วันจันทร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2565

กมธ.ศาสนาฯสภาฯพร้อมคณะสงฆ์เชียงใหม่ เยี่ยมชมพุทธมณฑลนครสวรรค์ ต้นแบบพุทธอุทยานบูรณาการ"โคก หนอง นาโมเดล"



เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2565 ที่ผ่านมา ที่พุทธอุทยานนครสวรรค์ จ.นครสวรรค์ นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล รองประธานกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย นายสัมพันธ์ เสริมชีพ อนุกรรมาธิการฯ นายณพลเดช มณีลังกา อนุกรรมาธิการฯ นายประกรเกียรติญาณหาร เลขานุการคณะกรรมาธิการฯ ได้นำพระเทพปริยัติ เจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่พระเทพสิงหวราจารย์ รองเจ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ คณะสำนักงานพระพุทธศาสนาเชียงใหม่ และคณะทำงาน เพื่อเข้าศึกษาดูงานพุทธอุทยานนครสวรรค์ ที่ 999 หมู่ 6 ตำบลนครสวรรค์ออก อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีพระเทพปริยัติเมธี, รศ.ดร. เจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ให้การต้อนรับ


พระเทพปริยัติเมธี กล่าวว่า โครงการก่อสร้างพุทธอุทยานนครสวรรค์ จัดสร้างโดยคณะสงฆ์จังหวัดนครสวรรค์ ข้าราชการ ประชาชน และพุทธศาสนิกชนจังหวัดนครสวรรค์ มีวัตถุประสงค์ให้ มีใจ ใช้ปัญญา เสียสละ อดทน กตัญญู และรักมั่นสถาบันชาติ พระพุทธศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นหนึ่งเดียวกันก่อสร้างพุทธอุทยานนครสวรรค์ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ตอบแทนคุณพระพุทธศาสนา ตอบแทนคุณแผ่นดิน และเฉลิมพระเกียรติถวายเป็นพระราชกุศลแด่ราชจักรีวงศ์ เป็นศูนย์กลางพุทธบูรณาการแห่งการเรียนรู้ วิชาความรู้ วิชาเลี้ยงชีพ วิชาธรรมะปฏิบัติ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 



โดยมีวิสัยทัศน์ว่า "พุทธอุทยานนครสวรรค์บูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่ พัฒนาสู่นวัตกรรมเชิงพุทธอย่างยั่งยืน มีแนวปฏิเวธ (ภูมิปัญญา) ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" ศูนย์กลางฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในพื้นที่การบริหารจัดการน้ำท้องถิ่นอย่างบูรณาการ (SGB) มีฐานการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ พัฒนาระบบธนาคารน้ำใต้ดินแบบพอเพียง (SGB) จำนวน 14 ฐานการเรียนรู้ มีศูนย์กลางฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการในพื้นที่สมาร์ทฟาร์ม และโคก หนอง นา และเกษตรพอเพียง มีฐานการเรียนรู้โคก หนอง นา ขนาด 25 ไร่ และฐานการเรียนรู้สมาร์ทฟาร์ม ชนิดฟาร์มเปิด และฟาร์มปิด มีศูนย์กลางแหล่งน้ำ มีการบริการแหล่งน้ำสำรองในพื้นที่ และชุมชน โดยมีแหล่งเก็บน้ำแก้มลิง 3 แหล่ง ความจุขนาด 1.6 ล้าน ลบ.ม. เป็น "แหล่งน้ำเพื่อชุมชน" มีงบประมาณอื่นๆ และมูลนิธิพระพุทธศรีสัพพัญญู อุปถัมภ์ในศูนย์กลาง วิชาความรู้ วิชาเลี้ยงชีพ วิชาธรรมะปฏิบัติ ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งนี้มีหลักปริยัติ (ภูมิรู้) ศูนย์กลางการเรียนรู้ ศูนย์กลางการศึกษาระดับประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก 

โดยมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตนครสวรรค์ มีศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาพืชสมุนไพร ตามคัมภีร์ใบลาน และแพทย์สมุนไพรไทยปัจจุบัน ต่อยอดสู่ฐานเศรษฐกิจชุมชน อีกทั้งมีหลักปฏิบัติ (ภูมิธรรม) เป็นศูนย์กลางการปฏิบัติธรรม ศูนย์กลางการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ของภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน สำหรับ หน่วยงานราชการ นิสิต นักศึกษา นักเรียน และประชาชนทั่วไป ทั้งในส่วนอาคารพระพุทธศรีสัพพัญญู และวัดภัทรสิทธาราม เป็นศูนย์กลางการบริการของคณะสงฆ์ "บวร" สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง โดยสำนักงานเจ้าคณะจังหวัดนครสวรรค์ ศูนย์กลางพิธีกรรมทางศาสนา ปฏิบัติธรรมและประเพณีวัฒนธรรมที่สำคัญของจังห ท่องเที่ยวทางธรรมะ และเป็นสถานที่พักผ่อนด้านร่างกาย และจิตใจของประชาชน

ด้านนายเพชรวรรต กล่าวว่า จากการที่ได้มาศึกษาดูงานพุทธอุทยานนครสวรรค์ ในครั้งนี้ เพื่อให้ได้เกิดการแลกเปลี่ยนแนวความคิดการพัฒนากันในระหว่างคณะสงฆ์ ซึ่งพุทธมณฑล ถือเป็นสิ่งสำคัญ หากพัฒนาและสร้างให้เป็นแหล่งศูนย์กลาง ทั้งภาคราชการ และหน่วยงานสงฆ์ ก็จะมีเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนและมั่นคง ซึ่งจากที่ทราบ ทางจังหวัดเชียงใหม่ ก็จะพัฒนาพุทธมณฑล จ. เชียงใหม่ ในเร็วๆ นี้เช่นกัน

พระดีศรีสะเกษ! พัฒนาโคกหนองนาสันติศึกษาโมเดล-วิถีโพลวพลือ



วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565  พระปราโมทย์  วาทโกวิโท,ดร. อาจารย์หลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) เลขานุการศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน มจร เปิดเผยว่า  

ตามที่คณะสงฆ์จังหวัดศรีสะเกษ ร่วมกับคณะกรรมการประสานงานเพื่อพัฒนาจังหวัดศรีสะเกษ (คปศ.) มูลนิธิ พศช.และองค์กรเครือข่าย ได้พิจารณาสรรหาองค์กร บุคคล ที่อุทิศตน และทำความดีอันเป็นประโยชน์ต่อสังคมมาด้วยดีตลอด เพื่อรับโล่เชิดชูเกียรติ “คนดีศรีสะเกษ” ประจำปี 2563 เพื่อส่งเสริมให้บุคคล องค์กร ทำความดี และเป็นแบบอย่างให้แก่สังคม ซึ่งการดำเนินการได้เสร็จเรียบร้อยแล้วนั้น โดยมีพระสงฆ์ 2 รูป ซึ่งเป็นชาวจังหวัดศรีสะเกษ เป็นผู้บริหารและคณาจารย์ของ มจร  คือ

1)  พระครูปลัดปัญญาวรวัฒน์  (พระมหาหรรษา ธัมมฺหาโส) ปธ.6 ศ.ดร.  ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดใหม่ยายแป้น กรุงเทพฯ ผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มจร  ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา มจร พัฒนาหมู่บ้านท่าคอยนางเป็น “หมู่บ้านช่อสะอาด” สร้างศูนย์การเรียนรู้โคกหนองนาโมเดล ที่บ้านท่าคอยนาง  อำเภอปรางค์กู่ จนเป็นแหล่งท่องเที่ยวและศึกษาดูงานแห่งหนึ่งของจังหวัดศรีสะเกษ

2) พระครูปลัดอดิศักดิ์ วชิรปญฺโญ ดร. อาจารย์หลักสูตรสันติศึกษา มจร เจ้าอาวาสวัดสารอด  เขตราษฎร์บูรณะ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิโพลวพลือ (ทางสว่าง) เพื่อการศึกษา ศาสนาและชุมชน สร้างศูนย์การเรียนรู้โคกหนองนาโมเดล  โดยใช้ “บวร”บ้าน/วัด/โรงเรียน ขับเคลื่อนในการพัฒนา  จนเป็นแหล่งท่องเที่ยวและศึกษาดูงานแห่งหนึ่งของจังหวัดศรีสะเกษ

จะถวายรางวัลยกย่องเชิดชู ในวันที่  26  เดือนกุมภาพันธ์ 2565  เวลา 13.00 น. ณ วิหารหลวงพ่อโต วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง อำเภอเมืองศรีสะเกษ  จังหวัดศรีสะเกษ จึงแจ้งมาเพื่อทราบทั่วกัน ในนามหลักสูตรหลักสันติศึกษาขอมุทิตาในรางวัลอันทรงคุณค่าในการนำธรรมลงไปทำ "สาขาพระสงฆ์นักพัฒนา" พัฒนาด้านกายภาพ  พัฒนาด้านพฤติภาพ พัฒนาด้านจิตภาพ และพัฒนาด้านปัญญาภาพในชุมชนอย่างแท้จริง  


วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2565

"นิพิฎฐ์" หวั่นปมปลูกกัญชาเสรี ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ เตือนไม่อยากให้ปชช.ตกเป็นเหยื่อซ้ำซาก

 


วันเสาร์ที่ 29 มกราคม 2565 นายนิพิฎฐ์ อินทรสมบัติ สมาชิกพรรคสร้างอนาคตไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุค ระบุว่า "ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่.... -มีท่านส.ส.ผู้ทรงเกียรติท่านหนึ่งแถลงข่าวว่า เขาเป็นผู้ออกกฎหมายเอง กัญชาปลูกได้เสรีแล้ว อย่าเชื่อผมที่เป็นส.ส.สอบตก สุดท้าย ปรากฎว่า ยังปลูกกัญชาเสรีไม่ได้ ใครปลูกถูกจับมาคราวนี้ท่านส.ส.ผู้ทรงเกียรติแถลงอีกว่า ให้รออีก 120 วัน ให้ประชาชนคนทั่วไป คิดต่อกันเอาเอง ว่า

1.ทำไมต้องรอ 120 วัน(ตอบให้ก็ได้ว่ารอประกาศสธ. แต่......)

2.ทำไมต้องออก พรบ.กัญชา ขึ้นมาอีก 1 ฉบับ

3.กัญชาใช้ทางการแพทย์ กับ กัญชาใช้เพื่อสันทนาการ ต่างกันอย่างไร ให้ท่านส.ส.อธิบายเองดีกว่า

อ้อ!! ฝิ่นเขาก็ใช้ทางการแพทย์นำมาผลิตเป็นมอร์ฟีนนะครับ แต่เขาไม่ให้ใช้ฝิ่นเพื่อสันทนาการ ที่เขียนนี้อย่าหาว่าผมต่อต้านนะครับ ผมเพียงไม่อยากให้ประชาชนตกเป็นเหยื่ออย่างซ้ำซากก็เท่านั้น"  

"สิริพงศ์" ส.ส.ภูมิใจไทยติดโควิด แถมร่วมประชุมสภาฯด้วย



เมื่อวันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2565 นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ส.ส.ศรีสะเกษ เขต 1 พรรคภูมิใจไทย ชี้แจงผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว ภายหลังทราบผลตรวจ RT-PCR ติดเชื้อโควิด-19 หลังจากที่เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตนได้ตรวจ ATK ก่อนจะออกไปทำงานปรากฎว่าขึ้น 2 ขีด โดยปกติตนจะตรวจทุกวัน วันละ 2 รอบ ขณะที่เมื่อวาน ผลยังคงเป็นลบ จึงไม่ได้แยกตัวออกมา

สำหรับ Timeline. สัปดาห์ที่ผ่านมา ตนได้เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร ตลอดอาทิตย์ และในคณะกรรมาธิการ บางส่วน ทั้งนี้หากท่านใด ที่ตนไปใกล้ ก็ขอให้ดำเนินการตรวจหาเชื้อ และต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2565

"อุตตม-สนธิรัตน์" นำสร้างอนาคตไทยลุยตรุษจีนเยาวราช เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.เขต 1 ของพรรค



วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2565 นายวัชร กรรณิการ์ กรรมการประสานงานพรรคสร้างอนาคตไทย เปิดเผยว่า นายอุตตม สาวนายนและนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ พร้อมด้วยผู้ก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย เตรียมลงพื้นที่เยาวราชในวันที่ 29ม.ค.65 ตังแต่เวลา 09.30-12.00น. เพื่อรับฟังปัญหาปากท้องของพ่อค้า แม่ค้า และประาชนที่มาจับจายใสอยเนื่องในเทศกาลตรุษจีน พร้อมแนะนำตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.เขต1 กรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ แกนนำและผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย นัดพร้อมกันที่มูลนิธิเทียนฟ้า เวลา 09.30น. เข้าสักการะเจ้าแม่กวนอิม และเดินพบปะประชาชนและร้านค้าต่างๆในถนนเยาวราชในช่วงเวลา10.00น.โดยใช้เวลาราว45นาที จากนั้น เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ณ ศาลเจ้ากวนอู ตลาดเก่า ในช่วงเวลา 11.00 น. เดินข้ามถนนเยาวราชไปที่ตลากเล่งบ๊วยเอี๊ยะ พบประชาชนและร้านค้าต่างๆ ก่อนเดินทางไปที่มูลนิธิปอเต็กตึ้ง ข้าสักการหลวงปู่ไต่ฮงกง จากนั้นในช่วงเวลา 12.00.เชิญสื่อมวลชน รับประทานอาหารร่วมกันที่ร้านฮั่วเซ่งเฮง

พรรคเศรษฐกิจไทยลุยจัดตั้งตัวแทนพรรคสมุทรปราการ



วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2565 ที่บริเวณศาลาวัดคอลาด อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ พรรคเศรษฐกิจไทย (Thai Economic Party)ได้ประชุมจัดตั้งตัวแทนประจำ จังหวัดสมุทรปราการ เขตเลือกตั้งที่ 5 ของพรรคเศรษฐกิจไทย โดยมีสมาชิกพรรคฯและประชาชนทั่วไปที่ให้ความสนใจเข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมากภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19อย่างเคร่งครัด โดยในการประชุมครั้งนี้ ได้มีมติเลือกนายรณยศ ภู่หลำ เป็นตัวแทนเขตประจำจังหวัดสมุทรปราการต่อไป


