วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2567

มส.รับรองเลื่อนสมณศักดิ์ 73 รูป เจ้าสำนักบาลีวัดโมลีฯ ขึ้นรองสมเด็จ



มหาเถรสมาคมรับรองเลื่อนตั้งสมณศักดิ์พระสงฆ์เนื่องในโอกาส พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 73 รูป เป็นมหานิกาย 54 รูป ธรรมยุต 19 รูป “พระธรรมราชานุวัตร” วัดโมลีโลกยาราม ขึ้นรองสมเด็จฯ พร้อมจัดระเบียบจัดลำดับพัดยศสมณศักดิ์ ฐานานุกรม และเปรียญในงานพระราชพิธีและรัฐพิธีใหม่

 เมื่อวันที่ 30 เม.ย. 2567 ที่ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหารมีการประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) มีวาระสำคัญคือ การรับรองการพิจารณาเลื่อนตั้งสมณศักดิ์พระสงฆ์ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พระบาทสมเด็จ พระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กรรมการ มส.ในฐานะเลขานุการสมเด็จพระสังฆราช ได้อ่านจำนวนรายชื่อพระสงฆ์ที่ได้รับการเสนอเลื่อนและตั้งสมณศักดิ์ จำนวน 73 รูป แบ่งเป็นฝ่ายมหานิกาย จำนวน 54 รูป และฝ่ายธรรมยุต จำนวน 19 รูป โดยรายชื่อพระสงฆ์ที่ได้รับการเลื่อนตั้งสมณศักดิ์ ในครั้งนี้ใช้วิธีพิจารณาจากการเลื่อนตั้งแทนตำแหน่งที่ว่างอยู่ ไม่ใช้อัตราพิเศษ โดยตำแหน่งที่ได้รับการเลื่อนตั้งสมณศักดิ์ชั้นสูงที่สุดในครั้งนี้ คือรองสมเด็จพระราชาคณะ ซึ่งที่ประชุม มส.รับทราบก่อนเสนอชื่อ ถึงสำนักพระราชวังต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อพระสงฆ์ที่ได้รับการเลื่อนตั้งขึ้นเป็นรองสมเด็จพระราชาคณะ คือพระธรรมราชานุวัตร เจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยารามและเจ้าคณะภาค 10 ที่มีผลงานทำให้สำนักเรียนบาลีวัดโมลีฯ เป็นแชมป์สอบไล่ได้เปรียญธรรมประโยค 9 (ป.ธ.9) ติดต่อกันถึง 6 สมัย นับตั้งแต่ปี 2562-2567 และล่าสุดในการสอบ ป.ธ.9 ประจำปี 2567 สามารถสร้างประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยมีสำนัก เรียนใดทำได้มาก่อนคือสามารถสอบไล่ได้ ป.ธ.9 ถึง 25 รูป ส่วนพระเกจิที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นพระราชาคณะชั้นสามัญ อาทิ หลวงพ่ออิฏฐ์-พระครูโสภิตวิริยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดจุฬามณี จ.สมุทรสงคราม ผู้สร้างตำนานท้าวเวสสุวรรณ พระอุปัชฌาย์แก้ว-พระครูปลัดสุวัฒนเถรคุณ เจ้าอาวาสวัดตะโก ซึ่งเป็น ลูกศิษย์หลวงพ่อรวย ปาสาทิโก พระเกจิดังแห่งพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น

นอกจากนี้ ที่ประชุม มส.ยังเห็นชอบให้มีการ ปรับปรุงการจัดลำดับพัดยศสมณศักดิ์ ฐานานุกรมและเปรียญในงานพระราชพิธีและรัฐพิธีใหม่ เพื่อให้ สอดคล้องกับปัจจุบันที่มีการแต่งตั้งพระสังฆาธิการให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ และการขอพระราชทานสมณศักดิ์ พระครูสัญญาบัตรได้ทรงพระกรุณาพระราชทานสมณศักดิ์เพิ่มอีก เช่น พระครูที่ปรึกษาเจ้าคณะอำเภอ พระครูเทียบเจ้าคณะอำเภอและพระครูสัญญาบัตรสายวิปัสสนาธุระ โดยลำดับพัดยศสมณศักดิ์ ฐานานุกรมและเปรียญตามมติ มส. อาทิ ชั้นสมเด็จพระราชาคณะ ประกอบด้วย สมเด็จพระสังฆราชเจ้า สมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสุพรรณบัฏ ชั้นพระราชาคณะ ประกอบด้วย รองสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นหิรัญบัฏ รองสมเด็จพระราชาคณะ ชั้นสัญญาบัตร พระราชาคณะชั้นธรรม พระราชาคณะชั้นเทพ พระราชาคณะชั้นราช พระราชาคณะชั้นสามัญ ประกอบด้วย ปลัดขวา-ปลัดกลาง-ปลัดซ้าย รองเจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด รองเจ้าคณะจังหวัด พระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ พระราชาคณะชั้นสามัญเปรียญ ป.ธ.9-8-7-6-5-4-3 พระราชาคณะชั้นสามัญเทียบเปรียญ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ พระราชาคณะชั้นสามัญเทียบเปรียญ พระราชาคณะชั้นสามัญยก ฝ่ายวิปัสสนาธุระ พระราชาคณะชั้นสามัญยก เป็นต้น

