วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

"สิระ"จวก รบ.ปล่อยต่างชาติมีสิทธิเหนือกว่าคนไทย



 ย้ำอย่าทำให้ความพยายามหยุดโควิดที่ผ่านมาสูญเปล่า ฝ่ายค้านดาหน้าถล่ม "การุณ"อัดรัฐไม่มีมาตรฐานทำไทยเสี่ยงระบาดรอบสอง ถามปล่อยเหตุเกิดเพราะจะต่อ พรก.ฉุกเฉินใช่ไหม! "อนุดิษฐ์" ชี้พรก.ฉุกเฉิน ควบคุมเฉพาะคนไทยใช่หรือไม่ แนะ "รัฐบาล" รีบทบทวนมาตรการแขกวีไอพีโดยด่วน 

เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 14 กรกฎาคม 2563 นายสิระ เจนจาคะ ส.ส. กทม. พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่ทหารอียิปต์ลงเครื่องที่สนามบินอู่ตะเภา พบติดเชื้อโควิด 1 ราย อีกทั้งมีรายงานว่ากลุ่มทหารดังกล่าวได้ออกไปเที่ยวห้างฯ นอกสถานที่พัก เช่นเดียวกับ ด.ญ.วัย 9 ขวบ ลูกคณะทูตที่เดินทางมาจากซูดาน ได้เข้าพักที่คอนโดของญาติย่านสุขุมวิท กรุงเทพฯ ก่อนพบติดเชื้อโควิด-19 ว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมาประชาชนคนไทยต่างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จนประเทศไทยผ่านพ้นวิกฤตโควิดมาได้ แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้กำลังทำให้ความพยายามของประชาชนรวมถึงความเหน็ดเหนื่อยของบุคลากรสาธารณสุขสูญเปล่า 

"ถ้ามาตรการของรัฐบาลยังไม่เข้มงวดพอ ปล่อยให้คนต่างชาติมีสิทธิการเข้่ประเทศ การกักตัว ที่เหนือกว่าคนไทยในประเทศ อีกไม่นานเราคงต้องกลับมานับหนึ่งเริ่มต้นแก้ปัญหาโควิดอีกรอบ และปัญหาที่จะเกิดขึ้นในครั้งนี้จะทวีคูณความเสียหายมากกว่าครั้งที่แล้ว เพราะชาวบ้านเขายังตั้งตัวกันไม่ได้เลย" นายสิระ กล่าว 

นายสิระ กล่าวต่อว่า ช่วงที่ผ่านมาคนไทยได้กลับมาใช้ชีวิต ประกอบอาชีพกันได้เพียงไม่กี่เดือน เด็กๆ เพิ่งจะได้เปิดเรียน ถ้ารัฐบาลยังปล่อยปะละเลย ไม่บังคับใช้กฎเกณฑ์กับคนต่างชาติให้เหมือนกับที่ปฎิบัติกับคนไทย ตนเชื่อว่าประเทศไทยจะเผชิญกับการแพร่ระบาดโควิดอีกระลอกอย่างแน่นอน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้เดิมพันด้วยชีวิตของคนไทยกว่า 70 ล้านคน และมันไม่ควรเกิดขึ้น หากรัฐไม่ทำหน้าที่แบบสองมาตรฐาน ตนไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้น รัฐบาลควรจะมีคำสั่งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องปฎิบัติตามหลักเกณฑ์การกักตัวให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน 

"การุณ"อัดรัฐไม่มีมาตรฐานทำไทยเสี่ยงระบาดรอบสอง ถามปล่อยเหตุเกิดเพราะจะต่อ พรก.ฉุกเฉินใช่ไหม!


วันที่ 14 กรกฎาคม 2563  นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า กรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ชาวต่างชาติที่ระยองและกรุงเทพฯ ได้สร้างความหวั่นวิตกให้กับคนไทยทั้งประเทศ เพราะเกรงว่ารัฐบาลจะแก้ปัญหาด้วยการนำประเทศไทยจะกลับไปสู่การล็อคดาวน์อีกครั้ง เพราะหากเป็นเช่นนั้นคนไทยทั้งประเทศคงลำบากกว่านี้ เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันแม้จะมีการคลายล็อคดาวน์แล้ว แต่สภาพเศรษฐกิจส่วนรวมก็ยังไม่ดีขึ้น