สำหรับส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทย ที่เดินทางมาเข้าร่วมสังเกตุการณ์การประชุมเลือกตัวแทนประจำจังหวัดสมุทรปราการ อาทิ ส.ส.ภาคภูมิ บูลย์ประมุข , ส.ส.ดร.จอมขวัญ กลับบ้านเกาะ ,ส.ส.ทัศนาพร เกษเมธีการุณ และส.ส.ยุทธนา โพธสุธน เป็นต้น รวมถึง เจ้าหน้าที่ กกต.ประจำจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งบรรยากาศการประชุมเป็นไปอย่างเรียบร้อย จนเสร็จสิ้นการประชุมทุกประการ


โดยก่อนหน้านี้ ดร.จอมขวัญ กลับบ้านเกาะ ส.ส.เขต3 จ.สมุทรสาคร ได้ประชุมจัดตั้งตัวแทนพรรคเศรษฐกิจไทย ประจำจังหวัดสมุทรสาครเขตเลือกตั้งที่ 3 ซึ่งนางสาว ณตฤณ สุริวงษ์  ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนพรรคและมีการตั้งศูนย์ประสานงานพรรคเศรษฐกิจไทยเสร็จเรียบร้อยเช่นเดียวกัน

หนังสือสงคราม

 https://drive.google.com/drive/folders/10-AACeHKB31dFdR1tyID0XvpKMbgWFzB?fbclid=IwAR3oErNeshctJhd-s9i_jfeqrqH-TYhvbwvem6NFSglH5g1y4psQIy9jtuM

วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2565

ส.ส.ติดโควิดอีกแล้ว! "อัครเดช" ปชป.ราชบุรี งงมากติดจากไหน

 


เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม 2565 นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวความว่า  ตนเองได้ติดเชื้อโควิด-19 โดยไม่ทราบว่าติดเชื้อมาจากที่ไหน พร้อมขอให้ประชาชนที่สัมผัสใกล้ชิดสังเกตอาการของตนและปรึกษาบุคคลากรทางการแพทย์


"คุณหมอได้ยืนยันผลการตรวจแบบRT-PCRใหผมทราบว่าผมติดเชื้อโควิด-19 ครับ ขอเรียนเเจ้งพี่น้องประชาชนที่ได้สัมผัสใกล้ชิดผมในระยะเวลาอันใกล้นี้ได้สังเกตอาการและปรึกษาบุคคลากรทางการแพทย์ด้วย ผมเองไม่ทราบว่ารับเชื้อหรือติดจากไหนเพราะที่ผ่านมาเมื่อลงพื้นที่ก็สวมใส่หน้ากากอนามัยและล้างมือด้วยแอลกอฮอล์สม่ำเสมอและปฏิบัติตามมาตรการของทางกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เมื่อประชุมสภาผู้แทนราษฎรก็ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคของทางสภาผู้แทนราษฏรเช่นกัน" นายอัครเดช ระบุ

นายอัครเดช ระบุด้วยว่า สำหรับอาการของผมเมื่อ วันที่ 26 มกราคม เจ็บคอเล็กน้อยเหมือนเป็นหวัดเลยเข้าตรวจที่โรงพยาบาลพญาไท และหมอแนะนำให้ตรวจRT-PCRเพื่อความเเน่นอน และรอผลตรวจอีกวัน ระหว่างนั้นให้ผมแอดมิดเพื่อติดตามอาการ ซึ่งอาการไม่ได้เป็นอะไรมาก โดยหมอแจ้งว่าอาจจะเนื่องด้วยผมเคยได้รับวัคซีนมาแล้ว


"ผมต้องกราบขออภัยพี่น้องประชาชนทุกท่านที่ได้รับผลกระทบด้วยครับ ทั้งงานที่ผ่านมาเมื่อไม่กี่วันและงานที่ผมรับจะไปร่วมงานไว้หลายๆงานในช่วงนี้นี้ร่วมถึงงานพิธีเปิดโครงการต่างๆที่ต้องระงับภารกิจไว้ชั่วคราว" นายอัครเดช กล่าว 


ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายอัครเดช ถือเป็นส.ส.ที่ติดโควิด-19 รายที่สาม ต่อจากนายชัยวุฒิ คมาธนานุสรณ์ รมว.ดีอีเอส และส.ส.พรรคพลังประชารัฐ, นายเดชอิศม์ ขาวทอง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นับตั้งแต่ปี2565 เป็นต้นมา

อินเดียมอบรางวัลปัทมศรีประจำปี 2022 "ดร.จิรพัฒน์ ประพันธ์วิทยา" ผู้เชี่ยวชาญด้านสันสกฤตศึกษาของไทย


เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2565 เพจ India in Thailand (Embassy of India, Bangkok)  ได้โพสต์ข้อความและข้อความว่า Congratulations to Prof. Dr. Chirapat Prapandvidya for being conferred Padma Shri Award by the Govt. of India for his enormous contribution to promoting #Sanskrit studies in Thailand. Earlier he was mentioned by Hon'ble PM in his #MannKiBaat programme.

ต่อมาวันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม 2565  เพจ สาขาวิชาภาษาเอเชียใต้ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความว่า  สาขาวิชาภาษาเอเชียใต้ ขอร่วมแสดงความยินดีกับผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จิรพัฒน์ ประพันธ์วิทยา เนื่องในโอกาสได้รับเลือกให้รับรางวัลปัทมศรี ประจำปี 2022 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จิรพัฒน์ ประพันธ์วิทยา เป็นอาจารย์ผู้ใหญ่ผู้มีคุณูปการต่อวงการสันสกฤตศึกษา อาจารย์เป็นราชบัณฑิตประเภทวิชาวรรณศิลป์ สาขาวิชาตันติภาษา สำนักศิลปกรรม เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและวรรณคดีบาลี สันสกฤต และฮินดี

สาขาวิชาภาษาเอเชียใต้ได้รับความกรุณาจากอาจารย์มาเป็นวิทยากรหลายต่อหลายครั้ง การได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ จึงเป็นสิ่งที่ยินดีที่สุด สำหรับวงวิชาการภาษาและวรรณคดีสันสกฤต ไทย

สำหรับรางวัลนี้เป็นรางวัลสำคัญลำดับที่ 4 รองจาก 1 ภารัต รัตนะ 2. ปัทมะ วิภูษัณ และ 3. ปัทมะภูษัณ มอบให้โดยรัฐบาลอินเดีย เนื่องในวัน India's Republic Day หรือ 26 มกราคม ของทุกปี ปีนี้ พ.ศ.2565 รัฐบาลอินเดียประกาศว่า ผศ.ดร.จิรพัฒน์ ประพันธ์วิทยา เป็นหนึ่งในผู้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ โดยเป็นหนึ่งในชาวต่างประเทศที่ได้รับในปีนี้

ตรุษจีนประจำปี 2565 มูลนิธิเพิ่มบุญเจ้าพ่อเสือใหญ่ที่สุดในโลก ขอเชิญร่วมงานไหว้เทพเจ้าแก้ปีชง เสริมดวงชะตา

 


ตรุษจีนประจำปี 2565 ชี้พิกัดสำหรับสายบุญ เตรียมไหว้เทพเจ้าแก้ปีชง เสริมดวงชะตา ตามความเชื่อต้อนรับเทศกาลมงคลของคนไทยเชื้อสายจีน มูลนิธิเพิ่มบุญเจ้าพ่อเสือใหญ่ที่สุดในโลก ขอเชิญร่วมงานเทศกาลตรุษจีนประจำปี 2565 อีกหนึ่งสถานที่ไหว้ตรุษจีนแก้ปีชงเสริมดวงชะตาชีวิต 

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม 2565  นายศักดิ์ชัย ศักดิ์เดชะมณี ประธานมูลนิธิเพิ่มบุญเจ้าพ่อเสือองค์ใหญ่ที่สุดในโลก ขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนทุกท่านกราบไหว้สักการะบูชาองค์เทพเจ้าเสือองค์ใหญ่ที่สุดในโลกองค์ เทพไฉ่ชิงเอี๊ย องค์เทพไท้เสียงเหล่า องค์เทพเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว องค์เทพไต๋ฮ่องกง องค์เทพเห้งเจีย องค์เทพนาจา และกราบไหว้พระเกจิชื่อดังของประเทศ  พร้อมแก้ปีชงกับองค์เทพไท้ส่วยเอี๊ย และร่วมบริจาคโลงศพแก่ผู้ยากไร้



สำหรับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งเป็นวันชิวอิกการกราบไหว้บูชาสิ่งที่เป็นมงคลและสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นมงคลสูงสุด ในส่วนของท่านที่เกิดปีวอก ปีขาล ปีมะเส็ง และปีกุน  ปีนี้เป็นปีชงซึ่งการแก้ปีชงที่ดีที่สุดคือการบริจาคโลงศพ



นอกจากนี้ นายศักดิ์  ยังขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนทุกท่านมาร่วมงานดังกล่าว  โดยทางมูลนิธิได้ทำการฉีด พ่นยาฆ่าเชื้อ โควิด-19 ตามนโยบายของรัฐบาลทั่วทั้งศาลเจ้าและเตรียมไว้ฉีดทุก 30 นาทีเพื่อปกป้องกันการติดเชื้อระบาด โควิด-19 อย่างเคร่งครัด และจัดตั้งแอลกอฮอล์ไว้ล้างมือสำหรับ ท่านที่จะมาร่วมงานในครั้งนี้ ทางมูลนิธิได้ทำตามกฎกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาลอย่างเคร่งครัด ขอความร่วมมือพี่น้องทุกท่านที่มาในงานในครั้งนี้สวมใส่แมสตลอดเวลาที่อยุ่ในสถานที่



อย่างไรก็ตาม ประธานมูลนิธิเพิ่มบุญเจ้าพ่อเสือองค์ใหญ่ ได้จัดซองอั่งเปา มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในซองกำมะหยี่สีแดงจำนวน 1999  ซอง นำไว้แจกสำหรับผู้ที่เข้าร่วมงานในครั้งนี้ทางมูลนิธิได้จากซองเอาไว้จำนวนจำกัดและในวันที่ 31 มกราคม 2565  โดยทางศาลเจ้าพ่อเสือ ได้เปิดให้ประชาชนเข้าสักการะตลอดเวลา 24 ชั่วโมง

รพ.สงฆ์รับอนุญาตเจ้าคณะกทม. ลงพื้นที่เสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรคพระ-เณรวัดสารอด

 


เมื่อวันพุธที่ 26 มกราคม 2565  เนื่องจากโรงพยาบาลสงฆ์ กรมการแพทย์ เป็นหน่วยงานที่ให้บริการดูแลรักษาพระภิกษุและสามเณรอาพาธทั่วประเทศ ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลสุขภาพพระภิกษุและสามเณร จึงได้ประสานกับพระธรรมวชิรมุนี วิ. เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดทำโครงการเสริมสร้างสุขภาพและป้องกันโรคพระภิกษุและสามเณรในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครขึ้น เพื่อตรวจคัดกรองและประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพแก่พระภิกษุและสามเณร ให้ได้รับการคัดกรองความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็งลำใส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก และได้รับความรู้เกี่ยวกับการดูแลตนเองด้านการป้องกันโรค ด้านส่งเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรค

เจ้าคณะกรุงเทพมหานคร จึงเลือกวัดแบบเจาะจงวัดเพื่อ ออกกำหนดการคัดกรองสุขภาพ ในเดือนมกราคมจำนวน 7 วัด เพื่อเป็นศูนย์กลางการคัดกรองในเขตนั้นๆ  ในเขตราษฎร์บูรณะได้เจาะจงเลือกวัดสารอด เป็นจุดตรวจคัดกรอง โดยพระศรีธีรพงศ์ เจ้าคณะเขตราษฎร์บูรณะ พระครูปลัดพรหมจริยวัฒน์ เจ้าคณะแขวงราษฎร์บูรณะ ได้ให้ พระครูปลัดอดิศักดิ์ วชิรปญฺโญ, ดร. เจ้าอาวาสวัดสารอด เลขานุการเจ้าคณะแขวงราษฎร์บูรณะ ประสานงานวัดต่างๆในเขตพื้นที่ ได้มาตรวจสุขภาพ

การดำเนินการตรวจสุขภาพพระสงฆ์และสามเณรวันนี้ เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ได้เห็นความพร้อมเพรียงของแพทย์ เจ้าหน้าที่ โรงพยาบาลสงฆ์ ที่มีจิตอาสาเสียสละ ทำหน้าที่อุปัฏฐากในฐานะอุบาสกอุบาสิกา นึกถึงเหตุการณ์สมัยครั้งพุทธกาลอุบาสิกาเดินเที่ยวไปวัดต่างๆ เพื่อถามว่า มีพระภิกษุในวัดอาพาธไหม หากทราบว่ามี ก็ขอปวารณาเพื่อการรักษาพยาบาล

สำหรับแพทย์และเจ้าหน้าที่ทำงานเชิงรุก ลงพื้นที่วัด เพื่อคัดกรองสุขภาพพระภิกษุและสามเณร อานิสงส์ถึงบุคลากร เจ้าหน้าที่ในวัด ช่าง กรรมกร ในวัดด้วย ได้รับความสะดวกในการตรวจสุขภาพ  พระภิกษุ สามเณร  เจ้าหน้าที่ในวัด ช่าง กรรมกร บางรูป บางท่าน ไม่เคยมีโอกาสตรวจสุขภาพ วันนี้จึงเป็นโอกาสได้มาตรวจสุขภาพตนเอง โดยไม่ต้องไปโรงพยาบาล เพราะทีมแพทย์พร้อมเครื่องมือโรงพยาบาลสงฆ์ลงพื้นที่ถึงในวัด 

วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2565

จี้พรรคการเมืองและส.ส.ไทยหนุนศึกษาขุดคลองไทยรพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้

  


