เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567 หลังจากแม่กองบาลีสนามหลวงได้ประกาศผลสอบประจำปี 2567 โดยเฉพาะมีพระภิกษุและสามเณรสอบได้มากถึง 76 รูปในจำนวนนั้นมีสามเณรอายุ 17 ปีรวมอยู่ด้วยถือว่า เป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดที่สอบบาลีสนามหลวงได้ในประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ไทย แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ถึงหลักสูตรบาลีสนามหลวงเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง อย่างเช่น พระมหาวัฒนา ปญฺญาทีโป, ป.ธ.9, ดร. อาจารย์ประจำหลักสูตร บาลีพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้โพสต์เฟชบุ๊คส่วนตัว “Wat Pan Ken” ตั้งคำถามว่า หลักสูตรบาลีสนามหลวง เรียนพระไตรปิฎก เล่มไหน หน้าไหน ซึ่งสรุปความว่า พระไตรปิฎก มี 27,289 หน้า หลักสูตรบาลีสนามหลวง เรียน 149 หน้า คิดเป็น 0.54% ของจำนวนหน้า หรือ คิดเป็น 0.44% ของจำนวน 45 เล่ม พร้อมฝาก “แม่กองบาลี” พิจารณานั้น
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา ได้แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว "ทองย้อย แสงสินชัย" ความว่า "การเรียนบาลีแบบยอดด้วน กรณีหลักสูตรการเรียนบาลีของคณะสงฆ์ไทยที่กำลังวิจารณ์กันในเวลานี้ จับประเด็นได้ว่า ๑ มีผู้วิจารณ์ว่า ตามหลักสูตรตั้งแต่ประโยค ๑-๒ ถึง ป.ธ.๙ นักเรียนบาลีเรียนพระไตรปิฎกน้อยไป หรือแทบจะไม่ได้เรียนเลย
๒ มีผู้วิจารณ์แตกประเด็นออกไปอีกว่า นักเรียนบาลีที่จบ ป.ธ.๙ ตามหลักสูตรและตามรูปแบบการเรียนการสอนที่ทำกันอยู่ ไม่ได้เป็นผู้ทรงภูมิรู้สูงและสุดยอดในพระพุทธศาสนาอย่างที่ยกย่องกัน ขอจับแค่ ๒ ประเด็นนี้ก่อน
ตามข้อ ๑ คือยังคงมีความคิดหรือความเข้าใจกันอยู่ว่า พระไตรปิฎกนั้นเรียนกันเฉพาะในหลักสูตรการเรียนบาลีเท่านั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือเข้าใจกันว่า หลักสูตรการเรียนบาลีของเราเปิดขึ้นมาเพื่อเรียนพระไตรปิฎก
ครั้นพอตรวจสอบดูแล้ว พบว่าเรียนตัวพระไตรปิฎกน้อยอย่างยิ่ง หรือแทบจะไม่ได้เรียนเลย ก็จึงยกขึ้นมาวิจารณ์
ตามข้อ ๒ คือยังคงมีความคิดหรือความเข้าใจกันอยู่ว่า หลักสูตรการเรียนบาลีของเราเปิดขึ้นมาเพื่อสอนพระภิกษุสามเณรหรือผู้เรียนบาลีให้เป็นผู้ทรงภูมิรู้เชี่ยวชาญในพระพุทธศาสนา
ครั้นพอตรวจสอบดูแล้ว พบว่า กระบวนการเรียนการสอนบาลีทุกชั้นไม่มีขั้นตอนใด ๆ ที่เป็นการฝึกฝนอบรมบ่มเพาะให้นักเรียนบาลีเป็นผู้ทรงภูมิรู้เชี่ยวชาญในพระพุทธศาสนา ก็จึงยกขึ้นมาวิจารณ์
ผมพิจารณาแล้วเห็นว่า รูปแบบการจัดการเรียนการสอนบาลีของคณะสงฆ์ไทยก็ดี ข้อวิจารณ์ทั้ง ๒ ประเด็นก็ดี ถ้าเรียกให้สุภาพก็ว่าเป็นการมองต่างมุม แต่ถ้าพูดกันตรง ๆ ก็ต้องบอกกันตรง ๆ ว่าเป็นการมองการเรียนบาลีแบบยอดด้วน
