วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2568

วิเคราะห์ "สิริกาฬกัณณิชาดก" เปรียบเทียบ

 วิเคราะห์ "สิริกาฬกัณณิชาดก" ในบริบทพุทธสันติวิธี


บทนำ

"สิริกาฬกัณณิชาดก" เป็นหนึ่งในเรื่องชาดกที่ปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 27 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 19 ขุททกนิกาย ชาดก ฉักกนิบาตชาดก ๑. อาวาริยวรรค ซึ่งสะท้อนถึงหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาผ่านการเปรียบเทียบระหว่างสองตัวละครสำคัญ ได้แก่ นางกาฬกรรณี และ นางสิริ ทั้งสองเป็นตัวแทนของความชั่วร้ายและความดีตามลำดับ โดยเนื้อหาในชาดกนี้ไม่เพียงแต่ให้แง่คิดเกี่ยวกับศีลธรรมและจริยธรรม แต่ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในบริบทของพุทธสันติวิธี (Buddhist Peace Studies) เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขของมนุษย์

สาระสำคัญของ "สิริกาฬกัณณิชาดก"

1. ตัวละครและการแสดงออกของธรรม

นางกาฬกรรณี : เป็นหญิงที่มีผิวพรรณดำ มีลักษณะภายนอกที่ไม่น่าดู รวมถึงพฤติกรรมที่สอดคล้องกับความชั่วร้าย เช่น การชื่นชมคนที่ลบหลู่คุณงามความดี ผู้ที่มักโกรธ หรือผู้ที่เสื่อมจากมิตร เพราะความโลภในกามคุณ นางกาฬกรรณีจึงเป็นตัวแทนของ กิเลส และ ความชั่วร้าย ที่ครอบงำจิตใจมนุษย์

นางสิริ : เป็นหญิงที่มีรัศมีเป็นทิพย์ มีสิริและบุญ ทวยเทพยกย่องว่าเป็นผู้มีปัญญาดุจแผ่นดิน นางสิริชื่นชมบุรุษที่มีศีล มีสมาจาร อดทนต่อความหนาวร้อน และมีเมตตาต่อมิตร นางสิริจึงเป็นตัวแทนของ คุณธรรม และ ความดี ที่ควรยึดถือปฏิบัติ

2. การเปรียบเทียบระหว่างความชั่วร้ายและความดี

ชาดกนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างสองแนวทางในชีวิต คือ ความชั่วร้าย ที่นำไปสู่ความเสื่อม และ ความดี ที่นำมาซึ่งความเจริญ ความดีในที่นี้หมายถึงการดำเนินชีวิตด้วยศีล สมาธิ และปัญญา ขณะที่ความชั่วร้ายคือการยอมแพ้ต่อกิเลสและอุปกิเลส เช่น ความโกรธ ความโลภ และความหลง

3. ข้อสรุปจากบทสนทนา

บทสนทนาในชาดกนี้จบลงด้วยการที่บุรุษผู้มีศีลปฏิเสธนางกาฬกรรณี และยินดีต้อนรับนางสิริ ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดของการเลือกปฏิบัติตามสิ่งที่ดีและเหมาะสมในชีวิต พร้อมทั้งเตือนสติถึงผลของการกระทำที่ส่งผลต่อตนเองและผู้อื่น

การประยุกต์ใช้ในบริบทพุทธสันติวิธี

1. การสร้างสันติภาพภายในตน

ชาดกนี้ชี้ให้เห็นว่า สันติภาพเริ่มต้นจากภายในจิตใจของแต่ละบุคคล การควบคุมกิเลสและอุปกิเลส เช่น ความโกรธ ความโลภ และความหลง เป็นกระบวนการสำคัญในการสร้างสันติภาพภายในตน เมื่อบุคคลมีจิตใจที่สงบและบริสุทธิ์แล้ว ก็จะสามารถแผ่เมตตาและสันติภาพไปยังผู้อื่นได้อย่างแท้จริง

2. การอยู่ร่วมกันในสังคม

การเปรียบเทียบระหว่างนางกาฬกรรณีและนางสิริยังสะท้อนถึงแนวทางในการอยู่ร่วมกันในสังคม บุคคลที่มีคุณธรรม เช่น การอดทน การให้ทาน การมีวาจาอ่อนหวาน และการประพฤติสังคหธรรม จะเป็นที่รักใคร่ของผู้อื่นและช่วยสร้างความสงบสุขในสังคม ในทางตรงกันข้าม บุคคลที่ปล่อยให้กิเลสครอบงำ เช่น ความโกรธและความโลภ จะเป็นต้นเหตุของความขัดแย้งและความไม่สงบ

3. การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง

ในบริบทพุทธสันติวิธี การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งควรเริ่มจากการเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ที่มีทั้งความดีและความชั่วร้าย การส่งเสริมคุณธรรม เช่น ศีล สมาธิ และปัญญา จะช่วยลดความขัดแย้งและสร้างความสมานฉันท์ในสังคม นอกจากนี้ การฝึกฝนตนเองให้มีความอดทนและเมตตาต่อผู้อื่นยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง

4. การส่งเสริมความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม

ชาดกนี้ย้ำเตือนว่า "บุคคลย่อมทำความดีและความชั่วด้วยตนเอง คนอื่นจะทำความดีหรือความชั่วให้แก่คนอื่นไม่ได้เลย" ข้อความนี้สะท้อนถึงความรับผิดชอบของแต่ละบุคคลต่อการกระทำของตนเอง การเลือกปฏิบัติตามสิ่งที่ดีและเหมาะสมจะส่งผลต่อความเจริญของตนเองและสังคมโดยรวม

สรุป

"สิริกาฬกัณณิชาดก" เป็นเรื่องชาดกที่มีคุณค่าทางด้านปรัชญาและจริยธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทพุทธสันติวิธี ชาดกนี้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการควบคุมกิเลส การสร้างคุณธรรม และการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในสังคม การนำหลักธรรมจากชาดกนี้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันจะช่วยเสริมสร้างสันติภาพทั้งภายในจิตใจและในสังคมโดยรวม

 ๗. สิริกาฬกัณณิชาดก

ว่าด้วยสิริกับกาฬกรรณี

             [๘๖๙] ท่านเป็นใครหนอ มีผิวพรรณดำ ไม่น่ารักน่าดูเลย ท่านเป็นใคร หรือ

                          เป็นธิดาของใคร จะรู้จักท่านได้อย่างไร?

             [๘๗๐] ฉันเป็นธิดาของท้าวมหาราชนามว่าวิรูปักษ์ เป็นหญิงดุร้าย เป็นหญิงกาฬี

                          ไม่มีบุญ ทวยเทพรู้จักเราว่า เป็นหญิงกาฬกรรณี ฉันขอพักอาศัยอยู่

                          ในสำนักของท่านสักราตรีหนึ่ง ขอท่านจงให้โอกาสเถิด.

             [๘๗๑] ท่านตั้งใจมั่นอยู่ในบุรุษผู้มีศีล มีสมาจารเช่นไร แน่ะนางกาฬี เราถาม

                          ท่าน ท่านจงบอกเรา เราจะรู้จักท่านได้อย่างไร?

             [๘๗๒] บุรุษใด ลบหลู่คุณท่าน ตีเสมอท่าน แข่งดี ริษยา ตระหนี่ โอ้อวด

                          และได้ทรัพย์มาแล้ว ย่อมพินาศหมดไป บุรุษนั้น เป็นที่รักใคร่ของเรา.

             [๘๗๓] บุรุษใด เป็นคนมักโกรธ ผูกโกรธไว้ ส่อเสียด ยุยงให้แตกกัน มีวาจา

                          กระด้าง หยาบคาย บุรุษนั้น เป็นที่รักใคร่ของฉันยิ่งกว่าบุรุษคนก่อน

                          นั้นอีก.

             [๘๗๔] บุรุษไม่รู้จักประโยชน์ของตนว่า กรรมนี้ควรทำวันนี้ กรรมนี้ควรทำ

                          พรุ่งนี้ เป็นคนสำคัญตนว่า ดีกว่าเขา เมื่อถูกตักเตือนก็โกรธเคือง.

             [๘๗๕] บุรุษผู้อันความคะนองในกามคุณครอบงำเป็นนิตย์ ย่อมเสื่อมจากมิตร

                          ทุกคน บุรุษนั้น เป็นที่รักใคร่ของฉัน ถ้าฉันได้บุรุษเช่นนั้นแล้ว จะไม่

                          เกี่ยวข้องในบุรุษอื่นเลย.

             [๘๗๖] แน่ะนางกาฬี เจ้าจงหลีกไปเสียจากที่นี้ อุปกิเลสมีความลบหลู่เป็นต้น

                          ที่กระทำความรักใคร่ของเจ้านั้น ไม่มีในเรา เจ้าจงไปยังชนบท นิคม

                          และราชธานีอื่นเสียเถิด.