เมื่อวันพุธที่ 26 มกราคม 2565    ณ จุดรับยื่นหนังสือ ชั้น 1 (โซนกลาง) อาคารรัฐสภา  นางบุญญาพร นาตะธนภัทร ส.ส.พรรคพลังชาติไทย รับยื่นหนังสือจาก นายณรงค์ ขุ้มทอง ตัวแทนกลุ่มบุคคลและองค์กรผู้เรียกร้องต่อรัฐบาล และคณะ เรื่อง ให้พรรคการเมืองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้การสนับสนุนการลงมติรับรองผลการพิจารณาศึกษาการขุดคลองไทยและการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ 


สืบเนื่องจากประชาชนชาวภาคใต้และตัวแทนประชาชนจากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยร่วมกับสมาคมคลองไทยเพื่อการศึกษาและพัฒนา สมาคมชาวปักษ์ใต้ในพระบรมราชูปถัมภ์ มูลนิธิร่วมพัฒนาภาคใต้ สมาคมกำนันผู้ใหญ่บ้านแห่งประเทศไทย สภาวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยและอีกหลายองค์กร ได้ร่วมกันระดมความคิดเพื่อเสนอแนวทางการแก้ปัญหาให้กับรัฐบาลโดยได้เสนอและเรียกร้องให้รัฐบาลศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการการขุดคลองไทยและการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ว่าจะเกิดประโยชน์คุ้มค่า หรือไม่ อย่างไร เพราะโครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่น่าสนใจ เป็นความต้องการและความคาดหวังของประชาชน 


อีกทั้งเป็นโครงการที่ได้พูดคุยมาเป็นเวลานานตัวแทนภาคประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้น จึงได้ทำการศึกษาหาข้อมูลจากรายงานการวิจัย การศึกษาของกลุ่มบุคคลต่าง  ๆ รวมถึงเอกสารที่เกี่ยวข้องซึ่งในเบื้องต้นพบว่าการขุดคลองไทยมีผลกระทบทั้งเชิงบวกและเชิงลบ แต่เป็นโครงการที่จะสร้างประโยชน์และเป็นฐานหลักด้านเศรษฐกิจเพื่อการพัฒนาประเทศและคุณภาพชีวิตของประชาชนคนไทยให้มีความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนได้ แต่อย่างไรก็ตามทางกลุ่มต้องการให้มีการศึกษาข้อมูลในเชิงลึกเพื่อให้ได้คำตอบที่ชัดเจน ถูกต้อง และเที่ยงตรงที่สุด อันจะเป็นผลดีแก่ประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง ดังนั้น จึงเรียกร้องให้รัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังต่อไป


นางบุญญาพร นาตะธนภัทร กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า ขอขอบคุณตัวแทนประชาชนชาวภาคใต้ ตนยินดีสนับสนุนการขุดคลองไทยและการพัฒนาพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ พร้อมทั้งจะผลักดันเรื่องดังกล่าวให้สำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

ผู้แทนประธานชมรมสถานีวิทยุพุทธยื่น กมธ.การสื่อสารสภาฯ ช่วยดัน ขยายระยะเวลาลงทะเบียนขอรับใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่



เมื่อวันพุธที่ 26 มกราคม 2565 ณ จุดรับยื่นหนังสือ ชั้น 1 (โซนกลาง) อาคารรัฐสภา นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย ในฐานะรองประธานคณะ กมธ.การสื่อสาร โทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม คนที่สาม รับยื่นหนังสือจากนายสาธุ อนุโมทามิ หัวหน้าพรรคราชสีห์ไทยดี ซึ่งได้รับมอบหมายจาก พระครูวินัยธรไมตรี ฐิตปัญโญ ประธานชมรมสถานีวิทยุเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และคณะทำงานจัดตั้งสถานีวิทยุเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ในมหาเถรสมาคม 


เพื่อขอให้คณะ กมธ. ประสานให้คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ขยายระยะเวลาในการลงทะเบียนอนุญาตสถานีวิทยุ เนื่องจากสำนักการอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงและโทรทัศน์ (ปส.) และกสทช. ได้มีหนังสือเชิญชวนให้ขอรับใบอนุญาตใช้คลื่นความถี่เพื่อให้บริการกระจายเสียง 


โดยให้ผู้ที่จะขออนุญาตจะต้องดำเนินการยื่นคำขออนุญาตตามวิธีการและเงื่อนไขที่ประกาศกำหนด ผ่านระบบการยื่นคำขอรับอนุญาตทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งในการกรอกแบบฟอร์มมีรายละเอียดอย่างมาก รวมทั้งเอกสารที่ต้องแนบในการขออนุญาตมีจำนวนมากกว่า 11 ขั้นตอน ซึ่งต้องใช้เวลาในการดำเนินการพอสมควรในภาวะปกติ แต่เนื่องจากในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ส่งผลให้ได้รับหนังสือแจ้งล่าช้า รวมทั้งการประสานงานเรื่องเอกสารที่ต้องใช้มีมาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเข้มงวด จึงเป็นอุปสรรคในการรวบรวมเอกสาร 


จึงขอให้คณะ กมธ. ได้ประสานงานให้ กสทช. พิจารณาขยายเวลาในการขออนุญาตใช้คลื่นความถี่ เพื่อให้บริการกระจายเสียงไปอีก 30 วัน เพื่อให้ผู้รับใบอนุญาตทดลองประกอบกิจการจะได้ไม่เสียโอกาสในการขออนุญาตในครั้งนี้ นายนิคม บุญวิเศษ กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่คณะ กมธ. เพื่อดำเนินการต่อไป

วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2565

"อนุ กมธ.พุทธฯสภาฯ" ชี้ ส.ต.ต. ขับ Big Bike ชน "หมอกระต่าย" บวชไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัยและกฎหมาย

 


เมื่อวันอังคารที่ 25 มกราคม 2565  ดร.ณพลเดช มณีลังกา อนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ  สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงกรณีตำรวจ ยศ ส.ต.ต. ขับขี่จักรยานยน Big Bike ducati ชน พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือหมอกระต่ายเสียชีวิต ระหว่างเดินข้ามทางม้าลายนั้น โดยทราบว่าตำรวจ ยศ ส.ต.ต. พร้อมบิดา เดินทางไปอุปสมบทร่วมกัน ที่พระอุโบสถ วัดปริวาสราชสงคราม ถนนพระราม 3 แขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา จ.กรุงเทพฯ นั้นหากพิจารณาแล้ว การบวชสำหรับ ตำรวจ ยศ ส.ต.ต. นั้นถือไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ด้วยในพระวินัยบัญญัติ ห้ามบุคคล 8 จำพวก มิให้เข้ามาบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา คือ 


 1.ผู้ที่เป็นโรคอันสังคมรังเกียจ เช่น โรคเรื้อน โรคฝี ฯลฯ

 2.ผู้ที่มีอวัยวะในร่างกายไม่สมบูรณ์  เช่น มือ เท้า นิ้ว หู ขาด

 3.ผู้ที่มีอวัยวะไม่สมประกอบ เช่น คนค่อม คนเตี้ยแคระ มือติดกันเป็นแผ่น

 4.ผู้ที่พิกลพิการ เช่นเป็นง่อย คนมีมือเท้าหงิก  และ คนหูหนวก

 5.เป็นคนทุรพล หมายถึง คนที่มีกำลังน้อย ไร้เรี่ยวแรง

 6.เป็นผู้ที่เกี่ยวข้อง หมายถึง คนที่บิดามารดาไม่อนุญาต คนที่มีหนี้สิน เป็นต้น

 7.ผู้ต้องอาญาแผ่นดิน เช่นถูกสั่งหมายโทษไว้

 8.คนที่ประทุษร้ายต่อสังคม เช่น โจรผู้มีชื่อเสียง


สำหรับข้อที่ 7 จะเห็นได้ชัดว่า ตำรวจ ยศ ส.ต.ต. ยังต้องคดีอาญาแผ่นดิน ในข้อหา “ขับรถโดยประมาทและการกระทำนั้น เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย” ควรจะที่จะชำระคดีให้เสร็จสิ้นเสียก่อน จึงค่อยบวช  สำหรับการที่จะอุปสมบทในบวรพระพุทธศาสนาพระคู่วสวดจะถามผู้จะบวชถึงอันตรายิกธรรมคือ เหตุขัดขวางการอุปสมบท 13 อย่าง ซึ่งหนึ่งในั้นคือ  “นะสิ๊ ราชะภะโฏ” แปลว่า “เธอไม่ใช่ข้าราชการที่ยังมีภาระต้องรับผิดชอบ ใช่ไหม” หากผู้บวชตอบไม่ตรงก็จะมีไม่มีการบวชให้ อีกทั้งตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. 2555 แล้ว  ขอลาอุปสมบทของข้าราชการจะอนุมัติการลา ไม่น้อยกว่า 60 วัน และลาได้ไม่เกิน 120 วัน สำหรับกระแสข่าวว่า ตำรวจ ยศ ส.ต.ต. จะบวชโดยไม่กำหนดสึกนั้นจึงถือว่าผิดตามพระธรรมวินัย สำหรับการที่จะเป็นสงฆ์ในบวรพระพุทธศาสนา จะทำให้ประชาชนอันมี อุบาสก อุบาสิกา ได้กราบได้สนิทใจได้อย่างไร 


อนึ่งสำหรับข้อ 14 ของกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2536) กำหนดว่า พระอุปัชฌาย์ต้องงดเว้นการให้บรรพชาอุปสมบทแก่คนต้องห้ามเหล่านี้ 


 (1) คนทำความผิดหลบหนีอาญาแผ่นดิน 

 (2) คนหลบหนีราชการ 

 (3) คนต้องหาในคดีอาญา 

 (4) คนเคยถูกตัดสินจำคุกโดยฐานเป็นผู้ร้ายสำคัญ 

 (5) คนถูกห้ามอุปสมบทเด็ดขาดทางพระศาสนา 

 (6) คนมีโรคติดต่อเป็นที่น่ารังเกียจ เช่น วัณโรคในระยะอันตราย 

 (7) คนมีอวัยวะพิการจนไม่สามารถปฏิบัติกิจพระศาสนาได้ 


 และในข้อ 16 ของกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 17   วรรคแรก เจ้าอาวาสผู้เป็นพระอุปัชฌาย์จะรับผู้ใดบวช ต้องมีผู้รับรองและให้ผู้รับรองของผู้ นั้นนำผู้จะบวชมามอบตัวพร้อมด้วยใบสมัครและใบรับรองผู้จะบรรพชาอุปสมบทตามความในข้อ 41 ซึ่งจะขอได้จากพระอุปัชฌาย์ ก่อนถึงวันบรรพชาอุปสมบทไม้น้อยกว่า 15 วัน และวรรคสอง ให้เจ้าอาวาสผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ สอบสวนผู้จะมาบวชตามความในข้อ 13 และข้อ 14 ซึ่งปรากฏตามข้อปฏิญญาในใบสมัครขอบรรพชาอุปสมบท และสอบถามผู้รับรองตามข้อรับรองผู้จะบรรพชาอุปสมบท จนเป็นที่เข้าใจถูกต้องตรงกันดีแล้ว จึงรับใบสมัครขอบรรพชาอุปสมบทและใบรับรอง แล้วดำเนินการฝึกซ้อมผู้จะบวชต่อไป

  

 จะเห็นได้ว่าการบวชของ ตำรวจ ยศ ส.ต.ต. อาจไม่ชอบทั้งพระธรรมวินัย ไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยกฎมหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นกฎหมายระดับกฎกระทรวง อีกทั้งยังอาจจะไม่ชอบตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. 2555 อีกด้วย ตนจึงขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติในฐานะต้นสังกัด และสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พิจารณา


ดร.ณพลเดช ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่าในฐานะที่ตนกำลังจะสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพฯ (ส.ก.)  ตนขอแบ่งเป็นประเด็นในการแก้ปัญหารถชนจนถึงขั้นประชาชนเสียชีวิตใน กทม. ดังนี้


 1.ปลูกฝังค่านิยมโดยยึดหลัก Pedestrian First (คนเดินเท้าก่อน)

 2.กฎหมายการตัดแต้มนำไปสู่ไม่อนุญาตขับขี่ นำไปสู่การป้องกัน

 3.กฎหมายและผู้บังคับใช้กฎหมายต้องเด็ดขาด

 5.สร้างพื้นฐานของ infrastructure ของเมืองหลวง

 6.การเลือกผู้นำหรือผู้ว่า กทม. ต้องโปร่งใสและเป็นนักพัฒนาตัวจริง


กรณีของหมอกระต่าย ควรเป็นกรณีสุดท้าย ที่จะมีผู้ที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายแต่ต้องมาเสียชีวิต สำหรับประเทศไทย การปลูกฝังค่านิยมโดยยึดหลัก Pedestrian First (คนเดินเท้าก่อน) หรือรถต้องให้ความสำคัญผู้ข้ามถนนเป็นอันดับแรก หากเดินทางไปยุโรปหรืออเมริกา เราจะเห็นวัฒนธรรมตั้งแต่การชะลอรถที่เห็นทางม้าลาย รวมถึงแม้เห็นคนรอข้ามทางม้าลายแล้วคนขับโบกมือให้คนรีบข้ามถนน แต่สำหรับเมืองไทยต้องเรียกว่าเราใช้ Pedestrian Last เสียมากกว่า ซึ่งเป็นการกลับตาลปัตร จากเมืองนอกที่นอกจากจะไม่จอดแต่กลับต้องกดแตร เพื่อไล่คนข้ามถนนเสียด้วยซ้ำ