นอกจากนี้ การที่รัฐบาลเปิดทางให้กลุ่มบุคคลวีไอพีและทหารจากต่างประเทศเข้าประเทศไทยโดยไม่ต้องกักตัว 14 วันตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. โดยอ้างว่าสามารถเข้าประเทศไทยได้ ตามข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในการสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 6) โดยจัดอยู่ในกลุ่มผู้ควบคุมยานพาหนะ ซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรตามภารกิจ และมีมาตรการรองรับในการกำกับดูแลนั้น ปรากฏว่ารัฐบาลกลับไม่สามารถควบคุมผู้ติดเชื้อที่มาจากต่างประเทศได้ การปล่อยปละละเลยเช่นนี้ ยิ่งชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลไม่มีมาตรฐาน เพราะขณะที่คนในรัฐบาลออกมาขู่ประชาชนผ่านทีวีทุกวันว่า การ์ดอย่าตก ต้องเฝ้าระวัง  ระวังไวรัสโควิด-19 จะกลับมาระบาดรอบ 2 และขอให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำของ ศบค. ในทางกลับกันรัฐกลับปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอย่างสะเพร่าและมักง่าย

"คนไทยทุกคนตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น มีการป้องกันตัวเองตลอดเวลา แต่รัฐบาลกลับอนุญาตและนำโรคร้ายเข้ามาสู่ประเทศไทยโดยไม่มีการควบคุมเสียเอง ทุกคนเข้าใจดีว่ารัฐบาลต้องต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง แต่การไม่คัดกรองและควบคุมชาวต่างชาติที่เข้าประเทศตามมาตรการสาธารณสุขที่ถูกต้อง เป็นเรื่องที่คนไทยทั้งประเทศยอมรับไม่ได้ และการอ้างว่าเนื่องจากเป็นแขกของรัฐบาล จึงไม่ต้องทำตามมาตรการป้องกันเฝ้าระวังเหมือนคนทั่วไป ยิ่งยอมรับไม่ได้มากขึ้นไปอีก ผลแห่งการกระทำครั้งนี้ทำให้จังหวัดระยอง ต้องปิดห้าง ปิดโรงแรม ปิดโรงเรียน ซึ่งถือเป็นการซ้ำเติมทุกข์ให้กับประชาชน ส่วนกรณีที่มีผู้ติดเชื้อมาเดินช็อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง เป็นหน้าที่ที่รัฐต้องรีบแจ้งข้อมูลให้ประชาชนทราบโดยเร็ว เพื่อให้ทุกคนป้องกันตัวเองและปฏิบัติตัวตามมาตรฐานสาธารณสุขโดยไม่ประมาท แต่การที่รัฐบาลปล่อยให้เหตุการณ์บานปลายแบบนี้ จึงทำให้คนส่วนใหญ่อดคิดไม่ได้ว่า รัฐบาลจงใจใช้เหตุการณ์นี้เพื่อหาเรื่องต่ออายุ พรก.ฉุกเฉินออกไปอีกใช่หรือไม่"  นายการุณ กล่าว

"อนุดิษฐ์" ชี้พรก.ฉุกเฉิน ควบคุมเฉพาะคนไทยใช่หรือไม่ แนะ "รัฐบาล" รีบทบทวนมาตรการแขกวีไอพีโดยด่วน 

น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการพบทหารอียิปต์ติดเชื้อโควิด19 ระหว่างเดินทางเข้าออกไทยตามเงื่อนไขพิเศษและหนีการกักตัวออกมาเดินเล่นในห้าง จนวิตกกันว่าอาจจะเป็นสาเหตุของการกลับมาแพร่ระบาดในไทยอีกครั้งนั้น เรื่องนี้เกิดจากการปฏิบัติแบบ 2 มาตรฐานของ ศบค.ที่ปล่อยปละละเลยให้แขกพิเศษหรือ VIP ไม่ต้องปฎิบัติตามกฎการควบคุมตัวเหมือนกับบุคคลทั่วๆไป ถือเป็นความสะเพร่าและบกพร่องอย่างร้ายแรง ที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ และต้องรีบทบทวนมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดกับแขกของประเทศให้มีมาตรฐานทางสาธารณสุขที่ถูกต้องโดยด่วน 

ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งที่ไม่มีการแพร่ระบาดในไทยมากว่า 1 เดือน  โดยอ้างว่าเพื่อใช้ควบคุมการแพร่ระบาดระหว่างปลดล๊อคเฟส 5 หรือระหว่างเปิดเรียนและเปิดสนามบิน มิหนำซ้ำยังให้โฆษก ศบค.ออกมาย้ำนักย้ำหนาขอให้คนไทยการ์ดอย่าตก ไม่เช่นนั้นอาจมีการระบาดรอบ 2 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจปากท้องของประชาชน ซึ่งประชาชนทั้งหลายให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี จนไม่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศมาระยะหนึ่งแล้ว

