เกริ่นนำ
เมื่อได้ฟังมิวสิกวิดีโอ (Music video) ประเทศกูมีครั้งแรก ผมคิดในใจว่าเพลงนี้นี่แหละ ที่กำลังพูดและทำในสิ่งที่หลายคนอึดอัดและอยากทำแต่ไม่มีโอกาสหรือความกล้าพอที่จะทำ โดยเฉพาะเนื้อหาของเพลงที่ระบุถึงปัญหาร่วมสมัยทางการเมืองของไทยเอาไว้ ผ่านชั้นเชิงการเสียดสีและประชดประชัน เพลงนี้จึงมีลักษณะของการเป็นวาล์วระบายปะทุทางการเมือง ขณะเดียวกันมันยังช่วยเปิดพื้นที่ความกล้าหาญในการยืนยันสิทธิทางการเมือง ทว่า นี่เป็นผลจากการฟังครั้งแรกเท่านั้น
หลังจากได้ฟังรอบที่สองและสาม ผมกับพบว่าความคิดในครั้งแรกมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียทั้งหมด เอาเข้าจริงเพลงนี้มิได้มีความแรงโดยตัวของมันเอง ซ้ำยังเริ่มเรื่องด้วยเรื่อง “เสือดำ” ซึ่งค่อนข้างจะมีความชอบธรรมในการวิจารณ์ในระดับหนึ่ง แม้ว่าเนื้อหาต่อมาจะมุ่งเน้นการ “หงายกะลา” ให้ความจริงทางการเมืองปรากฏ ประเทศไทยอาจคุ้นเคยกับเพลงแร็ปว่าด้วยความรักและความขำขันมากกว่า ขณะที่แร็ปการเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ดำเนินมาโดยตลอดในสายธารของการก่อเกิด เนื้อหาที่กระแทกกระทั้น, การตัดเสียงจังหวะหรือ beat คือองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้แร็ปมีการพลังในการผลักคนให้ก้าวไปข้างหน้ามากกว่าการหยุดครุ่นคะนึงกับที่ การแร็ปโดยตัวมันเองจึงไม่ใช่แค่การสื่อสารผ่านเนื้อหาในตัวบทของเพลง แต่คือการผลักให้ตัวบทกลายเป็นเสียงประเภทหนึ่ง ที่ทำงานร่วมกับเครื่องดนตรีกำหนดจังหวะอีกหลายชนิด เพลงแร็ปจึงเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในยามที่เรานึกถึงเพลงในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการนิพนธ์เรื่องราวผ่านเสียงหรือ Sound ethnography ดังนั้น การพิจารณา “ประเทศกูมี” ผ่านการวิเคราะห์ตัวบทเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอและขัดต่อการแร็ปไปสักนิด และเราอาจไม่เข้าใจเลยก็ได้ว่าทำไมการร้องเพลงการเมืองยามนี้ต้องเป็นแร็ปและต้องเป็นแร็ปที่ทำผ่านมิวสิกวิดิโอ เพื่อให้ผู้ชมฟังผ่านโลกออนไลน์
การฟังครั้งที่สี่ของผมเกิดขึ้นในตลาดสดแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ แม่ค้าขายผักลวกกับสารพัดน้ำพริก จำพวก น้ำพริกฮ้า, น้ำพริกหนุ่ม, น้ำพริกข่า, และน้ำพริกน้ำปู๋ เธอกับเพื่อนร่วมแผงวางลำโพงเล็กๆ ตัวหนึ่งติดกับกะละมังน้ำพริก แล้วเปิดประเทศกูจากมือถือผ่านบูลทูธ เสียงแร็ปดังลั่นไปครึ่งตลาด เธอสองคนขายน้ำพริกไปด้วยโยกตัวไปด้วย ครั้นถามว่าทำไมจึงเปิด พวกเธอก็ตอบว่า เปิดให้คนในตลาดฟัง จากนั้นไม่นาน แผงขายไส้อั่วกับสารพัดของย่างก็เปิดประเทศกูมีตาม เช้าวันนั้น ประเทศกูมี ไม่ได้ดังขึ้นหรือเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันแต่ในโลกออนไลน์ หรือจำกัดวงเฉพาะกลุ่มเพียงอย่างเดียว ทว่า มันเป็นการสื่อสารที่เชื่อมโยงกันระหว่างโลกออนไลน์กับออฟไลน์ โลกในพื้นที่ซึ่งมองไม่เห็นกับโลกทางกายภาพล้วนเชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะในประเด็นสำนึกทางการเมืองและวัฒนธรรม