ในอเมริกาในบางรัฐหากไม่จอดให้คนข้ามถนน จะต้องถูกหัก 2 แต้ม (10 แต้มยึดใบขับขี่และไม่สามารถขับรถได้อีกต่อไป) รวมทั้งต้องเสียค่าปรับเป็นเงิน 200 USD หรือประมาณ 6,600 บาทไทย และต้องขึ้นศาลอีกทั้งต้องมาทำความดีให้สังคมอีก 15 วัน ซึ่งถือว่าเป็นความยุ่งยากที่ลำบากมาก สำหรับบางกรณีที่มีการชนทำให้ผู้บาดเจ็บต้องรักษาตัว ศาลอาจสั่งให้ผู้ที่ชนรับผิดชอบต่อผู้ที่ถูกชนจนกระทั่งอยู่ในภาวะที่ปกติ จากที่ตนเคยได้ยินจากเพื่อนชาวอเมริกาเล่าให้ฟังว่า มีอยู่รายหนึ่งที่ชนคนข้ามทางม้าลายบาดเจ็บ ต้องหมดเงินมากกว่า 10 ล้านบาท เพราะต้องชดใช้ทั้งค่าแพทย์ ทั้งค่าดูแล ป่วยแล้วป่วยอีกไม่หายสักที ทำให้เหตุการณ์แบบนี้ถูกเล่าปากต่อปาก แม้เราไปขับรถที่อเมริกาเราก็ต้องระวังอย่างมากเมื่อเห็นทางม้าลาย หรือพบเห็นคนกำลังข้ามถนน แต่กลับกันตนเพิ่งกลับมาจากเกาะสมุย ได้เห็นคนไทยที่ขับรถผิดกฎหมายไม่สวมหมวกกันน็อค แม้กระทั่งฝรั่งที่มาบ้านเราที่บ้านเขาทำถูกกฎหมายตลอด แต่มาบ้านเราเขาก็กระทำผิดกฎหมายเช่นเดียวกับคนไทยด้วยเพราะกฎหมายบ้านเราที่ไม่มีบทลงโทษและการบังคับใช้กฎหมายที่หนัก


จากกฎ Pedestrian First นำไปสู่การกำหนดโทษกฎหมายบนท้องถนนที่รุนแรงและเด็ดขาด แต่สำหรับบ้านเราใช้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 เป็นยาครอบจักรวาล ที่ว่า “ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” จำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท ซึ่งทุกกรณีเข้าข่ายนี้หมด อีกทั้งระบบกฎหมายเราเป็นระบบ Civil Law จึงไม่มีคำตัดสินที่กลายเป็นบทบัญญัติกฎหมายแบบ Common law นำไปสู่ผู้บังคับใช้กฎหมายมีมาตรฐานที่แตกต่างกัน เราจึงได้เห็นยายเก็บเห็ดมีโทษถึงคุก แต่กรณีตำรวจชนหมอกระต่าย เสียชีวิตไม่ต้องวางเงินประกันตัวก็ยังสามารถทำได้ สำหรับอเมริกาในระดับเมือง เขาจะมีหน่วยงานตำรวจของตนเอง เรียกว่า Police Department ตัวย่อ PD เช่น LAPD, NYPD ซึ่งขึ้นกับผู้ว่าการรัฐ หรือนายกเทศมนตรี Mayor ในเมืองนั้นๆ ทำให้มีการบริหารจัดการที่ตรงกับเป้าหมายและปัญหามากขึ้น ซึ่งบางส่วนไม่มียศและ Mayor สามารถเปลี่ยนตำรวจได้ หรือไม่หมดวาระก็สามารถเปลี่ยนตำรวจได้เช่นกัน ทำให้ตำรวจต้องเคร่งครัดในหน้าที่และไม่ทำตนเองให้ผิดกฎหมาย จนไปถึงขั้น “กินสินบาทคาดสินบน”


สำหรับเมืองหลวงอย่าง กรุงเทพฯ เรายังขาดการวาง infrastructure ของเมืองหลวงที่มีมาตรฐาน จะเห็นป้ายห้ามจอด คือสามารถจอดได้ บางครั้งสายไฟจะพันป้ายสัญญาณจราจร ก็ยังไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาดูแล ทางม้าลายบางที่สีซีดเกือบมองไม่เห็นแล้ว แม้ท่อน้ำดับเพลิงที่อยู่ข้างถนนเพื่อป้องกันเหตุเพลิงไหม้ ก็พร้อมที่จะมีคนนำรถไปเทียบ หากเป็นต่างประเทศต้องถูกปรับแล้ว อีกทั้งทางเท้าสำหรับคนพิการ เราแทบไม่เห็นความสำคัญเลย สำหรับเมืองไทยเราได้ผู้ว่ามาจาก ม.44 มานานแล้ว การเปลี่ยนแปลงกรุงเทพฯ ในระยะเวลาอันใกล้นี้จำต้องมีผู้ว่า กทม. ที่มีความโปร่งใส และเป็นคนทำงานจริงๆ จะทำให้ กทม.เปลี่ยนแปลงและส่งผลไปในระดับประเทศได้

"ปรเมศวร์" ชี้นักกม.ไทยยังเลือกปฏิบัติ แนะยกระดับภาพลักษณ์ ตร. นำองคุลีมาลโมเดลคืนคนดีสู่สังคม



วันที่ ๒๔  มกราคม ๒๕๖๕ พระปราโมทย์ วาทโกวิโท,ดร. อาจารย์หลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) เลขานุการศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน มจร ผู้แทนกลุ่มการเวกสรุปการเรียนรู้การสัมมนาวิชาการ นักศึกษาหลักสูตรการบริหารงานยุติธรรมระดับกลาง รุ่น ๑๗ กระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า  เวลา ๐๙.๐๐-๑๒.๐๐ น. นักศึกษาผู้เข้ารับการฝึกอบรม “หลักสูตรการบริหารงานยุติธรรมระดับกลาง” รุ่น ๑๗  มีการจัดเวทีสัมมนาวิชาการ หัวข้อ “แนวทางการพัฒนาประสิทธิภาพผู้บังคับใช้กฎหมาย” ณ สถาบันพัฒนาบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม สำนักงานกิจการยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม ผ่านออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งมีพิธีกรโดย นางสาวทัศนวรรณ จุลละศร เจ้าหน้าที่ศาลปกครองชำนาญการพิเศษ สำนักงานศาลปกครอง และผู้ดำเนินรายการสัมมนาวิชาการโดย ว่าที่ร้อยตรี พรินทร์ เพ็งสุวรรณ นักวิชาการยุติธรรมชำนาญการพิเศษ สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงยุติธรรม โดยตั้งคำถามถึงผู้ทรงคุณวุฒิว่าเรามีปัญหา อุปสรรคอย่างไรในการใช้บังคับกฎหมายในปัจจุบัน โดยมีวิทยากรผู้ทรงวุฒิแลกเปลี่ยนประกอบด้วย  

๑) พลตำรวจตรี มนตรี เทศขัน ผู้บังคับการปราบปรามกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กล่าวประเด็นสำคัญว่า มองว่าตำรวจเป็นต้นทางกระบวนการยุติธรรมในกรณีอาญาตำรวจจะเกี่ยวข้องอยู่เสมอ ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายในกรณีคดีต่างๆ เช่น ฆาตกรต่อเนื่องมีการฆาตกรรมต่อเนื่องจำนวน ๕ ศพ สุดท้ายศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งฆ่าคน ๕ คน สุดท้ายพ้นโทษออกมาแล้วมาฆาตกรรมคนที่ ๖ ทำให้ศาลชั้นต้นลงโทษประหารชีวิต สิ่งที่เป็นคำถามว่าเมื่อพ้นโทษออกมาจะมีศพที่ ๗ หรือไม่อย่างไร แนวทางการบังคับใช้กฎหมายจะเป็นอย่างไร รวมถึงคดีเกี่ยวกับลักทรัพย์นายจ้างซึ่งความเสียหายมหาศาล จำนวน ๘,๐๐๐ ล้าน โดยจำคุกเพียง ๑๐ ปี และการซื้อขายของออนไลน์เป็นการเข้าถึงประชาชนที่ง่ายที่สุดมีการหลอกขายเสื้อผ้ามีการจำคุก ๖ เดือน มีคนจำนวนมากไม่ได้แจ้งความ แม้แต่ประเด็นการหลอกใช้ฉลากที่ราคาถูกกว่าท้องตลาด โดยเป็นการตัวอย่างจากกรณีตัวอย่างจริงในสังคมไทย แต่แท้จริงของการบังคับใช้กฎหมายคือ ความสงบสุขของสังคม แต่ถ้ามีการทำผิดพลาดเข้าไปอยู่ในคุก จะต้องสามารถพึ่งตนเองได้มีสัมมาอาชีพได้ ซึ่งผู้พ้นโทษสังคมอาจไม่มีความไว้วางใจ จึงต้องมีการออกเพื่อมีแนวทางในการประกอบอาชีพที่เป็นสัมมาชีพ  ประเด็นการถูกหลอกลวงในโลกของออนไลน์เพราะ “ความกลัวและความโลภ” ไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ จึงต้องสร้างการตระหนักในการดำเนินชีวิต     


๒) นายปรเมศวร์ อินทรชุมชน อธิบดีอัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวประเด็นสำคัญว่า เราต้องมองทุกมิติเพราะที่ผ่านมาสังคมปัจจุบันผิดปกติ จึงมีคำว่า“ความล้าช้าคือความไม่ยุติธรรม” เราจึงต้องมีสื่อสารความจริงกันมีความชัดเจน ซึ่งระบบกฎหมายกำลังเสียหาย “หลักการไม่มีการต่อรอง” หมายถึง กฎหมายต้องบังคับใช้อย่างยุติธรรม ซึ่งภาษากฎหมายจะต้องมีแปลความหมายไม่ใช่ว่าใครอ่านจะเข้าใจ จะต้องมาตีความหมายไม่ตรงกับพจนานุกรม ทำให้มีการแปลกฎหมายไปคนละทิศละทาง โดยนักกฎหมายจะต้องทำความเข้าใจกฎหมายอย่างถ่องแท้ นักฎหมายมีความอ่อนล้าต้องไม่เป็นม้าลำปาง หลักการของกฎหมายมีความชัดเจน แต่ปัจจุบันเราเห็นนักกฎหมายออกมาสื่อสารในสื่อออนไลน์จำนวนมาก การเลือกปฏิบัติในสังคมไทยยังชัดเจนเพราะเรามีศักดิดา โดยนักกฎหมายจะต้องตัดสินคดีโดยปราศจากอคติ ๔ ในทางพระพุทธศาสนา อย่าตัดสินเพราะกลัว เพราะความโกรธ เป็นต้น เราจึงมองเห็นปัญหาของการบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทย จึงต้องยกระดับภาพลักษณ์ตำรวจในการทำงานด้านยุติธรรม ประเด็นคุกในต่างประเทศมีการนำเอกชนมาบริหารอย่างชัดเจนคือ คุกเอกชน ในประเด็น “พักการลงโทษ” พยายามมุ่งทำตามเกณฑ์แต่ออกมาทำผิดพลาดซ้ำ การบังคับคนการลงโทษคนเป็นอย่างไร ทำให้นึกถึงกรณี “คืนคนดีสู่สังคม” คำถามว่าเราคืนคนดีสู่สังคมได้จริงหรือไม่อย่างไร จึงต้องไปใช้แนวคิดทฤษฎีด้านพุทธศาสตร์คือ “องคุลีมาลโมเดล”

นายปรเมศวร์ กล่าวย้ำว่า สถาบันอุดมศึกษาจะต้องสอนเรื่องการตีความของกฎหมาย       

๓) นายจิรสวัสดิ์  สุรฤทธิ์ธำรง  ตุลาการศาลปกครองกลาง กล่าวประเด็นสำคัญว่า กระบวนการในการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพจะต้องใช้หลักของการตีความ กฎหมายเป็นเครื่องมือของการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม ผู้ร่างกฎหมายมีวัตถุประสงค์อย่างไร ปัจจุบันกฎหมายมีจำนวนมากมายในบ้านเมืองไทย ทำให้เราศึกษาไม่หมดเพราะกฎหมายจำนวนมาก จึงต้องศึกษาเฉพาะเรื่องมีการตีความเฉพาะเรื่อง ประเด็นการร่างกฎหมาย การตีความกฎหมาย และการบังคับใช้กฎหมาย ในส่วนของกฎหมายความรุนแรงในครอบครัวถือว่าเป็นหน้าที่ ถ้ามีการเห็นการกระทำความรุนแรงจะต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ ในรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ มีกระบวนการยุติธรรมทางแพ่ง ทางอาญา และทางปกครอง โดยมองประเด็นการทำแท้งในสหรัฐอเมริกามีกฎหมายที่แตกต่างกันในประเด็นการทำแท้ง การร่างกฎหมายและการบังคับใชกฎหมายจึงต้องตระหนัก ประเด็นการใช้กฎหมายจะต้องตระหนักในการวินิจฉัยในภาษาของกฎหมาย “นักกฎหมายตีความต่างกัน” เช่น ตั้งแต่ และ นับแต่ มีการตีความต่างกัน โดยตั้งแต่ใช้วันนี้ นับแต่ใช้วันถัดไป “นักกฎหมายมีความเป็นเอกภาพในการเข้าใจกฎหมายไปในทิศทางเดียวกัน” ซึ่งปัญหาภาษากฎหมายประชาชนเข้าใจยากอ่านแล้วต้องตีความ ทำให้มีการตีความต่างกัน แม้แต่นักกฎหมายยังมีตีความแตกต่างกันเพราะภาษาของกฎหมายอ่านแล้วต้องมาตีความนำไปสู่การตีความแตกต่างกัน แต่หลักการที่สำคัญจะต้องไม่เลือกปฏิบัติ มีความเสมอภาคในการบังคับใช้กฎหมาย

