวันที่ 29  มิถุนายน 2566    ตามที่นายบุญสม ชลพิทักษ์วงศ์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการน้ำแห่งชาติ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวถึงภารกิจของ สทนช.ต่อสถานการณ์น้ำในช่วงภัยแล้งและช่วงอุทกภัย ว่า ช่วงฤดูฝนปีนี้ สทนช.ได้ถอดบทเรียนการทำงานในช่วงฤดูฝนปีก่อน และกำหนดเป็น 12 มาตรการเพื่อรับมือฤดูฝนปี 2566 และนำเสนอให้ ครม.เห็นชอบแล้ว โดยในมาตรการดังกล่าวได้มีการพิจารณาถึงปรากฎการณ์เอนโซ่ ซึ่งขณะนี้ไทยได้เข้าสู่ภาวะเอลนิโญ่แล้วและจะยาวไปถึงต้นปี 2567 จึงได้มีการเพิ่มเติมมาตรการสำคัญจากปีก่อน คือ การเสริมสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายภาคประชาชน เพื่อให้รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ราชการสื่อสาร และให้ความสำคัญทบทวนเกณฑ์บริหารจัดการน้ำใหม่ และให้ทุกหน่วยงานเตรียมพร้อมเก็บกักน้ำช่วงปลายฤดูฝนไว้ใช้ต่อช่วงต้นฤดูแล้ง

"จากมาตรการต่างๆ เราเตรียมไว้เพื่อรับสถานการณ์เอลนิโญ่ ที่อาจทำให้ไทยเจอภาวะฝนน้อยกว่าปกติ ในปลายปี 2566 ซึ่ง สทนช.พิจารณาผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว จึงกำหนดนโยบายสำคัญ ให้หน่วยงานวางแผนบริหารจัดการน้ำล่วงหน้า 2 ปี จากเดิมวางแผน 1 ปี แต่ปีนี้ ต้องเตรียมน้ำสำรองไว้ใช้ฤดูฝนปีนี้ ฤดูแล้งปีหน้า และต่อเนื่องไปยังฤดูฝนปีหน้าด้วย เพื่อรองรับภาวะเอลนิโญ่ที่จะเกิดขึ้น" นายบุญสม กล่าว 

@siampongnews Cheetahtalk #เครื่องแปลภาษา ♬ เสียงต้นฉบับ - samran sompong

พร้อมกันนี้ ยังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปรณรงค์ขอความร่วมมือกับเกษตรกรให้ทำนาปีละ 1 ครั้ง เพราะการปลูกข้าวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในลุ่มเจ้าพระยาจำเป็นต้องมีการใช้น้ำเพื่อการเกษตรในปริมาณมาก ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชใช้น้ำน้อยซึ่งเป็นการบริหารจัดการน้ำไว้ให้เพียงพอใช้จนถึงปี 67 รวมทั้งให้เพียงพอใช้ในภาคส่วนอื่นๆ ด้วย เช่น การอุปโภคบริโภค การรักษาระบบนิเวศ และภาคอตุสาหกรรม          

"สทนช. ได้ร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้อง ในการติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำทุกวัน ประเมินทุกสัปดาห์ เพื่อปรับแผนปฏิบัติให้สอดคล้องสถานการณ์จริง ขอให้มั่นใจว่า การบิรหารจัดการน้ำ ภายใต้บูรณาการร่วมกันของ สทนช. และอีก 40 เครือข่าย เราจะมีน้ำเพียงพอใช้ในทุกกิจกรรม" นายบุญสม กล่าว

ด้านธนาคารโลก (World Bank) เปิดรายงานการติดตามเศรษฐกิจไทย การรับมือภัยแล้ง และอุทกภัย เพื่อการสร้างอนาคตที่ยั่งยืน ระบุว่า ประเทศไทยและหลายประเทศในอาเซียนมีความเสี่ยงสูงต่อปัญหาอุทกภัยและปัญหาภัยแล้ง โดยประเทศไทย มีความเสี่ยงด้านอุทกภัยอยู่ในอันดับที่ 9 ของโลก ซึ่งเหตุอุทกภัยในปี 2554 ของไทยได้สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจคิดเป็นมูลค่าถึง 1.43 ล้านล้านบาท คิดเป็น 12.6% ของ GDP          