กลับถึงบ้านผมจึงย้อนกลับไปฟังประเทศกูมีซ้ำอีกหลายรอบ เพื่อนึกถึงสิ่งที่อาจตกหล่นไปจากการคิดในครั้งเบื้องต้น ครั้งนี้ผมได้หยิบประเด็นทางมานุษยวิทยาติดเพิ่มมาด้วยเพื่อตอบคำถามที่ว่าทำไมประเทศกูมีจึงกลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ประเด็นดังกล่าวสามารถแบ่งได้ดังต่อไปนี้
เทคโนโลยี, เสียง และปริมณฑลสาธารณะแห่งชาติ
งานศึกษาด้านเทคโนโลยีทางสังคมศาสตร์ซึ่งผูกโยงกับประเด็นการสร้างพื้นที่สาธารณะจำนวนไม่น้อยให้ความสำคัญกับบทบาทของ “สื่อและเทคโนโลยี” ซึ่งถูกผลิตขึ้นในฐานะการช่วยสร้างปริมณฑลสาธารณะแห่งชาติ (National public sphere) ตลอดจนระบอบแห่งความเป็นพลเมือง (Regimes of citizenship) ขึ้นมา งานศึกษาอันเป็นหมุดหมายและเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป คือ ชุมชนจินตนากรรม (Imagined communities) ของ แอนเดอร์สัน (Anderson 1983) งานชิ้นนี้มุ่งเน้นไปที่สื่อสิ่งพิมพ์ (Print media) และเทคโนโลยีการพิมพ์ซึ่งมุ่งเน้นการใช้ดวงตารับรู้เอาชุดจินตนากรรมต่างๆ เข้ามาในความคิด โดยมิได้พิจารณารูปแบบของสื่อและเทคโนโลยีประเภทอื่น นักวิชาการซึ่งได้รับอิทธิพลในความคิดเช่นนี้อย่าง มร์าเซก (Mrázek 2002) และ ฮาดโลว์ (Hadlow 2004) ได้เป็นผู้ริเริ่มบุกเบิกงานศึกษาอย่างจริงจังในภายหลัง โดยเฉพาะการให้ความสำคัญกับสื่อในประเภทของเสียงและบทบาทของสถานีวิทยุหรือคลื่นความถี่ต่างๆ กับการสร้างจินตนาการแห่งชาติ
ทำไมเสียงและเทคโนโลยีเกี่ยวกับเสียงจึงสำคัญต่อการสร้างชุมชนชาติ? หนังสือเรื่อง Radio fields: Anthropology and Wireless Sound in the 21st Century (2012) อธิบายไว้อย่างน่าสนใจว่า วิทยุและการสื่อสารผ่านคลื่นวิทยุนั้น เป็นสื่อกลางอิเล็กทรอนิกส์ที่กว้างไกลและแพร่หลายที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่ไม่แพง ทั้งยังตัดข้ามผ่านข้อจำกัดในแง่ของสถานที่, ความอัตคัดขัดสน, และการเมืองซึ่งจำกัดผ่านเทคโนโลยีด้านสื่ออื่นที่ต้องใช้พลังงานไฟฟ้า โดยเฉพาะสื่อทางด้านภาพอย่างโทรทัศน์, ภาพยนตร์, และการรับชมทางอินเตอร์เน็ต การกระจายเสียงวิทยุนั้น สามารถทำได้ผ่านการส่งสัญญาณจากสถานที่หนึ่งสู่เครื่องรับในอีกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นในรถยนต์, ในห้องเรียน , และสถานที่อื่นทั่วไป รวมไปถึงมือถือทั้งในรูปแบบธรรมดาและสมาร์ทโฟน หนังสือเล่มนี้ เปิดประเด็นซึ่งออกจะขัดกับความเข้าใจส่วนใหญ่ของคนจำนวนมากซึ่งเชื่อว่าบทบาทของวิทยุนั้นเริ่มน้อยลง ทว่า รายละเอียดการศึกษากลับค้นพบว่าวิทยุมีบทบาทสูงมากกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองของชนพื้นถิ่นและชนส่วนน้อยที่ต้องการสร้างตัวตนของตนเองไปพร้อมกับการต่อต้านอำนาจ