โดยในมุมส่วนตัวผ่านการบูรณาการในการบังคับใช้กฎหมายมองผ่านแนวคิดในทางพุทธสันติวิธี จะต้อง “เคารพในความเป็นมนุษย์ ไม่เลือกปฏิบัติ ก้าวข้ามระบบวรรณะศักดินา  มีความเสมอภาค มีความยุติธรรม และมีความสุจริตมีธรรมาภิบาลเป็นฐาน” ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใครถ้าทำผิดควรมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน บังคับในการลงโทษหรือมิติใดก็ตามเพื่อให้คนกระทำผิดเกิดความสำนึกผิด ไม่กระทำผิดซ้ำ เพราะผิดมากผิดน้อยนั่นคือความผิด แต่ผิดแล้วสำนึกผิดหรือไม่อย่างไร แต่เราได้ยินบ่อยว่า “คุกมีไว้ขังคนจนเท่านั้น” ถ้าไม่ต้องการให้ใครมาบังคับต้องป้องกันตนเองและสังคมไม่ให้กระทำผิด ด้วยสังวรปธาน เพียรป้องกันการกระทำผิด โดยยึดมั่นในหลักพื้นฐานของพื้นฐานการเป็นมนุษย์คือ ศีล ๕ ด้วยการไม่ไปละเมิด ๕ ประการ ผ่านการเคารพในชีวิตของผู้อื่น เคารพทรัพย์สินของผู้อื่น เคารพในครอบครัวของผู้อื่น  เคารพในสังคมและการใช้การสื่อสารของผู้อื่น  และเคารพในสุขภาพตนเองและผู้อื่น  แท้จริงถ้าทุกคนเคารพกฎหมายบ้านเมืองจะเกิดสันติสุขแต่กฎหมายจะต้องร่างขึ้นมาเพื่อมนุษย์ทุกคนมิใช่เพื่อพวกพ้องของตนเองหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น  โดยตระหนักการป้องกันในมิติต่างๆ มากกว่าการลงโทษซึ่งเป็นปลายเหตุของการกระทำผิด เพราะการกระทำผิดอาจจะมาจากสาเหตุทางเศรษฐกิจปากท้อง ระบบความเหลื่อมล้ำของคนในสังคม รวมถึงการขาดสติขาดการยับยั้งช่างใจ         

"สนธิรัตน์" ยันนำสร้างโรงไฟฟ้าชุมชน เป็นนโยบาย "สร้างอนาคตไทย" แนวพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก

 


วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย  พร้อมด้วย นายสุพล ฟองงาม อดีต สส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ และนายวัชระ กรรณิการ์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย พบปะผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชุมชน ตัวแทนวิสาหกิจชุมชนปลูกพืชพลังงาน เผยพร้อมผลักดันเป็นหนึ่งนโยบายพรรค สานต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ชี้ระบบเศรษฐกิจที่แข็งแรง ต้องสร้างฐานรากให้เข้มแข็ง


นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เป็นหนึ่งในนโยบายที่ได้ขับเคลื่อนในสมัยที่ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ด้วยแนวคิด Energy For All เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้เข้าถึงพลังงานทั้งการมีพลังงานใช้ และเป็นได้ทั้งเจ้าของธุรกิจพลังงาน ลบภาพกลุ่มทุนผูกขาดธุรกิจพลังงาน การมาพบปะกลุ่มผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าชุมชน และตัวแทนวิสาหกิจชุมชนปลูกพืชพลังงานในครั้งนี้ เพื่อเป็นการติดตามความก้าวหน้าของนโยบายที่ทางกระทรวงพลังงานได้สานต่อ พร้อมรับฟังความคิดเห็น ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินโครงการ เพื่อนำไปกลั่นกรองเป็นข้อมูลในการกำหนดเป็นนโยบายพรรคสร้างอนาคตไทยที่เป็นรูปธรรม เพื่อขับเคลื่อนให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนทุกคนอย่างแท้จริง

"โดยวันนี้ ได้รับการต้อนรับจากกลุ่มบริษัท ศรีโคตรบูรณ์ BCG โดยคุณวิชวินท์ ศรีสุชัยจันทร์ และคุณสายทิพย์ แสงสิงห์แก้ว บริษัท ไบโอ-แพลนท์ส รอว์ แม็ททีเรียล จำกัด ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนในจังหวัดนครพนมซึ่งได้รับมอบหมายให้บริหารจัดการด้านเชื้อเพลิงร่วมกับชุมชนและการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน โดยมีสถานะเป็นวิสาหกิจชุมชนเพื่อสังคม ทั้งนี้ได้นำร่องปลูกพืชพลังงานร่วมกับชุมชน  4 แห่ง ได้แก่ อำเภอเมือง นาทม ท่าอุเทน และธาตุพนม โดยถือเป็นโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนที่ตรงตามนโยบายภายใต้แนวคิด Energy For All ซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับวิสาหกิจชุมชนในจังหวัดนครพนม 4 แห่ง กว่า 800 ครัวเรือน จากการขายเชื้อเพลิงพืชพลังงานประมาณ 25-30 ล้านบาทต่อปี ได้รับหุ้นจากโรงไฟฟ้า 10% ซึ่งจะได้ส่วนแบ่งผลประกอบการตามสัดส่วนหุ้น 4% ทุกปี คิดเป็นรายได้สู่ชุมชนประมาณ 0.6-1 ล้านบาทต่อปี รวมถึงการเปลี่ยนแปลงวิถีเกษตรกรดั้งเดิมไปสู่การเป็น Smart Farmer และ Human Capital เกิดการสร้างงานสร้างอาชีพในพื้นที่ ซึ่งในอนาคตจะมีการสร้างเป็นศูนย์การเรียนรู้เพื่อต่อยอดไปสู่ชุมชนในจังหวัดอื่น ๆ ทั่วประเทศต่อไป" นายสนธิรัตน์ กล่าวและว่า 

“โครงการโรงไฟฟ้าชุมชน เป็นนโยบายที่ผมได้ริเริ่มไว้เมื่อเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ตั้งใจให้เป็นโครงการสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้กับพี่น้องประชาชน วันนี้มาติดตามดูผลของการเกิดโรงไฟฟ้าชุมชนว่าโครงการสามารถสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนในการปลูกพืชพลังงาน ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างรายได้จากการปลูกพืชพลังงานแต่ยังขยายผลจากการนำพืชพลังงานไปสร้างรายได้เพิ่ม ซึ่งจะเห็นว่ามีความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน เช่น กรมปศุสัตว์ และ NIA ที่มีการนำหญ้าเนเปียร์มาพัฒนาเป็นอาหารสัตว์ มีการนำมูลสัตว์มาผสมกับหญ้าแล้วอบแห้งเป็นปุ๋ย หรือแม้แต่หญ้าเนเปียร์ที่แก่ เป็นอาหารสัตว์ไม่ได้ก็นำไปทำเป็นถ่านที่เรียกว่าไบโอชาร์ใช้ในการปรับปรุงดินแทนสารเคมี ซึ่งผมก็มาดูในสิ่งที่ผมได้ริเริ่มเอาไว้ และจะนำสิ่งเหล่านี้ไปเป็นแนวทางในการทำเป็นนโยบายพรรคในการหาเสียงต่อไป เพราะโครงการนี้จะเป็นโครงการที่สร้างความยั่งยืนให้พี่น้องประชาชนฐานรากตามเป้าหมายโครงการ ก่อเกิดวิสาหกิจชุมชน ก่อเกิดความร่วมมือของเกษตรกร ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า และภาครัฐที่เข้ามาร่วมกันได้ ที่สำคัญยังช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย 

วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2565

ล้อมคลอก! "บิ๊กป้อม" สั่งหารือด่วน ลั่นต้องทำให้ทางเท้าและทางม้าลายปลอดภัยสำหรับประชาชน



วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565 พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์  โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี  รู้สึกเสียใจอย่างยิ่งกับการสูญเสียบุคลากรทางการแพทย์ ระหว่างข้ามถนนบนทางม้าลาย ซึ่งถือเป็นพื้นที่ปลอดภัยตามกฎหมายของประชาชนเดินเท้าทุกๆคน  ได้สั่งการให้ ตร.ติดตามคดีให้ความเป็นธรรมกับผู้เสียชีวิต และเร่งจัดประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้ง กทม. กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคมและภาคประชาสังคม ร่วมกันพิจารณาแก้ไขเร่งด่วน ทั้งมาตรการระยะสั้นและระยะยาว ทำให้ทางม้าลายและทางเท้าเป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับประชาชนเดินเท้าให้ได้อย่างยั่งยืน  

โดยให้พิจารณาร่วมกัน ให้ครอบคลุมทั้งมาตรการป้องกันและแก้ไขที่เกี่ยวข้องกับ ทั้งทางกายภาพของท้องถนน เช่น สัญญาณไฟ แสงสว่างหรือเครื่องหมายจราจร เป็นต้น    และการบังคับใช้กฎหมาย เช่น ความทันสมัยของกฎหมาย การนำเทคโนโลยีมาใช้และความจริงจังในการบังคับใช้กฎหมาย   รวมทั้งการรณรงค์สร้างจิตสำนึกของประชาชน ในการเคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย เป็นต้น 

รองนายกรัฐมนตรี ยังได้ขอความร่วมมือสังคมและสื่อมวลชน  ร่วมรณรงค์ ให้คนใช้รถใช้ถนนต่างต้องเคารพสิทธิ เห็นใจกันและกัน  ร่วมกัน “หยุดรถให้คนข้ามถนน” เพื่อลดอุบัติเหตุและสร้างความปลอดภัยบนท้องถนนร่วมกันอย่างจริงจัง


 

นำร่องใช้ Metaverse! "ไทยสร้างไทย" เปิดตัวเทคโนโลยี AR บนป้าย "บำนาญ 3,000 บาท"



"ไทยสร้างไทย" เปิดตัวเทคโนโลยี AR บนป้าย "บำนาญ 3,000 บาท"  เพื่อสื่อสารนโยบายเข้าถึงประชาชน เป็นพรรคการเมืองแรก นำร่องใช้ Metaverse ให้ประชาชนและพรรคฯ ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ 


วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565  คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย พร้อมด้วย ดร.ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ดิจิทัลเพื่อสร้างพลังของประชาชน พรรคไทยสร้างไทย ร่วมกันแถลงข่าว ถึงการนำเทคโนโลยี AR เพื่อสื่อสารนโยบายให้เข้าถึงประชาชน ได้อย่างชัดเจน มีประสิทธิภาพ นำร่องสู่การใช้ Metaverse เป็นพรรคการเมืองแรกของไทย


ป้าย AR จะช่วยสร้างความเข้าใจของประชาชนที่มี ต่อนโยบาย อุดมการณ์ และวิสัยทัศน์ต่าง ๆ ของพรรค เพียงแค่ยกโทรศัพท์ขึ้นมาสแกน ก็จะพบกับ AR ของบุคคลต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่สื่อสารและพูดคุยถึงรายละเอียดต่าง ๆ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของ “Political Tech” ที่พรรคไทยสร้างไทยจะทยอยออกมาให้พี่น้องประชาชนได้ใช้ เพื่อมีส่วนร่วมกับพรรคการเมือง อย่างเป็นประโยชน์ จับต้องได้


โดยป้ายแรกจะใช้กับ นโยบายบำนาญ ประชาชนเดือนละ 3,000 บาท ที่จะพบกับ AR ของคุณหญิงสุดารัตน์ ที่จะออกมาพูดคุยถึงหลักการของ ที่ทางพรรคตั้งใจดูแลผู้สูงอายุ ให้มีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพ มุ่งดูแลสุขภาพ ผู้สูงอายุให้แข็งแรง มีส่วนร่วมสร้างสรรค์สังคมไทย และจะเป็นการลดภาระ ลดความกังวลของลูกหลาน ทำให้มีเงินตั้งตัวได้เร็วขึ้น โดยไม่ต้องแบกค่าใช้จ่ายของผู้สูงอายุ ทั้งยังช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย


ทั้งนี้เทคโนโลยีดังกล่าวจะเป็นการนำร่องไปสู่การใช้เทคโนโลยี Metaverse ของพรรคไทยสร้างไทย เพื่อเป้าหมายที่จะทำให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการคิดและลงมือทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับพรรคฯ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะตอบโจทย์พี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใดของประเทศ ก็สามารถเข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างไร้รอยต่อ


“ด้วยเทคโนโลยี Metaverse พี่น้องประชาชนและตัวแทนของพรรค จะสามารถไปมาหาสู่ และทำกิจกรรมร่วมกันได้กันได้ ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งการนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้กับกิจกรรมทางการเมืองนั้น เชื่อว่าจะทำให้พี่น้องประชาชนเข้าใจพรรค เข้าใจนโยบาย และเห็นถึงความตั้งใจที่จะทำงานมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกันพรรคก็จะได้เข้าใจความต้องการ เข้าใจความทุกข์ยากความเดือดร้อน ของประชาชนมากยิ่งขึ้นเช่นกัน”


ทั้งนี้ในอนาคต ป้ายของพรรคไทยสร้างไทยทั้งหมดจะเป็น AR ซึ่งไม่เพียงเฉพาะป้ายนโยบายบำนาญประชาชน 3,000 บาท เท่านั้น แต่ทุกนโยบาย ทุกผู้สมัครของพรรค ก็จะดำเนินการในลักษณะเดียวกัน 

"สนธิรัตน์" ควง "สุพล-วัชระ"พบปะเครือข่าย"สร้างอนาคตไทย" ภาคอีสานที่นครพนม



 วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม 2565  นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ พร้อมด้วย นายสุพล ฟองงาม อดีต สส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ และนายวัชระ กรรณิการ์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย ลงพื้นที่จังหวัดนครพนม พบปะเครือข่ายกลุ่มสร้างอนาคตไทยภาคอีสานกว่า 100 คน โดยมีกลุ่มการเมืองเลือดอีสานเข้าร่วม อาทิ นายชัยมงคล ไชยรบ อดีตนายก อบจ.สกลนคร นายวิริยะ ทองผา อดีตรองนายก อบจ.มุกดาหาร นายเชิดศักดิ์ โภคกุลกานนท์ อดีตรองประธานสภา อบจ.อุบลราชธานี และนายจำลอง ภูนวนทา ลั่น พรรคพร้อมเปิดโอกาสคนร่วมอุดมการณ์ขับเคลื่อนประเทศก้าวข้ามทุกปัญหา เดินหน้าเปิดรับความคิด รวบรวมทุกความคิดเห็น สู่การกำหนดยุทธศาสตร์และนโยบายพรรคที่เป็นของประชาชน พร้อมเปิดตัว สุพล ฟองงาม เป็นขุนพลอีสาน ณ โรงแรมพักพิงอิงโขง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม

 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรคสร้างอนาคตไทย กล่าวหลังจากการพบปะเครือข่ายภาคอีสาน ว่า ภายหลังจากเปิดตัวพรรคสร้างอนาคตไทยและผู้ร่วมอุดมการณ์ก่อตั้งพรรคกลุ่มแรก เมื่อวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา ทางพรรคตั้งใจจะเริ่มเดินหน้าลงพื้นที่พบปะเครือข่ายผู้ร่วมอุดมการณ์สร้างอนาคตไทย โดยประเดิมพื้นที่ภาคอีสานที่จังหวัดนครพนมเป็นที่แรก ซึ่งพื้นที่ภาคอีสานนั้นถือเป็นพื้นที่แม่ทางการเมือง เป็นหัวใจสำคัญทางการเมือง และมีความตั้งใจส่วนตัวที่อยากจะลงมาพบปะเป็นพื้นที่แรก

 โดยในวันนี้ได้ร่วมพบปะกลุ่มคนอุดมการณ์เดียวกัน ที่มีทั้งนักการเมือง คนเคยทำงานด้วยกัน ที่ต้องการเข้ามาร่วมสร้างอนาคตไทยกว่า 100 คน โดยโอกาสแรกคือตั้งใจมาสร้างความเข้าใจถึงแนวทางการดำเนินงานของพรรค ซึ่งได้รับการตอบรับเกินความคาดหมายจากที่คิดไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพี่น้องกลุ่มการเมืองภาคอีสานมีความตื่นตัวต่อพรรคสร้างอนาคตไทยในการเข้ามาแลกเปลี่ยนพูดคุยเพื่อนำไปสู่การร่วมอุดมการณ์เดียวกัน ส่วนโอกาสที่สองคือ มาพบปะขุนพลหลักๆ ของภาคอีสานที่จะเป็นแกนนำสำคัญที่จะปักธงการทำงานการเมืองของพรรคร่วมกันซึ่งเชื่อว่าพรรคจะเป็นทางออกและทางเลือกสำคัญที่พี่น้องทางภาคอีสานจะให้ความไว้วางใจ 

“นับจากนี้พรรคจะเริ่มเดินหน้าทางการเมืองเต็มรูปแบบ พร้อมจะติดตามสถานการณ์การเมืองอย่างใกล้ชิดและจะดำเนินการทางการเมืองให้สอดรับกับทุกสถานการณ์ จะไม่ทำการเมืองที่ประชาชนเข้าไม่ถึง แต่จะมุ่งเน้นการทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน เพราะหัวใจของการเมืองคือพี่น้องประชาชน โดยพรรคจะระดมผู้ที่มีความรู้ความสามารถให้ได้มากที่สุด มีคุณสมบัติดีที่สุด เหมาะสมที่สุด เพื่อเสนอต่อพี่น้องประชาชน และมุ่งเน้นการทำนโยบายที่พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจ ผมขอยืนยันว่าพรรคจะเป็นพรรคแห่งความหวังของคนไทย ที่จะสร้างโอกาสด้านเศรษฐกิจ ภายใต้ขุนพลด้านเศรษฐกิจที่มากความสามารถและประสบการณ์”

นอกจากนี้ นายสนธิรัตน์ ยังได้กล่าวถึงคุณสมบัติของบุคคลที่จะมาเป็นแคนดิเดตนายกของพรรคว่า พรรคกำหนดคุณสมบัติแคนดิเดตนายกของพรรคไว้ชัดเจน คือ 1. ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถที่จะนำพาไปสู่การแก้วิกฤตของประเทศได้ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม และพี่น้องประชาชนมีควาเชื่อมั่น 2. จะต้องเป็นผู้ที่มีบารมีมากพอที่จะรวบรวมพลังของคนที่จะเข้ามาแก้ปัญหาของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นพลังของนักการเมือง นักธุรกิจ และพลังเครือข่ายด้านสังคม และ 3. จะต้องเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ และสามารถนำพาประเทศแข่งขันกับนานาชาติได้ 

 ในโอกาสนี้ นายสนธิรัตน์ ยังได้เปิดตัวนายสุพล ฟองงาม เป็นขุนพลอีสานมือประสานกลุ่มสร้างอนาคตไทยภาคอีสาน โดยนายสุพล ได้กล่าวว่า ได้มีผู้แสดงเจตนารมณ์ที่จะเข้ามร่วมสร้างอนาคตไทยกับพรรคเป็นจำนวนมาก ซึ่งจากนี้จะต้องมีการประสานดำเนินการอย่างเป็นระบบ โดยมีเป้าหมายจะส่งผู้สมัคร สส.ในภาคอีสานครบทุกเขต ส่วนพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีจะเริ่มที่ 4-5 เขต ซึ่งจะต้องดูที่ความพร้อมและคุณสมบัติผู้สมัครเป็นสำคัญ และในวันนี้ยังไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะได้จำนวน สส. เท่าไหร่ แต่มั่นใจว่าพรรคนี้จะเป็นคำตอบเรื่องเศรษฐกิจของคนอีสาน เพราะคนที่มีความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ด้านเศรษฐกิจอันดับต้น ๆ ของประเทศอยู่ที่พรรคนี้ โดยส่วนตัวมั่นใจว่าพรรคจะเป็นหนึ่งที่จะได้จัดตั้งรัฐบาล เพราะมั่นใจในนโยบาย และผู้หลักผู้ใหญ่ในพรรคนี้ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ และที่สำคัญมือสะอาดทุกคน

วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2565

"สมปอง" วอน "ผมเป็นคนธรรมดาแล้ว ขออย่ายึดติดภาพความเป็นพระ"




วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม 2565 นายสมปอง นครไธสง อดีตพระมหาสมปอง ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงในเพจส่วนตัว “สมปอง นครไธสง” ระบุถึงความรู้สึกหลังสึกออกมาได้เกือบ 1 เดือน โดยได้ระบุข้อความว่า

“ตั้งแต่ผมสึกออกมา มีหลายคนจับตามองในสิ่งที่ผมทำ ผมก็เป็นมนุษย์คนนึงแหละครับ ที่พร้อมจะทำในสิ่งที่ดี และอาจจะไม่รู้ตัวในการทำสิ่งที่ไม่ดี อย่าเอาการบวช 30 ปีของผม มาตัดสินชีวิตผมเลย ว่าผมจะต้องเป็นคนที่ดีพร้อม และทำในสิ่งที่ทุกคนพอใจ


ผมอาจจะเป็นคนที่น่าชื่นชม ในสายตาใครหลายๆคน แต่ผมก็อาจจะเป็นที่ไม่ดีสำหรับใครอีกหลายๆคนเช่นกัน อย่าจับตามองผมด้วยความหวังเลยครับ


ผมไม่สามารถเป็นคนที่ดีพร้อมเพื่อให้ใครสมหวังได้เลย อย่ายึดติดภาพความเป็นพระของผม เพื่อทำให้ผมต้องลำบากใจในการเคลื่อนไหวชีวิต


ผมพร้อมจะแก้ไขในสิ่งที่ทุกคนตำหนิ


ผมพร้อมจะเดินหน้าต่อเพื่อทำตามความฝัน


ผมพร้อมจะเรียนรู้การอยู่ร่วมกับทุกคนทุกเพศทุกวัยในสังคม ในฐานะคนธรรมดาที่ไม่ใช่พระมหา


ผมพร้อมที่จะเป็นแค่คนธรรมดาในแบบที่ผมเป็น


ผมเชื่อว่าสังคมปัจจุบัน เปิดกว้างทางความคิดมากขึ้น ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดเห็น ผมปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทุกครั้งที่ผมอ่านความคิดเห็นในด้านลบ หลายครั้งที่ต้องอ่านคอมเม้นต์ในสิ่งที่ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมทำอะไรผิด มันก็ค่อนข้างทำให้ผมรู้สึกแย่


แต่ในอีกมุมนึง ชีวิตผมก็ยังต้องดำเนินไป ผมก็พยายามเลือกมองมุมดีๆ มุมที่ใครอีกมายมายพร้อมจะอยู่เคียงข้างผม ให้กำลังใจผม สนับสนุนผม และรักผม


ผมขอบคุณทุกคนมากจริงๆจากใจ แต่อย่าพยายามคาดหวังอะไรในตัวตนผมเลย ผมจะพยายามใช้ชีวิตอย่างมีสติมากขึ้น เรียนรู้ไปทุกวัน และผมเชื่อว่าผมยังจะต้องพบเจออะไรอีกมากมาย กว่าการอยู่ในรั้ววัด มากมายกว่าชีวิตในผ้าเหลืองที่ผมเคยเป็น


สุดท้ายไม่ว่าใครจะรักผมหรือไม่รักผม ผมก็ยังอยากจะขอบคุณทุกคนจากใจเสมอ และผมสัญญาว่าผมจะไม่ทิ้งความเป็นตัวเอง


สมปอง นครไธสง”

พบอีก 2 แห่ง กักตุนซากหมูนครปฐม รวม 66,984.34 กิโลกรัม


กรมปศุสัตว์รุกตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมสนธิกำลังร่วมเครือข่าย ปคบ. ลุยตรวจสอบกันกักตุนซากสุกรของห้องเย็นและคุมเข้มการเคลื่อนย้าย หลังพบกักตุนซากสุกร อีก  2 แห่ง ไม่ทราบแหล่งที่มา ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม จำนวนรวม 66,984.34 กิโลกรัม 

วันเสาร์ที่ 22 มกราคม 2565   นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษพญาไท ด่านกักกันสัตว์สระบุรี ด่านกักกันสัตว์พระนครศรีอยุธยา ด่านกักกันสัตว์สุพรรณบุรี สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราบการกระทำความผิดเกี่ยวการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคป) ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการตรวจสอบห้องเย็น เพื่อป้องกันกรณีที่อาจมีการกักตุนสินค้าประเภทเนื้อสุกรเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า โดยในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบการกักตุนซากสุกร ในห้องเย็น จำนวน 2 แห่ง ในพื้นที่จังหวัดนครปฐม

เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบบริษัท C (นามสมมติ) เป็นโรงงานตัดแต่งเนื้อสัตว์ และมีห้องเย็นของตนเอง พบมีการจัดเก็บ ซากสุกร จำนวน  288,828.6 กิโลกรัม พนักงานเจ้าหน้าที่จึงขอตรวจสอบเอกสารเคลื่อนย้าย พบมีซากสุกร บางส่วน จำนวน  56,898 กิโลกรัม ได้นำไปฝากจัดเก็บห้องเย็นภายนอกแห่งหนึ่ง ไม่มีเอกสารเคลื่อนย้ายซากสัตว์ และทางบริษัทยังไม่ได้แจ้งจำนวนกักตุนต่อกรมการค้าภายใน พนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการอายัดซากสุกร จำนวน 56,898 กิโลกรัม ไว้ที่ห้องเย็นดังกล่าว และพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ขยายผล เข้าตรวจสอบบริษัท D (นามสมมติ) มีลักษณะเป็นโรงงานตัดแต่งเนื้อสัตว์และรับฝากเนื้อ (ห้องเย็น) พบมีซากสุกรจัดเก็บ จำนวน 56,388.66 กิโลกรัม และยังไม่ได้แจ้งต่อกรมการค้าภายใน พนักงานจึงขอตรวจสอบเอกสารการเคลื่อนย้าย พบว่าซากสุกร จำนวน 10,088 กิโลกรัม ไม่มีเอกสารเคลื่อนย้ายซากสัตว์ พนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้ทำการอายัดซากสุกร จำนวน 10,088 กิโลกรัม ทางบริษัทยังไม่ได้แจ้งการกักตุนสินค้าให้กรมการค้าภายในทราบ

"หากเจ้าของบริษัทเนื้อสุกรที่อายัดไว้ ไม่สามารถนำเอกสารมาแสดงได้จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.โรคระบาดสัตว์ 2558 มาตรา 22 โทษจำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ หากประชาชนต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือพบเห็นการกระทำผิดด้านปศุสัตว์ โปรดติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อขอรับข้อมูล หรือแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย โดยแจ้งผ่านแอปพลิเคชัน  DLD 4.0 หรือสายด่วนกรมปศุสัตว์ 063-225 -6888 ได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง" อธิบดีกรมปศุสัตว์ กล่าว.

"ไผ่ ลิกค์" โพสต์ถาม "สมศักดิ์" ได้ยาวิเศษอะไร ถึงร้องทบทวนมติ "พปชร." ขับก๊วน "ธรรมนัส"



วันเสาร์ที่ 22 มกราคม 2565 นาย ไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "ไผ่ ลิกค์" ระบุว่า วันนี้ สส เบี้ยว ออกมาบอกว่าไม่รู้เรื่อง ในทุกเรื่องที่เกิดขึ้น ในการโดนขับออกจากพรรคพลังประชารัฐ ผมเกิดความสงสัยขึ้นมากมาย ว่าพี่มาถึงประมาณบ่าย 4-5โมง พี่มีเวลาถึงเกือบ3ทุ่ม ขั้นตอนในการประชุม มีหลายขั้นตอนมาก ไม่ว่าจะ เรียกมาคุยกันก่อน ตามด้วยประชุมกับหัวหน้าพรรค คณะกรรมการบริหารพรรคประชุมกันเอง และ มาประชุมร่วมกับสมาชิกพรรค ทุกขั้นตอนมีการหารืออย่างเผ็ดร้อน ในการประชุมทุกขั้นตอน พี่นั่งอยู่หลังผม พี่กับบอกพี่ไม่รู้เรื่องด้วยไม่รู้เรื่องมาก่อน และที่สำคัญตอนยกมือขอมติ จากสมาชิกพรรค พี่ยกมือด้วย

แต่พอผ่านไปสองวันคนไม่รู้เรื่องกลายเป็นคนเก่งขึ้นมาร่างจดหมายได้ยาวเหยียด หลักการครบทุกอย่าง ความจำดีจำทุกอย่างทุกขั้นตอนได้หมด ที่พี่จำได้อาจจะไม่ใช่ที่พี่จำได้แต่อาจจะเพราะพี่ไปพบใครมารึเปล่าครับ

สุดท้ายผมสงสารประชาชนมากที่มี สส แบบนี้ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ขนาดนั่งประชุมขนาดนี้ และที่ โหวดๆมารู้เรื่องบ้างมั้ยครับ นี่ไม่รู้เรื่องขนาดโทรมาบอกว่า “ผมดีใจมาก ผมรอมานานแล้ว” ด้วยนะเนี่ย หรือพี่ได้ยาวิเศษอะไรเข้าไปครับเลยเปลี่ยนพี่ไปขนาดนี้ แล้วสุดท้ายพี่จะไปอยู่พรรคไหน


#RIPครับพี่

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2565

เพลงดร.ข้าวก้นบาตร ศิษย์วัดสมอแครง(วัดเทวราชกุญชร)



พลิกประวัติศิษย์วัดสมอแครง

ชีวิตไส้แห้งได้ข้าวแกงก้นบาตร

จากเด็กกำพร้าชายคาไร้สิตางค์

อนาคตไม่มีที่หวังไม่มีคนหนุนส่ง


ชีวิตตกอับอาพัพครอบครัว

ต้องปีนข้ามรั้วซุกนอนศาลาเก่าเก่า

ด้วยเดชบุญค้ำจุนมานานเนาว์

รอดตายได้เพราะหลวงตาอุ้มชู


ตื่นแต่เช้าถือปิ่นโตตามหลวงตา

เหน็บหนาวหนักหนาต้องทำหน้าที่

ได้แต่นึกสักวันได้เรียนสถานที่ดีดี

ตั้งใจเพียรมุ่งเรียนเต็มที่นานาวิชา


มีสอบที่ไหนพี่นี้ต้องไป

ไกลแสนไกลต้องไปให้ถึงถิ่นที่

คงเป็นบุญสั่งสมแต่กรรมดีดี

ผลสอบติดปริญญาตรีมหาจุฬาฯสมปอง


เพราะเป็นศิษย์วัดข้าวก้นบาตรยาไส้

ไม่มีหรอกขวัญใจนิเทศจากรั้วจุฬาฯ

แค่ดีกรีพุทธศาสตร์และเอกปรัชญา

จบปริญญาดอกเตอร์สันติสมดังตั้งใจ


แต่งโดยดร.มหาสำราญ สมพงษ์

เพลงปริญญาเถื่อน!



