วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2563

สภาฯรุมถล่มยับ! ปมไทยจะเข้าร่วม CPTPP ได้ไม่คุ้มเสียถูกผูกขาดพันธุ์พืช ซ้ำซ้อนกับ "FTA-อาเซป"



สภาฯรุมถล่มยับ! ปมไทยจะเข้าร่วม  CPTPP ได้ไม่คุ้มเสียถูกผูกขาดพันธุ์พืช ซ้ำซ้อนกับ "FTA-อาเซป"  อ้างทำให้ GDP ไทยโตแค่ภาพลวงตา ควรตั้งกมธ.ศึกษาผลกระทบปมอย่างรอบคอบ

วันที่ 10 มิ.ย.2563 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาญัตติด่วนจัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าเพื่อหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ CPTPP โดยนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานวิปรัฐบาล ได้อภิปรายถึงความจำเป็นของการเสนอญัตติเพื่อตั้งคณะกรรมาธิการฯ เนื่องจากกระทบหลายกลุ่มผลประโยชน์ในประเทศไทย
          
ทั้งนี้มีสมาชิกเสนอญัตติทั้งสิ้นจำนวน 7 คน อาทิ น.พ.ระวี มาศฉมาดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังธรรมใหม่ นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย นายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ และ นายวรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นต้น โดยทั้งหมดต่างเห็นควรให้ตั้งคณะกรรมาธิการฯเพื่อทำการศึกษาถึงผลดี ผลเสีย ความพร้อมต่างๆ ก่อนที่จะมีการตัดสินใจเข้าร่วม CPTPP ในเชิงลึกทุกมิติ โดยเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วม เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทยและคนไทย
          
นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะผู้เสนอญัตติ กล่าวว่า จากกรณีรัฐบาลเตรียมเข้าร่วม CPTPP จนเกิดกระแสคัดค้าน เพราะเกรงว่าจะได้ประโยชน์ไม่คุ้มค่าความเสียหายและผลกระทบที่เกิดขึ้น เช่นกระทบต่อระบบการผลิตยา เวชภัณฑ์ เครื่องมือแพทย์ ซึ่งเป็นความมั่นคงด้านสาธารณสุขของประเทศ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการเกษตรที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง รวมทั้งเปิดโอกาสให้ต่างชาตินำพันธุ์พืชพื้นเมืองของไทยไปวิจัยเพื่อสร้างพันธุ์พืชใหม่และจดทะเบียนสิทธิบัตรได้ ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรโดยตรง เปิดทางให้กิจการต่างชาติเข้ามาซื้อกิจการในท้องถิ่นได้ จึงเสนอญัตติด่วนเพื่อขอให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษา เนื่องจากเป็นเรื่องที่กระทบต่อผลประโยชน์ของแผ่นดิน ตามข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรข้อที่ 49 และ 50
          
นายศุภชัย กล่าวว่า มีรายงานวิจัยบอกว่า การเข้าร่วม CPTPP จะได้มูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 1.3 หมื่นล้านบาท แต่หากจะไม่เข้าร่วม GDP จะลดลงร้อยละ 0.25 รวมทั้งเสียโอกาสการขยายการค้าการลงทุนและการเชื่อมโยงห่วงโซ่กระบวนการผลิตในภูมิภาค แต่หากเข้าร่วมก็จะเพิ่มตลาดการส่งออกในบรรดาหมู่สมาชิกด้วยกัน ดึงดูดให้ไทยเป็นฐานการผลิตให้กับกลุ่มประเทศ CPTPP หากไม่เข้าร่วมจะเสียโอกาสให้กับประเทศมาเลเซียและเวียดนาม แต่หากเข้าร่วม จะต้องปรับปรุงกฎระเบียบภายในประเทศให้สอดคล้องกับมาตรฐาน CPTPP และผูกพันกับสัญญา 2 ฉบับคืออนุสัญญาการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ UPOV1991 มีผลทำให้ผูกขาดพันธุ์พืช และสนธิสัญญาบูดาเปสต์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจดสิทธิบัตรจุลชีพ รวมถึงมีผลกระทบเชิงลบอีกมากมาย ทั้งสิทธิบัตรยา เครื่องมือแพทย์ จึงควรมีการศึกษาเพื่อเปรียบเทียบระหว่างประโยชน์และผลกระทบที่จะได้รับ
          
