วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2562

'ธนาธร' แถลงวิสัยทัศน์นอกรัฐสภา พร้อมดันไทยเทียบเกาหลีใต้-สิงคโปร์ หวั่นเวียดนามแซง



วันที่ 5 มิ.ย.62 เวลา 13.00 น. นางสาวพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ แถลงต่อสื่อมวลชนภายหลังจากพรรคอนาคตใหม่ เสนอญัตติภายในที่ประชุมให้มีการแสดงวิสัยทัศน์ของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี และถอนญัตติออกไปเพราะกลัวว่าจะทำให้การเลือกนายกรัฐมนตรียืดยาวออกไป
          
นางสาวพรรณิการ์ มองว่าประชาชนควรจะมีโอกาสที่จะได้ฟังวิสัยทัศน์ของคนที่จะขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีและเชื่อว่ารัฐสภาควรจะใช้เวลาดังกล่าว ในการแสดงวิสัยทัศน์ดังนั้นพรรคอนาคตใหม่ จึงใช้พื้นที่นอกสภาในการแสดงวิสัยทัศน์ต่อประชาชน
          
โดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีแสดงวิสัยทัศน์ว่า  เรามีทรัพยากรและศักยภาพมากพอที่จะเป็นประเทศชั้นนำ ประชาชนมีรายได้ดี เศรษฐกิจก้าวหน้า มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็ธำรงรักษาปรับแต่งคุณค่าเอกลักษณ์ให้สอดคล้องกับความเป็นไทยในโลกสากล
          
การสร้างสังคมไทยที่ คนไทยเท่าเทียมกัน และประเทศไทยเท่าทันโลก จะไม่ใช่ภารกิจของพรรคอนาคตใหม่อีกต่อไปแต่จะกลายเป็นภารกิจของรัฐบาลประชาธิปไตย และนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่พร้อมพาประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าในด้านหนึ่ง เราต้องยืนหยัดสนับสนุนความเท่าเทียมด้านสิทธิและโอกาสของคนไทยอย่างจริงจัง เพราะความเท่าเทียมเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่จะทำให้มนุษย์ทุกคนสามารถใช้ชีวิตที่มีคุณค่าและเปี่ยมความหมาย ไม่ว่าจะเกิดมาในครอบครัวไหน พื้นที่หรือเพศใด
          
การขจัดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยจะต้องไม่ใช่แค่การปรับตัวเลข เปลี่ยนสถิติ แต่ต้องเป็นการยืนยันความเท่าเทียมของ “สิทธิและโอกาส”
          
ในอีกด้านหนึ่ง เราต้องวางเป้าหมายในการสร้างประเทศไทยที่เท่าทันโลก ขีดเส้นมาตรฐานบริการของรัฐและยกระดับเศรษฐกิจของไทยใหม่ให้เท่าทันสากล เป็นประเทศไทยที่ทะยานไปอย่างเต็มศักยภาพ ไม่น้อยหน้าใครในเวทีโลก
          
จะดีแค่ไหนครับ ถ้าเราสามารถส่งต่อ “ประเทศไทยที่อยู่ในโลกที่หนึ่ง” ให้กับลูกหลานของเราได้ ปะเทศไทยที่คนมีสิทธิเสรีภาพ มีความเป็นธรรม และไม่มีรัฐประหาร
          
ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่พาประเทศไทยไปข้างหน้าและขอยืนยันหลักการประชาธิปไตยอย่างแน่วแน่อีกครั้ง ว่าผมจะขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงผ่านระบอบรัฐสภา ใช้กลไกที่ยึดโยงกับประชาน มีกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลยึดมั่นในระบบนิติรัฐ และมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขควบคู่กับระบอบประชาธิปไตยอย่างมั่นคงสถาพร
          
แม้จะยาก จะนานเพียงใด ก็ต้องยืนยันเส้นทางนี้ ไม่มีทางลัด การด่วนรัฐประหาร ล้มกระดาน บิดเบือนเสียงของประชาชนมีแต่จะพาประเทศไทยเข้าสู่ทางตัน
          
