วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2567

"ดร.มหานิยม เวชกามา" ติงสื่อไม่รอบด้านเสนอข่าวพระบุกป่าล่าสัตว์ชัยภูมิ ถามซ้ำ!สำนักพุทธชัยภูมิสอบสวนครบถ้วนแล้วหรือยัง



เมื่อวันที่ 30  เมษายน 2567 จากกรณีที่ปรากฏข่าวตามสื่อต่าง ๆ ว่ามีพระสงฆ์สามเณรและคฤหัสถ์กลุ่มหนึ่งเข้าไปในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ เพื่อล่าสัตว์ป่า และปรากฎว่ามีชื่อพระศรีสัจญาณมุนี ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ (มจร) รวมอยู่ด้วยนั้น ดร.นิยม เวชกามา อดีต สส.สกลนคร เขต 2 พรรคเพื่อไทย ในฐานะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี คนที่ 1 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (ฯพณฯ ภูมิธรรม เวชยชัย) และอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านการศาสนา สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์รายการ Inside รัฐสภา ในประเด็นร้อนทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับข่าว “พระศรีสัจญาณมุนี” รองเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ ที่ถูกกล่าวหาว่า ”ล่าสัตว์“ พร้อมพวกในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ ดังกล่าว โดย "ดร.มหานิยม" นักการเมืองผู้คร่ำหวอดในวงการพระสงฆ์มาแต่ยังเป็นเยาวชน ยืนยันว่าต้องให้ความเป็นธรรมและควรฟังความจากทั้ง 2 ฝ่าย


ดร.นิยม กล่าวว่า ตนให้ความสำคัญมากในเรื่องวัด ตั้งแต่เป็น สส.อภิปรายเรื่องวัด เรื่องพระพุทธศาสนามาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 25 เกี่ยวกับประเด็นเงินทอนวัด หลังทราบข่าวนี้แล้วแล้วรู้สึกตกใจและให้ความสนใจเป็นอย่างมากในทันทีว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นข่าวใหญ่ที่พาดหัวสื่อตรงกันทุกสำนักที่ว่ามีพระระดับชั้นเจ้าคุณเป็น “แก๊งค์ล่าสัตว์” ใน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะเป็นพระระดับผู้ใหญ่ เป็นถึงระดับเจ้าคุณ ซึ่งเป็นเรื่องที่เสียหายเป็นอย่างมาก


"ต้องมาสนใจและจับตาดูในประเด็นข่าวติดตาม ตามอ่านบทความ และเว็บไซต์ต่างๆ จากนักวิชาการที่อยู่ในวงการศาสนา เพราะข่าวออกมาด้านเดียวและที่สำคัญคือเป็นข่าวแถลงเพราะเนื้อหาข่าวและรูปภาพที่ถ่ายก็มาจากทาง จนท.อุทยานทั้งหมด"


ดร.นิยม กล่าวว่า ตอนแรกที่ได้ยินก็ไม่ทราบว่า ”ท่านเจ้าคุณ“ หรือ “พระศรีสัจญาณมุนี” องค์นี้เป็นใคร แต่มาเอะใจพอเห็นคำว่า “พระศรี” อยู่ในฉายาแสดงต้องเป็นพระ ป.ธ.9 เท่านั้น และประเด็นถัดมาคือพระมหาประโยค 9 จะไปล่าสัตว์มันเกิดอะไรขึ้น พอตามไปอ่านบทความของพระศรีสัจญาณมุนี เลยเข้าใจว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร ซึ่งไม่ได้เข้าข้างแต่อย่างใด และเมื่อไปสืบมาทราบว่านามเต็มๆ ของท่านคือ “พระศรีสัจญาณมุนี , ดร. (พระมหาสุมินทร์ ยติกโร/ก่อบุญ)” ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดห้วยหินฝน ผอ.วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ และรองเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ


"และเผอิญว่า ผมและพระศรีสัจญาณมุนี นั้นเคยบวชที่วัดราชสิทธารามราชวรวิหาร (วัดพลับ) กทม. เหมือนกันเพียงแต่พระศรีสัจญาณมุนีนั้นท่านได้ติดตามพระธรรมสิริชัย (บุญเลิศ โฆสโก) ไปเมื่อย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร รูปที่ 13"


ดร.นิยม เวชกามา เล่าต่อไปว่า “ผมรู้จักพระศรีสัจญาณมุนีตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ท่านเป็นพระที่มีความเคร่งครัดมาก และเนื่องด้วยจากการที่ชอบเข้าป่าปฏิบัติธรรม จึงได้เปลี่ยนญัตติจากมหานิกายไปเป็นธรรมยุต ซึ่งปัจจุบันก็เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดฝ่ายธรรมยุต โดยธรรมชาติของพระองค์นี้อย่าว่าแต่ฆ่าสัตว์เลย มดสักตัวก็ยังไม่ฆ่าด้วยซ้ำ“