การเรียนบาลีที่ถูกต้อง ยอดไม่ด้วน คือการเรียนรู้ฝึกฝนให้เชี่ยวชาญในกระบวนภาษาบาลี แล้วใช้ความรู้บาลีนั้นไปศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกต่อไป
พูดให้ชัด ๆ การเรียนบาลีมีงานที่จะต้องทำอยู่ ๒ ตอน
ตอนหนึ่ง เริ่มเรียน เรียนให้เชี่ยวชาญในกระบวนภาษาบาลี ตอนนี้เหมือนต้นไม้ มีต้นแต่ยังไม่มียอด
ตอนสอง เรียนจบ เอาความเชี่ยวชาญภาษาบาลีไปศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก เหมือนต่อยอดไม้
อุปมาให้เห็นชัด ๆ การเรียนบาลีเหมือนการเรียนหมอ
เรียนหมอคือเรียนวิชาการในกระบวนการรักษาคนป่วย
เรียนจบตามกระบวนการแล้ว เอาความรู้ที่เรียนมาไปรักษาคนป่วย
นี่คือกระบวนการเรียนหมอที่ถูกต้อง
เรียนบาลีคือเรียนให้รู้เข้าใจกระบวนภาษาบาลีซึ่งเป็นภาษาที่ใช้บันทึกพระไตรปิฎก
เรียนจบตามกระบวนการแล้ว เอาความรู้ที่เรียนมาไปศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก
นี่คือกระบวนการเรียนบาลีที่ถูกต้อง
พระไตรปิฎกอุปมาเหมือนคนป่วยที่รอการรักษา
เรียนบาลีจบแล้วไม่ศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก
อุปมาเหมือนเรียนหมอจบแล้วไม่รักษาคนป่วย
การเรียนบาลีของเราผิดพลาดถึงขั้นหลงทางหรือยอดด้วน เพราะเราเรียนตามหลักสูตรเพื่อให้จบตามหลักสูตร ได้ศักดิ์และสิทธิ์ตามชั้นประโยค แล้วด้วนอยู่เพียงแค่นั้น
ไม่ได้จัดการให้ผู้เรียนจบแล้วไปศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกต่อยอดไปอีก
เทียบกับผู้เรียนหมอจบแล้ว ได้ชื่อว่าเป็นหมอ แต่ไม่รักษาคนป่วย-ซึ่งไม่มีคนจบหมอที่เป็นปกติคนไหนทำอย่างนั้น
แต่คนจบบาลีของเราทำอย่างนั้นกันแทบทั้งหมด เพราะเราเรียนแบบยอดด้วน เรียนรู้ภาษาบาลี แต่ไม่ได้เอาความรู้ไปทำงานบาลี
โปรดเข้าใจว่า การศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ไม่ใช่-และไม่ควรทำด้วยวิธีการเปิดเรียนเปิดสอนในชั้นเรียน เพียงแค่ ๙ ปี ๑๐ ปี (ประโยค ๑-๒ ถึง ป.ธ.๙) ก็จบบริบูรณ์
การศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกต้องเป็นการเรียนตลอดชีวิต-และไม่ใช่เรียนเฉพาะในชั้นเรียน
และโปรดเข้าใจว่า ถ้าต้องการฝึกฝนอบรมบ่มเพาะให้คนของเราเป็นผู้ทรงภูมิรู้เชี่ยวชาญในพระพุทธศาสนา ก็ต้องทำด้วยวิธีเปิดโรงเรียนฝึกฝนอบรมบ่มเพาะ แต่ไม่ใช่ด้วยวิธีเปิดการเรียนการสอนบาลีอย่างที่คณะสงฆ์ไทยทำอยู่
เพราะฉะนั้น การจะหวังให้นักเรียนบาลีของเราจบ ป.ธ.๙ แล้วเป็นผู้ทรงภูมิรู้เชี่ยวชาญในพระพุทธศาสนา จึงไม่ถูกเรื่อง-เหมือนปลูกขนุนแล้วหวังว่าจะออกลูกมาเป็นมะม่วง
แล้วจะทำอย่างไร?