สิ่งชวนคิดจากหนังสือเล่มนี้คือ การให้ความสำคัญกับการกระจายเสียงในฐานะปฏิบัติการทางอุดมการณ์ของมวลชน เทคนิคการกระจายเสียงได้กลายเป็นสิ่งที่แปรผันรูปแบบของเทคโนโลยีและสัมพันธ์กับการทำงานทางอุดมการณ์ในพื้นที่สาธารณะเสมอ ในช่วงทศวรรษที่ 1920 โดยประมาณนับเป็นช่วงเวลาแห่งการ “ตื่นวิทยุ” กันเป็นอย่างกว้างขวาง และในปี 1926 การกระจายเสียงวิทยุได้กลายเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของชีวิตสาธารณะในยุโรปและอเมริกา (p.5) การทำงานของวอลเตอร์ เบนยามิน (Walter Benjamin) ในฐานะผู้ผลิตและกระจายเสียงให้กับวิทยุในแฟรงค์เฟิร์ตและเบอร์ลิน ช่วงปลายทศวรรษ 1920 ถึง ต้นทศวรรษ 1930 ถือเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีถึงบทบาทของการกระจายเสียงในปริมณฑลสาธารณะซึ่งเขามีความเชื่อว่า เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝนการพินิจตัดสินเชิงวิพากษ์ (the training of critical judgment) (Benjamin 1999, 585)
อย่างไรก็ตาม การกระจายเสียงสู่สาธารณะมิได้เป็นปฏิบัติการเชิงบวกเพียงอย่างเดียว หากยังเป็นเสมือนการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับรัฐอีกด้วย ตัวอย่างที่ชัดเจนเห็นจะเป็นในสมัยนาซี วิทยุเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ทั้งยังได้รับการอุดหนุนช่วยเหลือจากรัฐเพื่อให้ประชาชนมีไว้ในครอบครอง ซึ่งเรียกในภาษาเยอรมันว่า Volksempfanger หรือ เครื่องรับสารของประชา (the people’s receivers) ในระหว่างปี 1933 ถึง 1939 มีรายงานว่ามีเครื่องรับสารนี้ถูกผลิตมากกว่าเจ็ดล้านเครื่อง ทั้งยังประทับตราด้วยเครื่องหมายสวัสติกะและนกอินทรี (Aylett 2011)
การกระจายเสียงและการพัฒนาด้านเทคโนโลยี จึงมิได้สะท้อนความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว ทว่า เป็นสิ่งซึ่งทำให้เกิดการฝังตัวทางอุดมการณ์ผ่านผัสสะด้านการได้ยิน เสียงเป็นยิ่งกว่าการสื่อสารหากเป็นการขัดเกลาและบ่มเพาะสร้างกรงขังทางจินตนาการว่าด้วยชุมชน, ชาติ, ความรู้สึกเป็นพวกพ้อง, และการสร้างความเป็นอื่นให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติ
สื่อใหม่อันดาษดื่น
การกระจายเสียงมิได้เกิดขึ้นแต่เพียงวิทยุเท่านั้น การแปรผ่านทางเทคโนโลยีได้ก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ซึ่งสามารถกระจายเสียงโดยมิต้องพึ่งพาคลื่นวิทยุเพียงอย่างเดียว ในโลกดิจิทัล เสียงได้ถูกส่งออกมาผ่านสัญญาณแบบไร้สายในลักษณะของช่องวิทยุดิจิทัล, ช่องยูทิว์บ, และช่องทางอื่นบนโลกออนไลน์ เครื่องรับสาร (หากเราจะใช้คำนี้) ก็มีความหลากหลายของราคา ทำให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่างมือถือได้กลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีในการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อกันติดต่อกันเป็นชุมชนอย่างมิอาจปฏิเสธได้ เฟย์ กินส์บูรก์ (Faye Ginsburg) นักมานุษยวิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อเรียกลักษณะการเช่นนี้ว่าการชุมนุมในเชิงเทคโนโลยี (technological assemblages) (Ginsburg 2012 ,273) เนื่องจากมนุษย์ได้ติดต่อและสร้างชุมชนขึ้นมาผ่านอุปกรณ์การสื่อสาร ทั้งยังเป็นรับรู้ความเป็นจริงของโลกผ่านเทคโนโลยี