โดยปัจจุบัน กรุงเทพฯ และพื้นที่อุตสาหกรรมโดยรอบยังคงมีความเสี่ยงที่ต้องเผชิญกับอุทกภัย แม้จะมีการดำเนินมาตรการควบคุมแล้ว ขณะเดียวกันประเทศไทย ยังประสบกับปัญหาภัยแล้ง เนื่องจากขาดแคลนปริมาณน้ำฝน การลดลงของปริมาณน้ำในแม่น้ำ รวมทั้งการจัดการดินที่ไม่มีประสิทธิภาพ โดยประเทศไทยเผชิญกับปัญหาภัยแล้งอย่างรุนแรงในปี 2522 2537 และ 2543 ซึ่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นภาคที่มีอัตราความเสี่ยงต่อภัยแล้งมากที่สุด          

ในรายงานของธนาคารโลก ยังระบุด้วยว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกได้เพิ่มความรุนแรงของความถี่ของทั้งปัญหาอุทกภัย และปัญหาภัยแล้งในอนาคต ทำให้ภาครัฐมีภาระค่าใช้จ่ายด้านอุทกภัยและภัยแล้งเป็นจำนวนมาก และจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต โดยจะเห็นได้ว่าเฉพาะปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในปี 2554 รัฐบาลไทยสูญเสียรายได้ประมาณ 3.7% ของรายได้ภาษีในปี 2554 นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าในปี 2562 รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณ 25,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.15% ของ GDP ให้แก่เกษตรกร เพื่อชดเชยความเสียหายให้กับผลผลิตทางการเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย

"การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ความรุนแรงและความถี่ของปัญหาอุทกภัยเพิ่มขึ้น ต้นทุนทางเศรษฐกิจก็จะเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน หากปัญหาอุทกภัยเกิดขึ้นในวงกว้าง ธุรกิจจำนวนมากจะต้องลดการผลิตลงในช่วงที่เกิดปัญหาอุทกภัยและช่วงของการฟื้นฟู ธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาอุทกภัย อาจถูกบีบให้ลดการผลิตลง เนื่องจากปัญหาของห่วงโซ่อุปทาน การสูญเสียรายได้ยังอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจด้านอุปสงค์อีกด้วย" รายงานธนาคารโลก ระบุ          

รายงานของธนาคารโลก ยังระบุด้วยว่า การรับมือกับอุทกภัยและภัยแล้งของไทยมีความคืบหน้ามากขึ้น และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี 2560 ได้สนับสนุนการวางแผนและดำเนินการตามมาตรการบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้งมากขึ้น          

อย่างไรก็ดี ได้แนะนำว่า ในการปฏิรูปกฎหมายและหน่วยงาน ควรดำเนินการควบคู่ไปกับการประเมินต้นทุน และผลประโยชน์ที่รัดกุมมากยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 ในการจัดลำดับความสำคัญของมาตรการป้องกันอุทกภัยและภัยแล้งที่เหมาะสม ทั้งนี้ ความคืบหน้าล่าสุดในการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้น้ำ การส่งเสริมเศรษฐกิจแบบหมุนเวียน และการบูรณาการแนวทางแก้ไขด้วยวิธีธรรมชาติ สามารถมีส่วนช่วยในการยกระดับความสามารถของประเทศไทยในการรับมือกับอุทกภัย และภัยแล้งได้มากยิ่งขึ้น