นอกจากนี้ “แหล่งข่าว” ระบุว่า แม้แต่คดีเงินทอนวัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร ของ อดีตพระพรหมสิทธิ และคณะ  ที่ประชุมมหาเถรสมาคมมีมติ “ปลดล๊อค” ยกเลิกมติ มส.ก่อนหน้านี้ ว่าด้วย การพ้นจากสมณเพศ  และการตั้งอธิกรณ์ เป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน 

 


นวัตกรรมเตาเผาปลอดมลพิษ "อนัตตา รุ่น 2 ห้องเผา" เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สู่วัดคาร์บอนต่ำ



ไทยอินเตอร์แมทวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเตาเผาปลอดมลพิษ “อนัตตา รุ่น 2 ห้องเผา” ANATTA- CD 2  สลายร่างสู่อนัตตา สร้างวัดสัปปายะ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สู่วัดคาร์บอนต่ำ

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2567  ดร.ศิลป์ชัย สีมาวงศ์อนันต์ กรรมการผู้จัดการบริษัทไทยอินเตอร์แมท จำกัด ศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร.)  เปิดเผยว่า  สถานฌาปนสถานกิจศพหรือเมรุเตาเผาศพ เป็นสถานที่ที่เราบอกลาคนที่เรารักเป็นครั้งสุดท้าย และเป็นสถานที่เตือนใจให้เราตระหนักถึงความไม่แน่นอนของชีวิต กระตุ้นให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความหมายปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนเตาเผาศพประมาณ 25,500 เตา ส่วนใหญ่เป็นเตาเผาแบบเก่า ไม่มีระบบควบคุมมลพิษ การเผาศพ 1 ครั้ง ปล่อยมลพิษหลายชนิด เช่น ฝุ่นละออง ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซต์ ก๊าซชัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไดออกซิน ฟิวแรน โลหะหนักมลพิษเหล่านี้ส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชน เช่น โรคระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ โรคมะเร็ง 

ดร.ศิลป์ชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า นับแต่ปี 2565 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประกาศให้เตาเผาเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ จะดีกว่าไหม ถ้าเราจะร่วมเปลี่ยนประเทศไทยนับตั้งแต่วันนี้ไปด้วยกันด้วยการสนับสนุน ร่วมมือร่วมใจคนละเล็กน้อย โดยการติดตั้งระบบควบคุมมลพิษ รณรงค์ให้ประชาชนเลือกวิธีจัดการศพที่ไม่ปล่อยมลพิษสู่อากาศ ร่วมสนับสนุนให้วัดใช้เตาเผาศพปลอดมลพิษเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม



 (อ้างอิงเว็บไซต์ https://www.pcd.go.th/laws/3962) 

คุณสมบัติเตาเผาศพปลอดมลพิษ

ดร.ศิลป์ชัยฯ กล่าวว่า นวัตกรรมเตาเผาศพปลอดมลพิษ ANATTA- CD 2 รุ่น 2 ห้องเผา มีระบบ การทำงานควบคุม ด้วยระบบไฟฟ้า เชื้อเพลิงน้ำมันดีเซล ประกอบด้วยห้องเผาไหม้ ห้องเผาศพ (Primary Chamber) ห้องเผาไหม้ ห้องเผาเชอเพลงนามันดีเซล ประกอบด้วย 2 ห้องเผาไหม้ คือ ห้องเผาศพ (Primary Chamber) และห้องเผาควัน (Secondary Chamber) จอแสดงผลมีตัววัดอุณหภูมิแสดงค่าตัวเลขดิจิตอลในทุกห้องเผา




 โรงงานผลิตมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ มีวิศวกรมีความเชี่ยวชาญ

บริษัท ไทยอินเตอร์แมท จำกัด เป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการผลิตและติดตั้งระบบสายพานลำเลียงและจัดเก็บแบบครบวงจร ด้วยมาตรฐานการควบคุมคุณภาพระดับสากล ISO9001:2015 และด้วยประสบการณ์กว่า 33 ปี ย้อนหลังไปถึงปี 1992 ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าในด้านระบบจัดเก็บและสายพานลำเลียงภายในโรงงานหรือคลังสินค้า ไทยอินเตอร์แมทได้รับความไว้วางใจจากบริษัทชั้นนำ บริษัทมีรายได้จากการขายเฉลี่ยต่อปีกว่า 300 ล้านบาท