สื่อใหม่หรือ new media คือสัญลักษณ์ของการใช้สื่อในโลกดิจิทัล ทว่า ความใหม่ของมันมิได้มีลักษณะเฉพาะที่จำกัดเพียงบางกลุ่มหรือบางชนชั้นอีกต่อไป เทคโนโลยีที่มุ่งเน้นสื่อประเภทนี้ได้กลายเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่อย่างดาษดื่นและกลายเป็นความสัมพันธ์ชุดใหม่ในสังคมของเรา นอกจากนี้ เทคโนโลยีเหล่านี้ยังได้กลายเป็น เครือข่ายผู้กระทำการ (actor network) (Latour 2005) ซึ่งส่งผ่านอุดมการณ์และสร้างชุมชนจินตนากรรมทางการเมืองให้ขยายกว้างไกลออกไปผ่านองคาพยพอันไม่ตายตัวและความหลากหลายของเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็น มือถือ,คอมพิวเตอร์, แท็บเล็ต, หน้าจอทีวีที่บ้าน, รวมไปถึงในรถยนต์ สิ่งสำคัญที่สุดคือ เทคโนโลยีเหล่านี้เป็นเสมือนดั่งการสื่อสารซึ่งซ่อนระดับความหลากหลายไว้อย่างมากมาย มิได้มีสถานะของเครื่องรับสารเพียงอย่างเดียว
เทคโนโลยีในฐานะเครือข่ายผู้กระทำการนี้อยู่ในสถานะไหนในปริมณฑลสาธารณะแห่งชาติ โดยเฉพาะในบริบทของรัฐไทยหลังจากการรัฐประหารครั้งล่าสุด?
แน่นอน มันคือเวทีของการประลองอำนาจและฉวยใช้เพื่อสร้างจินตนากรรมชาติ การผุดขึ้นมาของบทเพลงและมิวสิกวีดิโอจากภาครัฐเกิดขึ้นมาอย่างมากมาย ทว่า นั่นก็มีลักษณะที่เป็นโฆษณาชวนเชื่อเพื่อความมั่นคงของรัฐ และมีลักษณะของการมุ่งเน้นสื่อสารทางเดียว ไม่ว่าจะเป็นคืนความสุขให้ประเทศไทยและเพลงอื่นซึ่งถูกแต่งขึ้น ในแง่นี้ ยิ่งไม่ต่างจากการกระจายเสียงของรัฐเผด็จการซึ่งเน้นการกระจายอำนาจให้แผ่คลุมอย่างทั่วถึง รัฐเผด็จการในลักษณะนี้จึงใช้เทคโนโลยีเป็นเสมือนสื่อกลางในการถ่ายทอดความคิดและคำสั่ง แม้ว่าจะอยู่ในโลกดิจิทัลก็ตาม รวมไปถึงลักษณะการสอดส่องแบบดิจิทัล (digital surveillance) ซึ่งมักตรวจสอบควบคุมการใช้และเข้าถึงข้อมูลในโลกออนไลน์แบบทางเดียว
ตรงข้ามกับประเทศกูมีหรือเพลงอื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน เพลงเหล่านี้ หากไม่พิจารณาที่เนื้อหา เรากลับพบว่าบทบาทของเทคโนโลยีดิจิทัลนี้มีส่วนสำคัญในการปลุกชีพ (animate) ให้กับการเมืองและอารมณ์ความรู้สึกผ่านประสบการณ์ของผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในระบอบเผด็จการ ทั้งยังมีส่วนในการเชื่อมต่อให้การเมืองและความรู้สึกของผู้คนเคลื่อนผ่านไหลเวียนไปมาระหว่างโลกออนไลน์และออฟไลน์ ชีพที่ถูกปลุกขึ้นมานี้เกิดขึ้นบนพื้นฐานของสภาวะที่เรียกว่า อวัตถุสภาพทางดิจิทัล (digital im-materiality) ในรูปของไฟล์ข้อมูลภาพและเสียงซึ่งถูกบีบอัดและสามารถส่งต่อได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว เทคโนโลยีจึงกลายเป็นวัตถุสภาพที่มีความลื่นไหล เนื่องจากเป็นสิ่งที่มีอวัตถุสภาพทางดิจิทัลไหลเวียนอยู่ เป็นผลให้เกิดการนำไปสู่การดัดแปลง, ตัดต่อ, และทำซ้ำไปได้อย่างต่อเนื่อง