             [๘๗๗] แม้ฉันก็รู้จักสิ่งที่ทำความพอใจให้แก่ฉัน มีความลบหลู่คุณท่านเป็นตน

                          นี้ว่า ไม่มีอยู่ในท่าน คนไร้ปัญญามีอยู่ในโลก ย่อมรวบรวมเอาทรัพย์

                          ไว้มากมาย ฉัน และพี่ของฉัน ผู้เป็นเทพบุตร ทั้งสองคนจะช่วยกัน

                          กำจัดทรัพย์ที่คนไม่มีปัญญารวบรวมไว้เสียก็ได้.

             [๘๗๘] ท่านเป็นใครหนอ มีรัศมีเป็นทิพย์ ยืนอยู่ที่แผ่นดินอย่างเรียบร้อย ท่าน

                          เป็นใคร หรือเป็นธิดาของใคร เราจะรู้จักท่านอย่างไร.

             [๘๗๙] ดิฉันเป็นธิดาของท้าวมหาราชนามว่าธตรฐ ผู้มีสิริ ข้าพเจ้ามีสิริด้วย มี

                          บุญด้วย ทวยเทพรู้จักข้าพเจ้าว่า มีปัญญาดุจแผ่นดิน ดิฉันขอพัก

                          อาศัยอยู่ในสำนักของท่านสักราตรีหนึ่ง ขอท่านจงให้โอกาสเถิด.

             [๘๘๐] ท่านตั้งใจมั่นอยู่ในบุรุษผู้มีศีล มีสมาจารเช่นไร แน่ะนางลักขี ข้าพเจ้า

                          ถามท่าน ท่านจงบอกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะรู้จักท่านได้อย่างไร?

             [๘๘๑] บุรุษใด เมื่อหนาว ร้อน ลม แดด เหลือบ ยุง และสัตว์เลื้อยคลาน

                          มีอยู่ ก็ครอบงำความหิวความกระหายทั้งหมด ประกอบการงานทั้งหลาย

                          มิได้ขาด ทั้งกลางคืนกลางวัน ไม่ทำประโยชน์ที่มาถึงตามกาลให้เสื่อม

                          เสียไป บุรุษนั้น เป็นที่พอใจของดิฉัน ดิฉันตั้งใจมั่นอยู่ในบุรุษนั้น.

             [๘๘๒] อนึ่ง บุรุษใด เป็นคนไม่โกรธ มีมิตรดี ชอบบริจาคทาน มีศีล ไม่

                          โอ้อวด เป็นคนตรง สงเคราะห์มิตร มีวาจาอ่อนหวานไพเราะ แม้ได้

                          รับแต่งตั้งเป็นใหญ่โต ก็ยังประพฤติถ่อมตนอยู่ ดิฉันพอใจในบุรุษนั้น

                          เป็นอย่างมาก ดุจคลื่นทะเลปรากฏแก่คนที่มองดูสีน้ำทะเลเหมือนมีมาก

                          ฉะนั้น.

             [๘๘๓] อนึ่ง บุรุษใด ประพฤติสังคหธรรม ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ในมิตร

                          หรือผู้ที่มิใช่มิตร ในคนที่ประเสริฐกว่า คนที่เสมอกัน หรือคนที่เลว

                          กว่า คนที่ประพฤติประโยชน์ หรือคนที่ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์

                          ไม่กล่าววาจาหยาบคายในกาลไหนๆ ดิฉันจะขอคบบุรุษนั้น ทั้งเมื่อ

                          เขาตายแล้วและเป็นอยู่.

             [๘๘๔] บุรุษใด เป็นคนไม่มีปัญญา ปรารถนาสิริที่คนพอใจ ได้อย่างใดอย่างหนึ่ง

                          บรรดาคุณตามที่กล่าวมาแล้วนี้ แล้วลืมเสีย ดิฉันขอเว้นบุรุษนั้น

                          ผู้ประพฤติลุ่มๆ ดอนๆ เป็นเหตุเดือดร้อน เหมือนบุคคลเว้นหลุ่มคูถ

                          ห่างไกล ฉะนั้น.

             [๘๘๕] บุคคลย่อมทำความดี และความชั่วด้วยตนเอง คนอื่นจะทำความดี หรือ

                          ความชั่วให้แก่คนอื่นไม่ได้เลย.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พุทธการทูต และ Soft Power ของ ดร.นิยม เวชกามา

วิเคราะห์บทบาทด้านต่างประเทศของดร.นิยม เวชกามา: พุทธนาวาแห่งการทูตและยุทธศาสตร์ Soft Power ในศตวรรษที่ 21 บทคัดย่อ รายงานการวิจัยฉบับนี้มุ่ง...