วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2562

'ประยุทธ์'ยันทุ่มเททำงาน ตามมาตรฐานจริยธรรม โดยสุจริตเพื่อประโยชน์ชาติ นำพาสู่ความมั่นคง-มั่งคั่ง-ยั่งยืน




วันที่ 11 มิ.ย.2562 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แถลงภายหลังพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 29  ของประเทศไทยเป็นสมัยที่ 2 ว่า จะทุ่มเททำงานตามมาตรฐานจริยธรรมโดยสุจริตเพื่อผลประโยชน์ของชาติ และจะนำพาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนตลอดไป 
          
"ในวาระที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผมดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นับเป็นเกียรติยศและ เป็นสิริมงคลอย่างสูงสุดแก่ชีวิตอย่างหาที่สุดมิได้ ผมและครอบครัวรู้สึกสำนึก ในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวเป็นล้นพ้น และขอเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม ทั้งจักปฏิบัติงานสนองพระราชปณิธานตาม พระปฐมบรมราชโองการ 
          
ผมขอยืนยันว่าจะทุ่มเททำงานตามมาตรฐานจริยธรรมด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โดยยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสำคัญ จะเพียรพยายาม มุ่งมั่นทำงาน พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็น ของทุกกลุ่มทุกฝ่าย ทุกสาขาอาชีพ ทุกช่วงวัย ในการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศในทุกด้าน ทั้งความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม การต่างประเทศ กฎหมายและกระบวนการยุติธรรม และป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน ลดความเหลื่อมล้ำ กระจายรายได้ สร้างความเข้มแข็ง ยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับผู้มีรายได้น้อย เกษตรกร ผู้ประกอบอาชีพอิสระ ที่เป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ด้วยการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐอย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ เป็นไปตามพระราชบัญญัติการเงินการคลัง และเอกชนมีส่วนร่วม 
          
ตลอดจน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้สอดคล้องกับปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ เปิดโอกาสให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงโลกยุคดิจิทัลและเทคโนโลยี สร้างสรรค์สังคมให้มีความรักความสามัคคีปรองดอง สมานฉันท์ เกื้อกูลกันในทุกโอกาส เพื่อความกินดี อยู่ดี และความมั่นคงปลอดภัยของประชาชน พร้อมจะปกป้องรักษาไว้ ซึ่งเกียรติภูมิแห่งสถาบันชาติ ศาสนา ตลอดจนจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของประชาชนชาวไทย
          
ขอขอบคุณสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาที่ทำหน้าที่ที่ผ่านมาเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติ ขอขอบคุณพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลที่สนับสนุน และให้โอกาสผมได้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีอีกวาระหนึ่ง เพื่อประเทศชาติและประชาชนอย่างที่ทุกท่านตั้งใจไว้ ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนชาวไทย ข้าราชการพลเรือน ตำรวจ ทหาร และหน่วยงานทุกภาคส่วน ตลอดจนภาคประชาสังคม ธุรกิจเอกชน ที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการบริหารราชการแผ่นดินตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะเป็นพลังที่คอยเกื้อหนุน และร่วมแรงร่วมใจกับรัฐบาล เพื่อนำพาประเทศไทยของเราให้มีความสงบร่มเย็น มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืนตลอดไป"
          
ขณะที่หัวหน้าและแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 18 คนได้เข้าร่วมในพิธีดังกล่าว และได้มีการถ่ายภาพร่วมกันหลังจากเสร็จสิ้นการแถลงของนายกรัฐมนตรี 


เตรียมหารือพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความคืบหน้าในการจัดตั้งรัฐบาล ว่า ขณะนี้ยังไม่อยากพูดอะไรมาก แต่จะพูดทุกอย่างได้เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งอย่างเป็นทางการแล้ว จึงจะสามารถไปพูดคุยกับพรรคร่วมรัฐบาลได้ตามกฏหมาย โดยตนเองจะต้องหาทางพูดคุยให้เกิดความเหมาะสม หาจุดลงตัวให้ได้ โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นสำคัญ 
          
สำหรับนโยบายของทุกพรรคที่เสนอมาเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั้งสิ้น แต่ในฐานะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จะต้องเป็นรัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศ และต้องนำนโยบายต่างๆ มาปรับให้สอดคล้องกับงบประมาณต่างๆที่มีอยู่ในปัจจุบันด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุด ทั้งนี้เชื่อว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยโดยเร็ว
          
ส่วนความชัดเจนการยกเลิกประกาศคำสั่ง ม.44 ที่ไม่จำเป็นจะออกมาเมื่อใดนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่าคำสั่งใดๆ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ไม่มีความจำเป็น ก็จะเร่งรัดให้มีการยกเลิกโดยเร็วที่สุด โดยยืนยันว่าการดำเนินการทุกอย่างจะแล้วเสร็จก่อนที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งรัฐบาลใหม่จะสามารถปฎิบัติหน้าที่ได้หลังจากได้เข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณตนฯเรียบร้อยแล้ว
          
ส่วนกรณีคำสั่ง คสช.เรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ไม่ได้ประกาศในเว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา อาจส่งผลให้การเลือก ส.ว.250 คน มีปัญหาหรือเป็นโมฆะได้นั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องนี้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงไปแล้วและรายชื่อสำรอง ส.ว. 50 คน ก็พร้อมที่เปิดเผยในราชกิจจานุเบกษาต่อไป 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บุคคลไม่ควรคบยามสูงวัย

การแยกแยะบุคคลที่ควรคบในวัยสูงอายุเป็นสิ่งสำคัญในบริบทพุทธสันติวิธี เพื่อเสริมสร้างความสงบสุขภายในและการใช้ชีวิตที่สมดุล การปฏิบัติตามหลักธร...