นพ.ระวี กล่าวว่าขณะนี้ CPTPP มีสมาชิกทั้งสิน 11 ประเทศแบ่งเป็นประเทศที่ให้สัตยาบันแล้ว 7 ประเทศ ได้แก่ แคนาดา เม๊กซิโก ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ สิงคโปร์ และเวียด ประเทศที่ยังไม่ให้สัตยาบัน 4 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย ชิลี บูรไน และเปรู ซึ่งจะมีการประชุม CPTTPครั้งต่อไปจะม่ขึ้นในช่วงเดือนส.ค.2563 นี้ ทำให้รัฐบาลต้องเร่งในการส่งเจ้าหน้าที่ไปร่วมเจรจา
          
นพ.ระวี กล่าวว่า ตนขอนำประเด็นที่ภาครัฐและภาคประชาชนตีความแตกต่างกันจำนวน 8 ประเด็น ประกอบด้วย 1.สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา (CL) ภาครัฐตีความว่าให้สิทธิแก่ประเทศสมาชิกบังคับ CLและไม่ห้ามใช้มาตราการเพื่อคุ้มครองการสาธารณสุขและการเข้าถึงยา แต่ภาคประชาชนมองว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่จะเสียค่าโง่ที่จะถูกฟ้องโดยรัฐภาคีหรือนักลงทุนต่างชาติหากรัฐบาลใช้มาตราCLยา

          2.สิทธิบัตรและยาสามัญ ภาครัฐตีความว่าถ้าไทยเข้า CPTPPแล้วไม่ต้องขยายอายุการคุ้มครองสิทธิบัตรยา ไม่ผูกขาดข้อมูลการสดสอบยา และไม่กระทบต่อการนำเข้าส่งออกยาสามัญ แต่ภาคประชาชน มีความเห็นว่า เกิดการผูกขาดข้อมูลความปลอดภัย ส่งผลให้เกิดการกีดกันและชะลอการแข่งขันของยาชื่อสามัญ หากผ่านข้อตกลงนี้จะทำให้ประเทศไทยต้องใช้ยาสามัญแพงขึ้น

          3.การคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ภาครัฐตีความว่าเกษตรกรสามารถนำพืชใหม่ไปใช้ได้ ทั้งผลผลิตและผลิตภัณฑ์โดยไม่ต้องขออนญาตหากซื้ออย่างถูกต้องกฎหมายและพัฒนาต่อยอดพันธุ์ใหม่ได้ รวมไปถึงสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับนักปรุงพันธุ์พืชรายย่อย แต่ภาคประชาชน เห็นแย้งว่าสิทธิในการเก็บพันธุ์พืชใหม่นั้นขึ้นอยู่กับรัฐเจรจาขอผ่อนผัน ซึ่งอาจจะได้บางกรณี และเกิดการขยายการผูกขาดไปถึงผลิตผลและผลิตภัณฑ์ด้วย

          4.การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ทั้งนี้ ภาครัฐมองว่าถ้าเข้าร่วมCPTPP จะสามารถกำหนดมูลค่าขั้นต่ำในการเปิดตลาดเพื่อปกป้องผู้ประกอบการรายย่อยในประเทศ และสามารถขอเวลาปรับตัวในการเปิดตลาด ซึ่งบางประเทศขอถึง 25 ปี แต่ภาคประชาชนให้ความเห็นว่าห้ามให้มีแต้มต่อในการจัดซื้อจัดจ้างจากผู้ประกอบการไทยเหนือกว่าสมาชิกCPTPP และห้ามบังคับใช้สินค้าไทย และห้ามกำหนดการถ่ายทอดเทคโนโลยี

          5.การดัดแปลงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต หรือ GMOs ภาครัฐให้ความเห็นว่าประเทศไม่ต้องปรับแก้กฎหมายในประเทศเกี่ยวกับสินค้าGMOsและไม่ต้องเปิดตลาดสินค้า GMOs และการนำเข้าสินค้าGMOsเข้ามาในไทยต้องถือตามกฎหมายไทย แต่ข้อมูลจากประชาชนระบุว่าะการนำเข้าสินค้าGMOs จะต้องถือตามกฎหมายของประเทศที่ส่งออกสินค้าะการนำเข้าสินค้าGMOsมายังประเทศไทย หากประเทศไทยไม่รับสินค้านั้นจะต้องประเมินความเสี่ยงและความปลอดภัยด้านอาหาร ซึ่งต้องใช้เวลานานพอสมควร