พอสึกออกมาหวังใช้ปริญญายาไส้

แต่ต้องทำใจเขาหาว่าปริญญาเถื่อน

สิ่งที่หวังกลับกลายเป็นสิ่งเลอะเลื่อน

คำว่าปริญญาเถื่อนพี่นี้ได้แต่จำใจ


เก็บกรวดเช็ดถูพี่นี้จำเป็นต้องสู้

ไม่เคยย้อท้อจำต้องสู้เพื่อชีวิตสองเรา

เหน็ดเหนื่อยแค่ไหนเห็นหน้าก็บรรเทา

ชีวิตมันเศร้าเพราะพี่มีปริญญาเถื่อน


ตำแหน่งใหญ่โตผู้ช่วยผู้จัดการร้าน

แต่งานที่ทำทุกอย่างเลยนะโฉมตรู

ไม่เคยเกี่ยงงานเพื่อความเป็นอยู่

พี่จำต้องสู้ก้มหน้าทำเพื่อชีวิตสองเรา


นึกว่าจะเลิศหรูบัสบอยโรงแรมเอเชีย 

ใจละเหี่ยบริกรชายคอยเสริฟอาหาร 

ต้องคอยเก็บจานลูกค้ามารับประทาน 

เขาแสนสำราญพี่นี่อาบเหงื่อน้ำตานอง


ยี่สิบวันลาแล้วบัสบอยโรงแรมเอเชีย

เพราะแสนเพลียวิ่งเก็บจานเช้าจนค่ำ

ชีวิตต้องอยู่ต้องกินจำต้องวิ่งหางานทำ

ชีวิตเปลื้อนน้ำหมึกนี่คือคุณค่าคำว่าปริญญาเถื่อน


แต่งโดยดร.มหาสำราญ สมพงษ์

สถาบันพระปกเกล้าตั้ง "ศุภณัฐ เพิ่มพูนวิวัฒน์" เป็น ผอ. สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาลคนใหม่


วันเสาร์ที่ 22 มกราคม 2565 พระมหาหรรษา  ธมฺมหาโส,ศ.ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา ผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ  มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร)  เปิดเผยว่า ได้ร่วมคณะกับ ศ.นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ กรรมสมานฉันท์แห่งชาติ อดีผู้อำนวยการสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล คนที่ 1 นำมวลศิษย์ร่วมแสดงมุทิตาจิตต่อนายศุภณัฐ เพิ่มพูนวิวัฒน์  ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล เป็นคนที่ 3 เพื่อสานงานต่อจากศ.นพ.วันชัยและพลเอกเอกชัย ศรีวิลาศ อดีตผู้อำนวยสำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล เป็นคนที่ 2  

"ทั้งนี้ในปี 2546 เมื่อครั้งเข้าไปศึกษาหลักสูตรการจัดการความขัดแย้งด้านนโยบายสาธารณะโดยสันติวิธี รุ่น 2  นายศุภณัฐเพิ่งเริ่มต้นเข้ามารับการฝึกฝนจากอาจารย์หมอในฐานะเป็นศิษย์กันกุฏิ จนบัดนี้ได้กลายเป็นที่มีความรู้และประสบการณ์ที่สูงมากยิ่งขึ้น" พระมหาหรรษา กล่าวและว่า   

มาบัดนี้ได้รับความไว้วางใจจาก ศ.วุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า พร้อมทั้งคณะกรรมการบริหารสถาบันพระปกเกล้าให้มาทำงานเพิ่มเสริมสร้างสังคมสันติสุขในกรอบต่างๆ รวมถึงกรอบความร่วมมือที่ได้ทำร่วมกันระหว่างสำนักงานศาลยุติธรรม สถาบันพระเกล้า และมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตั้งแต่ปี 2555

อธิบดีกรมปศุสัตว์รับไฟเขียว ขยายผลลุยตรวจสอบ กันกักตุนซากสุกรห้องเย็น



อธิบดีกรมปศุสัตว์เผยนายกฯ และรมว.เกษตรไฟเขียว สั่งขยายผลลุยตรวจสอบกันกักตุนซากสุกรของห้องเย็นคุมเข้มการเคลื่อนย้ายไม่ทราบแหล่งที่มาพบของกลางกักคันในห้องเย็น ในพื้นที่สมุทรสารครอื้อ 


วันเสาร์ที่ 22 มกราคม 2565 นายสรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ เปิดเผยว่า ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีในการตรวจสอบห้องเย็นที่อาจมีการกักตุนสินค้าประเภทเนื้อสุกรเพื่อผลประโยชน์ทางการค้า ซึ่งกรมปศุสัตว์ได้มีการขยายผลตรวจสอบอย่างต่อเนื่องพร้อมหน่วยงานในพื้นที่เครือข่ายกองบังคับการปราบปราบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) โดยล่าสุดได้สนธิกำลังเร่งตรวจสอบห้องเย็นเพื่อกันการกักตุนซากสุกรในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร จำนวน 10 แห่ง อายัดสินค้ารอตรวจสอบแล้วรวมกว่า 500 ตัน


ทั้งนี้วันที่21 มกราคม ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษพญาไท เจ้าหน้าที่ด่านกักกันสัตว์ กองสารวัตรและกักกัน สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดสมุทรสาคร กรมปศุสัตว์ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) สถานีตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร เข้าตรวจสอบการกักตุนซากสุกรในห้องเย็น ผลการตรวจสอบพบว่า ห้องเย็นแห่งหนึ่งมีเนื้อสุกรแช่แข็งจัดเก็บ แจ้งกรมการค้าภายใน จำนวน 929 ตัน แต่ไม่พบการออกเอกสารเคลื่อนย้ายเนื้อสุกรออกจากห้องเย็น ปลายทางนครปฐมและราชบุรี จำนวนกว่า 400 ตัน ซึ่งได้มีการเคลื่อนย้ายเนื้อสุกรไปแล้ว โดยเป็นเนื้อสุกรที่รับฝากมาจากบริษัทแห่งหนึ่งย่านราชบุรี นครปฐม ปทุมธานี กรุงเทพฯ และจากแหล่งอื่นๆ


 นอกจากนี้ ยังพบว่าในส่วนที่ยังไม่ได้เเจ้งกับกรมการค้าภายใน ตรวจสอบพบอีกจำนวน 234 ตัน เป็นของบริษัท A แห่งหนึ่งจากราชบุรีที่นำมาฝากเมื่อเดือน กันยายน - พฤศจิกายน 2564 โดยบริษัทดังกล่าวยังไม่เคยเบิกสินค้าออกแต่อย่างใด สินค้าที่ฝากเก็บมีการระบุชื่อสินค้าเป็นสันนอกติดปีก ทำให้ห้องเย็นจัดเก็บเป็นสินค้าไก่ทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเนื้อสุกร ซึ่งไม่สามารถแสดงเอกสารเคลื่อนย้ายจำนวนประมาณ 71 ตันได้ พนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินการอายัดสินค้าไว้ก่อนทั้งหมด 71 ตัน หากสามารถนำมาแสดงได้จะเข้ามาดำเนินการถอนอายัด โดยให้บริษัท A นำเอกสารมาแสดงและชี้แจงภายในวันนี้(วันที่ 22 มกราคม 2565)และในวันเดียวกันนี้ ได้เข้าตรวจสอบห้องเย็นอีกแห่งพบเอกสารเคลื่อนย้ายซากสัตว์แต่ไม่พบเนื้อสัตว์เข้าฝากในห้องเย็นโดยจำนวนที่ระบุในเอกสาร 283 ตัน จึงได้สอบถามถึงสถานที่จัดเก็บเนื้อสัตว์ดังกล่าว จากนั้นจึงได้ตามสอบไปยังห้องเย็นอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นสถานที่จัดเก็บเพิ่มเติมของห้องเย็นที่พบเอกสารแต่ไม่มีสินค้าจัดเก็บ พบว่ามีการนำซากสุกรจากบริษัท B และบริษัท A ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับที่ตรวจพบจากห้องเย็นข้างต้น จำนวนกว่า 441 ตัน มาจัดเก็บไว้ที่ห้องเย็นนี้ โดยไม่พบเอกสารเคลื่อนย้าย และไม่ได้แจ้งการกักตุนสินค้าให้กรมการค้าภายในทราบ จากการตรวจสอบพบมีซากสุกร พบว่าเป็นของบริษัท A มาจัดเก็บที่ห้องเย็นนี้จำนวน 158 ตัน และบริษัท B ไปจัดเก็บจำนวน 283 ตัน ตรวจสอบไม่พบเอกสารการเคลื่อนย้ายไปห้องเย็นดังกล่าว


โดยเบื้องต้น พนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้อายัดซากสุกร จำนวน 441 ตันทั้งหมด และแจ้งให้บริษัท A และ B นำเอกสารการเคลื่อนย้ายและหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาแสดงภายในวันที่ 22 มกราคม 2565 นี้ หากไม่สามารถนำมาแสดงได้จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป  หากประชาชนต้องการข้อมูลเพิ่มเติม หรือพบเห็นการกระทำผิดด้านปศุสัตว์ สามารถแจ้งเบาะแสการกระทำความผิดเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย โดยแจ้งผ่านแอปพลิเคชัน DLD 4.0 หรือสายด่วนกรมปศุสัตว์ 063-225 -6888 ได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง


 

"พระอาจารย์ติช นัท ฮันห์" วัย 95 ปีละสังขารแล้ว

  


วันเสาร์ที่ 22 มกราคม 2565  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจ Thai Plum Village ได้โพสต์ข้อความและภาพความว่า  ประกาศ พระอาจารย์ติช นัท ฮันห์ละสังขาร สังฆะหมู่บ้านพลัมนานาชาติขอประกาศว่า หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ พระอาจารย์ที่รักยิ่งของเราได้ละสังขารอย่างสงบ ณ วัดตื่อเฮี้ยว เมืองเว้ ประเทศเวียดนาม เมื่อเวลา 0.00 นาฬิกา ของวันที่ 22 มกราคม 2565 สิริอายุ 95 ปี

เราขอเชื้อเชิญครอบครัวทางจิตวิญญาณทั่วโลกได้หยุดใช้ชั่วเวลาสักครู่ในความสงบ และกลับคืนสู่ลมหายใจแห่งสติ เพื่อที่เราจะได้โอบรับหลวงปู่ไว้ในหัวใจ ในสันติและความสำนึกคุณด้วยความรักต่อทุกสิ่งที่ท่านได้มอบให้ไว้ในโลก เพื่อรับการประกาศข่าวอย่างเป็นทางการเพิ่มเติมทางอีเมล์  โปรดลงทะเบียนที่: https://bit.ly/3fJx7pd

ทั้งนี้เพจ หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ - สวนโมกข์กรุงเทพ ได้โพสต์ข้อความว่า 

รำลึกถึงท่าน ติช นัท ฮันห์ (2469 - 2565) พระอาจารย์เซนชาวเวียดนาม ท่านได้ละสังขารอย่างสงบ เมื่อเช้าวันที่ 22 มกราคม 2565 ที่ ณ วัดตื่อเฮี้ยว (Từ Hiếu Temple (Tu Hieu)) เมืองเว้ ประเทศเวียดนาม

ท่านเป็นพระมหาเถระนิกายเซนผู้สนับสนุนให้พุทธศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน คำสอนเรื่องสติและการดำรงอยู่ในปัจจุบัน เป็นคำสอนสำคัญ ท่านย้ำเตือนอยู่เสมอให้ทุกคนมีสติในทุกการกระทำ ทั้งการเดิน นั่ง นอน ยิ้ม

เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2554 ท่านและนักบวชจากหมู่บ้านพลัมได้เมตตามาแสดงธรรมและนำปฏิบัติภาวนาตลอดวันที่สวนโมกข์กรุงเทพ (หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ) มีผู้สนใจเข้าร่วมงานกันอย่างเนืองแน่นตลอดวัน

#ประวัติโดยย่อ

Thich Nhat Hanh  เป็นนามทางธรรมที่ได้รับหลังการบวช

ติช : Thich ในเวียดนามใช้เรียกพระ มีความหมายว่าเป็นผู้สืบทอดพุทธศาสนา

นัท ฮันห์ : Nhat Hanh  เป็นนามทางธรรมของท่าน มีความหมายว่า การกระทำเพียงหนึ่งเดียวซึ่งก็คือการเจริญสติ

ไถ่ : Thay เป็นภาษาเวียดนาม แปลว่า อาจารย์ ซึ่งศิษย์ต่างชาตินิยมเรียกท่านเช่นนั้น แต่ ศิษย์ชาวเวียดนามจะเรียกท่านว่า  ซือองม์ : Su Ong ซึ่งอาจแปลเป็นไทยว่า หลวงปู่

- ปี พ.ศ. 2485 (ค.ศ.1938) บรรพชาเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา เมื่ออายุ 16 ปี ณ วัดตื่อเฮี้ยว (Từ Hiếu Temple (Tu Hieu)) เมืองเว้ ท่านได้เรียนรู้การฝึกปฏิบัติสติภาวนา โดยมีหลักคำสอนของพระอาจารย์และวิถีชีวิตประจำวันของผู้บวชใหม่ อันเป็นรากฐานสำคัญของชีวิตนักบวช

- ปี พ.ศ. 2492 อุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่ออายุ 23 ปี เดินทางไปไซ่ง่อนเพื่อฟื้นฟูพุทธศาสนาและเขียนบทความ ทำให้ถูกต่อต้านจากผู้นำองค์กรชาวพุทธและรัฐบาลในระยะนั้น

- ปี พ.ศ. 2505 ได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยพรินซ์ตันเพื่อศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ หลังจากนั้น 1 ปี ก็ได้รับทุนอีกจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย แต่ท่านตัดสินใจกลับเวียดนาม เพื่อสานต่อแนวคิดพุทธศาสนาที่รับใช้สังคม

- ปี พ.ศ. 2518 #กำเนิดหมู่บ้านพลัม 

หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ได้สร้าง "สังฆะ" ชุมชนแห่งการฝึกปฏิบัติเพื่อดำเนินชีวิตอย่างมีสติของพุทธบริษัท 4 ด้วยความตั้งใจที่จะแลกเปลี่ยนพระพุทธศาสนาในดินแดนตะวันตก สังฆะแห่งแรกตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2518 ชื่อว่า อาศรมมันเทศ (Sweet Potato Hermitage) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศฝรั่งเศส จากนั้นได้ย้ายลงไปทางตอนใต้และตั้งชื่อสังฆะแห่งใหม่นี้ว่า หมู่บ้านพลัม  (Plum Village)  ตามชื่อต้นพลัมที่ปลูกอยู่ทั่วผืนดินแห่งนี้

ปัจจุบัน มีชุมชนการปฏิบัติธรรมแห่งหมู่บ้านพลัมกระจายอยู่ในหลายประเทศ อาทิประเทศฝรั่งเศส อเมริกา เยอรมัน ฮ่องกง และล่าสุดที่ประเทศไทยโดยมีนักบวชกว่า 500 รูป จาก 20 ประเทศทั่วโลก และมีกลุ่มปฏิบัติธรรมตามแนวทางหมู่บ้านพลัม หรือ “สังฆะ” เกือบหนึ่งพันกลุ่ม กระจายอยู่ใน 31 ประเทศทั่วโลก

#วิถีการปฏิบัติที่ไม่แยกขาดจากสังคม

ชุมชนการปฏิบัติธรรมแต่ละแห่ง มีวิถีการฝึกปฏิบัติเพื่อดูแลสิ่งแวดล้อม และดำเนินชีวิตในวิถีที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อน โดยเลือกรับประทานอาหารมังสวิรัติ งดนมและผลิตภัณฑ์จากนม งดบริโภคไข่ เพื่อลดการใช้ทรัพยากรและลดมลภาวะต่างๆ ที่เกิดจากการเลี้ยงปศุสัตว์ ทั้งยังมีการฝึกปฏิบัติ  ‘วันงดใช้รถ’  หรือ Car Free Day เพื่อลดการใช้พลังงาน ลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ที่ปล่อยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ การฝึกปฏิบัติเช่นนี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คนทั่วไป เพื่อช่วยกันเยียวยาโลกที่กำลังอยู่ในภาวะวิกฤติทั้งสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและความรุนแรงในสังคม โดยเริ่มจากการฝึกสติตระหนักรู้ มีสันติในตนเอง ผ่านการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต ผ่านการกระทำในชีวิตประจำวัน

ที่มา

http://www.thaiplumvillage.org/ http://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=700884

"กรมการแพทย์ สธ.-มจร" จับมือเปิดรพ.สงฆ์มหาจุฬาฯ บริการสุขภาพและวิชาการพระสงฆ์ทั่วประเทศ




เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๖๕  ที่สํานักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร)  อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา  มีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางด้านการบริการสุขภาพและวิชาการ (MOU) ระหว่างกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม โดยทั้งสองฝ่ายตกลงทําข้อตกลงความร่วมมือทางด้านการบริการสุขภาพและวิชาการ เพื่อให้เกิดความร่วมมือและเป็นประโยชน์ต่อการดําเนินการตามภารกิจของหน่วยงานทั้งสอง รวมถึงการดําเนินกิจกรรมและโครงการต่างๆ ของหน่วยงานทั้งสอง 

นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวปรารภความร่วมมือว่า โรงพยาบาลสงฆ์ จะถวายความรู้แด่พระสงฆ์และทำให้เป็นรูปธรรม นำเรื่องธรรมมานำสุขภาพ ตั้งเป้าหมายระยะสั้น เป็นการรวบรวมข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลของบุคลากร มจร และเป้าหมายระยะยาวคือการดูแลพระสงฆ์ทั่วประเทศ 
โดยในข้อตกลงระบุว่า ข้อ ๑ กรอบและแนวทางความร่วมมือ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือในกิจกรรมต่อไปนี้

๑.๑ ความร่วมมือทางด้านบุคลากร นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ วิทยากร ข้อมูล เครื่องมือ อุปกรณ์ สถานที่ ตลอดจนปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อันจะนําไปสู่การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสมรรถภาพ และการดูแลแบบประคับประคอง(Palliative Care) สุขภาพพระสงฆ์ รวมถึงการสร้างเสริมสุขภาวะองค์กรสงฆ์และชุมชน และการส่งเสริม และสนับสนุนการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของพระสงฆ์ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

๑.๒ ความร่วมมือทางวิชาการในด้านการวิจัยและพัฒนาการถ่ายทอดความร้ดู้าน การดูแล สุขภาวะพระสงฆ์ การฝึกอบรม การสัมมนา การประชุมทางวิชาการ การพัฒนาเครือข่าย การพัฒนาหลักสูตร และการจัดกิจกรรมทางวิชาการอื่น ๆ ที่เป็นการบูรณาการด้าน พระพุทธศาสนากับสุขภาวะองค์รวม ระหว่างทั้งสองหน่วยงานอันจะนําไปสู่การสร้างเสริมสุข ภาวะพระสงฆ์และชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีสมบูรณ์ทั้งทางกาย ทางจิต ทางปัญญาและทางสังคม

๑.๓ ประสานงาน ให้ความร่วมมือ และสนับสนุนบุคลากร นักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ วิทยากร ข้อมูล เครื่องมือ อุปกรณ์ สถานที่ ตลอดจนปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อันจะนําไปสู่การ ส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสมรรถภาพ และการดูแลแบบ ประคับประคอง (Palliative Care) สุขภาพพระสงฆ์ อย่างเป็นธรรมและเหมาะสม รวมถึงการการจัด กิจกรรมต่างๆ ของทั้งสองฝ่ายให้บรรลุเป้าหมาย ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายในการดําเนินกิจกรรมตามบันทึก ข้อตกลงนี้ให้เป็นไปตามระเบียบราชการของแต่ละฝ่าย ในกรณีที่ต้องดําเนินการร่วมกัน หรือมี ค่าใช้จ่ายอื่นใดให้ร่วมกันพิจารณาเป็นรายกรณีไป

ข้อ ๒ บทบาทหน้าที่ของหน่วยงาน

๒.๑ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

๑) ส่งเสริมและสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ องค์ความรู้ และ นวัตกรรมทางการแพทย์ด้านการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ เครื่องมือ อุปกรณ์ สถานที่ ตลอดจนปัจจัย อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อันจะนําไปสู่การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การรักษาพยาบาล การฟื้นฟู สมรรถภาพ และการดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care) สุขภาพพระสงฆ์

๒) ส่งเสริมและสนับสนุนการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของพระสงฆ์ภายใต้ ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และจัดบริการทางการแพทย์ในการดูแลสุขภาพพระสงฆ์ภายใต้ หลักพระธรรมวินัย

๒.๒ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

๑) ส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา หลักสูตร การจัดการศึกษา

การอบรม การสัมมนา การประชุมทางวิชาการ การพัฒนาเครือข่าย และการจัดกิจกรรมทาง วิชาการอื่นๆที่เป็นการบูรณาการด้านพระพุทธศาสนากับสุขภาวะองค์รวม อันจะนําไปสู่การ สร้างเสริมสุขภาวะพระสงฆ์และชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี สมบูรณทั้งทางกาย ทางจิต ทาง ปัญญาและทางสังคม

๒) ประสานงานกับหน่วยงานภายในมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัยที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินงานกิจกรรมภายใต้บันทึกข้อตกลงนี้ รวมถึงสนับสนุนบุคลากร สถานที่ เวลา และทรัพยากรอื่น ๆ ตามความเหมาะสมและเป็นไปได้

ข้อ ๓ การดําเนินงานตามบันทึกข้อตกลงฉบับนี้

บันทึกข้อตกลงฉบับนี้เป็นข้อตกลงทั่วไปเพื่อประโยชน์แห่งความร่วมมือตามข้อตกลงนี้ ในการดําเนินงานขั้นต่อไป ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันกําหนดรายละเอียดเฉพาะเรื่องภายใต้ขอบเขตแห่ง ข้อตกลงนี้และสอดคล้องกับกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกําหนด และหรือคําสั่งของแต่ละฝ่าย

๓.๑ ให้ผู้แทนหรือผู้ได้รับมอบหมายจากผู้แทนของทั้งสองฝ่ายเป็นผู้ดําเนินงาน ประสานงาน และตกลงร่วมกันในเรื่องค่าใช้จ่าย การใช้ทรัพยากร สิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา และเรื่องอื่น ๆ เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์แห่งข้อตกลงนี้ โดยจัดทําเป็นลายลักษณ์อักษร

๓.๒ ความร่วมมือของทั้งสองฝ่ายตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเสมอภาค และประสาน ประโยชน์ร่วมกัน เพื่อส่งเสริมให้เกิดการปฏิบัติงานและการบริหารงานตามหลักธรรมาภิบาล

๓.๓ ในการดําเนินงานตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางด้านบริการสุขภาพ และวิชาการนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะมีการเจรจาเพื่อกําหนดรายละเอียดและขั้นตอนการ ดําเนินงานเป็นรายกรณี โดยสามารถจัดทําเป็นบันทึกแนบท้ายบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือ ทางด้านการบริการสุขภาพและวิชาการนี้

ข้อ ๔ การทบทวนและการแก้ไขข้อตกลง

บันทึกแนบท้ายบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของบันทึกข้อตกลง

หากข้อความใดในบันทึกแนบท้ายบันทึกข้อตกลงที่ขัดหรือแย้งกับข้อความในบันทึกข้อตกลงนี้ ให้ใช้ข้อความในบันทึกข้อตกลงนี้ใช้บังคับและกรณีที่ข้อความในบันทึกแนบท้ายบันทึกข้อตกลงขัด หรือแย้งกันเอง ให้ทั้งสองฝ่ายพิจารณาปรึกษาหารือร่วมกันเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดด้วยความเป็นธรรม และความเหมาะสม
ข้อ ๕ ระยะเวลาของความร่วมมือ การปรับปรุง และการยกเลิกข้อตกลง บันทึกข้อตกลงฉบับนี้มีระยะเวลา ๕ ปี นับแต่วันที่ผู้มีอํานาจลงนามของทั้งสองฝ่าย ได้ลงนามเป็นต้นไป การเปลี่ยนแปลง หรือยกเลิกบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ ให้กระทําได้โดยความ เห็นชอบของอีกฝ่ายหนึ่ง และต้องแจ้งรายละเอียดให้ทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรไม่น้อย กว่า ๙๐ วัน (เก้าสิบวัน) ทั้งนี้ ต้องไม่กระทบกระเทือนถึงกิจกรรม หรือเรื่องที่ผูกพันหรือ ดําเนินการอยู่ก่อนตามนิติกรรมสัญญาที่มีต่อกันแล้วแต่ละกรณี การเพิ่มเติม การปรับปรุง การแก้ไขหรือขยายความร่วมมือ กระทําได้ตามความเหมาะสม โดยความเห็นชอบร่วมกันและให้ทําเป็นบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติมแนบท้ายบันทึกข้อตกลงฉบับนี้ 

บันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางด้านบริการสุขภาพและวิชาการฉบับนี้ ได้จัดทําขึ้น เป็นสองฉบับ ซึ่งมีข้อความถูกต้องตรงกัน และทั้งสองฝ่ายได้อ่านและเข้าใจข้อความโดยละเอียดแล้ว เห็นว่าถูกต้องตรงตามเจตนารมณ์ที่มุ่งประสงค์จะร่วมมือกันทางด้านการบริการสุขภาพและวิชาการ ทุกประการ จึงได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นสําคัญต่อหน้าพยาน และแต่ละฝ่ายต่างได้ยึดถือไว้คนละหนึ่งฉบับ จากนั้นเป็นพิธีเปิดสถานพยาบาลอย่างเป็นทางการ และเดินชมบริเวณสถานพยาบาล โดยจะให้บริการทุกวันจันทร์ - วันศุกร์ เวลา ๐๙.๐๐ - ๑๕.๐๐ น. เป็นต้นไป ณ สถานพยาบาล มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  จ.พระนครศรีอยุธยา

โครงสร้างนิยายเรื่อง "น่านรัก"

โครงสร้างนิยายเรื่อง "น่านรัก" 1. บทนำ เปิดเรื่อง : สันติสุข ชายหนุ่มนักเขียนนิยายธรรมะที่ต้องการค้นหามิติใหม่ของการเล่าเรื่องธรรม...