พร้อมกล่าวต่อ ”พอศึกษาลงไปในรายละเอียดผู้เขียนรายงานคือนักวิชาการซึ่งรักษาการหัวหน้าอุทยานฯ หากจะขึ้นตำแหน่งอะไรเป็นเรื่องของพวกคุณ แต่อย่าเขียนข่าวแบบนี้เพื่อให้พระพุทธศาสนาเสียหาย คุณต้องไปดูเพื่อให้เห็นต้นเหตุที่แท้จริง อย่าเห็นแค่ปลายเรื่องก็สรุปได้แล้วว่าเป็นจริงหรือเท็จ ที่บอกว่าจับปืนได้มันก็สามารถอ้างขึ้นมาได้ ผมเป็นผู้แทนมา 15 ปี ผมรู้จักข้าราชการดี จะขึ้นตำแหน่งผมไม่ว่าแต่อย่างเขียนให้มันเวอร์ไป“


ดร.นิยม กล่าวว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2542 โดยมีวัตถุประสงค์คือมีหน้าที่ดูแลพระสงฆ์ ดูแลพระพุทธศาสนา จะผิดถูกอย่างไรนั้นก็ว่าตามกระบวนการเพราะสงฆ์ก็มีกฎหมายของสงฆ์ที่คอยจัดการกับพระที่กระทำความผิดอยู่ พิจารณาความผิดเป็นเรื่องๆ ไป เช่นกันกับฆราวาส ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพื่อที่จะสื่อไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชัยภูมิ ท่านคือผู้ที่ดูแลพระสงฆ์ ดูแลพระพุทธศาสนา พระดีๆ ให้ดำรงไว้ส่วนพระที่ไม่ดีต้องรายงานผู้บังคับบัญชาให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งพระรูปนี้ (พระศรีสัจญาณมุนี) กว่าจะขึ้นมาเป็นผู้บริหารของ มจร  จบด็อกเตอร์ จบ ป.ธ.9 ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ก็รู้สึกผิดหวังกับ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชัยภูมิที่ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเป็นจริงตามที่ปรากฎในข่าวทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ไปถามและยังไม่ได้สั่งสอบข้อเท็จจริงกับเจ้าตัวเลย ต้องถามชาวบ้าน ถามญาติโยมในพื้นที่ ถามพยานแวดล้อมให้ครบแล้วจึงออกมาแถลงไม่ใช่ฟังความข้างเดียวแล้วด่วนสรุป


"ผมอยากจะฝากสื่อและฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ให้ไปหาข้อเท็จจริงจะได้ฟังความทั้ง 2 ฝ่าย เพราะข่าวตอนนี้ที่ออกมาเป็นลบกับทางพระศรีสัจญาณมุนีเป็นอย่างมาก กล่าวหาว่าเป็นโจร เป็นหัวหน้าทีมพรานล่าสัตว์ ซึ่งในความคิดไม่ใช่แบบนั้นแน่นอนจากพฤติกรรมของท่านที่เป็น ได้ไปอ่านบทความของ พระอุดมสิทธินายก, รศ.ดร. (กำพล คุณงฺกโร) คณบดีคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ก็บอกว่าไม่น่าจะเป็นจริงตามที่ปรากฎในข่าว ส่วนปืนนั้นก็ต้องไปว่าในข้อเท็จจริงและสอบสวนในกระบวนการยุติธรรม บางทีชาวบ้านพกไปพระท่านก็ไม่รู้เรื่องด้วย ในข่าวกลับพาหัวว่าพกปืนยิง จนท. ประมาณสู้รบปรบมือกัน ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรมิอาจทราบได้แต่ตนรู้สึกเจ็บปวดกับการเขียนข่าวเช่นนี้"