          6.การคุ้มครองการลงทุน ในCPTPP จะต้องเกิดการคุ้มครองนักลงทุนต่างชาติตั้งแต่ก่อนประกอบกิจการหรือการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และการลงทุนที่ไม่ได้รับการอนุมัติคุ้มครองเป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้นักลงทุนต่างชาติฟ้องร้องรัฐได้ผ่านกระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ หากเป็นเช่นนี้อาจเกิดค่าโง่ขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เช่น ในช่วงโควิดที่ไทยต้องล็อคดาวน์เศรษฐกิจในไทยและเกิดผลกระทบต่อนักลงทุน ซึ่งนักลงทุนสามารถฟ้องประเทศไทยได้

          7.กรณีการควบคุมการขึ้นทะเบียนเครื่องสำอาง หากไทยเข้าร่วมCPTPPการควบคุมการอนุญาตเครื่องสำอางจะเป็นระบบแจ้งโดยสมัครใจหรือบังคับ โดยองค์การอาหารและยาจะไม่มีอำนาจไปบังคับได้ แม้จะมีข้อดี คือ สามารถจดทะเบียนได้เร็ว แต่อาจจะเกิดปัญหาเรื่องความปลอดภัยของผู้บริโภค

          8.เรื่องอื่นๆ เช่น ข้อกังวลเรื่องเครื่องมือแพทย์มือสอง รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 178 กำหนดให้รัฐบาลไทยมีสิทธิตั้งกรอบเการเจรจาและส่งเจ้าหน้าที่ไปเจรจากับต่างประเทศไทย หากรัฐบาลเห็นว่าควรดำเนินการลงนามจึงค่อยส่งมาให้สภา ต่างจากรัฐธรรมนูญในอดีตพ.ศ.2550 ที่กำหนดให้รัฐบาลจะต้องนำกรอบการเจรจามาส่งให้สภาให้ความเห็นชอบก่อน

          "ด้วยเหตุนี้ หากสภาไม่มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาก่อนจะเกิดผลเสียเพราะประชาชนและส.ส.จะไม่มีส่วนร่วม เมื่อศึกษาเรื่องนี้จะเสนอความเห็นให้กับรัฐบาลดำเนินการต่อไป ที่สำคัญจะสามารถร่วมกันหาทางเลือกอื่นนอกเหนือไปจากการเข้าร่วมCPTPP แม้ภาครัฐมองว่าหากประเทศไทยเข้าร่วมCPTPPล่าช้าจะทำให้ประเทศตกรถ แต่ผมคิดว่าตกรถยังดีกว่าติดหล่มหรือไม่ จนเกิดผลเสียมากมาย ถึงวันนั้นใครจะรับผิดชอบ โลกไม่ได้เพียงต้องการการแข่งขันโดยเสรีเท่านั้นแต่ต้องการการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรมด้วย" นพ.ระวี กล่าว

          ด้านน.ส.จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า จากสมาชิก 11 ประเทศที่จะร่วมกันในCPTPP มี 9 ประเทศที่เราทำความตกลง FTA ด้วยแล้ว และจาก 7 ประเทศ เป็นสมาชิกข้อตกลงอาเซปร่วมกับไทยอยู่แล้ว ส่วนออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และญี่ปุ่น ก็มีการตกลง FTA ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี ประเทศละ 3 ฉบับอยู่แล้ว รวมถึงชิลีและเปรู ดังนั้นเหลือแค่ 2 ประเทศที่เรายังไม่มี FTA ด้วยคือเม็กซิโกและแคนาดา ดังนั้นผลการศึกษาของหน่วยงานรัฐที่บอกว่าถ้าเข้าร่วม CPTPP แล้ว GDP ของไทยจะเพิ่มขึ้น 0.1 2% นั้นไม่สามารถใช้อธิบายประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการเข้าร่วมในครั้งนี้ได้ อย่างแท้จริง เพราะเป็นการนำเอา 9 ประเทศที่ไทยมี FTA ด้วยอยู่แล้วมาคำนวณรวม หากจะดูให้ถูกต้องต้องดูว่าจะให้สิทธิพิเศษอะไรกับไทยที่เกินไปกว่าFTA ที่มีกับ 9 ประเทศแล้ว โดยต้องศึกษาส่วนต่างที่ไทยเคยได้ทั้งสินค้าบริการการลงทุนเพราะ ต้องชั่งน้ำหนักเทียบว่าสิ่งที่ไทยจะสูญเสียไปคุ้มกับสิ่งที่จะได้มาหรือไม่
          