ภาวการณ์มีชีวิต (animation) ของอวัตถุสภาพทางดิจิทัลนี่เอง คือสิ่งที่ยืนยันของการต่อสู้ทางการเมืองในสังคมซึ่งวัตถุสภาพอันเป็นสัญลักษณ์สำคัญทางการเมืองถูกควบคุมและมิอาจเข้าถึงได้ ตลอดจนการชุมนุมทางการเมืองในพื้นที่กายภาพกลายเป็นสิ่งต้องห้ามและนำมาซึ่งอันตรายต่อความมั่นคงในชีวิต การชุมนุมในเชิงเทคโนโลยีจึงกลายเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างพลังความเปลี่ยนแปลงและเปิดที่ทางความเป็นไปได้ในโลกทางกายภาพ ในแง่นี้ คุณลักษณะของอวัตถุสภาพทางดิจิทัลของประเทศกูมีจึงมีความสำคัญในการเริ่มต้นเขย่าบางสิ่งในหัวของเรา จนต้องส่งเปิดดูซ้ำไปซ้ำมา, เก็บมานั่งคิด และส่งต่อ กระทั่งเกิดความแพร่หลายอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาไม่กี่วันหลังจากมีการเผยแพร่
ในทางการเมือง นี่คือการตอบโต้กลับของวัตถุสิ่งของ (politics of the object strike back) จากที่เคยถูกเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ไร้ชีวิต ทว่า โดยตัวมันเองกลับสามารถเปล่งเสียงและมีพลังในการขับเคลื่อนการเมืองจนมิอาจมองข้ามไปได้ เทคโนโลยีดิจิทัลจึงเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญและกลายเป็นปริมณฑลสาธารณะซึ่งมีส่วนในการสร้างจินตนากรรมชาติที่แตกต่างออกไปได้
ตัวบทปลายเปิดและวิกฤตการณ์ของมัน
อวัตถุสภาพทางดิจิทัลมีลักษณะคล้ายเป็นตัวบทปลายเปิดแบบหนึ่ง ซึ่งสามาถกลายสภาพเป็นสิ่งอื่นที่มิใช่ตนเองได้ การกระจายไฟล์ภาพและเสียงบนโลกออนไลน์คือส่วนหนึ่งของการทำให้เกิดการทำซ้ำ, ดัดแปลง จนเกิดเป็นไฟล์หรือตัวตน (entity) ใหม่ สภาวการณ์ลักษณะนี้นับว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างพบเห็นได้ทั่วไป ฮิโตะ สเตอยาร์ล (Hito Steyarl) ให้ความเห็นว่าลักษณาการนี้ ด้านหนึ่งในแง่ของคุณภาพไฟล์จะถูกทำให้แย่ลงไปเรื่อยๆ ทั้งยังมีปัญหาแน่นอนในประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวและการละเมิดลิขสิทธิ์ ทว่า การนำไฟล์เหล่านี้กลับมาใช้และหมุนเวียนอยู่ในโลกออนไลน์เป็นส่วนหนึ่งของการอธิบายภาพทางการเมืองของสังคมนั้นเองว่าเป็นเช่นไร โดยเฉพาะการเมืองในแถบโลกหลังสังคมนิยมหรือในประเทศโลกที่สามซึ่งมีความขับเคี่ยวทางการเมืองสูงภายใต้โลกแบบเสรีนิยมใหม่ บทบาทของของการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการผลิตสื่อจึงมีความสำคัญไม่ใช่เพียงแค่การส่งสารเท่านั้น ทว่ายังเป็นการสร้างคลังจดหมายเหตุออนไลน์ไปพร้อมกัน (ดังจะเห็นได้จากการพื้นที่ในหน่วยความทรงของเทคโนโลยีแต่ละชนิดซึ่งมีการแยกประเภทของไฟล์และการใช้งาน) สิ่งที่สเตอยาร์ลให้ความสนใจในประเด็นนี้ก็คือ ปฏิบัติทั้งหมดนี้นำไปสู่เป้าหมายทางการเมืองอย่างไร เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างเรากับโลกถูกยึดโยงและฝังตรึงผ่านการมองเห็น (visual bond) (Steyarl 2009)