ขณะที่เพจวัดนายโรง หลังเซ็นทรัลปิ่นเกล้า กรุงเทพฯ ได้โพสต์ข้อความว่า ศูนย์เรียนรู้ศาสตร์พระราชาเพื่อพัฒนาที่ยั่งยืน จ.สุรินทร์ ตั้งอยู่ที่ บ้านทุ่งเจริญ ต.พระแก้ว อ.สังขะ จ.สุรินทร์ โดยมี พระครูรัตนโสภณ เป็นผู้อำนวยการฯ กำลังเร่งดำเนินการก่อสร้างสิ่งก่อสร้างที่จำเป็นและเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ่ในประเทศไทย และภูมิภาคเอเซีย  ฝนทิ้งช่วง จะเกิดภัยแล้ง อากาศร้อนมากกว่าปกติ และฝนตกน้อย มีปริมาณน้ำฝนลดลง ทางศูนย์ฯ จึงต้องวางแผนการบริหารจัดน้ำเพื่อการปลูกพืชผัก ปลูกต้นไม้ และการอุปโภคบริโภคภายในศูนย์ฯ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นพื้นที และชุมชนของเรา

ขณะที่เฟซบุ๊กA.P. Ānando พระอาจารย์จากวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้โพสต์ภาพและข้อความว่า ขออนุโมทนาภิกษุณีต่าจี ภิกษุณีจื้อหมิน และชาวพุทธฮ่องกงเดินทางมาทำบุญถวายโลงเย็นและบริจาคสร้างเมรุ บูรณะอารามและซื้ออุปกรณ์สำหรับกักเก็บน้ำหน้าแล้งให้ชุมชนวัดบ้านเก่า(อ.สีดา จ.นครราชสีมา) รวม 280,100 บาท ภิกษุณีหรูเต้าบริจาค 200,000 บาทเป็นเจ้าภาพลงรักปิดทองพระประธานภายในศาลาการเปรียญ ขอคุณพระและกุศลผลบุญครั้งนี้จงบันดาลให้ท่านมีความสุข สุขภาพแข็งแรง เจริญรุ่งเรืองในบวรพุทธศาสนาสืบไป สาธุ

         


อภัยภูเบศรยกระดับเครื่องสำอางกลุ่มย้อนวัย สารสกัดจากซีบีดีดูแลผิวเชิงลึก แบรนด์ไทยแท้ คุณภาพระดับโลก



เมื่อวันที่ 29  มิถุนายน 2566 พท.ป.เบญจวรรณ หมายมั่น แพทย์แผนไทยประยุกต์ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า  ปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องสำอางทั่วโลก มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของ CBD กำลังเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยม ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของสกินแคร์ เมคอัพ และดูแลผิวหนังเส้นผม นอกจากนี้สารสกัด CBD ยังสามารถใช้กับการลดการอักเสบผิว ในโรคสะเก็ดเงิน ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง ผื่นคัน สิว สิวอักเสบ ด่างขาว ฝ้า และ ลดปวดในมะเร็งผิวหนัง 

@siampongnews สเปรย์ #ฟ้าทะลายโจร ♬ เสียงต้นฉบับ - samran sompong

พท.ป.เบญจวรรณ กล่าวว่า มูลนิธิรพ.เจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้ทำการศึกษาวิจัยสรรพคุณของสารสกัด CBD เพื่อนำมาเป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางกลุ่มสกินแคร์ และออกมาเป็นผลิตภัณฑ์แบรนด์ไทย 3 รายการ   คือ 1. อภัย แอดวานซ์ รีแพร์ ยูธ แอคติเวติ้ง เซรั่ม     ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า เซรั่มสูตรเข้มข้นที่มีส่วนผสมของสารสกัด CBD และสารสกัดสมุนพรธรรมชาติ 6 ชนิด ได้แก่ ว่านหางจระเข้ บัวบก และสารสกัดมังคุด หญ้ารีแพร์ ผักเบี้ยใหญ่ ประดู่ทุ่ง  ผสานโมเลกุลไฮยาลูรอน และอะมิโนเพนทาเปปไทด์เข้มข้นที่สามารถซึมซาบสู่ผิว พร้อมบำรุงผิวพรรณ และช่วยให้ริ้วรอยแลดูลดเลือนลง พร้อมปกป้องผิวจากสัญญาณของริ้วรอยก่อนวัย ช่วยให้ผิวแลดูกระจ่างใส และแลดูอ่อนเยาว์ สูตรให้การบำรุงผิวอย่างมีประสิทธิภาพ ดูอ่อนกว่าวัย 