การควบคุมที่เข้มข้นส่งผลให้คนไทยต้องประสบความยากลำบากอย่างหนัก เพราะการทำมาหากินภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินนั้นมีข้อจำกัดหลายอย่าง แต่ทุกคนก็ยินดีให้ความร่วมมือ คนไทยยอมอดอยาก ยอมหยุดทำมาหากิน เพื่อปฎิบัติตามคำสั่ง ศบค.ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินของ พล.อ.ประยุทธ์มาอย่างต่อเนื่อง แต่สุดท้ายผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่ง ศบค. และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กลับกลายเป็น ศบค.เสียเอง ที่ปล่อยให้แขกต่างชาติ และแขก วีไอพี ได้รับมาตรการยกเว้นและไม่ต้องปฎิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด 

"ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่า การต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดแต่อย่างใด เพราะตราบใดที่รัฐบาลยังเปิดช่องให้แขกต่างชาติหรือแขกวีไอพีที่เข้ามาประเทศไทยไม่ต้องถูกกักตัวเหมือนคนทั่วไป การประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็ไม่มีความหมาย ตอนนี้คนไทยทั้งประเทศเข้าใจแล้วว่า พ.ร.ก.ฉุกเฉินมีไว้ใช้บังคับเฉพาะคนไทยเท่านั้น ส่วนคนที่มีอภิสิทธิ์หรือแขก VIP จากต่างชาติ ไม่จำเป็นต้องปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด ดังนั้น พ.ร.ก.ฉุกเฉินจึงเปล่าประโยชน์อย่างสิ้นเชิงในแง่ของการควบคุมโรค ยกเว้นจะเอาไว้ควบคุมคนที่วิจารณ์หรือขับไล่รัฐบาลเท่านั้น ซึ่งก่อนหน้านี้มีคนไทยหลายคนถูกดำเนินคดีเพราะผิด พรก.ฉุกเฉิน ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดเลยแม้แต่น้อย"  น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว

น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวต่ออีกว่า นอกเหนือจากที่รัฐบาลต้องกำหนดมาตรการควบคุมโรคแก่แขกวีไอพีใหม่หมดทั้งระบบแล้ว สิ่งที่รัฐบาลควรดำเนินการอย่างฉุกเฉินเร่งด่วนไม่ใช่กฎหมายควบคุมเชื้อโรค แต่เป็นเรื่องการออกมาตรการแก้เศรษฐกิจ ที่ผู้ประกอบการภาคส่วนต่าง ๆ รวมทั้งนักลงทุน นักธุรกิจทั่ว ๆ ไป กำลังรอการตัดสินใจจาก พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ว่าจะเอาอย่างไรกันแน่กับมาตรการฟื้นฟู เพราะตอนนี้ตัวเลขเศรษฐกิจดิ่งเหวลงทุกด้าน ยังไม่นับคนตกงาน ว่างงานกว่า 10 ล้านคน รวมทั้งโรงงาน กิจการห้างร้านต่าง ๆ  ที่ทยอยปิดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยยังไม่มีสัญญาณใดใดจากรัฐบาลเลยว่า จะทำอย่างไรกับวิกฤตการณ์เหล่านี้


"ลดาวัลลิ์"ห่วงชาวระยองและชาว กทม. จี้ รบ. ทบทวนมาตรการ 

นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ผู้ร่วมจัดตั้งพรรคเสมอภาค กล่าวว่า จากกรณีตรวจพบ ผู้ติดเชื้อโควิดซึ่งเป็น ลูกเรือเครื่องบินทหารจากอียิปต์ ที่จังหวัดระยอง และเด็ก 9 ขวบจากทวีปแอฟริกาที่มากับคณะทูต ที่กรุงเทพฯ ทำให้ตอนนี้ในเขตพื้นที่จังหวัดระยองและกรุงเทพฯ ต้องกลายเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส COVID-19 ทำให้ประชาชนทั้งในและนอกพื้นที่ตื่นตัวและวิตกกังวลกันมาก  นี่คงเป็นสัญญาณเตือน ที่จะตอกย้ำถึงความเสี่ยงที่กำลังมากขึ้นเรื่อยๆ จากการที่รัฐบาลเลือกบังคับใช้มาตรการป้องกันในแต่ละกลุ่มคนที่ไม่เหมือนกัน จนหลายคนกังวลว่า จะทำให้เกิดการระบาดรอบ 2 ตามมา