ประเทศกูมี มีลักษณะที่ชวนคิดหากพิจารณาผ่านข้อสังเกตของสเตอยาร์ล ทว่าในแง่ของกระบวนการถ่ายทำ ประเทศกูมีกลับเพิ่มความสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เนื่องจากมีมิวสิควิดิโอคือการทำงานร่วมกันระหว่างภาพกับเสียง ในขณะที่หูของเรากำลังรับรู้จังหวะของเพลงและเนื้อหาของเพลง สายตาของเรากลับชมภาพที่ปรากฏออกมาอย่างแตกต่างออกไป
การฝังตรึงทางการมองเห็นของผู้ชมในประเทศกูมีเริ่มต้นจากการจำลองเหตุการณ์ความรุนแรงและโหดร้ายทารุณซึ่งเป็นการกระทำโดยรัฐที่มีต่อนักศึกษา ในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ภาพเคลื่อนไหวนี้มีที่มาจากภาพนิ่งขาวดำอันเป็นประจักษ์พยานที่ยังหลงเหลืออยู่ในปัจจุบัน หน้าที่ของภาพที่จำลองใหม่คือการเป็นฉากหลังเพื่อให้นักร้องแต่ละคนเดินเวียนขึ้นมาเพื่อสลับกันแร็ป วนรอบต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งเป็นจุดที่มีศพถูกแขวนคอและถูกกระหน่ำตีด้วยเก้าอี้ ทว่าสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าคือรอยยิ้มของความสะใจและอากัปกริยาอันยุยงของคนไทยโดยรอบ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก, ผู้ใหญ่, หญิง, และชาย ภาพเหล่านี้ปรากฏขึ้นเป็นฉากหลังหลักของนักร้องทุกคน ประกอบกับการเคลื่อนย้ายมุมภาพในลักษณะที่ขดเป็นวงเวียนนั้น ส่งผลให้ภาษาภาพที่ปรากฏมีลักษณะที่แม้ไม่ซ้ำรอยทางประวัติศาสตร์ แต่ก็เวียนมาสู่จุดเดิม และไม่มีทางที่จะหลุดออกไปจากวงโคจรนี้ได้
นักวิจารณ์ทางดนตรีบางท่านอาจไม่เห็นด้วยกับการใช้ภาพความรุนแรงแรงทางประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่คนละบริบทกับเนื้อหาของเพลงที่สะท้อนถึงปัญหาทางการเมืองที่แตกต่างออกไป ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐก็เล็งเห็นถึงความเปราะบางทางความมั่นคงและอันตรายของการใช้ภาพดังกล่าว ทว่า โดยสาระแล้ว กระบวนการผลิตภาพเคลื่อนไหวดังกล่าว คือส่วนหนึ่งของการพาสายตาของผู้ชมทำงานร่วมกับหูซึ่งกำลังฟังเพลงอย่างแยบยล ฉากหลังที่แม้จะมีที่มาจากภาพนิ่งที่มีบริบทเฉพาะอยู่ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม ทว่า เมื่อเกิดเป็นภาพเคลื่อนไหว ความหมายที่ปรากฏกลับหลุดออกจากเงื่อนไขเฉพาะทางประวัติศาสตร์สู่ประสบการณ์และสำนึกร่วมที่ผู้คนจำนวนมากมีร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นสภาวะของความอัดอั้นที่ไร้เสรีภาพทางการแสดงออกทางความคิด ตลอดจนความกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอำนาจ อำนาจดังกล่าวมิได้ปรากฏร่างผ่านน้ำหนักของเก้าอี้ที่ฟากลงไปยังร่างกายของผู้บริสุทธิ์และมีเจตจำนงค์ในเสรีภาพ ทว่า มันเผยโฉมในลักษณะที่มิอาจบรรยายได้ (sublime) ผ่านรอยยิ้มสยามอันปีติดีใจที่เห็นความเป็นอื่นกำลังถูกประหัตประหาร ความเป็นอื่นในแง่นี้ คือ สิ่งที่รัฐเผด็จการพยายามปกปิดผลของการกระทำที่มิอาจตรวจสอบได้ของตัวรัฐเอง
การกระจายสัญญาณด้านภาพและเสียงของประเทศกูมีจึงเป็นเสมือนการพยายามผลักหรือขยายขีดจำกัดในการเล่าเรื่องทางการเมืองที่มิอาจเล่าได้ในปริมณฑลสาธารณะ ผ่านการแปลงวัตถุสภาพหรือประจักษ์พยานที่มีอยู่ในสื่อและปรากฏการณ์ทางสังคม เพื่อให้เป็นอวัตถุสภาพทางดิจิทัลที่พร้อมเคลื่อนไหวผ่านสัญญาณไร้สายและเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีขั้นพื้นที่ทุกคนมีอยู่ในชีวิตประจำวัน
ในแง่นี้ ปรากฏการณ์ประเทศกูมีในไทยจึงมีคุณูปการทางแนวคิดไม่น้อย เพราะการเคลื่อนไหวมิได้มีลักษณะของการฝังตรึงทางการมองเห็น (visual bond) อย่างที่สเตอยาร์ล ตั้งคำถามเอาไว้เมื่อปี 2009 ทว่า มันได้ขยายพรมแดนไปสู่การฝังตรึงทางการมองเห็นและได้ยิน (audio-visual bond) ซึ่งเปิดกว้างและสอดรับกับการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี
สถานะตัวบทปลายเปิดของอวัตถุสภาพทางดิจิทัล ด้านหนึ่งคือการเร่งเร้าให้เกิดการแต่งเติมและกระจายตัวอย่างรวดเร็วของประเภทไฟล์นั้น ดังจะเห็นได้จาก ผลิตตัวบทอื่นๆ โดยมีที่มาจากประเทศกูมี ทั้งในลักษณะต่อยอดเพื่อการวิพากษ์วิจารณ์อำนาจ บางไฟลได้แยกเสียงออกไปเพื่อใช้กับภาพประกอบแบบอื่น บางไฟล์ปรับจังหวะให้ช้าลงหรือเพิ่มเสียงบางเสียงบางจังหวะเข้าไปเพิ่ม หลายไฟล์ได้เกิดการแต่งเนื้อหาขึ้นมาใหม่โดยอาศัยจังหวะและเสียงแบบเดิม ขณะที่มีบ้างซึ่งอาศัยแรงบันดาลใจจากประเทศกูมีแต่งเนื้อหาและสร้างจังหวะขึ้นมาใหม่ ทว่า ยังคงกลิ่นไอการวิพากษ์วิจารณ์ปัญหาสังคมและการเมืองเอาไว้ ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิของการไหลเวียนของอวัตถุสภาพทางดิจิทัลที่เชื่อมโยงสู่ปัญหาในชีวิตทางสังคม ปริมณฑลสาธารณะที่เกิดขึ้นมิได้มีเพียงหนึ่งเดียวและมิอาจเรียกได้ว่าเป็นปริมณฑลสาธารณะแห่งชาติได้อีกต่อไป หากมีลักษณะของการแตกตัวและแผ่กระจายเพิ่มขึ้นตามการทำงานของเทคโนโลยีในฐานะเครือข่ายผู้กระทำการ จินตนากรรมชาติจึงมิอาจเกิดขึ้นจากฝั่งรัฐเพียงอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นจากเครือข่ายผู้กระทำการเหล่านี้ แม้ประเทศกูมีจะไม่ได้สร้างฉันทามติว่าด้วยจินตนากรรมแห่งชาติ แต่ก็เป็นส่วนสำคัญในการทุบรื้อจินตนาการชาติที่ไร้ประชาชนให้มีพื้นที่ว่างมากขึ้นสำคัญคำถามและจินตนาการใหม่
ทว่า ในอีกแง่มุมนึง วิกฤตการณ์ตัวบทปลายเปิดนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอท่ามกลางความเชื่ออย่างคลาดเคลื่อนในเรื่องเสรีภาพในการดัดแปลงหรือผลิตใหม่ทางอวัตถุสภาพทางดิจิทัลโดยปราศจากเงื่อนไข ไฟล์จำนวนมากที่ไหลเวียนอยู่ในโลกไร้สายได้เกิดขึ้นจากการดัดแปลงประเทศกูมี โดยแอบอิงอิทธิพลทางสังคมและความแพร่หลายไปสู่เนื้อหาอื่น กระทั่งการใช้เนื้อหาเดิมแต่เปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอโดยปราศจากเงื่อนไขและเป้าหมายทางการเมือง กิจกรรมเหล่านี้ก็ล้วนมีส่วนทำให้การปลุกชีพทางการเมืองและอารมณ์ความรู้สึกจากประสบการณ์ร่วมทางการเมืองดำเนินไปสู่ความว่างเปล่าและกลายเป็นกิจกรรมบนโลกเครือข่ายทางสังคมเท่านั้น การทำซ้ำ, ดัดแปลง, และแต่งเติมอวัตถุสภาพทางดิจิทัลให้มีพลังทางการเมืองจำเป็นต้องมีเงื่อนไขและวาระที่ต้องการจะผลักข้อจำกัดบางอย่างในสังคม กรณีประเทศกูมี คือ เสรีภาพในการแสดงออกทางความคิดและการกระทำภาพใต้รัฐเผด็จการ