2. อภัย แอดวานซ์ รีแพร์ ยูธ แอคติเวติ้ง คลีนซิ่ง โฟม ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า โฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของสารสกัด CBD และสารสกัดสมุนไพรธรรมชาติ 4 ชนิด ได้แก่ ว่านหางจระเข้ บัวบก สารสกัดจากเปลือกมังคุด หญ้ารีแพร์ ช่วยทำความสะอาดผิวหน้าอย่างหมดจด คืนความชุ่มชื้น และช่วยปกป้องผิวจาก สัญญาณของริ้วรอยก่อนวัย 3. อภัย แอดวานซ์ รีแพร์ ยูธ แอคติเวติ้ง ไนท์ ครีม ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ไนท์ครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัด CBD และสมุนไพรนานาชนิด ฟื้นบำรุงผิว เติมความชุ่มชื้น ช่วยลดเลือนริ้วรอยแรกเริ่ม และร่องริ้วรอย คืนความอ่อนเยาว์ให้ผิว ให้ผิวเรียบเนียนและเต่งตึง เข้มข้นด้วยเชียร์บัตเตอร์ เป็นมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ธรรมชาติที่ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว คืนความนุ่มลื่นกับผิวหน้า ให้ผิวแลดูกระจ่างใส สารสกัดมัลเบอร์รี่ ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ไม่หมองคล้ำ โดยผลิตภัณฑ์ทั้งสามชนิด เป็นสูตรที่ปราศจากพาราเบน ,ซิลิโคน, สีสังเคราะห์ และส่วนผสมจากสัตว์ และจากการทดสอบพบว่า มีประสิทธิภาพไม่แพ้แบรนด์ดังระดับโลกม

ท่านที่สนใจสามารถมาเลือกชมและทดลองผลิตภัณฑ์ และเลือกช็อปในราคาพิเศษ ได้ที่งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 20 ณ อาคารอิมแพค เมืองทองธานี โดยบูทของอภัยภูเบศร อยู่ประตูทางเข้าฮอลล์ 11 งานมีจนถึงวันที่ 2 กรกฎาคม นี้ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่เพจเฟซบุค สมุนไพรอภัยภูเบศร


วธ.รวมพลังเครือข่ายจัดงานวัฒนธรรม ศาสนา วิทยาศาสตร์ สร้างโอกาสให้เยาวชนที่วัดท่าซุงอุทัยธานี



เมื่อวันที่ 29  มิถุนายน 2566 เวลา 09.30 น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานเปิดงาน วัฒนธรรม ศาสนา วิทยาศาสตร์ สร้างโอกาสให้เยาวชนจังหวัดอุทัยธานี ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 โดยมีนายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ประธานมูลนิธิเผยแพร่ศาสนาและพัฒนาคุณภาพชีวิต นายชัยพล สุขเอี่ยม อธิบดีกรมการศาสนา วัฒนธรรมจังหวัดอุทัยธานี ผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ วิทยากร เด็กและเยาวชน เครือข่ายทางวัฒนธรรม และสื่อมวลชน เข้าร่วม ระหว่างวันที่ 28 – 30 มิถุนายน 2566 ณ วัดจันทาราม (ท่าซุง) อำเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี 



นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กรมการศาสนา กรมส่งเสริมวัฒธรรม และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ได้บูรณาการงานร่วมกับมูลนิธิเผยแผ่ศาสนาและพัฒนาคุณภาพชีวิต หน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน คณะสงฆ์ และภาคประชาชน ในจังหวัดอุทัยธานี ดำเนินการจัดงานวัฒนธรรม ศาสนา วิทยาศาสตร์ สร้างโอกาสให้เยาวชน ระหว่างวันที่ 28 – 30 มิถุนายน 2566 ณ วัดจันทาราม (ท่าซุง) ตำบลน้ำซึม อำเภอเมืองอุทัยธานี จังหวัดอุทัยธานี โดยนำกิจกรรมธรรมะสัญจรสู่ศาสนสถานและสถานศึกษา ได้แก่ การแสดงเพลงคุณธรรมจากกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงจังหวัดอุทัยธานี กิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมและกิจกรรมด้านศาสนา จากเครือข่ายพระธรรมวิทยากร กลุ่มธรรมะอารมณ์ดี เกมคุณธรรม Race for good ตอบปัญหาธรรมะ การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ และการจัดแสดงภาพยนตร์ส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม รวมทั้งการแสดงนาฏยศาลาหุ่นละครเล็กโจหลุยส์ อุปรากรจีน ชุดงิ้วเปลี่ยนหน้า มหัศจรรย์มนตรมายากล และศิลปวัฒนธรรมไทยเพื่อการเรียนรู้อัตลักษณ์วิถีชีวิตของชุมชน โดยกระทรวงวัฒนธรรม มีความมุ่งหวังว่ากิจกรรมธรรมสัญจรในครั้งนี้ จะเป็นเวทีเพื่อแบ่งปันความรู้ด้านศาสนา ศิลปะ และวัฒนธรรมในพื้นที่ห่างไกลให้เด็กและเยาวชนได้เรียนรู้วิธีการดำเนินชีวิตจากประสบการณ์จริง ซึ่งการจัดงานครั้งนี้จะมีนักเรียนในพื้นที่จังหวัดอุทัยธานีและจังหวัดใกล้เคียง เข้าร่วมงานกว่า 12,000 คน 

@siampongnews สเปรย์ #ฟ้าทะลายโจร ♬ เสียงต้นฉบับ - samran sompong


ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่อไปว่า กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา ได้ขับเคลื่อนการดำเนินงานในมิติด้านศาสนาด้วยการจัดกิจกรรมธรรมะสัญจรสู่ศาสนสถานและสถานศึกษา นำธรรมะสู่ใจประชาชน เป็นการสร้างสรรค์กิจกรรมที่เหมาะสมกับเยาวชน ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันความรู้ทางศาสนาสู่สาธารณะ ปลูกฝังและเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมสร้างการรับรู้ความเข้าใจหลักธรรมทางศาสนาและการดำเนินชีวิตเพื่อนำไปสู่การพัฒนาตนเองด้วยความเข้าใจมีเป้าหมายและสร้างสรรค์เพื่อส่วนรวม ผ่านเครือข่ายพระธรรมวิทยากร ซึ่งเป็นผู้นำการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในการบ่มเพาะและเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมให้สังคมโดยใช้เครื่องมือการนำเสนอองค์ความรู้ด้านศาสนาสอดแทรกความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ อย่างสร้างสรรค์ โดยมีกลุ่มเป้าหมายประกอบด้วย เด็กและเยาวชนในสถานศึกษา ตลอดจนกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มคนเปราะบาง ในการปลูกฝังและเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมทุกช่วงวัย เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ส่งเสริมและสานสัมพันธ์กิจกรรมทางศาสนา และอุปถัมภ์ ทำนุบำรุง คุ้มครองกิจการด้านศาสนา พัฒนาวัดและศาสนสถานเป็นแหล่งเรียนรู้ และส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนบนฐานวัฒนธรรมแบบบูรณาการและอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข


 

วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2566

โปรดเกล้าฯ สถาปนาสมณศักดิ์พระราชคณะเจ้าคณะรอง เลื่อน-ตั้งสมณศักดิ์พระสงฆ์ 97 รูป ผอ.สันติศึกษา "มจร" ขึ้นชั้น "เจ้าคุณ"



เมื่อวันที่ 29  มิถุนายน 2566   เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯสถาปนาสมณศักดิ์พระราชคณะเจ้าคณะรอง  พระราชทานสัญญาบัตรเลื่อน – ตั้งสมณศักดิ์พระราชาดังนี้ 





















"มจร"สีเขียวยุคAI! จัดกิจกรรม "รักษ์ มจร รักษ์สิ่งแวดล้อม คืนขยะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน"

กิจกรรม “รักษ์ มจร รักษ์สิ่งแวดล้อม” เป็นตัวอย่างที่ดีของการผสมผสานระหว่างจริยธรรมและเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบัน ด้วยหล...