นางลดาวัลลิ์  กล่าวอีกว่า จากข้อมูลของ ดร. นิติธร สีเขียว ทีมเสมอภาคในพื้นที่จังหวัดระยอง ที่กำลังออกไปช่วยพี่น้องประชาชนพ่นฆ่าเชื้อในพื้นที่ ได้แจ้งเข้ามาว่า ตอนนี้สถานการณ์ล่าสุด มีการสั่งปิดห้องพักของโรงแรม สั่งกักตัวพนักงานโรงแรมที่สัมผัสใกล้ชิดกลุ่มเสี่ยง มีการประกาศปิดโรงเรียนในพื้นที่เสี่ยงรวม 11 แห่ง แบบไม่มีกำหนด รวมถึงโรงเรียนเอกชนและโรงเรียนในพื้นที่รอบนอกอีกหลายแห่งก็ทยอยประกาศปิดโรงเรียนตามไปด้วย ที่น่าสงสารก็คือเด็กๆ ที่เพิ่งไปโรงเรียนได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ ก็ต้องมาหยุดเรียนกันอีก พ่อแม่ผู้ปกครองคงปรับตัวกันแทบไม่ทัน  ที่สำคัญก็คือพี่น้องประชาชนที่ช่วงเวลานั้นบังเอิญเข้าไปอยู่หรือสัมผัสใกล้ชิดในพื้นที่เสี่ยงทั้งในพื้นที่จังหวัดระยองและกรุงเทพฯ อีกไม่รู้เท่าไหร่ ที่จะต้องมากักตัวเองไปอีก 14 วัน จะออกไปทำมาหากินไม่ได้ ต้องอยู่กับความหวาดระแวงวิตกกังวลว่าตัวเองจะติดเชื้อหรือไม่ และสุดท้ายภาระหนักก็คงไม่พ้นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข โดยเฉพาะ อสม. อสส. ที่จะต้องลงพื้นที่สอบสวนโรค ตรวจสอบข้อเท็จจริง สอบสวนบุคคลที่มีความเสี่ยงในการสัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อ 

             นางลดาวัลลิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมารัฐบาลเองก็ใช้มาตรการเคร่งครัดเอาเป็นเอาตายกับประชาชนคนไทยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ใช้มาตรการกักตัวกันแบบถ้วนหน้า แต่พี่น้องคนไทยก็พร้อมใจกันสู้ พร้อมใจกันป้องกัน แต่ละคนต้องยอมลำบาก ยอมสูญเสียอะไรกันมากมาย หลายต่อหลายคนต้องตกงาน  ต้องปิดร้าน ปิดธุรกิจ ปิดโรงงาน เศรษฐกิจย่ำแย่ ไม่เว้นแม้แต่เด็กๆ ที่ไม่ได้ไปเรียน เรียกได้ว่า เราสู้กันทั้งน้ำตา เพื่อร่วมกันหยุดเชื้อ จนสามารถทำให้ไม่มีผู้ติดเชื้อในประเทศได้เป็นเวลานาน แต่สุดท้าย สิ่งที่พี่น้องประชาชนต้องแลกมาทั้งหมด ก็ไร้ค่า เหมือนต้องมาเริ่มกันใหม่ เมื่อรัฐบาลเลือกใช้วิธีการแบบสองมาตรฐานยอมให้มีอภิสิทธิ์ชน ทั้งหลายเข้ามาโดยไม่กักตัวเหมือนที่ทำกับประชาชนคนธรรมดาทั่วไป 

"จึงขอฝากไปยังรัฐบาล ให้ปรับและทบทวนมาตรการที่ใช้อยู่ในขณะนี้เสียใหม่ ให้เกิดความเสมอภาคและเท่าเทียม โดยนำเหตุการณ์นี้มาถอดบทเรียนกันอย่างจริงจัง จาก สนามมวยสู่อภิสิทธิ์ชน ประชาชนต้องเจออะไรบ้าง"นางลดาวัลลิ์ กล่าวทิ้งท้าย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

"มจร"สีเขียวยุคAI! จัดกิจกรรม "รักษ์ มจร รักษ์สิ่งแวดล้อม คืนขยะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน"

กิจกรรม “รักษ์ มจร รักษ์สิ่งแวดล้อม” เป็นตัวอย่างที่ดีของการผสมผสานระหว่างจริยธรรมและเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมในยุคปัจจุบัน ด้วยหล...