วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2562
"โอ๋-ตั๊น"นำกมธ.ดูภูมิ"ปัญญา โตกทอง"ชุมชนต้นแบบเมืองแม่กลอง
เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา นางสาวรังสิมา รอดรัศมี ประธานคณะกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม ส.ส จังหวัดสมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นางสาวจิตภัสร์ (ตั๊น) กฤดากร โฆษกคณะกรรมาธิการการสวัสดิการสังคม ส.ส แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ และรองเลขาธิการพรรคฯ เดินทางไปศึกษาดูงาน และประชุมร่วมกับประชาชนกลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์และสวัสดิการชุมชน ตำบลแพรกหนามแดง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ที่มีนายปัญญา โตกทอง ปราชญ์ท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงด้านการทำวิจัยท้องถิ่นแก้ปัญหากลุ่มชนน้ำจืดน้ำเค็ม เป็นผู้นำ ซึ่งเป็นชุมชนต้นแบบในการจัดสวัสดิการชุมชน ที่ประชาชนออกแบบและจัดสวัสดิการให้แก่คนในชุมชนตั้งแต่เกิดจนตาย โดยคณะกรรมาธิการได้รับฟังปัญหาที่อยู่อาศัยด้วย
จากนั้นคณะกรรมาธิการฯได้เดินทางไปศึกษาดูงานและประชุมร่วมกับผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลนางตะเคียน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อรับฟังปัญหา และแนวทางการจัดสวัสดิการระดับตำบล เพื่อนำข้อคิดเห็นและปัญหาไปศึกษาแนวทางการจัดสวัสดิการสังคมในภาพรวมที่ดีมากยิ่งขึ้น
คณะกรรมาธิการสวัสดิการสังคม มีหน้าที่และอำนาจกระทำกิจการพิจารณาสอบหาข้อเท็จจริงหรือศึกษาเรื่องเล็กๆ ที่เกี่ยวกับการจัดสวัสดิการสังคมไม่น้อยกว่าสิทธิขั้นพื้นฐานการให้บริการด้านสวัสดิการสังคมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะผู้ยากไร้ในเมืองและชนบท และผู้ด้อยโอกาสในสังคม
จากอำนาจหน้าที่ดังกล่าวจะเห็นได้ว่าเรื่องสวัสดิการสังคมเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ และเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะการจัดสวัสดิการชุมชนที่มีระบบการบริหารจัดการชุมชนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสวัสดิการสังคมที่เหมาะสมในการดำรงชีวิตการเดินทางมาศึกษาดูงานในครั้งนี้
ในวัตถุประสงค์การศึกษาดูงานในพื้นที่จริง ที่มีระบบการจัดสวัสดิการชุมชนที่เข้มแข็งเป็นต้นแบบในการดำเนินงานด้านการจัดสวัสดิการสังคมในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงครามพร้อมทั้งรับฟังแนวทางในการจัดสวัสดิการสังคม ความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ รวมถึงอุปสรรคและปัญหาในการดำเนินงานโดยจะได้นำผลการศึกษาดูงานในครั้งต่อไปเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาศึกษา เพื่อหาแนวทางในการพัฒนาระบบการจัดสวัสดิการสังคมและการจัดสวัสดิการชุมชนให้มีประสิทธิภาพต่อไป
ชาวพุทธไทยในยุโรปตื่น! อบรมธรรมทูตคฤหัสถ์ ช่วย"แผ่-ป้อง"พุทธธรรม
ชาวพุทธไทยในยุโรปตื่นตัวช่วยเผยแผ่และปกป้องพระพุทธศาสนาเข้าอบรมธรรมทูตคฤหัสถ์ที่วัดไทยนอร์เวย์
เมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่าน พระราชปริยัติกวี อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ได้มอบหมายให้พระโสภณวชิราภรณ์ รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ ปฏิบัติหน้าที่แทนในการเปิดการอบรม “ธรรมทูตคฤหัสถ์วิถีพุทธในต่างประเทศ” ที่วัดไทยนอร์เวย์ เมืองออสโล ประเทศนอร์เวย์ ซึ่งเป็นโครงการที่จัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่างวิทยาลัยพระธรรมทูต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วัดไทยนอร์เวย์ สหภาพรพระธรรมทูตไทยในทวีปยุโรป (สธย) บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และสมาคมชาวพุทธไทยในนอร์เวย์
ทั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกในโลกที่มีการจัดการอบรมชาวพุทธคฤหัสถ์ ให้ทำหน้าที่เป็นธรรมทูตเพื่อปฏิบัติหน้าที่ช่วยพระธรรมทูตไทยในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศ โดยมีชาวพุทธจำนวนกว่า 328 คน ใน 11 ประเทศ คือ นอร์เวย์ ฟินแลนด์ เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส อังกฤษอเมริกา ออสเตรีย สวีเดนเยอรมันนี สวิสเซอร์แลนด์และไทย สนใจเข้าร่วมอย่างล้นหลาม
การอบรมครั้งนี้นอกจากจะเป็นการให้ความรู้ในเรื่องพระพุทธศาสนา การทำหน้าที่ธรรมทูตในรูปแบบคฤหัสถ์แล้ว ยังเป็นการยกย่องเชิดชูเกียรติและให้กำลังใจชาวพุทธที่ช่วยดูแลพระสงฆ์ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา อุปัฏฐากพระสงฆ์ที่เดินทางมาจากประเทศไทยเพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างแดน ซึ่งพระสงฆ์หรือพระธรรมทูตที่ออกเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่นั้นล้วนเป็นที่พึ่งทางใจของชาวไทยในแต่ละประเทศ ซึ่งในแต่ละประเทศที่พระสงฆ์ไปอยู่และสร้างวัดขึ้นในประเทศนั้นๆ ส่วนใหญ่จะมีชาวพุทธไทยอาศัยอยู่และก็อาราธนาพระสงฆ์มาจากประเทศไทย เพื่อให้พระสงฆ์ได้เป็นที่พึ่งทางใจในยามอยู่ห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน
พระโสภณวชิราภรณ์ กล่าวว่า “มหาเถรสมรคม (มส) ได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ดำเนินการจัดอบรมพระธรรมทูตสายต่างประเทศ มาตั้งแต่ พ.ศ. 2538 จนถึงปัจจุบัน ได้อบรมไปแล้ว 25 รุ่น มีพระธรรมทูตที่ผ่านการฝึกอบรมแล้ว ออกไปปฏิบัติหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งนับเป็นความสำเร็จในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในระดับหนึ่ง แต่การออกไปปฏิบัติศาสนกิจของพระธรรมทูตเหล่านั้น ล้วนแต่ได้รับการสนับสนุนจากเหล่าคฤหัสถ์ในประเทศนั้นๆ ทำให้พระสงฆ์สามารถอยู่อาศัยสร้างวัด นำพุทธศาสนิกชนในการศึกษา เรียนรู้และปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์ได้ เนื้องจากพระสงฆ์ไทยนั้น การเป็นอยู่ล้วนต้องได้รับการอุปัฏฐากจากคฤหัสถ์ทั้งสิ้น กล่าวคือมีชีวิตอยู่ได้ก็ด้วยคฤหัสถ์นั่นเอง”
พระโสภณวชิราภรณ์ กล่าวอีกว่า “การจัดบรมธรรมทูตคฤหัสถ์วิถีพุทธในต่างประเทศ ครั้งนี้ เบื้องต้นกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคฤหัสถ์ชาวไทยที่อาศัยอยู่ในทวีปยุโปทั้งชายและหญิงไว้ 200 คน โดยจัดฝึกอบรมระหว่างวันที่ 27-30 กันยายน 2562 ณ วัดไทยนอร์เวย์ เมืองออสโล ประเทศนอร์เวย์ แต่เมื่อประกาศรับสมัครออกไป ปรากฏว่าชาวพุทธไทยทั่วโลกต่างให้ความสนใจสมัครเข้ารับการอบรม กว่า 318 คน นอกจากเป็นชาวไทยแล้วยังมีชาวต่างชาติที่นับถือพระพุทศาสนาให้ความสนใจเข้าร่วมการอบรมในครั้งนี้ด้วยจำนวนมาก ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมนอกจากตัองการจะทำหน้าที่เป็นธรรมทูตคฤหัสถ์ ช่วยพระสงฆ์เผยแผ่พระพุทธศาสนาแล้ว เมื่อมีการแบ่งกลุ่มกันเพื่อระดมความคิดในการช่วยพระสงฆ์เผยแผ่แล้ว ชาวพุทธเหล่านั้นต่างก็มองเห็นภัยที่เกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาในประเทศไทยแล้วเกิดความเศร้าใจ ซึ่งแต่ละคนต่างก็ปฏิญาณตนว่า พร้อมจะช่วยทำนุบำรุงส่งเสริมและปกป้องพระพุทธศาสนาด้วยชีวิต และต่างก็กล่าวว่า พระพุทธศาสนาถือว่าเป็นศาสนาแห่งสันติภาพและนำความสงบสันติมาสู่มวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง จึงควรที่จะช่วยกันปกป้องพระพุทธศาสนาให้คงอยู่คู่โลกตลอดไป และถือเป็น นอร์เวย์โมเดล ที่จะจัดในรุ่นต่อๆ ไป โดยในปี 2563 วัดพุทธวิหาร อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ รับที่จะเป็นเจ้าภาพจัดในรุ่นที่ 2 “
ด้านพระวิมลศาสนวิเทศ เจ้าอาวาสวัดไทยนอร์เวย์ รองประธานสหภาพพระธรรมทูตไทยในสหภาพยุโรป กล่าวว่า “ถ้าจะกล่าวโดยสัจจริงแล้ว การเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศของพระสงฆ์ไทย จะไม่สามารถเผยแผ่ได้อย่างเต็มที่ ถ้าไม่มีคฤหัสถ์ให้ความช่วยเหลือ และที่สำคัญ ชาวพุทธไทยเมื่อเดินทางไปทำงานในต่างแดน แต่ละคนก็นำความเป็นพุทธและศาสนาพุทธมาเผยแผ่ด้วย และพระสงฆ์เองการที่จะไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในประเทศใดได้นั้น ก็ตัองมีชาวพุทธอาราธนาให้ไป จึงสามารถไปได้ เมื่อไปแล้ว การลงหลักปักฐาน การสร้างวัด ชีวิต ความเป็นอยู่ในแต่ละวันของพระสงฆ์ก็ล้วนได้รับการเกื้อหนุนอุปัฏฐาก อุปถัมภ์ ดูแลทุกอย่างจากคฤหัสถ์ทั้งสิ้น ในฐานะที่อาตมภาพเดินทางมาปฏิบัติศาสนกิจที่ต่างประเทศ ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันก็มองเห็นว่า พระพุทธศาสนาในต่างประเทศทุกวันนี้ มีความเจริญรุ่งเรืองได้ก็เพราะคฤหัสถ์ การจัดอบรมพระธรรมทูตทึ่ผ่านมาก็ได้แต่พระสงฆ์ แต่พระสงฆ์เองก็ทำหน้าที่เผยแผ่ได้อย่างจำกัด ถ้าจะเทียบกับคฤหัสถ์แล้วยังถือว่าประสบผลสำเร็จน้อยกว่า และที่สำคัญ คฤหัสถ์เหล่านี้แหละที่สามารถชักชวนชาวต่างชาติ ชาวท้องถิ่นในประเทศนั้นๆ ให้หันมานับถือและปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนาได้มากที่สุด”
“อาตมาขอยกย่องว่าคฤหัสถ์ชาวพุทธในต่างประเทศมีความสามารถจริงๆ ที่สามารถชักชวนชาวต่างชาติ ชาวทัองถิ่นที่นับถือศาสนาอื่นให้หันมานับถือพระพุทธศาสนาและถือว่าเป็นผู้มีความสามารถจริงๆ เมื่อนำชาวต่างชาติเข้ามาวัด เวลามีกิจกรรมต่างๆ ในวัดนั้นๆ หรือกิจกรรมที่จัดขึ้นล้วนแต่ใช้ภาษาไทยในการสื่อสารกันเป็นหลัก ชาวต่างชาติที่เข้ามาวัดตามที่คนไทยชักชวน เขาฟังภาษาไทยไม่ออกได้แต่นั่งมองและปฏิบัติตามคำบอกของผู้ชักชวนและก็อดทนนั่งฟัง ร่วมปฏิบัติได้เป็นวันๆ โดยไม่ปริปากบ่นเลย จะให้กราบก็กราบให้ไหว้ก็ไหว้ นอกจากนี้ชาวต่างชาติเหล่านั้นเมื่อเข้ามาวัดเป็นประจำก็ทำให้เกิดความซาบซึ้งในวิถีปฏิบัติของชาวพุทธ หันมานับถือพระพระพุทธศาสนา และเป็นกำลังสำคัญส่วนหนึ่งในการชักชวนญาติพี่น้องให้เข้ามาวัดด้วย ในช่วงแรกๆ ที่มาปฏิบัติหน้าที่พระธรรมทูต ชาวต่างชาติมักจะมองว่าเป็นศาสนาแปลกๆ และต่างก็มองว่าจะมาทำอะไรให้ประเทศเขาวุ่นวายหรือไม่ แต่เมื่อชาวพุทธไทยชักชวนเขาเข้ามาและฝึกปฏิบัติตามแล้ว แต่ละคนก็กลับความคิด กลับมามองและเข้าใจว่า พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่ไม่มีพิษภัยต่อวิถีชวิตเขาและสามารถเข้ากับชีวิตเขาได้ ดังจะเห็นว่า มีชาวต่างชาติสนใจเข้าร่วมการอบรมครั้งนี้จำนวนมาก การอบรมครั้งนี้ จึงถือเป็นครั้งสำคัญที่เราได้มีโอกาสยกย่องเชิดชูและให้กำลังใจแก่คฤหัสถ์ให้ทำหน้าที่ธรรมทูตคฤหัสถ์วิถีพุทธได้อย่างเต็มความภาคภูมิใจต่อไปและถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงามและสมกับที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะทำโครงการนี้ให้ได้และก็ขอขอบคุณวิทยาลัยพระธรรมทูต มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่ให้โอกาสและให้ความสำคัญจนสามารถจัดโครงการนี้และก็ได้รับการสนับสนุนจากองค์กรเครือข่ายต่างๆ จนสำเร็จดังกล่าว” พระวิมลศาสนวิเทศ กล่าว
นางกมลทิพย์ อีแวนส์ จากประเทศอังกฤษหนึ่งในคฤหัสถ์ที่เข้ารับการอบรม กล่าวว่า “เมื่อทราบข่าวว่าจะมีการอบรมธรรมทูตคฤหัสถ์วิถีพุทธ ก็สนใจและสมัครเข้ารับการอบรมทันที โดยเดินทางมาจากประเทศอังกฤษเพื่ออบรมในครั้งนี้ โดยเสียค่าใช้จ่ายด้วยตนเอง และเมื่อเข้าอบรมแล้วก็รู้สึกคุ้มค่ากับที่ได้เดินทางมาและก็พร้อมจะทำหน้าที่ธรรมทูตคฤหัสถ์ ช่วยพระสงฆ์เผยแผ่และช่วยปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาอย่างเต็มความสามารถ ตนเองในฐานะที่เป็นคนไทยและนับถือพระพุทธศาสนา เมื่อมาอยู่อาศัยในต่างแดนก็ไม่เคยละทิ้งความเป็นชาวพุทธ และเห็นว่า ปัจจุบันชาวต่างชาติให้ความสนใจพระพุทธศาสนามากโดยเฉพาะเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน การใช้สติในการดำรงชีวิต เมื่อมีโอกาสแต่ละครั้งในการรับเชิญไปร่วมงานวิชาการหรือเป็นวิทยากร ก็จะถือโอกาสนำหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาไปกล่าวอธิบายให้ชาวต่างชาติได้ฟังอยู่เสมอๆ และเห็นว่าเขาให้ความสนใจพระพุทธศาสนาอย่างมาก เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งวิถีชีวิตอย่างแท้จริง จึงขอให้ชาวพุทธจงภาคภูมิในความเป็นพุทธและช่วยกันเผยแผ่ ทำนุบำรุง ปกป้องพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ต่อไปและจะทำหน้าทึ่ของความเป็นธรรมทูตคฤหัสถ์ตลอดไป”
อนึ่ง พระโสภณวชิราภรณ์ ได้เป็นประธานในพิธีเปิดป้าย ศูนย์ปฏิบัติพระธรรมทูต ประจำภาคพื้นยุโรป ณ วัดไทยนอร์เวย์ เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการประสานงานและศูนย์ปฏิบัติงานของพระธรรมทูตไทยที่เดินทางเข้าไปปฏิบัติงานดังกล่าว
"วีรศักดิ์"ลุยปลุกกลุ่มเกษตรกรจีไอนักธุกิจนิวเจนร่วมแข่งค้าออนไลน์
รมช.พาณิชย์จัดทัพฟูลทีม ลุยแก้ปากท้อง 4 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ปักหมุดดันนครสวรรค์เป็นจุดเชื่อมต่อการค้าทั่วประเทศ ชี้เป็นแหล่งผลิตพืชเศรษฐกิจสำคัญหลายตัว-โลจิสติกส์เอื้อ พร้อมเตรียมปลุกกลุ่มเกษตรกรจีไอและผู้ประกอบการนิวเจนโดดเข้าแข่งขันค้าออนไลน์
วันที่ 1 ต.ค.2562 นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระดมทีมผู้บริหารกรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ลงพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์และอุทัยธานี ในวันที่ 2-3 ตุลาคม 2562 นี้ จัดกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจเต็มสูบ หวังติดปีกพัฒนาการค้า การบริการ และทรัพย์สินทางปัญญาจากท้องถิ่นสู่ตลาดการค้าเสรี ในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ อุทัยธานี พิจิตร และกำแพงเพชร โดยจะประชุมหารือร่วมกับส่วนราชการ หอการค้า เครือข่ายผู้ประกอบการกลุ่มบิสคลับ ผู้ผลิตสินค้าแปรรูป ตลอดจนกลุ่มเกษตรกรต่างๆ เพื่อผลักดันให้จังหวัดนครสวรรค์เป็นจุดเชื่อมต่อการค้าทั่วประเทศ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพสูงมาก
นอกเหนือจากความพร้อมด้านภูมิศาสตร์ การคมนาคม และโลจิสติกส์ ในกลุ่ม 4 จังหวัดดังกล่าว ยังเป็นแหล่งผลิตพืชเศรษฐกิจสำคัญหลายชนิด โดยเฉพาะ ข้าว ข้าวโพด ผลไม้ต่างๆ และสินค้าประมง เหมาะที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจเกษตรแปรรูป สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตรท้องถิ่น ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะจัดให้มีกิจกรรมแนะแนวทางการสร้างและต่อยอดธุรกิจแก่ผู้ประกอบการยุคใหม่ โดยเฉพาะการรุกตลาดออนไลน์ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตเป็นอย่างมากในปัจจุบัน
พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ยังจะนำคณะลงพื้นที่จังหวัดอุทัยธานี เพื่อเยี่ยมชมและตรวจสอบกระบวนการผลิตและควบคุณภาพสินค้าปลาแรดลุ่มน้ำสะแกกรัง ซึ่งเป็นสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์หรือ GI ของจังหวัดอุทัยธานี ที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน และเป็นสินค้าที่มีศักยภาพที่สามารถนำมาต่อยอดทางธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนในมิติอื่นๆ ได้อีกมาก เช่นการผลักดันให้เป็นชุมชนสมาร์ทวิลเลจ เป็นต้น
โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมคณะจะร่วมพบปะพูดคุยกับกลุ่มผู้เลี้ยงปลาแรดในพื้นที่ เพื่อหารือถึงแนวทางการส่งเสริมด้านการตลาด การเพิ่มมูลค่าสินค้า ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ของดีในจังหวัดอุทัยธานีให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างต่อไป
อย่างไรก็ตาม นายวีรศักดิ์ย้ำว่า หลังจากนี้กระทรวงพาณิชย์จะลุยจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าในอีกหลายจังหวัดทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เพื่อกระตุ้นทั้งการผลิต การค้า และภาคบริการในท้องถิ่นให้คึกคัก สอดคล้องกับความพยายามในการฟื้นกำลังซื้อ ที่ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลกำลังดำเนินการในภาพรวมทั้งประเทศอยู่ในขณะนี้
ม.ขอนแก่น พัฒนา AI ร่วมสถาบันชั้นนำญี่ปุ่น หวังพลิกโฉมหน้าการศึกษาไทย ด้วย AI
มหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยฝ่ายการศึกษาและสถาบันวิจัยและพัฒนาวิชาชีพครูสำหรับอาเซียน ร่วมกับมหาวิทยาลัยทสึคุบะ ประเทศญี่ปุ่น โดย Professor Dr.Masami Isoda ผู้ดูแลโครงการ AI for Education และผู้เชี่ยวชาญด้าน Lesson Study จัดบรรยายเรื่อง AI for Education Tranform in the 4th industrial Revolution เพื่อส่งเสริมนโยบาย Education Transformation ซึ่งเป็นเป็นภารกิจหลักของมหาวิทยาลัยขอนแก่น โดยได้รับเกียรติจากรองศาสตราจารย์ นพ.ชาญชัย พานทองวิริยะกุล ที่ปรึกษารักษาการแทนอธิการบดี ร่วมเปิดงาน
นายแพทย์ชาญชัย พานทองวิริยะกุล ที่ปรึกษารักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่นและ มหาวิทยาลัยทสึคุบะ ประเทศญี่ปุ่น มีความร่วมมือทางวิชาการมาอย่างยาวนานกว่า 15 ปี ทางด้านการศึกษา ต่อมาได้ขยายความร่วมมือทางด้านอื่น ๆ ได้แก่การแพทย์ การเกษตร มนุษยศาสตร์ และเภสัชศาสตร์ เป็นมหาวิทยาลัยที่มีงานวิจัยก้าวหน้าระดับโลกในหลายๆด้าน โดยเฉพาะที่มีชื่อเสียงอย่างมากในปัจจุบันคือ AI for health care ซึ่งได้ผลิตหุ่นยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากมนุษย์เองเพื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหวของผู้สูงอายุใน นอกจากนี้ในปี 2019 -2021 ได้เสนอโครงการ AI for Education ซึ่งมี 20 ประเทศในกลุ่มเอเปค เข้าร่วมโครงการดังกล่าว คาดหวังว่าการประชุมหารือครั้งนี้จะสามารถพัฒนาการศึกษาไทยได้ในอนาคต
รองศาสตราจารย์ ดร.ไมตรี อินทร์ประสิทธิ์ รองอธิการบดีฝ่ายการศึกษา รักษาการแทนผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาวิชาชีพครูสำหรับอาเซียน กล่าวต่อว่า นักเรียนในปัจจุบันต้องเรียนรู้สองด้าน ประกอบด้วย ด้านบริบทแวดล้อมการดำเนินชีวิต และด้านวิชาการ ซึ่งมีคณิตศาสตรศึกษาเป็นพื้นฐานสำคัญ ในประเทศที่พัฒนาแล้วจะเตรียมเด็กตั้งแต่ชั้นมัธยมให้คุ้นชินกับ AI ในทุกสาขาวิชา มีแผนจัดทำ AI ออกแบบระบบ e-Learning ฐานข้อมูลบริการวิชาการ ฉะนั้นในระดับอุดมศึกษาจึงเป็นการต่อยอด ผลิตสินค้า นวัตกรรมในอนาคต Professor Dr.Masami Isoda ผู้ดูแลโครงการ AI for Education และผู้เชี่ยวชาญด้าน Lesson Study กล่าวว่า ในประเทศญี่ปุ่นมีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการแพทย์ และธุรกิจการท่องเที่ยว อย่างแพร่หลาย กว่าร้อยละ 98.7 ของงานต้อนรับเป็นหน้าที่ของ AI แล้วทั้งสิ้น มนุษย์ต้องหาว่ามีงานส่วนไหนที่ทำได้ ซึ่งมักเป็นงานที่แสดงความรู้สึก ส่วนด้านการศึกษา เมื่อนำ AI เข้าสู่ห้องสอบในระดับอุดมศึกษาพบว่า สามารถสอบแข่งขันเข้าสู่ มหาวิทยาลัยอันดับที่ 64 ของญี่ปุ่น ผลในกระดาษคำตอบบ่งชี้ลงไปอีกว่ามีบางคำถามที่มนุษย์ตอบผิด แต่ AIตอบถูกอย่างง่ายดาย ด้วยการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดนี้จึงทำให้ญี่ปุ่น ร่วมมือกับรัฐบาลไทย ซึ่งทำงานร่วมกันมา 15 ปี ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น พัฒนาหลักสูตรจัดการเรียนการสอน AI ตั้งแต่ระดับ ประถมศึกษา มัธยมศึกษา ใช้เครื่องมือหุ่นยนต์ ทั้งฝึกอบรม ครู อาจารย์ สอนวิทยาการคำนวน ซึ่งเป็นทิศทางของโลกในอนาคต นอกจากนี้หากนำ AI ปรับเข้าสู่ระบบการศึกษา จะสามารถช่วยลดเวลาทำงานซ้ำ ๆ เช่น การตรวจการบ้าน ให้คะแนนเรียงความ และให้คำปรึกษาแก่นักเรียน ช่วยจัดการและจำแนกงานเอกสารต่าง ๆ ช่วยอาจารย์ผู้สอนในการออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอนโดยใช้อุปกรณ์ช่วยหลายชนิด เช่น สื่อเสียง (Audio) วิดีโอ และมีผู้ช่วยออนไลน์ สอนแบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ จนมีการคาดการณ์ว่าสักวันหนึ่งข้างหน้า AI จะเป็นอาจารย์เสมือนจริงได้ในอนาคตอีกด้วย
เปิดพระกรุลี้ลับ!..เข้าถ้ำเสือไปขุดพระถ้ำเสือ ครั้งหนึ่งในชีวิตของ'อ.คม ไตรเวทย์'
เปิดพระกรุลี้ลับ!..เข้าถ้ำเสือไปขุดพระถ้ำเสือ ครั้งหนึ่งในชีวิตของ'อ.คม ไตรเวทย์' โบราณสถานคอกช้างดิน และ วัดเขาถ้ำเสือ ต.จระเข้สามพัน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี
"พระถ้ำเสือ" เป็นพระเนื้อดินเผาผสมว่านเกสรวิเศษต่างๆ พุทธศิลปะแบบอู่ทองล้อทวาราวดี สันนิษฐานสร้างเมื่อประมาณพ.ศ.๒๒๒๐ รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สถานที่ขุดพบ คือ โบราณสถานคอกช้างดิน เขาพระ (ศรีสรรเพชญ์) และวัดถ้ำเสือ ต.จระเข้สามพัน อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี
มีข้อสันนิษฐานไว้ว่า ผู้สร้างพระถ้ำเสืออาจเป็นพระฤาษีหรือกลุ่มนักบวชพื้นเมืองที่หันมาศรัทธานับถือพระพุทธศาสนาโดยสร้างบรรจุไว้ในถ้ำบนภูเขาต่างๆ ด้านทิศตะวันตกของลำน้ำจระเข้สามพัน พระฤาษีกลุ่มนี้อาจหมายถึงพระภิกษุคณะอรัญวาสีที่บำเพ็ญเพียรทางจิต ปฏิบัติสมณธรรมอยู่ในเขตป่าเขาสถานที่เงียบสงบหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพระธุดงค์ ส่วนอีกคณะหนึ่งเรียกว่า คณะคามวาสี
การแตกกรุงของพระถ้ำเสือครั้งแรกคือมื่อ พ.ศ.๒๔๗๐ โดยชาวไร่ผู้หนึ่งเดินทางขึ้นเขาเสือ เพื่อไปหามูลค้างคาวตามถ้ำ แล้วพบพระจำนวนมาก จนเป็นที่มาของชื่อ "พระถ้ำเสือ"
หลังจากนั้นได้มีผู้พบพระที่มีพุทธลักษณะพิมพ์ทรงเช่นเดียวกับพระถ้ำเสือ ตามสถานที่ต่างๆ ทั้งในถ้ำ เนินเขา วัด และเจดีย์ อาทิ พระถ้ำเสือที่พบในถ้ำเขานกจอด เขาวงพาทย์ เจดีย์เขาพระ วัดหลวงเขาดีสลัก และตามถ้ำต่างๆ ใน จ.สุพรรณบุรี
กระทั่ง พ.ศ.๒๕๓๕ ได้มีผู้พบพระถ้ำเสือที่วัดเขาดีสลักอีกครั้ง ซึ่งมีพุทธลักษณะพิมพ์ทรง เช่นเดียวการพบในครั้งแรกๆ และเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๒ นักแสวงโชคที่มีอาชีพขุดหาของมีค่าตามถ้ำต่างๆ ได้พบ "พระถ้ำเสือ" เป็นจำนวนมาก
หนึ่งในจำนวนนักแสวงโชคมีชื่อของ "อ.คม ไตรเวทย์" ฆราวาสที่ถูกยกให้เป็น "ฆราวาสผู้เรืองวิทยาอาคมแห่งเมืองสุพรรณบุรี" รวมอยู่ด้วย
"ตอนแรกก็มีความอยากได้พระถ้ำเสือไว้ติดตัวบูชาสักองค์ แต่ไม่เคยมี ไม่เคยได้ จนกระทั่งมีเด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งมาสักยันต์ พร้อมกับเล่าเรื่องการไปหาพระถ้ำเสือจากกรุเขาพระ (ศรีสรรเพชญ์) ครั้งแรกไม่ปักใจเชื่อเสียเลยทีเดียว
จนกระทั่งมีคนเอาพระถ้ำเสือมาขายองค์หนึ่งโดยรับซื้อไว้ในราคา ๘๐๐ บาท จากนั้นก็ให้ลูกศิษย์ไปใส่กรอบ ปรากฏว่ามีเซียนใหญ่แห่งเมืองสุพรรณขอซื้อในราคาสูงถุง ๒๕,๐๐๐ บาท แต่ได้ยืนยันว่าจะเก็บไว้ใช้"
นี่เป็นที่มาของจุดเริ่มต้นในการแสวงหาและสะสมพระถ้าเสือจากคำบอกเล่าของ อ.คม
พร้อมกันนี้ อ.คม ยังบอกด้วยว่า จากนั้นเด็กวัยรุ่นก็เอามาขายให้ครั้งละ ๒-๕ องค์ โดยได้รับซื้อไว้ทุกครั้ง ระหว่างการรับซื้อพระใจหนึ่งก็นึกสงสัยว่าเอาพระมาจากไหนถึงมีมาขายบ่อยๆ และขายเท่าไรก็ไม่หมด
จึงถามว่า "เอามาจากไหน" และได้รับคำตอบว่า "ไปขุดมากับมือ"
ครั้งแรกไม่เชื่อเพราะพระถ้ำเสือถูกขุดกันมานานแล้วน่าจะหมดไปจากเขาถ้ำเสือ ในที่สุดด้วยความอยากรู้อยากเห็นกับตาจึงตามกลุ่มนักขุดไปลองขุดดูบ้าง ข้อมูลอย่างหนึ่งที่แตกต่างจากนักขุดรายอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง คือ
"พระถ้ำเสือไม่ได้อยู่ในถ้ำอย่างที่เขาว่าพระฤาษีทำแล้วเอาเก็บไว้ในถ้ำไม่จริงหรอก บนเขาเป็นวัดมีซากเจดีย์ ซึ่งเป็นที่บรรจุพระถ้ำเสือ
เมื่อเวลาผ่านไปเจดีย์พังทลาย พระที่ถูกบรรจุอยู่จึงไหลลงมาตามทางน้ำฝนไปทั่วเขา นักขุดพระถ้ำเสือที่รู้จริงจะสังเกตทางน้ำไหลไปสิ้นสุดจุดใดก็ให้คุ้ยหาที่จุดนั้นๆ จะพบพระแต่ไม่มาก"
ในครั้งนั้นเมื่อว่างเว้นจากสักยันต์ และต้อนรับลูกศิษย์ที่สำนักก็จะเดินทางไปหาพระถ้าเสือด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันหากมีใครนำพระมาขายก็จะรับซื้อไว้ทั้งหมด
นอกจากนี้ยังรับซื้อศิลาแลงขนาดใหญ่ไว้หลายสิบก้อน ทั้งนี้ เมื่อกะเทาะหรือทุบศิลาแลงก็จะพบพระถ้ำเสือที่ฝังอยู่ภายในจำนวนมาก แต่ก็ยังมิวายได้มีมิจฉาชีพที่อาศัยความไม่รู้ของคนเอาก้อนศิลาแลงแล้วเอาพระถ้ำเสือของปลอมฝังเข้าไป
แรกๆ คนไม่รู้ก็ซื้อไปจำนวนมาก จนกระทั่งความจริงมาถูกเปิดพระถ้ำเสือจึงไม่มีใครกล้าเล่น ในที่สุดพระถ้ำเสือที่ฝังในก้อนศิลาแลงก็ไปทำลายพระถ้ำเสือที่เป็นของแท้ทั้งหมด
"ไปทุกครั้งไปพระติดมือกลับมาทุกคน มากบ้างน้อยบ้างสุดแล้วแต่ใครจะโชคดี ในการขุดพระถ้ำเสือมีเคล็ดอย่างหนึ่งคือ ทุกครั้งจะตั้งจิตอธิษฐานขอจากเจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขา รวมทั้งเจ้าพ่อปู่เจ้าเขาถ้ำเสือ
ถือเป็นเรื่องอัศจรรย์ยิ่งนักหลังจากอธิษฐานแล้วลงมือขุดก็จะได้พระมากทุกครั้ง และครั้งหนึ่งเคยขุดได้เกือบ ๑๐ องค์ รวมทั้งยังเคยได้พระพิมพ์พิเศษ คือ พระถ้ำเสือพิมพ์ ๒ หน้า พระถ้ำเสือพิมพ์พระพิฆเนศวร และพระถ้ำเสือ ๒ หน้าสวนกัน" อ.คม กล่าว
ทุกวันนี้ อ.คม ได้เก็บและอนุรักษ์ก้อนหินศิลาแลงขนาดใหญ่ที่มีพระถ้ำเสือฝังไว้หลายสิบก้อน พระถ้าเสือพิมพ์ทรง่างๆ รวมทั้งก้อนศิลาแลงที่มิจฉาชีพทำขึ้นโดยเอาพระถ้ำเสือของปลอมฝังเข้าไปเพื่อหลอกขายคนที่ไม่รู้จริง ใครอยากชมบารมี รวมทั้งเพื่อศึกษา ต้องไปที่วัดบางกุ้งใต้ ต.บางกุ้ง อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี โทร.๐๘-๗๓๗๒-๒๐๙๒ และ ๐๘-๕๓๗๗-๘๒๕๙
พระถ้ำเสือพิมพ์พิฆเนศ
เดิมเชื่อกันว่าพระถ้ำเสือ เป็นพระที่สร้างในสมัยอยุธยา เพราะพบที่ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นเมืองเอกในสมัยอยุธยา และอำเภออู่ทอง ตามประวัติศาสตร์ที่ร่ำเรียนกันมาก็เขียนว่า เป็นเมืองที่พระเจ้าอู่ทองเคยมาครองเมืองอยู่ก่อนที่จะย้ายไปสร้างกรุงศรีอยุธยา
ทั้งนี้ มีการสันนิษฐานกันว่า เนื่องจากแม่น้ำเปลี่ยนทางเดิน หรือเกิดโรคระบาด จึงต้องย้ายเมืองไปโดยเหตุผลรวมๆ กันดังกล่าวข้างต้น และมิได้มีการศึกษาพระถ้ำเสือกันอย่างจริงจังก็ด่วนสรุปว่า พระถ้ำเสือเป็นพระที่สร้างในสมัยอยุธยา แต่บางท่านก็เห็นว่าศิลปะของพระถ้ำเสือใกล้เคียงกับศิลปะทวาราวดี จึงสรุปเอาว่าพระถ้ำเสือเป็นพระสมัยอยุธยาล้อสมัยทวาราวดี
ส่วนพิมพ์พระถ้ำเสือที่เห็นมีทั้งหน้าพุทธ หน้าเทวดา หน้าฤาษี บางพิมพ์เป็นองค์พระฤาษีเลย กรุเขาคอก (วัดถ้ำเสือ) มีการพบพระถ้ำเสือพิมพ์พิฆเนศด้วย กรุเขาพระ(ศรีสรรเพชญ์) พบพระพิมพ์พระฤาษีจำนวนมาก กรุเขาพระมีพระถ้ำเสือหน้าคล้ายพระผงสุพรรณมีจมูกยาวคล้ายงวงช้างและหูใหญ่เหมือนหูช้าง มีพระบางพิมพ์มีท้องใหญ่คล้ายท้องพระสังกัจจายน์ หรือเหมือนท้องช้างนั่นเอง
นอกจากนี้กรุวัดเขาดีสลัก กรุวัดเขาวงษ์ มีพระถ้ำเสือพิมพ์เปาบุ้นจิ้นตาเฉียงขึ้นแบบศิลปะจีน หรือตาเฉียงแบบตาช้าง เช่นเดียวกับตาของพระพิฆเนศ
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือพระพิมพ์ถ้ำเสือที่ได้พบทั้งหมดมีน้อยมากที่จะมีพระศกเป็นเม็ดเป็นตุ่มของพระพุทธเจ้า ส่วนใหญ่ถ้าเป็นหน้าพระพุทธหรือหน้าเทวดาจะเป็นคล้ายหมวกหรือชฎาครอบอยู่บนศีรษะและมีส่วนที่ห้อยมาปิดหูเหมือนพระอินเดียหรือพระทิเบตก่อนสมัยทวาราวดีทั้งสิ้น
สามารถชมคลิปสัมภาษณ์ได้ที่ ..https://youtu.be/cii7IVE5N7Q ขอบคุณข้อมูลจากเพจพระองค์ครู ไตรเทพ ไกรงู
"ทิม พิธา"สวมบท"ปธ.กมธ.ที่ดิน" จัดถกหาแนวแก้เหลื่อมล้ำเรื่องที่ดิน
"ทิม พิธา" จัดสัมนา "กมธ.ที่ดิน" ระดมแนวคิดทุกภาคส่วน เร่งแก้ไขความเหลื่อมล้ำเรื่องที่ดิน - Prof. Philip ชี้คนรวยที่ดินเพิ่ม คนจนที่ดินลดโดยปริยาย
เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2562 ที่ห้องวายุภักษ์ 3 ชั้น 4 โรงแรมเซ็นทรา บาย เซ็นทารา ศูนย์ราชการ และคอนเวนชั่นเซนเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดสัมนาเรื่อง 'ความเหลื่อมล้ำในการใช้ประโยชน์ที่ดินของประเทศไทย' พร้อมทั้ง นายอภิชาติ ศิริสุนทร ส.ส.แบบบัญชีราชชื่อพรรคอนาคตใหม่ และนายนิติพล ผิวเหมาะ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงทางออกประเทศไทยกับการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ดิน อีกทั้งยังได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์กิตติคุณผาสุก พงษ์ไพจิตรและ Professor Philip Hans HIRSCH อาจาย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ บรรยายเรื่องปัญหาที่ดินและการบริหารจัดการที่ดินเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ อีกทั้งยังมีการอภิปรายของตัวแทนแต่ละภาคส่วนอาทิ ตัวแทนกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช, ตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์, ตัวแทนกลุ่ม P-move เป็นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากข้อมูลในปี 2561 ของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพบว่า ประชากรที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงสุดร้อยละ 10 ถือครองที่ดิน 94.86 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 61.5 ขณะที่ประชากรที่ยากจนที่สุดร้อยละ 10 ของประเทศ ถือครองที่ดินรวมกันเพียง 68,330 ไร่ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 0.1 หรือแตกต่างกันกว่า 853.6 เท่า จะเห็นได้ว่า แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยใช้แล้วก็ตาม แต่ปัญหาความเหลื่อมล้ำในที่ดินยังดำเนินอยู่ต่อไป คณะกรรมาธิการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฏร จึงได้จัดสัมนาขึ้นในวันนี้ เพื่อระดมความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาความเหลื่อมล้ำเรื่องที่ดิน อันจะนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ดินให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
นายพิธา กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำเรื่องที่ดินของประเทศไทยที่ผ่านมา พบว่า ประชาชน มากกว่า 3 ใน 4 ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินใด ๆ เลย โดยร้อยละ 61 ของโฉนดที่ดินของประเทศไทย อยู่ในการถือครองของประชาชนเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากมาตรการทางภาษีที่ไม่มีการเก็บภาษีที่ดินในลักษณะอัตราก้าวหน้า และอีกสาเหตุหนึ่งที่สำคัญคือหน่วยงานที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการที่ดินของประเทศไทยขาดเอกภาพในการจัดการที่ดินที่อยู่ในการถือครองของรัฐ เกิดเป็นปัญหาอันเกี่ยวเนื่องกับแนวคิดด้านสิทธิในทรัพยากรธรรมชาติจนก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างภาครัฐและประชาชนในการใช้ประโยชน์ที่ดิน โดยมีสถิติทางคดีที่น่าตกใจว่า ช่วง 3 ปี ระหว่าง เดือนพฤษภาคม 2557 ถึงเดือนพฤษภาคม 2560 มีชาวบ้านต้องคดีบุกรุกป่าและทำไม้ สูงถึง 44,610 คดี ดังนั้น เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไปได้ตระหนักถึงสถานการณ์ ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่ดิน ตลอดจนแนวทางการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในการใช้ประโยชน์ที่ดินร่วมกันไม่ว่าจะเป็นปัญหาที่ดินในเขตป่า ปัญหาข้อติดขัดการผลักดันนโยบายการจัดการที่ดินใหม่ๆ ปัญหาการอนุญาตให้ทำเหมืองแร่ทั้งในและนอกเขตป่าซึ่งก่อผลกระทบกับเรื่องที่ดินทำกินของประชาชน ตลอดจนการปัญหาการแก้ไขผังเมืองซึ่งเป็นหลักสำคัญในการจัดการที่ดิน โดยไม่ยึดโยงกับหลักวิชาการหรือผลกระทบต่อระบบนิเวศและความเป็นอยู่ของประชาชน
"ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ ผมอย่างจะขอยกตัวอย่าง คำนิยามที่ดินของ The United Nations and Land and Conflict เผยแพร่เมื่อเดือนมีนาคม ปี 2019 เพราะคำนิยามจะเป็นประเด็นที่สำคัญในการกำหนดและวางแนวทางการพิจารณาทางกฎหมาย ในนิยามที่ดินดังกล่าว คือพื้นผิวของโลก รวมถึงพื้นผิวด้านล่าง อากาศด้านบนและทุกสิ่งที่ผนึกอยู่ในดิน โครงสร้างของที่ดินประกอบไปด้วยทรัพยากรและภูมิทัศน์ และมีนัยยะสำคัญทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม จิตวิญญาณและความหมายเชิงคุณค่า ที่ดินเป็นเสมือนทรัพย์สินที่สำคัญทางเศรษฐกิจและสังคมที่ผูกพันใกล้ชิดกับความสัมพันธ์ทางการผลิตที่ซับซ้อน เป็นทรัพยากรที่มีการเข้าถึงจำกัดและเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเข้าถึง ควบคุม และความเป็นเจ้าของ ของที่ดินผูกพันเกี่ยวข้องกับอำนาจ ความมั่งคั่ง อัตลักษณ์และแม้กระทั่งความอยู่รอดของประชากรของโลกจำนวนมาก ที่ดินในรูปแบบด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง วัฒนธรรมและกิจกรรมทางประวัติศาสตร์ยังผูกพันโดยตรงกับสันติภาพ ความมั่นคง สิทธิมนุษยชนและการพัฒนา ที่ดินยังรวมทั้งสิทธิในทรัพย์สิน เขตแดน และความชอบธรรมในสิทธิการถือครอง ในฐานะที่ที่ดินถูกใช้เป็นมาตรฐานของสากล สิทธิในที่อยู่อาศัย ที่ดิน และทรัพย์สินจากมุมมองทางมนุษย์นิยม สิทธิในที่ดิน การจัดการที่ดิน การปกครองและกำกับดูแลที่ดินและการบริหารที่ดิน และระบบข้อมูลพื้นที่เชิงภูมิศาสตร์ที่สนับสนุนกระบวนการเหล่านี้ที่นำมาใช้โดยรัฐบาล และการถือครองที่ดินที่ตอบสนองสำหรับความสัมพันธ์ทางสังคมอันสลับซับซ้อนท่ามกลางผู้คนด้วยความเคารพที่ดินและทรัพยากรของพวกเขา มีความต่อเนื่องของรูปแบบการถือครองที่ดินที่รวมไปถึงทุกๆ ความชอบธรรม อยู่บนพื้นฐานของการยอมรับที่ดินในฐานะภารกิจของสังคมที่ไม่ใช่เพียงแค่ที่ดินในฐานะสินค้า รูปแบบทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการในประเภทของการถือครองที่ดินจะต้องถูกพิจารณาความชอบธรรมในสายตาของชุมชนและความสามารถของความถูกต้องตามกฎหมายด้วยเอกสารรับรองที่ดิน โดยรวมทั้งรูปแบบทางการและไม่เป็นทางของสัญญาเช่า รูปแบบการเช่าที่อยู่อาศัยแบบสหกรณ์ วัฒนธรรมประเพณีและสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง ชุมชนและสิทธิเชิงกลุ่ม รวมทั้งที่ดินที่ไม่เป็นทางการของสลัมในเมือง" นายพิธา กล่าว
สำหรับความสำคัญของที่ดินนั้น ศาสตราจารย์กิตติคุณผาสุก พงษ์ไพจิตร กล่าวว่า ที่ดินเป็นสินค้าสมมุติ ต่างจากสินค้าอื่น ไม่ใช่สิ่งผลิตเพื่อขายในตลาด ที่ดินเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ สำคัญต่อมนุษย์ในหลายมิติ ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย จึงไม่อาจเป็นของเอกชนเต็มที่ บทบาทของสังคมในการกำกับดูแลที่ดินจึงมีสูงและสำคัญมาก ที่ดินมีพลวัตในตัวเอง เป็นเรื่องของสิทธิความเป็นธรรม ที่ดินนั้นเป็นทรัพย์ สามารถนำไปลงทุน ใช้ค้ำประกันได้ สำหรับเกษตรกรนั้น ที่ดินยังเป็นแหล่งของรายได้ ชีวิตครอบครัว เป็นที่ตั้งบ้านเรือนและเป็นการให้ความมั่นคงแก่ชีวิต การถือครองจึงต้องสอดคล้องกับความจำเป็นของผู้ถือครอง การกระจายที่ดินควรจะพอๆกัน ในส่วนของความเหลื่อมล้ำการเข้าถือครองที่ดินเพื่อใช้ประโยชน์ทางธุรกิจแบบต่างๆ เป็นปัญหาที่สำคัญมาก ปัญหาใหญ่ๆคือการที่รัฐเอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มนายทุน เป็นการทำให้เกิดข้อพิพาท ระหว่างรัฐกับชาวบ้าน สำหรับเรื่องของปัญหาที่ดินในประเทศไทยสามารถแบ่งคร่าวๆได้ 6 ข้อคือ 1.การเข้าถึงสิทธิที่ดินไม่ได้ 2.เข้าถึงสิทธิในการใช้ที่ดินได้ แต่ไม่มั่นคง 3.ข้อพิพาทระหว่างรัฐกับประชาชนเรื่องที่ดิน 4.นโยบายไม่ชัดเจนและเปลี่ยนบ่อย 5.มีหลายหน่วยงานของรัญในการจัดการที่ดิน มีความซ้ำซ้อน อาจขัดกันเองและใช้อำนาจโดยมิชอบ และ 6.หน่วยงานรัฐขาดประสิทธิภาพ
ด้าน Professor Philip Hans HTRSCH กล่าวว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำเรื่องที่ดิน ไม่ใช่แค่ปัญหาในประเทศไทย แต่ปัญหานี้ปรากฎขึ้นอยู่ทั่วโลก แนวทางการแก้ปัญหาก็จะแตกต่างกันออกไปในบริบทของแต่ละพื้นที่ ความเหลื่อมล้ำที่ว่านี้คือช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน หากคนรวยมีที่ดินเพิ่มขึ้น คนจนจะมีที่ดินน้อยลงโดยปริยาย เรื่องปัญหาที่ดินนั้นเป็นปลายเหตุของความเหลื่อมล้ำ ในบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป การถือครองที่ดินนั้นมีความเหลื่อมล้ำสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นภาคการเกษตรหรือที่ดินในเมือง นายทุนมีกำลังซื้อที่ดินมากกว่า ส่วนชาวบ้านในชนบทจำใจขายที่ดินเพื่อไปแสวงหาความมั่นคงในเมือง มูลค่าที่ดินในเมืองนั้นมากกว่ามูลค่าที่ดินในชนบท ดังนั้นเราไม่สามารถวัดความเหลื่อมล้ำในการถือครองจำนวนที่ดินได้อย่างชัดเจน และหากมองถึงต้นเหตุของปัญหา คือการกระจายการถือครองที่ดิน การเข้าถึงความเป็นธรรม การเข้าถึงข้อมูล และการยอมรับสิทธิ์ สถานภาพในการถือครองที่ดิน หากเราต้องการลดความเหลื่อมล้ำในที่ดินนี้ ต้องมีความโปร่งใสในการจัดทำข้อมูลและการเข้าถึงข้อมูล การมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย เพื่อแก้ปัญหาที่ดิน โดยปรับสภาพตามแต่ละพื้นที่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงบ่ายของการสัมนา ได้มีการอภิปรายจากตัวแทนในภาคส่วนต่างๆ ทั้งเรื่องแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์ที่ดินในเขตป่า และแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ประโยชน์และความเหลื่อมล้ำด้านที่ดิน โดยการอภิปรายในเรื่องต่างๆจะแยกห้องในการอภิปรายเพื่อให้ได้ข้อสรุปในแต่ละประเด็นที่ชัดเจน เพื่อให้คณะกรรมาธิการได้เห็นถึงปัญหา และเป็นแนวทางการแก้ปัญหาต่อไป
“กมธ.ดีอี”ติดตามงานดิจิทัลจังหวัดภูเก็ต ดันเป็น“Smart-Safe city”
“กัลยา” นำทีม “กมธ.ดีอี” ติดตามงานดิจิทัล ทำจังหวัดภูเก็ตเป็น “Smart-Safe city” เรียกความมั่นใจนักท่องเที่ยว กระตุ้นการท่องเที่ยว เพื่อประโยชน์ปชช.-เศรษฐกิจ
วันที่ 30 ก.ย.2562 คณะกรรมาธิการการสื่อสาร โทรคมนาคม และดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือกมธ.ดีอี นำโดยน.ส.กัลยา รุ่งวิจิตรชัย ส.ส.สระบุรี พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานกรรมาธิการฯ นายสยาม หัตถสงเคราะห์ ส.ส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย นายนิคม บุญวิเศษ ส.ส.พรรคพลังปวงชนไทย รองประธานกรรมธิการฯ นายชาญวิทย์ วิภูศิริ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ที่ปรึกษากรรมาธิการฯ และนางสาวภาดาท์ วรกานนท์ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะโฆษก กมธ. พร้อมคณะลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตระหว่างวันที่ 30 ก.ย -1 ต.ค. เพื่อติดตามการดำเนินงานด้านเทคโนโลยีดิจิทัล โทรคมนาคม ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
น.ส.กัลยา ให้สัมภาษณ์ว่า การลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตในครั้งนี้ เราได้มาศึกษาดูงานด้านการบริหารจัดการเทคโนโลยีเพื่อใช้ในการขนส่งและเดินทางภายในจังหวัดภูเก็ต ที่บริษัทภูเก็ตพัฒนาเมือง จำกัด ซึ่งได้ดำเนินงานด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในด้านการขนส่งมวลชนเรียกว่า “Smart Transit” เป็นการพัฒนาและยกระดับระบบคมนาคมขนส่งทั้งทางบก ทางน้ำและทางอากาศ ให้สอดคล้องต่อการส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การบิน และโลจิสติกส์ เพื่อให้การเดินทางขนส่งมีความสะดวกสบาย รวดเร็ว ปลอดภัย แก่ชาวภูเก็ตและนักท่องเที่ยว โดยเรามี “Smart Bus” ที่จะช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถวางแผนการเดินทางได้ สามารถเช็คเวลาการเข้าจุดรับ-ส่ง ของแต่ละสถานีผ่านเว็ปไซต์ มี wifi, cctv ระบบgps ติดตามเพื่อให้นักท่องเที่ยวมั่นใจในความปลอดภัย
“คณะกรรมาธิการ ดีอี เราให้ความสำคัญและติดตามการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะในพื้นที่ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างจังหวัดภูเก็ต ที่เป็นต้นแบบของสมาร์ท ซิตี้ นอกจากจะต้องมีการพัฒนาในด้านการอำนวยความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยวแล้ว ที่สำคัญไม่แพ้กัน คือเรื่องความปลอดภัยของ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังจังหวัดภูเก็ต จึงได้มีการวางแผนดำเนินการที่เรียกว่า Smart safety โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วย ไม่ว่าจะเป็นด้านการเดินทางสัญจร ระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติ ระบบกล้องวงจรปิด ที่จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวมากขึ้น” ประธานกมธ.ดีอี กล่าว
เมื่อถามว่าการลงมาดูงานของกมธ. เกรงหรือไม่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นการใช่งบประมาณที่สิ้นเปลือง นางสาวกัลยา กล่าวว่า การลงพื้นที่ของกมธ. ในการติดตามงานด้านการใช้เทคโนโลยี การโทรคมนาคม ในด้านการอำนวยความสะดวก การดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในเมืองท่องเที่ยวอย่างจังหวัดำภูเก็ต เมื่อเทียบกับผลที่ประเทศไทยได้รับ ถือว่าคุ้มค่ามาก ซึ่งเมื่อโครงการต่างๆ ดำเนินงานได้จริง จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักท่อเที่ยวที่จะเดินทางมาจังหวัดภูเก็ตได้มาก ส่งผลให้เป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยว เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ ตนเองไม่อยากให้มองการทำงานของกมธ.ในมุมลบคือเรื่องการใช่งบประมาณเท่านั้น เราลงมาคือตั้งใจมาทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน เพื่อประเทศชาติ ซึ่งงบประมาณที่ใช้ไปก็ไม่ได้มากอะไร แล้วหากเทียบกับผลประโยชน์ที่มีต่อประชาชน ต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ ถือว่ามีความคุ้มค่าอย่างยิ่ง
ด้านนางสาวภาดาท์ กล่าวว่า นอกจากกมธ.ดีอี จะได้ติดตามศึกษาดูงานที่บริษัทภูเก็ตพัฒนาเมืองแล้ว กมธ. ยังจะได้เดินทางไปยังบริษัท กสท. โทรคมนาคม จำกัด (CAT) จังหวัดภูเก็ต เพื่อติดตามความคืบหน้าในการดำเนินงานตามโมเดล “Smart City” ที่มีจังหวัดภูเก็ตเป็นต้นแบบ โดย CAT มีภารกิจการดำเนินงาน “Smart Wifi” 1,000 จุด ระบบเน็ตเวิร์ค LoRa WAN 39 จุด ครอบคลุมพื้นที่ภูเก็ตและจังหวัดข้างเคียง รวมถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาประยุกต์ใช้ในด้านการักษาความปลอดภัย ด้วยระบบกล้อง cctv การดำเนินงานด้านโลจิสติก การจราจรด้วยโครงการ Phuket Safe City นอกจากนี้ กมธ.ดีอี ยังจะได้ติดตามแนวทางการวางโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาเมืองภูเก็ตให้เป็น “Smart City” ได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกด้วย
“อนาคตใหม่”เสนอ 5 มาตรการกระตุ้นฟื้นเศรษฐกิจไทย
เมื่อวันที่ 30 กันยายน2562 นางสาวศิริกัญญา ตันสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายพรรคอนาคตใหม่ และประธานคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ แถลงข่าวประเมินการทำงานของรัฐบาลด้านเศรษฐกิจในรอบสองเดือนที่ผ่านมา พร้อมเสนอทางออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในสภาวะปัจจุบัน
โดยนางสาวศิริกัญญา ระบุว่า มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมาเม็ดเงินยังน้อยเกินไป ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืน สามารถทำได้เพียงพยุงเศรษฐกิจแต่ยังไม่สามารถกระตุ้นได้ มาตรการส่วนใหญ่มีความผิดฝาผิดตัว มาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านเงินโอนมีตัวคูณทางการคลังค่อนข้างต่ำ อยู่ที่ประมาณ 0.4
“มาตรการที่ออกมาเป็นการกระตุ้นในระยะสั้นมากๆ อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดี แต่วิกฤติครั้งนี้ไม่ใช่ระยะสั้นอีกต่อไป ต้องใช้เวลาพลิกฟื้นความเลื่อมั่นผู้บริโภค มาตรการต้องใหญ่กว่านี้และขยายระยะเวลาออกไป” นางสาวศิริกัญญากล่าวเริ่มต้น
สำหรับมาตรการสามตัวที่ออกมาแล้ว ได้แก่แพคเกจ 3.16 แสนล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นช้อปชิมใช้, การช่วยเหลือค่าครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ, และการช่วยเหลือ SME มีแค่ 1 แสนล้านบาทที่โอนเงินโดยตรง ที่พอจะหวังพึ่งได้ ที่เหลือเป็นวงเงินกู้ ทั้งนี้มาตรการช้อปชิมใช้ ก็มีลักษณะของการยิงกราด เม็ดเงินแค่ 15,000 ล้านบาทเศษๆ เอาทั้งเป้ารายได้ท่องเที่ยวและกระตุ้นการใช้จ่ายโดยไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน
ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก ประมาณ 1 แสนล้านบาท ถ้าไปดูในรายละเอียด มีตลาดประชารัฐ สินเชื่อ SME ภาคเกษตร สินเชื่อธุรกิจ วิสาหกิจชุมชน ก็ไม่มีอะไรใหม่ เคยใช้มาแล้วซึ่งถ้าได้ผลก็คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ จึงอยากให้มีการทบทวนมาตรการในส่วนนี้
ประกันรายได้เกษตรกรตอนนี้ครอบคลุม 3 พืช ข้าว ยางพารา ปาล์มน้ำมัน 7 หมื่นล้านบาท ถือว่ายังน้อยเกินไปที่จะช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที แต่ก็เข้าใจว่าการใช้จ่ายขณะนี้มีปัญหา เนื่องจากกำลังจะหมดงบปี 62 ยังไม่ผ่านงบปี 63 ให้ได้ทันเวลา ดังจะเห็นได้ว่ามีการขุดงบกลางตั้งแต่ปี 61-62 มาใช้
นางสาวศิริกัญญากล่าวต่อไปว่าเศรษฐกิจไทยมีความน่ากังวลกว่าที่คิดเยอะ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกก็จะเริ่มชะลอตัว นักวิเคราะห์ทั่วโลกต่างปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษกิจเกือบทุกประเทศลงหมด ผู้ว่าการธนาคารกลางหลายๆประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ สหภาพยุโรป หรือญี่ปุ่น ออกมาประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยกันหมดแล้ว พร้อมใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆ เพื่อให้เศรษฐกิจพยุงตัวไปได้ ในส่วนของประเทศไทยเอง เมื่อต้นปีเจอภัยแล้ง กลางปีเจอน้ำท่วม รายได้เกษตรที่เคยคิดว่าน่าจะทรงตัวก็มีแนวโน้มขาลง รายได้นอกภาคเกษตรเริ่มส่งสัญญาณหดตัวลงแล้ว จำนวนชั่วโมง OT ถูกตัดแล้ว 8% การบริโภคในประเทศเริ่มแผ่วจากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวที่หดตัว ธุรกิจปิดตัวเพิ่มขึ้น 10% ในเดือนสิงหาคม ข่าวเลย์ออฟถี่ขึ้น ยอดผู้รับประกันว่างงานสูงกว่าปี 52 ถึง 24% (ปี 52 - 152,751 คน ปี 62 - 190,002 คน) โดยที่โครงสร้างตลาดแรงงานไม่เปลี่ยนแปลง คือเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้นไม่มาก
“ที่ผ่านมาหัวหน้าทีมเศรษฐกิจย้ำว่าทุกวันนี้คนค้าขายไม่ได้เพราะทุกคนไปช้อปออนไลน์กันหมด เป็นการท่องคาถาซ้ำๆ แต่วันนี้ท่านพูดแบบนี้ไม่ได้แล้ว เพราะแม้แต่คนค้าขายออนไลน์ก็เริ่มบ่นถึงความฝืดเคืองกันแล้ว” นางสาวศิริกัญญากล่าว
นางสาวศิริกัญญา กล่าวต่อไปว่าที่ผ่านมาการลงทุนของประเทศไทยก็พลาดเป้า ก่อสร้างเจ็บหนัก ส่งออกหดตัว การใช้จ่ายลงทุนภาครัฐที่ควรจะเป็นตัวพยุงเศรษฐกิจก็ทำไม่ได้ตามเป้า โดยเฉพาะงบลงทุนกระทรวงใหญ่ใหญ่ที่ได้งบลงทุนเกินหมื่นล้าน มีการเบิกจ่ายล่าช้ามาก มีการเบิกจ่ายโดยเฉลี่ยแค่ 55% เท่านั้นเอง กระทรวงกลาโหมเบิกจ่ายเพียง 42% มหาดไทย 47% สาธารณสุข 51% การเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้าจะส่งผลต่ออย่างแน่นอนในไตรมาสสุดท้าย กว่าจะกลับมาสู่ภาวะปกติได้ก็คงจะเป็นหลัง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายปี 63 ผ่าน ที่จะยังไม่ได้ผ่านเข้าสู่ระบบจนกว่าจะถึงต้น ม.ค.ปีหน้า งบลงทุนทุกอย่างจะโดนแช่แข็งไว้หมด เม็ดเงินที่ควรลงกระตุ้นการใช้จ่ายภาครัฐก็จะแห้งเหือดต่อไป
นางสาวศิริกัญญากล่าวว่า ดังนั้น รัฐบาลควรออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใหญ่และแรงกว่านี้ ซึ่งยังพอมีช่องว่างให้ทำได้ ขอเสนอให้ออกเป็น พ.ร.ก. หรือ พ.ร.บ.กู้เงินเพื่อใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งที่ผ่านมาหลายๆรัฐบาลก็มีการทำกันเป็นเรื่องปกติ เช่นไทยเข้มแข็ง, อนาคตไทย 2020 ถ้าต้องกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่เราเห็นด้วย แต่ต้องออกเป็น พรบ เพื่อให้สภาตรวจสอบ เสนอว่าจะต้องมีลักษณะ 3 T อย่างที่นายธนาธนเคยเสนอไว้ คือ targetted - มีเป้าหมายที่ชัดเจน, timely - มีระยะเวลาที่เหมาะสม, temporary - เกิดขึ้นชั่วคราว
ดังนั้นพัฒนาคตใหม่จึงขอเสนอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 5 ข้อ ให้รัฐบาลออกในลักษณะ พ.ร.บ.เงินกู้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อันประกอบไปด้วย
1.ปรับโครงสร้างหนี้ภาคเกษตรโดยด่วน งบประมาณลงไปที่ ธกส. เป็นหลัก ทุกวันนี้อัตราดอกเบี้ยที่ไม่ใช่สินเชื่อนนโยบายสำหรับลูกหนี้ชั้นดีของ ธกส.ยังค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับลูกหนี้ลั้นดีในธุรกิจอื่นๆ ลูกหนี้ชั้นดีควรได้ดอกเบี้ยต่ำกว่าลูกหนี้รายอื่นๆ ส่วนลูกหนี้ที่หมดศักยภาพจ่ายหนี้แล้ว เช่นผู้ป่วยทุพลภาพ ก็ควรมีการยกหนี้ให้
2.โครงการลงทุนเพื่อปรับภาครัฐให้ทันสมัยมากขึ้น (Modernize Public Sector) ให้เกิดโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวกับคุณภาพชีวิตคน เช่นการบริหารจัดการน้ำ ที่ยังด้อยประสิทธิภาพ จากที่เราไปศึกษามาหลายพื้นที่ไม่ต้องใช้เม็ดเงินเยอะ ถ้ากระจายได้ทุกที่จะทำให้เกิเดการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ด้วย, การลงทุนในโรงเรียนรัฐบาล, โครงสร้างพื้นฐานภาคเกษตรที่รัฐจัดหา เช่นไซโลหรือห้องเย็นเก็บสินค้าเกษตรสำหรับองค์การคลังสินค้า, งบปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยว เช่นด้านการขนส่งสาธารณะ ที่ผ่านมาเราปรับปรุงแต่ดีมานด์ ไม่ได้ปรับปรุงซัพพลายในด้านการท่องเที่ยวเลย
3.รัฐต้องทำหน้าที่เป็น kick-starter ช่วยซื้อสินค้าและบริการที่ยังไม่เกิดขึ้นในประเทศนี้เพราะไม่มีออเดอร์หรือออเดอร์น้อยเกินไป เช่นรถเมล์เล็กและรถเมล์ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากยางพารา ที่สามารถนำไปใช้ในสถานที่ราชการอย่างโรงพยาบาลของรัฐได้
4.มาตรการที่ไม่ใช่มาตรการด้านการคลังอื่นๆ กระตุ้นเศรษฐกิจในฐานราก เ่นการเปิดเสรีสุราชุมชนและคราฟต์เยียร์ ให้ชาวบ้านมีอิสระในการผลิตสุราพื้นบ้าน สุราชุมชน, การระงับโควต้านำเข้าพืชผักผลไม้เกษตรเป็นการชั่วคราวไปก่อน เป็น safeguard measure เนื่องจากที่ผ่านมามีการนำเข้าสินค้าเกษตรจากต่างประเทศมาตีราคา ต้องคุ้มครองชั่วคราวเพื่อให้เกษตรกรปรับตัวได้, การปรับวัตถุประสงค์ในที่ดิน สปก. เป็นต้น
5.ชะลอการใช้เงินลงทุนที่ไม่ทำให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจในประเทศ เช่นการซื้ออาวุธ อย่างรถเกราะล้อยาง M1126 Stryker 2,480 ล้านบาท, เฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวนติดอาวุธ AH6i 12,000 ล้านบาท ที่ไม่มีโลคอลคอนเทนท์ กลายเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศอื่น ต้องชะลอการลงทุนในประเภทนี้ไปก่อน
“ทีนี้ถ้าถามว่ากู้เงินแล้วประเทศจะล่มจมหรือไม่ จริงๆแล้วตอนนี้สถานะทางการคลังยังพอไหว สามารถด่อหนี้เพิ่มได้อยู่บ้าง คนส่วนมากจะดูที่ยอดหนี้สาธารณะต่อจีดีพี ซึ่งก็ยังอยู่ในกรอบวินัยทางการเงินการคลัง แต่ที่สำคัญกว่าคือภาระหนี้ต่อรายได้ เหมือนกับเวลาเราไปกู้เงินธนาคาร จะดูว่าเราเงินเดือนท่าไหร่ ผ่อนค่างวดไหวหรือไม่ ซึ่งถ้าดูภาระหนี้ต่อรายได้ของไทย ตอนนี้อยู่ที่ 8-9% ซึ่งยังอยู่ในระดับที่ไม่น่าเป็นห่วงและกู้เพิ่มได้” นางสาวศิริกัญญากล่าว
นางสาวศิริกัญญายังกล่าวต่อว่า ถ้ารัฐบาลจะออกเป็น พ.ร.บ.กู้เงิน ควรต้องมีการกำหนดวงเงินสำหรับทำการติดตามประเมินผลนโยบายไว้ด้วย เนื่องจากผลการดำเนินงานของรัฐบาลที่ผ่านมาไม่มีการประเมินผลทำให้การดำเนินโยบายไม่สำเร็จอย่างที่ตั้งเป้าเอาไว้
"เทพไท"ปลื้ม!ผู้สมัครส.ส.นครปฐมของปชป.ได้เบอร์ 3 หมายถึงพระรัตนตรัย
เมื่อวันที่ 30 กันยายน2562 นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเลือกตั้งซ่อม เขต 5 จังหวัดนครปฐม โดยพรรคประชาธิปัตย์ส่ง นายสุรชัย อนุตธโต ได้หมายเลข 3 ว่า เมื่อเช้าได้ไปให้กำลังใจผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นผู้สมัครเก่าในการเลือกตั้งวันที่24มีนาคมที่ผ่านมา ได้คะแนนเป็นอันดับที่2 และหลังจากพลาดโอกาสในการเลือกตั้งครั้งก่อน ก็ยังได้ลงพื้นที่ทำงานรับใช้ชิดพี่น้องประชาชนชาวสามพรานอย่างเสมอต้นเสมอปลาย เพราะเคยเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (สจ.)มาก่อน จึงทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ มีความหวังมากยิ่งขึ้น ถ้านำผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
มาวิเคราะห์กันจะเห็นได้ว่าฐานเสียงเดิมของพรรคประชาธิปัตย์จะมีความเหนียวแน่นมากยิ่งขึ้น เพราะพรรคพลังประชารัฐที่เคยแบ่งคะแนนจากพรรคประชาธิปัตย์ไป ไม่ได้ส่งผู้สมัครลงแข่งขันใครั้งนี้ ทำให้คะแนนของพรรคประชาธิปัตย์ 18,970คะแนน รวมกับของพรรคพลังประชารัฐ 18741คะแนน จะได้ 37,711คะแนน ชนะพรรคอนาคตใหม่ที่ได้ 34,164คะแนน แต่เมื่อในการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคชาติไทยพัฒนาที่มีคะแนน 12,279คะแนน ลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย จึงต้องทำให้ผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ลงพื้นที่อย่างหนักและลุ้นคะแนนกันต่อไป ซึ่งถ้าหากพรรคชาติไทยพัฒนาไม่ส่งสมัครในครั้งนี้ โอกาสของผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสสูงกว่าการเลือกตั้งครั้งที่แล้วมาก คือคะแนนของ3พรรครวมกันจะได้มากถึง49,990คะแนน
สำหรับการที่นายสุรชัย อนุตธโต จับฉลากได้เบอร์ 3นั้น ถือว่าสมความคาดหวัง และเป็นความพึงพอใจที่อยากได้หมายเลข 3 มาตั้งแต่ต้น เพราะมีความเชื่อว่า จังหวัดนครปฐม เป็นเมืองพุทธ มีองค์พระปฐมเจดีย์ มีพุทธมณฑล การได้เบอร์ 3 หมายถึงพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และสอดคล้องกับแคมเปญใช้หาเสียงในครั้งนี้ “เลือกตั้งวันที่ 23 เลือกเบอร์ 3 เพื่อชาวสามพราน สุรชัย อนุตธโต พรรคประชาธิปัตย์” จะทำให้ประชาชนจดจำตัวผู้สมัครและหมายเลขได้ง่ายมากกว่าผู้สมัครหมายเลขอื่นๆ
นายสุรชัย อนุตธโต เกิด 10 ส.ค. 2505 ประถม-ม.ศ 3 ร.ร ยอแซฟอุปถัมภ์ มัธยมปลาย ร.ร เตรียมอุดมศึกษา พญาไท อนุปริญญา ม.หอการค้าไทย คณะบริหารธุรกิจ ป.ตรี ม.ปทุมธานี คณะรัฐศาสตร์ ป.โท ม. ปทุมธานี คณะรัฐประศาสนศาสตร์ อดีต สมาชิกสภา อบจ.นครปฐม ปี 50-ปี 62 2 สมัย ประธานชมรมเรารักแม่น้ำท่าจีน จ. นครปฐม 2 สมัย อดีตประธานชมรมเรารักในหลวง อ. สามพราน เป็นคนสามพรานโดยกำเนิด ทำอาชีพรับมะพร้าวอ่อนส่งนอก เป็น สจ. 10 กว่าปี
สมัครสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2556 ที่อยู่ที่สามารถติดต่อได้ 41/10 หมู่ 5 ต.ท่าตลาด อ.สามพราน จ. นครปฐม
"จุรินทร์"ดันวิสาหกิจเพื่อสังคม นำกำไรไม่น้อยกว่า 70% คืนสังคม
วันที่ 30 ก.ย. 2562 เวลา 16.30 น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม ครั้งที่4/2562 ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยสาระสำคัญในการประชุมในวันนี้มีการพิจารณาร่างประกาศคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม เรื่องเงื่อนไขการนำผลกำไรไปใช้เพื่อสังคม โดยนายจุรินทร์ได้มอบหมายให้มีการปรับแก้เงื่อนไขเพื่อให้วิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise)แตกต่างจากการดำเนินธุรกิจเพื่อสังคมทั่วไป (Corporate Social Responsibility)
โดยมีสาระสำคัญคือวิสาหกิจเพื่อสังคมจะต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการจ้างงานแก่บุคคลผู้สมควรได้รับการส่งเสริมเป็นพิเศษ เพื่อการแก้ไขปัญหาสังคมหรือพัฒนาชุมชน สังคม หรือสิ่งแวดล้อม หรือเพื่อประโยชน์ส่วนรวมอื่นๆ และจะต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 มาจากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการ ไม่ใช่จากการบริจาค เพราะไม่เช่นนั้นวิสาหกิจเพื่อสังคมก็จะไม่มีอะไรแตกต่างจากมูลนิธิทั่วไป และที่สำคัญนายจุรินทร์ได้เน้นย้ำให้การนำผลกำไรไปแบ่งปันกันในระหว่างผู้ถือหุ้นนั้นจะทำได้ไม่เกินร้อยละ 30 แต่จะต้องนำผลกำไรที่ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 ไปทำประโยชน์เพื่อสังคม ซึ่งต้องมีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามแนวทางของสหประชาชาติด้วย
"ปิยบุตร"มั่นใจ"ไพรัฏฐโชติก์"ได้เก้าอี้ ส.ส.นครปฐมเขต 5
"ไพรัฏฐโชติก์ อนาคตใหม่" ได้เบอร์ 6 "ปิยบุตร" มั่นใจได้ ส.ส.พรรคกลับมา- ชี้เลือกตั้งซ่อม 4 เขต โอกาสฝ่าย ปชต.เปลี่ยนขั้วรัฐบาล "กำแพงเพชร-ขอนแก่น" อาจหลบแต่ "สมุทรปราการ" ลุยแน่ - คะแนนลุ้นพลิกชนะได้!
เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2562 ที่ว่าการ อ.สามพราน จ.นครปฐม นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เดินทางมาร่วมในการยื่นเอกสารและจับหมายเลขผู้สมัครในการรับสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เขต 5 จ.นครปฐม ซึ่งทางพรรคส่งนายไพรัฏฐโชติก์ จันทรขจร เป็นผู้สมัคร โดยในการจับสลากลำดับหมายเลข นายไพรัฏฐโชติก์ จับได้หมายเลข 6
นายปิยบุตร กล่าวว่า พรรคอนาคตใหม่มีความมั่นใจเกิน 100 เปอร์เซ็นต์ว่า การเลือกตั้งสามพราน จ.นครปฐม จะเป็นการแสดงมติมหาชน ใครที่ไม่ต้องการให้รัฐบาลสืบทอดอำนาจดำรงอยู่ต่อไป ใครเบื่อนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญ ใช้โอกาสนี้แสดงมติมหาชนให้คนทั้งประเทศได้เห็น และเราจะมีการเลือกตั้งอีกหลายๆ ที่ ไม่ว่าจะเป็น จ.กำแพงเพชร จ.ขอนแก่น และจ.สมุทรปราการ ตนก็อยากให้สามพราน จ.นครปฐม เป็นจุดเริ่มต้น โดยในการลงสนามเลือกตั้งครั้งนี้ เราตั้งใจเต็มที่ เตรียมทั้งปราศรัยย่อย ปราศรัยใหญ่ เดินเคาะประตูบ้าง ทั้งหัวหน้าพรรค ตนเอง และแกนนำพรรคจะเดินทางช่วยหาเสียงเข้าถึงประชาชนให้มากสุด และวันนี้นายไพรัฏฐโชติก์มีความพร้อม เรามั่นใจว่าจะทำได้ ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่เพียงแต่มีความสำคัญกับพรรคอนาคตใหม่ แต่ยังสำคัญต่อภาพรวมการเมืองภาพใหญ่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน การทำงานในสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงเรื่องแนวร่วมฝ่ายประชาธิปไตยที่เราพยายามต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจของ คสช.
"ถามว่าในการเลือกตั้งซ่อมเขตอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น จ.กำแพงเพชร จ.ขอนแก่น และ จ.สมุทรปราการ พรรคอนาคคตใหม่จะส่งผู้สมัครหรือไม่ เรื่องนี้ต้องเข้าสู่ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคเสียก่อน การที่เราจะส่งที่ใด ไม่ส่งที่ใด แต่จากการวิเคราะห์เบื้องต้นของผมเองและทีมงาม เราเห็นว่า การเลือกตั้งทั้ง 4 แห่ง เป็นโอกาสสำคัญในการต่อสู้ของฝ่ายประชาธิปไตย ของพรรคร่วมฝ่ายค้านทั้ง 7 พรรค ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่กำแพงเพชร และขอนแก่น เราจะไม่ส่งผู้สมัคร แต่ในส่วนของสมุทรปราการ ยืนยันว่าพรรคอนาคตใหม่จะส่งผู้สมัครลง เพราะว่าในส่วนนี้สำคัญเกี่ยวข้องกับคะแนนเสียงของ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และการเลือกตั้งครั้งที่แล้วผู้สมัครของเราก็ได้คะแนนไม่น้อย คะแนนทิ้งห่างกันไม่มาก เราก็มีโอกาสชนะในเขตนั้นเช่นเดียวกัน นี่คือการวิเคราะห์ส่วนตัวของตน แต่ในท้ายที่สุดต้องนำเข้าที่ประชุมกรรมการบริหาร อย่างไรก็ตาม อยากให้มองการเมืองภาพใหญ่ว่า การเลือกตั้งทั้ง 4 เขต ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนรัฐบาลได้ เราอยากเริ่มต้นที่นี่ 1 เสียงของพี่น้องชาวสามพราน สามารถเปลี่ยนรัฐบาลได้" นายปิยบุตร กล่าว
เวทีสมาร์ทเฮลท์ 2019 หนุน เทเลเมดิซีน เชื่อยกระดับคุณภาพชีวิตปชช.
เวทีสมาร์ทเฮลท์ 2019 หนุน เทเลเมดิซีน เชื่อยกระดับคุณภาพชีวิตปชช. ด้าน “เศรษฐพงค์” ชี้ระบบที่ดีต้องพัฒนาบุคลากรหมอร่วมด้วย เชื่อนโยบายรัฐบาลสนับสนุน ดัน “สภาฯ” ปรับกฎหมายให้สอดคล้องการเปลี่ยนแปลง -คุ้มครองหมอ
เมื่อวันที่ 30 กันยายน เวลา 14.00 น. กระทรวงสาธารณสุข คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) และ สมาคมโทรคมนาคมเพื่อสิทธิเสรีภาพของผู้ด้อยโอกาส ร่วมจัดสัมมนาเทเลเมดิซิน แอนด์ สมาร์เฮลท์ 2019 โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุข และด้านดิจิทัลเข้าร่วมเวที
พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคภูมิใจไทย ฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล กล่าวบรรยาย เรื่อง 5G พลิกโฉมการให้บริการด้านสาธารณสุข ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญวิกฤตผู้ด้อยโอกาสที่ไม่สามารถเข้าถึงสถานพยาบาลได้ หรือ สถานพยาบาล หรือบุคลากรทางการแพทย์อยู่ห่างไกล ขณะเดียวกันในวิกฤตดังกล่าวพบโอกาสคือการเข้ามาของเทคโนโลยีที่ทันสมัย ซึ่งเชื่อว่าภายใน 5- 10 ปี จะพบความพลิกผันของเทคโนโลยีที่สามารถช่วยเหลือและส่งเสริมการให้บริการทางการแพทย์ได้ เพราะปัจจุบันสมาร์ทโฟนของประชาชนสามารถเก็บข้อมูลด้านสุขภาพไว้ได้อย่างละเอียด ทั้งผลเลือด, ความดันโลหิต เป็นต้น และการพัฒนาของเทคโนโลยีที่มุ่งแก้ปัญหาในปัจจุบันเชื่อว่าจะตอบสนองการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ รวมถึงระบบสาธารณสุขจะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดได้ ดังนั้นสิ่งที่ประชาชนต้องทำตอนนี้คือ ปรับตัวเข้ากับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงรวมถึงให้การยอมรับ
ทั้งนี้ พ.อ.เศรษฐพงค์ ยังกล่าวในประเด็น เทเลเมดิซีน จุดเปลี่ยนสาธารณสุขไทย ด้วยว่าการเข้ามาของแพทย์ทางไกลผ่านระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ขณะนี้ไม่มีปัญหาด้านการเงินที่ใช้ลงทุน แต่ด้วยความตระหนักถึงการรักษาประชาชนที่มีคุณภาพ ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่ากระทรวงสาธารณสุข ระบุว่าต้องให้ความสำคัญกับบุคลากรทางการแพทย์ ดังนั้นในฐานะที่ตนเป็นฝ่ายนิติบัญญัติ มองว่ากฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องต้องปรับให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวด้วย เช่น การให้ความคุ้มครองบุคลากรทางการแพทย์
“หมอเป็นหัวใจสำคัญของคนไข้ ซึ่งเราให้ความสำคัญ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขบอกให้ตระหนักในความสำคัญของบุคลากรมากกว่าเทคโนโลยี ซึ่งผมเชื่อว่าฝ่ายการเมืองและฝ่ายนิติบัญญัติจะให้ความสำคัญเดินไปด้วยกันให้ได้ รวมถึงต้องยอมรับในการเปลี่ยนแปลงเพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ดีขึ้น โดยนโยบายของรัฐบาลที่ต้องให้ความสำคัญ” พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าว
ขณะที่ นพ.อดุลย์ รัตนวิจิตราศิลป์ รองคณบดีฝ่ายสารสนเทศ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เทเลเมดิซีน คือการรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่ไม่มีขอบเขตของเวลา หรือสถานที่ โดยเทคโนโลยีสามารถช่วยเรื่องดังกล่าวได้ ทั้งนี้การนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ ต้องคำนึงถึงมาตรฐานทางการแพทย์ระหว่างคนไข้ และแพทย์ ทั้งนี้เข้าใจว่าสถานพยาบาล กระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้ดูแลที่ให้สถานพยาบาลนเป็นไปอย่างมาตรฐาน ส่วนการบริการทางการแพทย์ เช่น สถานบริการทางการแพทย์ ต้องมีการบันทึกเพื่อติดตาม ดังนั้นเทเลเมดิซีนต้องมีการบันทึกข้อมูลเพื่อติดตามเช่นกัน ดังนั้นสถานบริการทางการแพทย์พยายามดำเนินการ แต่กฎหมายหรือระเบียบของกระทรวงสาธารณสุขยังไม่รับรอง อีกทั้งยังพบความยุ่งยากคือ การบันทึกประวัติผู้ป่วย เช่น กรณีที่กระทรวงสาธารณสุขให้จ่ายยา 4 โรคผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เป็นต้น
“ผมเชื่อว่าเทเลเมดิซีน หากได้รับการสนับสนุนด้านแพลตฟอร์มจะช่วยยกระดับการรักษาพยาบาลประชาชนได้ รวมถึงอำนวยความสะดวกในหลายๆ ด้าน เช่น การนัดหมาย, การให้บริการทางแพทย์รวมถึงการวินิจฉัย เช่น ด้านพยาธิแพทย์, ด้านรังสีแพทย์, การผ่าตัดที่ต้องอาศัยหุ่นยนต์ เป็นต้น ทั้งหมดผมคิดว่ากระทรวงต้องออกคำแนะนำว่าอะไรเหมาะหรือไม่เหมาะ โดยการใช้เทเลเมดิซีนต้องเลือกใช้ในมุมที่ประชาชนพอใจ เพื่อให้ระบบสามารถเดินหน้าได้” นพ.อดุลย์ กล่าว
ส่วน ทันตแพทย์หญิงกัญจน์ภัสสร สุริยาแสงเพ็ชร์ ผู้ก่อตั้งแอพพลิเคชั่น Ooca กล่าวว่า การแพทย์ไม่ได้หมายถึงแค่การรักษาเท่านั้น แต่จะมีขั้นตอนวินิจฉัย, การจ่ายยา หรือหาข้อมูลประกอบการวินิจฉัย รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางการแพทย์ ทั้งนี้การแพทย์ทางไกลมีมานานกว่า 20 ปี ส่วนประเทศไทยพยายามริเริ่ม แต่ระบบอินเตอร์เน็ตไม่มีความพร้อม ดังนั้นระบบแพทย์ผ่านทางไกลยังเป็นขั้นทดลอง ทั้งนี้มีความพยายามให้สังคมที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลมีชีวิตที่ดีขึ้น จนถึงปัจจุบันพบว่าด้วยความพร้อมของระบบทำให้การพัฒนาการแพทย์ผ่านทางไกลสามารถทำได้ดีขึ้น
ภายหลังงานสัมมนาดังล่าว นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ถึงการดำเนินโครงการการแพทย์ทางไกล ผ่านอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง หรือ เทเลเมดิซีน ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข และ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) เพื่อพัฒนาศักภาพการให้บริการและการรักษาด้านการสาธารณสุขในพื้นที่ทั่วประเทศว่า จากการดำเนินโครงการดังกล่าวในเฟสแรก เพื่อทดสอบระบบพบความสำเร็จที่เชื่อว่าการดำเนินการด้านสาธารณสุขดังกล่าวจะสามารถทำได้จริง และ เกิดผลสำเร็จ อย่างไรก็ตามการทดสอบระบบดังกล่าวยังพบปัญหาเล็กน้อย และเพื่อเป็นการแก้ปัญหา นายอนุทิน ลงนามแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นบุคลากรที่มีศักยภาพและมีความเชี่ยวชาญจากหลายมหาวิทยาลัย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 32 คน ร่วมเป็นคณะกรรมการสารสนเทศ ด้านสุขภาพ และชีวอนามัย เพื่อทำหน้าที่ติดตามและแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้การพัฒนาระบบและดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
“ผมมั่นใจว่าโครงการนี้ทำได้แน่นอน และสามารถลดความแออัดของสถานพยาบาลที่ประชาชนต้องมุ่งมารักษาตัวที่โรงพยาบาลหรือศูนย์สุขภาพ นอกจากนั้นมาตรฐานของการรักษาจะสามารถทำให้เกิดเป็นมาตรฐานเดียวกันและรักษาโรคได้ นอกจากนั้นตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ ผู้ป่วยใน 4 กลุ่มโรค คือ เบาหวาน,ความดัน, หอบหืด และ สุขภาพจิตจะสามารถรับยารักษาจากที่บ้าน ผ่านการลงทะเบียนข้อมูลร้านยาที่ลงทะเบียนไว้กับหน่วยงาน โดยไม่ต้องเดินทางไปยังสถานพยาบาล ซึ่งเป็นระบบที่สามารถใช้ได้จริงและทันทีด้วยด้วยเทคโนโลยีการรักษาในยุค 4.0” นายวัชรพงศ์ กล่าว
ขณะที่ พ.อ.เศรษฐพงค์ ให้สัมภาษณ์ด้วยว่านายอนุทิน เตรียมเปิดตัวโครงการเทเลเมดิซิน อย่างเป็นทางการในพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ภายในสิ่นปีนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ สามารถเข้ามาส่งเสริมและยกระดับมาตรฐานการรักษาพยาบาลให้กับประชาชนได้ และประชาชนจะได้รับประโยชน์อย่างย่ิง ทั้งนี้จากที่กระทรวงสาธารณสุขร่วมลงนามกับ กสทช. ผมเชื่อว่าด้านเทคโนโลยีที่สนับสนุนงานดังกล่าวจะทำได้เต็มประสิทธิภาพ ขณะที่บุคลากร ทราบว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมความพร้อมไว้แล้ว นอกจากนั้นสิ่งที่ต้องทำควบคู่กันคือ การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความเข้าใจกับประชาชนว่าการรักษาผ่านระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง นั้นจะมีมาตรฐานการรักษาเท่ากับการรักษาผ่านมือหมอ
“ในหลายประเทศมีการรักษาด้านการแพทย์ผ่านระบบอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง เช่น ประเทศญี่ปุ่น พบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งผมเชื่อว่าเมื่อประเทศไทยได้ดำเนินการเรื่องนี้แล้ว จะช่วยยกระดับการรักษาพยาบาลและแก้ปัญหาด้านระบบสาธารณสุขที่เคยมีมาในอดีตได้อย่างแน่นอนโดย มุ่งหวังเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชนคนไทยให้ดีขั้น” พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าว
"มาดามเดียร์"ยังย้ำ ! แก้ปากท้องสำคัญกว่าแก้"รธน."
"มาดามเดียร์-ลูกบุญทรง"ร่วมประชุมสภาลมหายใจเชียงใหม่ เพื่อดิน น้ำ ป่า อากาศยั่งยืน ลดฝุ่นควัน นำร่อง 25 อำเภอ เผย พปชร.พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งท้องถิ่นทั่วประเทศ ย้ำแก้ปัญหาปากท้อง ปชช.สำคัญกว่า แก้ รธน.
วันที่ 30 กันยายน 2562 ที่ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พร้อมด้วยนายเดชนัฐวิทย์ เตริยาภิรมย์ ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ ร่วมประชุมกับสภาลมหายใจเชียงใหม่ เพื่อดิน น้ำป่าอากาศยั่งยืน ซึ่งเป็นการพัฒนาความร่วมมือและการสนับสนุนสภาลมหายใจเชียงใหม่ เพื่อการขับเคลื่อนพื้นที่ปฏิบัติการ 30 ตำบลนำร่อง ใน 25 อำเภอ จัดการชุมชน ดิน น้ำ ป่า อากาศ ยั่งยืน เพื่อลดฝุ่นควันให้อากาศสะอาด โดยการสนับสนุนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่
น.ส.วทันยา กล่าวว่า มาร่วมรับฟังปัญหาของสภาลมหายใจเชียงใหม่ ที่ประกอบไปด้วยทุกภาคส่วน เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ ชาวบ้านบนดอย และพื้นราบ รวมถึงหน่วยงานภาครัฐทภาคประชาสังคม โดยชาวบ้านก็จะสะท้อนปัญหาหมอกควันไฟป่าที่เกิดขึ้นในพื้นที่ตัวเองว่ามาจากอะไร สาเหตุหลักมาจากชาวบ้านไม่มีอาชีพ จึงเข้าไปเผาป่า หรือ หาของป่า รวมถึงเผาซังข้าว และซังข้าวโพด ดังนั้นวิธีที่จะแก้ปัญหาได้ดีที่สุด คือการสร้างอาชีพอย่างยั่งยืน เน้นความเข้มแข็งของชุมชน เช่น วิสาหกิจชุมชน ซึ่งรัฐบาลมีโครงการประชารัฐสร้างไทย ที่กำลังเดินหน้า สำหรับแก้ปัญหาเศรษฐกิจฐานราก ถูกต้องและตรงจุดที่สุด โดย ธกส.มีแผนการให้สินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษในการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน และ ปลูกป่าสร้างรายได้ เป็นต้น เมื่อชาวบ้านมีสินค้าแล้ว ก็ต้องหาตลาดให้ ซึ่งตอนนี้ ธนาคารออมสิน มีตลาดประชารัฐ ขณะที่ ปตท.ก็ให้พื้นที่ภายในปั้มไปขายสินค้าได้ และกำลังขยายเพิ่มไปปั้มบางจาก ขณะเดียวกันส่วนตัว ยังมองเรื่องการนำเทคโนโลยีมาต่อ ยอดเพื่อนำผลิตภัณฑ์ไปสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่นนำเข้าสู่แพลทฟอร์มอีคอมเมิร์ช สร้างการเชื่อมโยงผู้ประกอบการกับชาวบ้าน เกษตรกรโดยไม่ผ่านคนกลาง ซึ่งเหล่านี้สามารถทำได้ทันทีโดยไม่ต้องรอภาครัฐ
น.ส.วทันยา ยังให้สัมภาษณ์ถึงการเตรียมความพร้อมในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งท้องถิ่นว่า พรรคพลังประชารัฐให้ความสนใจในสนามเลือกตั้งท้องถิ่นทั้ง 77 จังหวัด และมีเป้าหมายที่อยากประสบความสำเร็จทุกจังหวัด ไม่ได้เน้นหรือให้ความสำคัญกับจังหวัดใดเป็นพิเศษ เห็นได้จากการเลือกตั้งระดับประเทศเมื่อ 24 มีนาคม ที่ผ่านมา พรรคก็ให้ความสำคัญกับทุกพื้นที่ เพราะทุกคะแนนจากพี่น้องประชาชนมีความหมาย ส่วนพื้นที่ จ.เชียงใหม่นั้น คงไม่ใช่แค่พรรคพลังประชารัฐ ที่อยากได้ที่นั่งในสนามท้องถิ่น แต่คงเป็นทุกพรรคการเมือง ที่จะส่งผู้สมัครลงแข่งขัน ทั้งนี้ยืนยันว่า พรรคมีความพร้อมในส่วนของตัวผู้สมัครและมั่นใจว่าจะได้รับความไว้วางใจ เพราะการเลือกตั้งใหญ่ พรรคก็ได้คะแนนป็อปปูล่าร์โหวตเป็นอันดับ 1 จึงเชื่อมั่นใจในฐานคะแนนเสียง สำหรับการวางตัวบุคคลลงสมัครรับเลือกตั้งท้องถิ่นนั้น ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริหารและคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคจะพิจารณา เพราะต้องยอมรับว่า การทำงานของท้องถิ่นมีส่วนสำคัญที่จะต้องประสานและเชื่อมโยงกับการทำงานของรัฐบาลโดยภาพรวม เพื่อให้สอดคล้องกัน
น.ส.วทันยา ยังกล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านรณรงค์ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2560 ว่า พรรคเรายินดีรับฟังความคิดเห็นของทุกพรรค แต่ส่วนตัว คิดว่า เวลานี้สิ่งสำคัญคือการแก้ปัญหาปากท้องให้กับพี่น้องประชาชน ผลักดันนโยบายที่ได้หาเสียงให้สำเร็จเป็นรูปธรรม น่าจะเป็นเรื่องแรกที่ควรทำมากกว่าแก้รัฐธรรมนูญ
"มจร-คณะสงฆ์ พศจ. เขตการศึกษา เมืองเพชร" จับมือพัฒนาคุณภาพชีวิตครูเบิกบานทำงานเป็นสุข
"มจร-คณะสงฆ์ พศจ. เขตการศึกษา เมืองเพชร" พัฒนาคุณภาพครูให้มีชีวิตเบิกบานทำงานเป็นสุข รองเจ้าคณะเพชรบุรีแนะพระสงฆ์นักเผยแผ่ต้องยึดหลักโอวาทปาติโมกข์ในการสอน
วันที่ 30 กันยายน 2562 ที่โรงเรียนพรหมานุสรณ์ จังหวัดเพชรบุรี พระปราโมทย์ วาทโกวิโท,ดร. พระวิทยากรธรรมโอดี เปิดเผยว่า ได้เป็นพระวิทยากรกระบวนการฝึกอบรมโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ การพัฒนาคุณภาพชีวิตบุคลากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและเสริมสร้างองค์กร หลักสูตรชีวิตเบิกบานการทำงานเป็นสุข ฝึกอบรม ที่โรงเรียนพรหมานุสรณ์จังหวัดเพชรบุรี มีครูผู้บริหารเข้าร่วม 156 คน ในระยะเวลา 2 วัน ซึ่งมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ร่วมกับคณะสงฆ์เพชรบุรี สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบุรี และสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาจังหวัดเพชรบุรีร่วมมือกันจัดกิจกรรมในครั้งนี้
โดยได้รับความเมตตาจากพระพิพิธพัชโรดม รองเจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรี รักษาการรองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร วิทยาลัยสงฆ์เพชรบุรี เป็นประธานกล่าวเปิดงาน กล่าวว่า เป็นการพัฒนาชีวิตให้คุณภาพสุขภาพ รวมถึงการพัฒนาด้านอบรมจริยธรรมของครูผู้บริหารทุกคน ซึ่งพระสงฆ์ที่เป็นนักเผยแผ่หรือวิทยากรฝึกอบรมจะต้องยึดหลักโอวาทปาติโมกข์ ด้วยการไม่พูดร้ายไม่ทำร้ายแต่ต้องไปแนะนำด้วยกัลยาณมิตรยกจิตให้สูงขึ้น
ทั้งนี้รองเจ้าคณะจังหวัดเพชรบุรีในนามคณะสงฆ์ เน้นย้ำว่า ครู ผู้บริหาร และพระสงฆ์ต้องเป็นต้นแบบด้านคุณธรรม ในการฝึกอบรมครั้งนี้ได้รับความเมตตาจากพระมหาหรรษา ธมฺมหาโส รศ.ดร.ผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ มจร ในฐานะรองประธานการปฏิรูปการสอนพระพุทธศาสนาในโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)
วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2562
รมช.ประภัตรแถลงจัดงานวันไข่โลก นาทีทอง 2.50 บาทต่อฟองที่รพ.ศิริราช -จุฬาภรณ์ -รามา
รมช.ประภัตร ชวนไปดูของดี มีคุณประโยชน์สูงต่อร่างกายและราคาถูกมีในโลก หาได้ที่งานสัปดาห์วันไข่โลก 11-17ต.ค.ทั้งแจกฟรี วันละ 2 หมื่นฟอง จัดนาทีทองขายต่ำกว่าทุน 2.50 บาทต่อฟอง ที่รพ.ศิริราช -จุฬาภรณ์ -รามา ยังนำยาเก่ามาแลกไข่ได้เตรียมไว้ 4 หมื่นฟอง ระบุเร่งผลักดันไข่เข้าโครงการอาหารเสริมเพิ่มจากนมโรงเรียน ชี้ทำให้เด็กสมองดี
วันที่ 30 กันยายน 2562 นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ นายแพทย์ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัย และนายเรวัติ หทัยสัตยพงศ์ ประธานคณะทำงานโครงการรณรงค์บริโภคไข่ไก่ 300 ฟอง ร่วมแถลงข่าวการจัดงานวันไข่โลก 2562 โดยประเทศไทย งานสัปดาห์วันไข่โลก 2562 จัดขึ้นตั้งแต่เวลา 07:00-16.00 น. ทั้งหมด 3 วัน คือ วันที่ 7 ตค 62 ณ โรงพยาบาลศิริราช ชั้น 1 อาคาร 100 ปี สมเด็จพระศรีนครินทร์ วันที่ 9 ตค 62 ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ชั้น 1 อาคาร 14 ชั้น เชื่อมต่อชั้น 1 อาคารคัคณางค์ วันที่ 11 ตค 62 ณ โรงพยาบาลรามาธิบดี โถงชั้น 1 อาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ และ อาคารหลัก (อาคาร 1) นอจากนี้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากโรงพยาบาลทั้ง 3 แห่งมาบอกเล่าเรื่องราวคุณประโยชน์ของไข่ไก่ พร้อมกิจกรรมแจกไข่ฟรีเพียงแค่สแกนคิวอาร์โค๊ดเข้าร่วมงานคนละ 2 ฟอง เตรียมไข่ไก่ไว้ทั้งหมด 20,000 ฟองต่อวัน ภายในงาน สำหรับงานที่จัดที่โรงพยาบาลศิริราชมีกิจกรรมพิเศษคือ นำยาเก่ามาแลกไข่ใหม่ ได้รับคนละ 4 ฟอง โดยเตรียมไว้ 40,000 ฟอง นอกจากนี้ยังมีการจำหน่ายไข่สดและไข่แปรรูปคุณภาพราคาพิเศษนำรายได้ช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้แต่ละโรงพยาบาล จัดช่วงนาทีทอง ขายไข่ตำ่กว่าทุน ไข่เบอร์ 2-3 ราคาฟองละ 2.50บาท
นายประภัตร กล่าวว่า แต่เดิมนั้นตนคิดว่า กินไข่แล้วจะทำให้คลอเลสเตอรอลสูง แต่เมื่อทราบข้อมูลจากแพทย์ว่า ไข่ไม่ได้เป็นสาเหตุของคลอเรสเตอรอลในเลือดสูงจึงรับประทานเป็นประจำ ขณะนี้มีแนวคิดจะให้นำไข่ไก่เป็นอาหารเสริมสำหรับนักเรียนทั่วประเทศ โดยอาจเข้าร่วมกับโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน เบื้องต้นมอบหมายให้ทางกรมปศุสัตว์พิจารณาแนวทางโดยเร่งด่วน
“ให้กรมปศุสตว์ไปหาแนวทางว่า ทำได้หรือไม่ หากเด็กได้รับทั้งนมและไข่ไก่เป็นอาหารเสริมจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้น ร่างกายแข็งแรงและสมองดี “ นายประภัตรกล่าว
นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์กล่าวว่า Egg Board และคณะทำงานโครงการรณรงค์บริโภคไข่ไก่ 300 ฟองใช้โอกาส “วันไข่โลก” รณรงค์บริโภคไข่ไก่เป็นประจำทุกปี โดยยุทธศาสตร์ไก่ไข่ ฉบับที่ 3 พ.ศ. 2562-2566 ยังคงตั้งเป้าการบริโภคไข่ไก่ของคนไทยไว้ที่ 300 ฟองต่อคนต่อปี ภายใต้แนวคิด “กินไข่ทุกวัน กินได้ทุกวัย” ทั้งนี้เพื่อเผยแพร่ให้คนไทยเห็นคุณประโยชน์ในการบริโภคไข่ซึ่งมีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยระดับโลกเช่น มหาวิทยาฮาร์เวิร์ดรองรับ ขณะที่กรมปศุสัตว์จะกำกับดูแลกระบวนการเลี้ยงไก่ไข่ของประเทศไทยซึ่งมาตรฐานการผลิตในระดับสูง ให้ผลผลิตไข่ที่สะอาด และปลอดภัยต่อผู้บริโภค
สำหรับการเลี้ยงไก่ไข่เพื่อผลิตไข่ไก่ถือเป็นอาชีพหลักอาชีพหนึ่งของเกษตรกรไทยซึ่งสามารถผลิตไข่ไก่ได้เฉลี่ยปีละ 15,000 ล้านฟอง เป็นความมั่นคงทางอาหารของประเทศและตอบสนองความต้องการการบริโภคของคนไทยได้อย่างเพียงพอ ขณะนี้อัตราการบริโภคของคนไทยยังอยู่เพียง 247 ฟองต่อคนต่อปี ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดให้ได้ 300 ฟองต่อคนต่อปี ทั้งนี้เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้ว คนไทยยังคงบริโภคไข่ไก่ต่ำกว่ามาก ทั้งที่ไข่ไก่เป็นอาหารโปรตีนสูงและมีคุณค่าโภชนาการอื่นๆ ต่อร่างกายมาก จึงจะร่วมกันรณรงค์ส่งเสริมสุขภาพที่ดีของประชาชนผ่านการบริโภคไข่ไก่ ซึ่งยังส่งผลพลอยได้ไปถึงเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ทั่วประเทศให้ประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืนด้วย
ด้านนายแพทย์ดนัย ธีวันดา รองอธิบดีกรมอนามัยกล่าวว่า “ไข่” เป็นอาหารที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายที่อยู่คู่ครัวไทยมาช้านาน สามารถดัดแปลงเป็นอาหารได้หลากหลายเมนู อีกทั้งยังมีราคาที่ถูกกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อสัตว์ประเภทอื่นๆ ไข่ไก่ 1 ฟอง ให้พลังงาน 80 กิโลแคลอรี มีโปรตีน 7 กรัม และมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยเสริมสร้างการเจริญเติบโตและการทำงานของระบบประสาทกระตุ้นการทำงานของสมอง เสริมสมาธิและความจำ ที่สำคัญ เลซิธินในไข่แดงยังเป็นสารตั้งต้นของสารสื่อประสาท ช่วยบำรุงประสาท ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจ โคลีน ช่วยเพิ่มความจำ และระบบไหลเวียนของเลือด ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ ลูทีน และซีแซนทีน ป้องกันจอรับภาพเสื่อมสภาพ ช่วยบำรุงสายตา โฟเลต มีส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดง ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง สังกะสี ช่วยในการเจริญเติบโตของร่างกาย การขาดสังกะสีทำให้เตี้ยและแคระแกรน แคลเซียม ฟอสฟอรัส ช่วยในการเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง วิตามินบี1 บี2 บี6 และ บี 12 ช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี ช่วยให้ไขมันแตกตัวเป็นอนุภาพเล็กๆและไหลเวียนไปกับกระแสเลือด ป้องกันการจับตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือด โดยสารอาหารเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพใน
การเรียนรู้ให้เด็กและเยาวชนได้อย่างดีเยี่ยม รวมถึงช่วยบำรุงสมองในกลุ่มวัยทำงานและผู้สูงอายุอีกด้วย
สำหรับปริมาณไข่ที่เหมาะสมในการบริโภคสำหรับคนแต่ละช่วงวัย ดังนี้ เด็กทารกตั้งแต่อายุ 6 เดือน เริ่มให้ไข่แดงต้มสุก ½ - 1 ฟอง ผสมกับข้าวบด ในครั้งแรกควรให้ปริมาณน้อยๆ แล้วค่อยเพิ่มปริมาณ เด็กอายุ 7-12 เดือน ให้กินไข่ต้มสุกวันละ ½ หรือ 1 ฟอง เด็กวัยก่อนเรียนอายุ 1-5 ปี เด็กวัยเรียน หญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร กลุ่มวัยทำงานและผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดี ไม่มีปัญหาไขมันในเลือดสูง สามารถกินไข่ได้วันละ 1 ฟอง ผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง สามารถกินไข่ได้ 3 ฟองต่อสัปดาห์ และต้องดูแลการบริโภคอาหารอย่างอื่นร่วมด้วย เลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูงหรือตามคำแนะนำของแพทย์ และไม่แนะนำให้กินไข่ดิบหรือไข่ยางมะตูม เพราะไข่ดิบอาจจะปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ (Salmonella) ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้มีไข้ ท้องเสีย ย่อยยาก และร่างกายไม่สามารถดูดซึมวิตามินไปใช้ประโยชน์ได้
"เจิมศักดิ์"แนะเมืองกรุงจัดระเบียบ รองรับ"คนสูงวัย ไม่ตายกลางถนน"
วันที่ 30 กันยายน 2562 นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง นักจัดรายการชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ความว่า สูงวัย ไม่ตายกลางถนน กลางวันของพฤหัสบดี 26 กันยายน ที่ผ่านมา หญิงชราวัย 65 ปี ซึ่งเคยเกิดเหตุหกล้มสะโพกหักต้องดามด้วยเหล็ก กำลังจะเดินข้ามถนนเพื่อไปขายของเล็กๆ น้อยๆ และไปพบปะกับเพื่อนเพื่อให้ชีวิตในยามชรามีความสุขตามอัตภาพ
ขณะที่เธอเดินข้ามถนน รถเมล์ร่วมประจำทาง สาย 77 วิ่งมาจากแยกดินแดงมุ่งหน้าสู่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มาติดไฟแดงบริเวณปากซอยราชวิถี 8 ในช่องเดินรถที่สาม เมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว คนขับรถเมล์ได้ขับรถชนคุณยาย ล้อรถบดทับบนร่างของหญิงชรา ทำให้เสียชีวิตกลางถนน
คนขับให้สัมภาษณ์ว่า ขณะขับรถไม่รู้ว่าได้ชนและทำให้คนเสียชีวิต จนกระทั่งได้ยินเสียงคนตะโกนบอกว่า “รถทับคน” ทบทวนได้ความว่ามีรถบรรทุกปูนซีเมนต์หยุดอยู่ในทิศทางตรงข้าม แต่ไม่ได้เอะใจว่าจะมีคนข้ามถนน เมื่อได้รับสัญญาณไฟเขียวจึงออกรถ อธิบายว่าด้านหน้ารถเมล์สูงมองไม่เห็นตัวคนข้ามถนน นับเป็นโศกนาถกรรมที่เกิดขึ้นใจกลางมหานครของประเทศ ขณะที่ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 15 ประเทศ ที่ชาวโลกยกย่องให้เป็นสถานที่ให้ผู้สูงอายุจะอยู่ได้อย่างมีความสุข
เป็นความจริงที่ผู้สูงอายุจากต่างชาติจำนวนไม่น้อย เช่น จากประเทศญี่ปุ่น ประเทศแถบสแกนดิเนเวียและยุโรปปรารถนาที่จะมาใช้ชีวิตในบั้นปลายที่ประเทศไทย
หากวิเคราะห์เจาะลึกลงไป ประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่และสุขสบายสำหรับผู้สูงอายุที่มีฐานะดี จริงอย่างที่ต่างชาติล้ำลือ แต่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ที่มีฐานะไม่ดีเป็นคนชั้นล่างของสังคม “ที่แก่ก่อนรวย” ยังประสบความยากลำบากในการดำรงชีพเป็นอย่างมาก
กรณีของคุณยายญาดา จงจรูญ ที่ถูกรถเมล์ทับข้างต้น สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทย แม้ใจกลางเมืองหลวงบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก็ยังมิได้จัดระบบเพื่อรองรับสังคมสูงวัยที่จะมีปัญหาหนักหนาสาหัสในอนาคตอันใกล้ ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุจำนวนมากถึงหนึ่งในสามของคนทั้งประเทศ ซึ่งส่วนมากก็เป็นคน “แก่ก่อนรวย”
หลายคนอาจไม่เข้าใจว่า คุณยายทำไมถึงไม่ใช้สะพานลอยในการข้ามถนน ถ้าวิญญาณของคุณยายตอบได้คงจะอธิบายว่า ด้วยวัยของคุณยายที่แขนขากล้ามเนื้ออ่อนแรง เคยประสบเหตุสะโพกหักมาแล้ว การที่จะต้องเดินขึ้นบันไดของสะพานข้ามถนน จะต้องยันกายมือจับราวระวังล้ม กว่าจะถึงชั้นบนของสะพานก็คงเหนื่อยแทบขาดใจ เมื่อเดินข้ามสะพานไปอีกฝั่งก็ยังต้องยันกายลงสะพาน มือจับราวสะพานกันลื่นล้มตกบันได กว่าจะถึงพื้นดินก็หลายสิบขั้น
เป็นสิ่งที่น่าพิจารณาว่า เมื่อประเทศไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยที่จะมีผู้สูงอายุจำนวนมากมายมหาศาล ในอนาคตเราจะปรับสภาพแวดล้อมให้กับผู้ใช้ทางด้วยเท้าทั้งบนบาทวิถี และทางข้ามถนนให้สะดวกปลอดภัยได้อย่างไร
ข้อดีของการมีสะพานลอยข้ามถนน
1. รถยนต์สามารถเคลื่อนตัวได้อย่างสะดวกคล่องตัวได้มากขึ้น โดยผลักภาระให้ผู้เดินเท้าจะต้องหลบรถปีนบันไดขึ้นสะพานทางข้าม และลงสะพานทางข้ามอีกด้านหนึ่ง ในบางกรณีผู้ที่ต้องการข้ามถนนจะต้องเดินอ้อมไปหาสะพานข้ามถนนที่อยู่ไกล และเมื่อลงจากสะพานข้ามถนนก็ยังต้องเดินเท้าไปยังที่หมาย
2. สะพานคนเดินข้ามถนน (สะพานลอย) จะไม่ช่วยให้รถเคลื่อนตัวได้คล่องมากนักในบริเวณกลางใจเมืองที่มีรถติดหนาแน่นอยู่แล้ว แต่สะพานลอยสำหรับคนเดินข้ามถนน อาจจะเหมาะสำหรับรถบนถนนที่วิ่งได้เร็ว โดยเฉพาะส่วนที่อยู่ชานเมืองหรือนอกเมือง
ทางคนเดินข้ามถนน (ทางม้าลาย)
1. เป็นการยกระดับความสำคัญคนเดินเท้าให้เสมอกับคนขับรถ เพราะเมื่อมีสัญญาณไฟจราจรสลับสับเปลี่ยน เวลาที่รถวิ่งและเวลาที่คนเดินข้ามถนน ก็เป็นการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนสิทธิการใช้ถนนที่เท่าเทียมกันมากขึ้น
2. บริเวณถนนในเมือง ที่มีรถหนาแน่นติดขัดเคลื่อนตัวได้ยากลำบาก การให้คนเดินข้ามถนนในทางม้าลายจะไม่ทำให้รถติดมากขึ้นเท่าใดนัก เพราะเมื่อจอดให้สิทธิคนข้ามถนน และพอได้รับสัญญาณเคลื่อนรถก็สามารถวิ่งต่อไปทันรถคันหน้าที่อยู่ไม่ไกล เพราะอย่างไรรถก็ติดขัดวิ่งไม่ค่อยได้อยู่ดี
คนเดินบนทางเท้า (บาทวิถี) ในปัจจุบัน ยังต้องผจญกับจักรยานยนต์ที่หลบขึ้นวิ่งบนทางเดินเท้า นอกจากขโมยสิทธิการเดินเท้าอย่างปลอดภัยแล้ว ยังเกิดเหตุเชี่ยวชน บาดเจ็บ พิการ หรือเสียชีวิตก็มีไม่น้อย ยิ่งกว่านั้นยังมีการอนุญาตให้ผู้ขับขี่รถยนต์และจักรยานยนต์สามารถนำรถของตนมาจอดบนทางเท้าในบางจุดได้อีกด้วย
เมื่อเกิดอุบัติเหตุรถชนคน ทับผู้สูงอายุเสียชีวิต หรือแม้แต่เฉี่ยวชนจนล้ม ก็สร้างความเสียหายอย่างมาก เพราะการเจ็บปวดมิได้เกิดแต่เฉพาะเหยื่อผู้ถูกรถชนเท่านั้น แต่ยังเจ็บไปทั้งบ้านทั้งครอบครัว การสร้างระบบรองรับปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับสังคมสูงวัย จึงเป็นค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าการบาดเจ็บ พิการ หรือล้มตาย ซึ่งคนขับรถต้องรับโทษและเสียเวลาไปอย่างมากกับคดีความอีกด้วย
เพื่อดัดสันดานคนขับรถที่ไม่ยอมหยุดรถในทางคนข้าม (ทางม้าลาย) เจ้าหน้าที่จะต้องตรวจจับสม่ำเสมอ ให้ทุกครั้งที่มีคนฝ่าสัญญาณไฟไม่หยุดให้คนข้าม จะต้องถูกจับดำเนินคดีอย่างสม่ำเสมอ อาจนำเทคโนโลยีที่ต่างประเทศ เช่น ที่ประเทศจีนนำมาใช้ กล่าวคือ เมื่อมีสัญญาณไฟให้ผู้เดินเท้าสามารถเดินข้ามถนนได้ ก็จะมีหมุดลักษณะเป็นแท่งกลมผุดขึ้นจากถนน เพื่อกันมิให้รถยนต์เข้ามาประชิดถึงผู้ที่เดินข้ามถนนได้ และเมื่อไฟสัญญาณจราจรอนุญาตให้รถยนต์วิ่ง หมุดดังกล่าวจะลดระดับต่ำลงไปเสมอพื้น
ในประเทศญี่ปุ่น บริเวณใจกลางเมืองหรือสี่แยกที่มีผู้คนหนาแน่น เจ้าหน้าที่จะจัดไฟจราจรในบางช่วงเวลาให้รถยนต์ต้องหยุดในถนนทั้งสี่ด้าน (ไฟแดงทุกด้าน) ทั้งนี้เพื่อให้คนเดินเท้าสามารถเดินข้ามถนนในทิศทแยงมุมเพื่อความสะดวกรวดเร็วได้ แทนที่ผู้เดินเท้าจะต้องเดินข้ามถนนสองช่วง แสดงให้เห็นว่าสังคมให้ความสำคัญกับผู้เดินเท้ามากกว่าผู้ใช้รถยนต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญเพราะผู้เดินเท้าต้องฝ่าควันพิษ แดดร้อน เหงื่อโทรมกาย ต่างกับผู้ที่ใช้รถยนต์ที่ได้นั่งและบางกรณีมีเครื่องปรับอากาศสบายกว่ามาก
ข้อเสนอที่ให้ความสำคัญกับผู้เดินเท้า ดูจะขัดกับวัฒนธรรมของไทย แต่เดิมที่เน้นสิทธิให้ความสำคัญกับคนระดับสูงที่มีอำนาจ ร่ำรวย มีรถยนต์ชั้นดีใช้
ข้อเสนอเพื่อปรับสภาพแวดล้อมการเดินทางด้วยเท้านี้ รวมถึงการปรับสภาพถนน ทางยกระดับให้เหมาะสมสามารถใช้ได้กับคนทุกวัย ต้องอาศัยการทำความเข้าใจ การยอมรับของสังคมชั้นสูงที่มีอำนาจอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้เห็นแก่มนุษยธรรม ยกระดับฐานะของประเทศในสายตาของต่างชาติ ให้เป็นประเทศที่น่าอยู่สำหรับคนทุกวัยและทุกชนชั้นอย่างแท้จริง
"จุรินทร์"ชี้ขรก."ประจำ-การเมือง" เป้าหมายเดียวกันคือความสุขประชาชน
"จุรินทร์"ชูกำลังใจให้ข้าราชการเกษียณทุกคนล้วนสำคัญ ข้าราชการการเมืองและประจำต่างมีเป้าหมายเดียวกันคือความสุขประชาชน
เมื่อ เวลา 11.30 น. วันที่ 30 กันยายน 2562 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานงานวันเกษียณราชการ ข้าราชการ กระทรวงพาณิชย์ โดยได้กล่าวใจความสำคัญว่า ข้าราชการประจำต่างกับข้าราชการการเมือง คือ ข้าราชการการเมืองมีเวลาจำกัดแต่มีวาระไม่แน่นอน และไม่มีเกบียณอายุราชการ แต่ข้าราชการประจำมีวาระที่ชัดเจนแน่นอน แต่มีเงื่อนไขกำหนดที่ชัดเจนแน่นอยตั้งแต่ย่างก้าวเข้าสู่การเป็นข้าราชการประจำ
แต่สิ่งที่มีความเหมือนกัน คือ เราต่างล้วนมีเป้าหมายเพื่อความเจริญก้าวหน้าของกระทรวง ความเจริญก้าวหน้าของแผ่นเดิน ประชาชน และประเทศชาติที่รักยิ่งโดยจะต้องดำเนินกิจการเหมือนครั้งแรกที่ปฏิญาณไว้
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ข้าราชการเกษียณอายุในที่นี้ล้วนแต่ปฏิบัติหน้าที่นำมาซึ่งความภาคภูมิใจทั้งสิ้น โดยงานวันเกษียณอายุราชการกระทรวงพาณิชย์ประจำปี 2562 มีจำนวนข้าราชการเกษียณทั้งสิ้น 118 คนและได้มีพิธีมอบ เปลี่ยนที่ระลึกให้แก่ผู้เกษียณอายุราชการทั้งหมดโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
และในช่วงหนึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจสำคัญในการพัฒนาและผลักดันเศรษฐกิจการค้าของประเทศให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืนและมั่นคงดังนั้นข้าราชการลูกจ้างและพนักงานในสังกัดทุกกรมกองจึงเป็นฟันเฟืองที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันพร้อมที่จะขับเคลื่อนกระทรวงพาณิชย์บนเส้นทางแห่งการพัฒนา จึงขอขอบคุณและให้กำลังใจ
ชทพ.ไม่หลีก! นำ'เผดิมชัย' สมัครเลือกตั้งซ่อมเขต 5 นครปฐม
ชทพ.ไม่หลีก! นำ'เผดิมชัย' สมัครเลือกตั้งซ่อมเขต 5 นครปฐม ได้เบอร์เข้าวัดขอพรหลวงพ่อวัดไร่ขิง
เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2562 ที่ว่าการอำเภอสามพราน จ.นครปฐม นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ ได้เดินทางไปสมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส. นครปฐม เขตเลือกตั้งที่ 5 ในนามพรรคชาติไทยพัฒนา โดยมีน.ส.กัญจนา ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา พร้อมด้วยผู้บริหารพรรคชทพ.และส.ส.พรรคชทพ. อาทิ นายธีระ วงศ์สมุทร พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน นายจองชัย เที่ยงธรรม นายนิกร จำนง นายนพดล มาตรศรี นายสรชัด สุจิตต์ ส.ส.สุพรรณบุรี นายพาณุวัฒณ์ สะสมทรัพย์ นายอนุชา สะสมทรัพย์ เดินทางไปให้กำลังใจ โดยนายเผดิมชัย จับสลากได้หมายเลข 1 ในการสมัคร ส.ส.นครปฐม เขต 5 ในครั้งนี้
จากนั้นนายเผดิมชัย และผู้บริหารพรรคชาติไทยพัฒนา ได้เดินทางไปกราบสักการะหลวงพ่อวัดไร่ขิง ก่อนที่นายเผดิมชัยนำทีมงานสาขาพรรคชาติไทยพัฒนาจ.นครปฐม เดินทางไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในจังหวัดนครปฐมเพื่อเป็นสิริมงคลในการลงรับเลือกตั้งครั้งนี้
นางสาวกัญจนา กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่มีการสอบถามว่าเหตุใดพรรคร่วมรัฐบาลจึงได้ส่งผู้สมัครเข้ามาแข่งขัน ซึ่งเบื้องต้นก็ได้มีการพูดคุยกันแต่ก็ไม่ได้มีบทสรุปอะไรออกมาที่เป็นทางการมีแต่การพูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการส่วนตัวเองก็ไม่ได้มีการมาพูดคุยส่วนตัวแต่เข้าใจว่าเป็นการคุยกับคุณวราวุธ ซึ่งการจตัดสินในส่ง นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์กลับมาลงแข่งขันเนื่องจาก ศักดิ์ศรีและความผูกพันธ์ของตระกูลสะสมทรัพย์กับชาวนครปฐมนั้นมีมาอย่างยาวนานและเมื่อมีการเลือกตั้งซ่อม ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ทางสะสมทรัพย์ลงมาแข่งขันและก็ไม่ทราบว่าจะเป็นการผิดกติกาอะไรด้วย ส่วนความมั่นใจต้องถามที่คุณเผดิมชัยแต่ทางพรรคชาติไทยพัฒนาก็ยืนยันคามพร้อมที่จะเป็นอีก 1 เสียงของพรรคร่วมรัฐบาลได้
ทั้งนี้ตั้งช่วงเช้าที่ผ่านมาได้มีผู้สมัครจากพรรคต่างๆ รวม 6 คน มายื่นสมัครและจับสลากหมายเลขการเลือกตั้ง โดยลำดับที่ 1. นายเผดิมชัย สะสมสทรัพย์ พรรคชาติไทยพัฒนา 2.นางสาวศิริขวัญ แย้มมูล พรรคพลังสังคม 3. นายสุรชัย อนุตธโต พรรคประชาธิปัตย์ 4.นางลาวัลย์ สิงห์สถิต พรรคเสรีรวมไทย 5. นางสาวปริมปรางค์ แสงสว่าง พรรคไทยศรีวิไลย์ 6.นายไพรัฎฐโชติก์ จันทรขจร พรรคอนาคตใหม่
โดยนายสุรชัย อนุตธโต ได้หมายเลข 3
รมต.เทวัญจี้ สคบ.พัฒนา Big Data ต่อยอดนโยบายภาครัฐ
รมต.เทวัญ เปิด 2 กิจกรรม สคบ. เน้นคุ้มครองผู้บริโภคอย่างทั่วถึง พัฒนาข้อมูลเชื่อมโยงระบบ Big Data ต่อยอดนโยบายภาครัฐ
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 30 ก.ย.2562 ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น หลักสี่ กรุงเทพฯ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เปิด 2 กิจกรรมใหญ่ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เพื่อเสริมสร้างการทำงานร่วมกับเครือข่าย ให้ความคุ้มครองผู้บริโภคอย่างครอบคลุมทุกพื้นที่ และอาศัยเทคโนโลยี Big Data เพื่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
โดยกิจกรรมแรก คือ โครงการ "พัฒนาศักยภาพเครือข่ายอาสาสมัครคุ้มครองผู้บริโภค (อสคร.) รุ่นที่ 1" เพื่อการพัฒนาเครือข่ายอาสาสมัครของ สคบ. ให้มี คุณภาพ สามารถเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารได้อย่างมีประสิทธิภาพทุกพื้นที่ ตามแผนยุทธศาสตร์การคุ้มครองผู้บริโภค (พ.ศ.2560-2564) และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำชับให้ สคบ. ให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้ทั้งผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจ กิจกรรมครั้งนี้มีเครือข่ายภาคประชาชนที่เป็น อสคบ. จาก 50 เขตทั่วกรุงเทพฯ เข้าร่วม 250 คน โดย อสคบ. ที่ร่วมงานได้กล่าวปฏิญาณตนในการเป็น อสคบ. ที่ดี และให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นธรรม โอกาสนี้ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ร่วมทำบัตร อสคบ. อีกด้วย
จากนั้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิด "โครงการประกาศเจตนารมย์การเชื่อมโยงข้อมูล สู่ Big Data เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างยั่งยืน" ซึ่งเป็นความร่วมมือขององค์กรภาครัฐ ต่อยอดจากนโยบายรัฐบาลในการบูรณาการข้อมูลด้วยกัน ผ่านการจัดการ ข้อมูลขนาดใหญ่ หรือ Big Data ที่เป็นการเชื่อมโยงฐานข้อมูลระบบร้องทุกข์ของผู้บริโภค ฐานข้อมูลผู้ประกอบการที่ถูกร้องเรียน ฐานข้อมูลผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาต และฐานข้อมูลอื่นๆ ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค ทั้งของ สคบ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเบื้องต้นมีการเชื่อมโยงข้อมูลด้านการคุ้มครองผู้บริโภครวมถึง สคบ. ด้วยแล้ว จำนวน 29 หน่วยงาน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
"มจร"สีเขียวยุคAI! จัดกิจกรรม "รักษ์ มจร รักษ์สิ่งแวดล้อม คืนขยะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน"
กิจกรรม “รักษ์ มจร รักษ์สิ่งแวดล้อม” เป็นตัวอย่างที่ดีของการผสมผสานระหว่างจริยธรรมและเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบัน ด้วยหล...
-
เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2567 พระราชวัชรสารบัณฑิต หรือ “เจ้าคุณประสาร” รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(...
-
วิจารณ์สนั่นหลักสูตรบาลีป.ธ.1-2 ถึงป.ธ. 9 เรียนพระไตรปิฎก 149 หน้า "เจ้าคุณหรรษา" ยกสามเณร 2 รูป หนึ่งจบ ป.ธ. 9 อายุ 17 ปี หนึ่งจบ...
-
พระปิดตายันต์ยุ่งมหาอุตโม หลวงปู่ทิม อิสริโก จัดสร้างเพื่อหารายได้ สร้างหอฉันอุตตโม ออกแบบโดยช่างเกษม มงคลเจริญ ประกอบด้วย เนื้...