ดร.นิยม กล่าวอีกว่า เจ้าคณะจังหวัดต้องเข้าไปดูแลเบื้องต้น ว่าพระที่ถูกกล่าวหาเป็นอย่างไร เหตุและผลเป็นไปเป็นมาอย่างไร เคยเดินทางไปมาที่นั้นอย่างเป็นประจำหรือไม่ และอุทยานก็เขียนเองว่ายังไม่มีเนื้อสัตว์หรือซากสัตว์อะไรเลย มีแต่เพียงประเด็นว่ายิง จนท. ซึ่งจะเป็นจริงเท็จอย่างไรมันขึ้นกับคนเขียน ”และผมเป็นนักกฎหมาย ผมเป็นนักข่าว ผมเข้าใจการข่าวเขียนดี เพราะผมเป็นนักข่าวมติชนอยู่ 20 ปี นักข่าวไอทีวีก่อนที่จะมาเป็นไทยพีบีเอส (Thai PBS) และนักข่าวเนชั่น (Nations) ก่อนจะลาออกเพื่อมาลงสมัคร สส.ในปี 2550 เพราะฉะนั้นผมเข้าใจระบบการเขียนข่าวเป็นอย่างดี เมื่อมีการแถลงข่าวออกมา ต้องเขียนแบบใด หากถ้าเขียนลอยๆ มันเป็นข่าวไม่ได้ และในข่าวเป็นพระถึงระดับรองเจ้าคณะจังหวัด เขียนออกมาอย่างไรก็เป็นข่าวหน้า 1 หมด หากฆ่าสัตว์จริงก็ต้องติดคุก เพราะฉะนั้นคดีจะดำเนินเป็นอย่างไรต้องตรวจสอบ ทางสงฆ์ก็มีการตั้งพระวินยาธิการ (ตำรวจพระ) ให้เข้าไปดูในข้อเท็จจริงเพื่อสอบสวนสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วที่สำคัญต้องใความช่วยเหลือพระกลุ่มนี้ เพราะพระทนายไม่มีผู้รักษากฎหมาย ทั้งสงฆ์ ทางมจร.ต้องตั้งทีมทนายเอาผู้รู้กฎหมายเข้าไปช่วยเหลือท่าน แม้ท่านจะเป็น ดร. แต่ก็เป็น ดร.ทางศาสนา จบพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต ไม่ใช่ ดร.ทางกฎหมาย และเวลาเสพข่าวอย่างข่างด้านเดียว แล้วเชื่อว่าใช่แล้ว เชื่อว่าพระเป็นโจรตามที่ลงในข่าวแล้วไล่จับสึก มันจะเป็นประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอยเงินทอนวัด“ ดร.นิยมกล่าว


ขณะเดียวกันวันนี้มีรายการงาน พระศรีสัจญาณมุนี หรือ “เจ้าคุณสุมินทร์” รองเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ ได้ทำหนังสือรายการต่อผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) โดยได้ปฎิเสธว่าไปล่าสัตว์หรือพกอาวุธเข้าไปในเขตอุทยาน ซึ่งปรากฎในหนังสือรายงานบางตอนว่า


“ตนเอง (พระศรีสัจญาณมุนี) พร้อมด้วยพระภิกษุ 2 รูป สามเณร 2 รูป รวมเป็น 5 รูป ได้ไปศึกษาธรรมชาติ หลักเร้นเพื่อไปหาความวิเวก เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2567 ต่อมีศิษย์วัดประมาณ 4 คนไปสมทบ โดยคณะสงฆ์กับลูกศิษย์แยกย้ายกันเดินทางและพักแรม ซากกระดูกที่ปรากฎเป็นซากกระดูกที่บังสุกุลอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว โดยมีการบันทึกวีดีโอหรือภาพเคลื่อนไหวไว้ แต่ไม่ได้นำมาเผยแพร่ ในวันที่ 25 เมษายน 2567 ขณะลงจากสันเขา มีลูกศิษย์ล่วงหน้าไป 1 คน ได้ยินเสียงปืนประมาณ 5 นัด ต่อมามีพระมาเรียกให้ไปอยู่ร่วมกับสามเณร จากนั้นจึงค่อยหาทางกลับวัดพร้อมพระและสามเณร..”


ตอนท้ายหนังสือรายงาน พระศรีสัจญาณมุนี ได้ชี้แจงต่ออีกว่า พระภิกษุสามเณรทั้งหมดไม่ได้ร่วมพกอาวุธปืนหรืออาวุธใด ๆเพื่อล่าสัตว์ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใดทั้งสิ้น พร้อมทั้งปฎิเสธว่ามีการยิงต่อสู้กันนั้นก็ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด พร้อมกราบขออภัยที่ทำให้มหาวิทยาลัยเสียชื่อเสียง 


#มั่นเพื่อไทยไว้ใจมหานิยม

#มหานิยมเพื่อไทยใส่ใจเคียงข้างประชาชน

#นิยมเวชกามา #ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ #พระพุทธศาสนา #พรรคเพื่อไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บุคคลไม่ควรคบยามสูงวัย

การแยกแยะบุคคลที่ควรคบในวัยสูงอายุเป็นสิ่งสำคัญในบริบทพุทธสันติวิธี เพื่อเสริมสร้างความสงบสุขภายในและการใช้ชีวิตที่สมดุล การปฏิบัติตามหลักธร...