จะทำอย่างไร ต้องตั้งหลักให้ถูก
หลักของเราก็คือ-เรามีพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์อันเป็นตัวพระศาสนารอการศึกษาค้นคว้าอยู่
พระไตรปิฎกบันทึกไว้เป็นภาษาบาลี เราจึงต้องการคนรู้บาลีเพื่อจะได้ศึกษาพระไตรปิฎกได้ถึงระดับ primary sources
เราจึงเปิดการศึกษาภาษาบาลี (๑) เพื่อผลิตผู้มีความรู้ภาษาบาลี (๒) แล้วส่งไปศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกที่รอการศึกษาค้นคว้าอยู่-เหมือนคนป่วยรอหมอ
แต่เราพลาดตรงที่-ผลิตผู้มีความรู้ภาษาบาลีออกมาแล้ว แต่ไม่มีแผนหรือโครงการหรือเป้าหมายใด ๆ ที่จะส่งไปศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก
การเรียนหมอมีแผนอันชัดเจนและทำได้ตามแผน คือจบหมอแล้วส่งเข้าสู่กระบวนการรักษาคนป่วยทั้งหมด
แต่การเรียนบาลีของเรา จบบาลีแล้วไม่มีแผนใด ๆ ที่จะส่งเข้าสู่กระบวนการศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก ผิดกันตรงนี้
เป้าหมายของการศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก คือ
(๑) เพื่อให้รู้เข้าใจหลักคำสอนที่ถูกต้อง
(๒) เอาหลักคำสอนที่ถูกต้องนั้นมาปฏิบัติขัดเกลาตนเอง
(๓) แล้วเผยแผ่ให้แพร่หลายสู่สังคม
ถ้าผู้บริหารการพระศาสนาของเรามีนโยบายว่า พระพุทธศาสนาในสังคมไทยไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ และจะไม่ทำอย่างนี้
ก็จบแค่นี้
จะเรียนบาลีเพื่ออะไร หรือจะไม่เรียนเพื่ออะไร-เลิกพูดกัน
เก็บพระไตรปิฎกไว้ในตู้ เอาไว้บูชากันในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำบ้านเมืองต่อไป
แต่ถ้าเราเห็นว่า พระพุทธศาสนาในสังคมไทยจำเป็นต้องมีการศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกตามเป้าหมายทั้ง ๓ ข้อนั้น ก็ขอให้ช่วยกันคิดว่า จะมีวิธีไหนบ้าง-ทำให้นักเรียนบาลีของเรา-เมื่อเรียนจบแล้วหรือเมื่อเรียนจนพอมีความรู้แล้วก็มุ่งหน้าไปสู่กระบวนการศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก-เหมือนคนเรียนหมอ เรียนจบแล้วมุ่งหน้าไปสู่กระบวนการรักษาคนป่วย
ช่วยกันคิดตรงนี้ครับ
จะวิจารณ์การเรียนบาลีว่าอย่างไรก็เชิญว่ากันให้เต็มสติเถิด
แต่ต้องช่วยกันคิดเรื่องนี้ด้วย
พลเรือตรี ทองย้อย แสงสินชัย
ภาคีสมาชิก ราชบัณฑิตยสภา
๔ เมษายน ๒๕๖๗
๑๘:๕๗
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น