เราต้องช่วยกันทำให้ ส.ส. เป็นผู้แทนของราษฎร ไม่ใช่ ตัวแทนของอำนาจนอกระบบ อำนาจทหาร และอำนาจทุนช่วยกันทำให้รัฐสภาเป็นสถานที่อันทรงเกียรติ เป็นสถานที่ที่ปัญหาของประชาชนถูกนำมาถกเถียงเพื่อหาทางออก ไม่ใช่ สถานที่ที่ผู้คนเอือมระอา เสียดายคะแนนเสียงของตัวเอง และหมดศรัทธาต่อระบอบประชาธิปไตย
          
ทั้งหมดนี้เป็นภารกิจแห่งประวัติศาสตร์ ในห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ผม ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
          
ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งความเป็นจริง จะเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งความเปลี่ยนแปลง และจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่พาประเทศไทยไปข้างหน้าครับ.
          
ประการที่สอง ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งความเปลี่ยนแปลงเพราะการมองและเข้าใจปัญหาจากความเป็นจริงอย่างเดียวยังไม่พอเรายังต้องกล้าเผชิญกับปัญหาที่ “ต้นตอ” และกล้าผลักดันการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริงด้วยต้องคิดอย่างเป็นระบบ กล้าเปลี่ยนแปลง และทำงานเป็นทีม
          
ประเทศไทยเราเคยผ่านวิกฤตการณ์มาหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสงครามโลก สงครามเย็น วิกฤตน้ำมัน ภาวะข้าวยากหมากแพง หรือวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง
          
ปู่ย่าตายายและพ่อแม่ของเราผ่านมันมาได้ มิหนำซ้ำ คนไทยเรากลับมีพลังและความร่วมแรงร่วมใจกันมากขึ้นด้วยซ้ำเมื่อเผชิญวิกฤตร้ายแรงเหล่านี้แต่ทุกท่านครับ สิ่งที่สังคมไทยเผชิญอยู่ในยุคปัจจุบันไม่ใช่สงครามที่เรามองเห็นเครื่องบินรบ หรือได้ยินเสียงระเบิดโครมครามอีกต่อไปหลายคนเปรียบเปรยปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นเหมือน “กบที่ถูกต้ม”เพราะหากปรับอุณหภูมิของน้ำให้ค่อยๆ สูงขึ้น กบจะไม่รู้ตัว รู้สึกสบาย ก่อนที่จะตายอย่างไม่รู้ตัวเศรษฐกิจสังคมไทยวันนี้ก็คล้ายกันการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศค่อยๆ อ่อนกำลังลง

          -หนี้ครัวเรือนขยับสูงขึ้น
          -บริษัทใหญ่มีเงินเหลือ แต่บริษัทเล็กผิดนัดชำระหนี้
          -ความเหลื่อมล้ำด้านที่ดินและทรัพย์สินทะยานขึ้นไปเรื่อยๆ
          -คุณภาพการศึกษาไทยถูกทิ้งห่างไปทุกปี ทุกปี
          
น้ำอาจไม่ได้เดือดปุดๆ จนเรามองเห็น แต่มันกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ และเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันท่วงทีก่อนจะสายเกินไปแน่นอนครับ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำสำเร็จได้ในเวลาชั่วข้ามคืน และไม่อาจทำสำเร็จด้วยผู้นำเพียงคนเดียวเพราะปัญหาหลายอย่างทับถมมายาวนาน และเชื่อมโยงกับกลุ่มผลประโยชน์แน่นแฟ้นเราต้องประเมินปัญหาอย่างเป็นระบบ
          
หลายปัญหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจตจำนงของผู้นำ เพราะเป็นเรื่องที่มีงานศึกษาวิจัยรองรับ ชี้ทางออกชัดเจนอยู่แล้ว แต่ขาดความกล้าหาญในการเสนอและบังคับใช้อย่างจริงจัง (เช่น การปฏิรูปภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ กฎหมายการแข่งขันทางการค้าที่ไม่บังคับใช้) ผมจะผลักดันอย่างสุดกำลัง เพราะเราเป็นตัวแทนของราษฎร ไม่ใช่กลุ่มทุนหลายปัญหาเป็นเรื่องของโครงสร้างอำนาจ (เช่น รัฐราชการรวมศูนย์ โครงสร้างการศึกษาที่ซ้ำซ้อน) เราต้องกล้าชน กล้าเป็นปากเป็นเสียง โดยเริ่มต้นจากมองปัญหาอย่างเป็นระบบ กล้าชนกับความไม่เป็นธรรมเชิงโครงสร้างอย่างตรงไปตรงมาหลายปัญหาหมักหมมมานานหลายสิบปี แต่ผู้เดือนร้อนเป็นคนตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่มีปากมีเสียง (เช่น การจัดการป่า ที่ดินทำกิน สวัสดิการสังคม) เราต้องเข้าไปรับฟัง เปิดประตูการมีส่วนร่วม ต้องยืนยันสิทธิของผู้เสียเปรียบ ยืนยันการตัดสินใจบนหลักความชอบธรรม

แน่นอนครับ เราจะใช้แต่ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำอย่างเป็นระบบ รอบคอบ และรัดกุมเราโชคดีที่อยู่ในยุคข้อมูลข่าวสาร มีบทเรียนนโยบายจากต่างประเทศที่เคยลองผิดลองถูกมาแล้ว เราสามารถนำมาถอดบทเรียน และปรับใช้ให้เหมาะกับสังคมไทยเครื่องไม้เครื่องมือและเทคโนโลยีจะต้องถูกนำมาใช้แก้ปัญหามากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต้องมีมาตรการประเมินผลต่อเนื่อง ต้องมีกระบวนการตรวจสอบและเปิดเผยข้อมูลไปพร้อมกันไม่มียาวิเศษที่จะทำให้แก้ไขปัญหาของประเทศไทยได้ชั่วข้ามคืน
          
แต่ถ้าเราเลือกทิศทาง เลือกเครื่องมือให้ถูกต้อง กล้าเผชิญต้นตอของปัญหา คิดอย่างเป็นระบบ และทำงานเป็นทีมการเปลี่ยนแปลงที่เราฝันไว้จะเป็นจริงได้
          
ท้ายที่สุดและสำคัญที่สุด ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่พาประเทศไทยไปข้างหน้านี่เป็นภารกิจแห่งชีวิตของผมและของผู้แทนราษฎรทุกคนที่มีความใฝ่ฝันร่วมกันหากมองชีวิตของผมผ่านการพัฒนาประเทศ ความเจ็บปวดของเราคนไทยก็คงไม่ต่างกันพ่อกับแม่ของผมเกิดในยุคที่ญี่ปุ่นเพิ่งแพ้สงคราม ผู้คนปากกัดตีนถีบ ไม่มีใครอยากใช้สินค้าญี่ปุ่นตัวผมเองเกิดในยุคที่เกาหลีใต้ยังอยู่ในระดับพอๆ กับประเทศไทย เป็นประเทศเล็กที่ดูมีความพยายาม แต่ก็ยังไปไม่ถึงไหน สินค้าเกาหลีเป็นของราคาถูก เพลงเกาหลีไม่มีใครฟัง และไม่เคยได้ยินใครบอกว่าอยากไปเที่ยวเกาหลีคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราเห็นประจักษ์แล้วว่า ญี่ปุ่นฟื้นตัวจากสงครามและกลายมาเป็นประเทศชั้นนำได้อีกครั้งส่วนคนรุ่นผม ก็ต้องปวดใจที่เห็นประเทศที่ออกสตาร์ทพร้อมๆ กับเรา อย่างเกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ และมาเลเซีย ค่อยๆ ผลัดกันแซงหน้าประเทศไทยไปทีละประเทศในขณะที่ลูกของผมต้องมาเจอข่าวว่า เวียดนามกำลังจะแซงไทยไปในอีกไม่นานนี้ไม่ว่าปีนี้ท่านจะอายุเท่าไหร่ ผมมั่นใจครับว่าท่านได้ยินประโยคที่ว่า “ไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา” มาตั้งแต่เกิดกันทุกท่านแต่นี่ไม่ควรเป็นที่ของประเทศไทยประเทศไทยควรไปอยู่ในโลกที่หนึ่ง
          