ส่วนการอ้างว่าจะทำให้ไทยได้ตลาดเพิ่ม ในความจริงแม้ไม่มีข้อตกลงนี้ เราก็สามารถส่งออกสินค้าไปยังประเทศสมาชิก CPTPP ได้อยู่แล้ว ส่วนที่ว่าได้สิทธิพิเศษ หรือภาษีสินค้าที่ลดลง ซึ่งถือว่าเป็นของดีในการเข้าร่วม แต่ผลการศึกษาได้เขียนไว้ชัดหรือไม่ว่าสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ไทยจะได้เพิ่มนอกเหนือจาก FTA ทุกฉบับกับ 9 ประเทศ เพิ่มขึ้นเป็นเท่าไหร่ และที่สำคัญหากไทยต้องเปิดตลาดหรือลดภาษีให้กับประเทศสมาชิกจะกระทบต่อการจัดเก็บรายได้จากการภาษีนำเข้าด้วย รวมถึงต้องเปิดการแข่งขันระหว่างสินค้าไทยกับสินค้าที่นำเข้าด้วย ส่วนที่ว่าไทยจะสามารถเปิดตลาดใหม่กับเม็กซิโกและแคนาดานั้น พบว่าไทยมีมูลค่าการค้ากับสองประเทศนี้น้อยมาก และเรายังเป็นฝ่ายได้ดุลการค้าอีกด้วย หลายรายการ มีภาษีนำเข้าเป็น 0% อยู่แล้ว
          
ดังนั้นจึงไม่เห็นการค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญเมื่อเทียบกับสิ่งที่ไทยต้องสูญเสียไปจากการเข้าร่วมดังกล่าว จึงต้องชั่งน้ำหนักว่าคุ้มหรือไม่จะไป แลกกับสิ่งที่อ่อนไหวต่อไทย เช่นผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านอาหารที่เราต้องเข้าร่วมอนุสัญญาพันธุ์พืชใหม่หรือยูป๊อบ 1991 ที่หลายภาคส่วนแสดงความกังวลอยู่ ผลที่ตามมาคือการผูกขาดการขยายพันธุ์พืชในระยะยาว การครอบงำเสรีภาพทางวัฒนธรรมการเพาะปลูกการเกษตรของไทย ทั้งระบบ หากในอนาคต บ้านเมืองเกิดวิกฤตทางด้านอาหาร มีใครกล้ารับประกันหรือไม่ว่าการเข้ายูป๊อป 1991 จะไม่กระทบต่อความมั่นคงอาหารของไทย และยังอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกอาหารของไทยที่มีส่วนประกอบของพืชจดทะเบียนของไทย ที่อาจจะเจอประเด็นการตรวจสอบย้อนกลับ โดยรัฐบาลก็ยังไม่สามารถให้ความกระจ่างว่าจะกระทบหรือไม่
          
"ข้ออ้างว่าถ้าเข้าร่วมแล้วไทยจะได้เป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลก ในทางทฤษฎีฟังดูดี แต่หากศึกษารายการรายการอาหาร ระเบียบกฎเกณฑ์ กรมศุลกากร การเยียวยาการค้า แหล่งวัตถุดิบ และกระบวนการผลิตของไทย จะเห็นว่าไม่ได้มีนัยยะสำคัญต่อการเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลกเลย นี่คือการขี่ช้างจับตั๊กแตนของรัฐบาล และไม่ได้การันตีว่า เราจะสามารถเจาะตลาดเม็กซิโกและแคนาดาได้ง่ายอย่างที่คิดเพราะเม็กซิโกพึ่งทำข้อตกลงทางการค้าแถบอเมริกาเหนือฉบับใหม่กับอเมริกา และจะมีผลใช้บังคับในเดือนกรกฎาคม 63 นี้โดยให้สิทธิพิเศษกลุ่มสมาชิกอเมริกาเหนือมากกว่าCPTPPมาก รัฐบาลมั่นใจหรือไม่ว่าเราจะฝ่าด่านข้อตกลงนี้ไปเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มากน้อยแค่ไหน" น.ส.จิราพรกล่าว 

ในที่สุดที่ประชุมสภามีมติแต่งตั้งกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาผลกระทบการเข้าร่วม CPTPP จำนวน 49 คน โดยจะนัดเริ่มประชุมพรุ่งนี้เป็นนัดแรก 11.00 น. และให้กรอบเวลาในการศึกษาพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใจ 30 วัน 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

22 เมษา วันคุ้มครองโลก วัดพระธรรมกายถวายสังฆทานคณะสงฆ์ 10,000 วัดทั่วประเทศ และถวายสังฆทานสงฆ์ 4 จ.ชายแดนใต้

วันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2567 เป็นวันคุ้มครองโลก หรือ Earth Day เกิดขึ้นโดยวุฒิสภาชาวอเมริกันชื่อ Gaylord Nelson ที่ได้รณรงค์ให้ชาวอเมริกันร่วม...