หากปราศจากการเงื่อนไขและวาระแล้ว เทคโนโลยีดิจิทัลก็คือเครื่องมือประเภทหนึ่งในการทำลายความเป็นการเมืองประเภทหนึ่งหรือกล่าวอีกนัยคือ เป็นเครื่องมือทางการเมืองซึ่งทำลายการเมืองของความเห็นต่างให้สยบราบคาบภายใต้ความเชื่อผิดๆ ว่าด้วยเสรีภาพในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร เนื่องจาก อวัตถุสภาพทางดิจิทัลมิได้เป็นตัวบทที่จะมีพลังในลักษณะของตัวบทที่ล่องลอย (floating signifier) แต่เป็นตัวบทซึ่งไหลเวียนผ่านเงื่อนไขทางการเมืองมากมาย การไม่ตระหนักถึงเงื่อนไขเหล่านี้ปรากฏให้เห็นอยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการทำคลิปและดัดแปลงเพื่อล้อเลียนผู้นำทางการเมือง ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความชอบธรรมให้อำนาจดำรงอยู่อย่างไม่ทันรู้ตัว
ส่งท้าย
เจตนาหนึ่งเดียวของผมในการเขียนบทความขนาดสั้นนี้คือ เปิดพื้นที่ความเป็นไปได้รูปแบบอื่นต่อการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวทางการเมืองในโลกดิจิทัลซึ่งกรณีนี้คือมิวสิกวิดิโอประเทศกูมี อย่างที่บอกไว้ในตอนต้นแล้วว่า ผมตั้งใจที่จะไม่วิเคราะห์ตัวบทหรือเนื้อหาของเพลง ทว่า มองมันในฐานะส่วนหนึ่งที่ถูกผลิตขึ้น, ถูกถ่ายโอน, และไหลเวียนไปมาด้วยดิจิทัลเทคโนโลยีเป็นสำคัญ สถานะของประเทศกูมีจึงมีมากกว่าเป็นบทเพลงทางการเมือง แต่มันคือการปลุกชีพทางการเมืองให้ขึ้นมาด้วยพลังของเทคโนโลยีเป็นสำคัญ
เสรีภาพในการเคลื่อนไหวทางการเมืองผ่านดิจิทัลเทคโนโลยีด้านหนึ่งคือการเปิดพื้นที่ใหม่ให้กับองค์ประกอบใหม่ทางการเมืองซึ่งนั่นก็คือ อวัตถุสภาพทางดิจิทัล สิ่งที่ไร้รูปทรงหรือองคาพยพที่แน่นอนนี้กลับเป็นพื้นฐานสำคัญในการส่งสารและแปลสารเพื่อสร้างจินตนาการทางการเมืองขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการกระจายเสียง, ภาพ, หรือทั้งเสียงและภาพ ทั้งหมดนี้ล้วนมีส่วนทำให้ทั้งหูและตาของเรารับรู้ความจริงของโลกในรูปแบบที่เปลี่ยนไป
แน่นอน ในขณะที่อีกด้าน การเมืองในโลกดิจิทัลเทคโนโลยีก็ไม่ต่างไปจากการเมืองในโลกทางสังคมบนพื้นที่กายภาพทั่วไป เงื่อนไขของพลังทางการเมืองมิใช่อยู่ที่การไหลเวียนหรือสิทธิในการส่งต่อ, เข้าถึง, และดัดแปลง ทว่า เกิดขึ้นบนพื้นฐานของจินตนาการที่มีต่อเสรีภาพ ทั้งในความหมายของเสรีภาพจากพันธนาการ (freedom from) และเสรีภาพสู่จินตนาการ (freedom to)
https://anthropologyyyyy.xyz/stories/thought/2018/มอง-และ-ฟัง-ประเทศกูมี-ผ่าน-มานุษยวิทยา/?fbclid=IwAR0h9xAA9cRli2XsxasLIiKmKlbOq29GW_RmHgQc5CPR8iLyQkJvu-FdUbg
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น