ประการที่สอง ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งความเปลี่ยนแปลงเพราะการมองและเข้าใจปัญหาจากความเป็นจริงอย่างเดียวยังไม่พอเรายังต้องกล้าเผชิญกับปัญหาที่ “ต้นตอ” และกล้าผลักดันการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นจริงด้วยต้องคิดอย่างเป็นระบบ กล้าเปลี่ยนแปลง และทำงานเป็นทีม
          
ประเทศไทยเราเคยผ่านวิกฤตการณ์มาหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็นสงครามโลก สงครามเย็น วิกฤตน้ำมัน ภาวะข้าวยากหมากแพง หรือวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปู่ย่าตายายและพ่อแม่ของเราผ่านมันมาได้ มิหนำซ้ำ คนไทยเรากลับมีพลังและความร่วมแรงร่วมใจกันมากขึ้นด้วยซ้ำเมื่อเผชิญวิกฤตร้ายแรงเหล่านี้แต่ทุกท่านครับ สิ่งที่สังคมไทยเผชิญอยู่ในยุคปัจจุบันไม่ใช่สงครามที่เรามองเห็นเครื่องบินรบ หรือได้ยินเสียงระเบิดโครมครามอีกต่อไปหลายคนเปรียบเปรยปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นเหมือน “กบที่ถูกต้ม”เพราะหากปรับอุณหภูมิของน้ำให้ค่อยๆ สูงขึ้น กบจะไม่รู้ตัว รู้สึกสบาย ก่อนที่จะตายอย่างไม่รู้ตัว

          เศรษฐกิจสังคมไทยวันนี้ก็คล้ายกัน
          -การบริโภคและการลงทุนภายในประเทศค่อยๆ อ่อนกำลังลง
          -หนี้ครัวเรือนขยับสูงขึ้น
          -บริษัทใหญ่มีเงินเหลือ แต่บริษัทเล็กผิดนัดชำระหนี้
          -ความเหลื่อมล้ำด้านที่ดินและทรัพย์สินทะยานขึ้นไปเรื่อยๆ
          -คุณภาพการศึกษาไทยถูกทิ้งห่างไปทุกปี ทุกปี

น้ำอาจไม่ได้เดือดปุดๆ จนเรามองเห็น แต่มันกำลังร้อนขึ้นเรื่อยๆ และเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงให้ทันท่วงทีก่อนจะสายเกินไปแน่นอนครับ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำสำเร็จได้ในเวลาชั่วข้ามคืน และไม่อาจทำสำเร็จด้วยผู้นำเพียงคนเดียวเพราะปัญหาหลายอย่างทับถมมายาวนาน และเชื่อมโยงกับกลุ่มผลประโยชน์แน่นแฟ้นเราต้องประเมินปัญหาอย่างเป็นระบบหลายปัญหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจตจำนงของผู้นำ เพราะเป็นเรื่องที่มีงานศึกษาวิจัยรองรับ ชี้ทางออกชัดเจนอยู่แล้ว แต่ขาดความกล้าหาญในการเสนอและบังคับใช้อย่างจริงจัง (เช่น การปฏิรูปภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ กฎหมายการแข่งขันทางการค้าที่ไม่บังคับใช้) ผมจะผลักดันอย่างสุดกำลัง เพราะเราเป็นตัวแทนของราษฎร ไม่ใช่กลุ่มทุนหลายปัญหาเป็นเรื่องของโครงสร้างอำนาจ (เช่น รัฐราชการรวมศูนย์ โครงสร้างการศึกษาที่ซ้ำซ้อน) เราต้องกล้าชน กล้าเป็นปากเป็นเสียง โดยเริ่มต้นจากมองปัญหาอย่างเป็นระบบ กล้าชนกับความไม่เป็นธรรมเชิงโครงสร้างอย่างตรงไปตรงมาหลายปัญหาหมักหมมมานานหลายสิบปี แต่ผู้เดือนร้อนเป็นคนตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่มีปากมีเสียง (เช่น การจัดการป่า ที่ดินทำกิน สวัสดิการสังคม) เราต้องเข้าไปรับฟัง เปิดประตูการมีส่วนร่วม ต้องยืนยันสิทธิของผู้เสียเปรียบ ยืนยันการตัดสินใจบนหลักความชอบธรรม
          
แน่นอนครับ เราจะใช้แต่ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องทำอย่างเป็นระบบ รอบคอบ และรัดกุมเราโชคดีที่อยู่ในยุคข้อมูลข่าวสาร มีบทเรียนนโยบายจากต่างประเทศที่เคยลองผิดลองถูกมาแล้ว เราสามารถนำมาถอดบทเรียน และปรับใช้ให้เหมาะกับสังคมไทยเครื่องไม้เครื่องมือและเทคโนโลยีจะต้องถูกนำมาใช้แก้ปัญหามากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต้องมีมาตรการประเมินผลต่อเนื่อง ต้องมีกระบวนการตรวจสอบและเปิดเผยข้อมูลไปพร้อมกันไม่มียาวิเศษที่จะทำให้แก้ไขปัญหาของประเทศไทยได้ชั่วข้ามคืน

แต่ถ้าเราเลือกทิศทาง เลือกเครื่องมือให้ถูกต้อง กล้าเผชิญต้นตอของปัญหา คิดอย่างเป็นระบบ และทำงานเป็นทีมการเปลี่ยนแปลงที่เราฝันไว้จะเป็นจริงได้ท้ายที่สุดและสำคัญที่สุด ผมจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่พาประเทศไทยไปข้างหน้านี่เป็นภารกิจแห่งชีวิตของผมและของผู้แทนราษฎรทุกคนที่มีความใฝ่ฝันร่วมกันหากมองชีวิตของผมผ่านการพัฒนาประเทศ ความเจ็บปวดของเราคนไทยก็คงไม่ต่างกันพ่อกับแม่ของผมเกิดในยุคที่ญี่ปุ่นเพิ่งแพ้สงคราม ผู้คนปากกัดตีนถีบ ไม่มีใครอยากใช้สินค้าญี่ปุ่น
          
ตัวผมเองเกิดในยุคที่เกาหลีใต้ยังอยู่ในระดับพอๆ กับประเทศไทย เป็นประเทศเล็กที่ดูมีความพยายาม แต่ก็ยังไปไม่ถึงไหน สินค้าเกาหลีเป็นของราคาถูก เพลงเกาหลีไม่มีใครฟัง และไม่เคยได้ยินใครบอกว่าอยากไปเที่ยวเกาหลีคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ของเราเห็นประจักษ์แล้วว่า ญี่ปุ่นฟื้นตัวจากสงครามและกลายมาเป็นประเทศชั้นนำได้อีกครั้ง
          
ส่วนคนรุ่นผม ก็ต้องปวดใจที่เห็นประเทศที่ออกสตาร์ทพร้อมๆ กับเรา อย่างเกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ และมาเลเซีย ค่อยๆ ผลัดกันแซงหน้าประเทศไทยไปทีละประเทศในขณะที่ลูกของผมต้องมาเจอข่าวว่า เวียดนามกำลังจะแซงไทยไปในอีกไม่นานนี้ไม่ว่าปีนี้ท่านจะอายุเท่าไหร่ ผมมั่นใจครับว่าท่านได้ยินประโยคที่ว่า “ไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา” มาตั้งแต่เกิดกันทุกท่านแต่นี่ไม่ควรเป็นที่ของประเทศไทยประเทศไทยควรไปอยู่ในโลกที่หนึ่ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทวิเคราะห์อัฏฐกนิบาต, นวกนิบาต, เอกาทสกนิบาต, ทวาทสกนิบาต, โสฬสกนิบาต, วีสตินิบาต, ติงสนิบาต, จัตตาฬีสนิบาต, และมหานิบาตในพระไตรปิฎก เล่มที่ 26 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 18 ขุททกนิกาย เถรีคาถา

  บทวิเคราะห์อัฏฐกนิบาต, นวกนิบาต, เอกาทสกนิบาต, ทวาทสกนิบาต, โสฬสกนิบาต, วีสตินิบาต, ติงสนิบาต, จัตตาฬีสนิบาต, และมหานิบาตในพระไตรปิฎก เล่ม...