ดร.ศิลป์ชัย ฯ กล่าวว่า ปี 2024 บริษัทได้วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ นวัตกรรมเตาเผาศพปลอดมลพิษ ภายใต้แบรนด์ อนัตตา รุ่น 2 ห้องเผา โดยให้เหตุผลการใช้คำว่า อนัตตา เพื่อต้องการสื่อสารแบรนด์ให้ผู้ที่มีชีวิตตระหนักถึงสัจจธรรมของชีวิต ความไม่ประมาณในการใช้ชีวิต ชีวิตนี้ไม่เที่ยง “ไม่มีตัวตน, ไม่ใช่ตัวตน”  นอกจากนี้แล้วบริษัทฯเน้นส่งเสริม สนับสนุน ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ก้าวสู่การทำธุรกิจสีเขียว Eco-Friendly Solution ผู้ผลิต จำหน่ายผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรมประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ เป็นมิตรกับชุมชนสู่การเป็นองค์กรสีเขียว (Green Commitment)  ภายใต้หลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี


 

สนใจเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างบ้านหลังสุดท้ายแห่งชีวิต  เปลี่ยนมาใช้เตาเผาศพปลอดมลพิษเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  บริษัทฯมีทีมวิศวกรเชี่ยวชาญให้คำปรึกษาและรับออกแบบนวัตกรรมเตาเผาศพปลอดมลพิษให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมของวัดฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ  สนใจติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ เบอร์โทร 086 987 8864  สแกน LineOA https://lin.ee/1RM7tTO                                     

"Anatta อนัตตา" Inbox เพจชื่อ อนัตตานวัตกรรมเตาเผาศพปลอดมลพิษ อีเมล์ anattathaiintermate@gmail.com 



“เปลี่ยนผ่าน สร้างสรรค์ ยั่งยืน”

ทั้งนี้ทีมงานวิศกร มีความชำนาญ พร้อมให้บริการคำปรึกษาบริษัท ไทยอินเตอร์แมท จำกัด 111 ตำบลคลองอุดมชลจร อำเภอเมืองฉะเชิงเทรา ฉะเชิงเทรา ประเทศไทย 24000  สลายร่างสู่อนัตตา เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมสู่สังคมคาร์บอนต่ำ  ปลายทางสุดท้ายที่สุด หยุดที่ อนัตตา  นวัตกรรมออกแบบเตาเผาศพปลอดมลพิษ ประหยัดพลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สู่สังคมคาร์บอนต่ำ วัดคาร์บอนต่ำ


‘โฆษกดีอี’ เตือนภัยประชาชน ชำแหละกลลวงมิจฉาชีพ อ้างเป็นขนส่งเอกชน หลอกติดตั้งโปรแกรมดูดเงิน

 


‘โฆษกดีอี’ เตือนภัยประชาชน ชำแหละกลลวงมิจฉาชีพ อ้างเป็นขนส่งเอกชน หลอกติดตั้งโปรแกรมดูดเงิน ชวนลงทุน โทรข่มขู่ซ้ำ สร้างความเสียหายรวม 14 ล้านบาท 

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2567     นางสาววงศ์อะเคื้อ บุญศล โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่ 22 - 26 เมษายน 2567 ศูนย์ AOC 1441 (Anti Online Scam Operation Center) ได้มีรายงานเคสตัวอย่างที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากการถูกหลอกลวงจากมิจฉาชีพจำนวน 5 เคส ประกอบด้วย

 

คดีที่ 1 หลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ มูลค่าความเสียหาย 10,000,000 บาท  โดยรายละเอียดคดี พบว่า ผู้เสียหายพบเห็นโฆษณาลงทุนเทรดทองผ่านช่องทาง Facebook “ฮั่วเซ่งเฮง” อ้างผลตอบแทนสูง จึงเกิดความสนใจทักไปสอบถามพูดคุยและได้เพิ่มเพื่อนช่องทาง Line มิจฉาชีพให้ผู้เสียหายสมัครสมาชิกและเปิดพอร์ตจากนั้นดึงเข้ากลุ่ม Line โบรกเกอร์ ในระยะแรกผู้เสียหายได้รับผลตอบแทนจริง ระยะหลังเริ่มให้ลงทุนมูลค่าสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้รับผลตอบแทนและไม่สามารถติดต่อได้อีก จึงติดต่อไปยัง บริษัท ฮั่วเซ่งเฮ่ง โดยตรง เลยทราบว่าเพจดังกล่าวเป็นเพจปลอม ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก 

 

คดีที่ 2 : ข่มขู่ทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน มูลค่าความเสียหาย 41,000 บาท ผู้เสียหายได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์จากมิจฉาชีพ อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของ ธนาคารกรุงไทย แจ้งว่าบัตรเครดิตของผู้เสียหายถูกทำธุรกรรมกดเงินสดออกไปใช้จำนวน 15,000 บาท หลังจากนั้นได้โอนสายไปยังมิจฉาชีพอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.จังหวัด นครสวรรค์ แจ้งว่าจากการตรวจสอบเงินบัญชีของผู้เสียหายมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดียาเสพติด ให้โอนเงินไปให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเส้นทางการเงิน และจะโอนเงินกลับคืนให้ภายหลัง ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไป หลังจากนั้นไม่สามารถติดต่อได้อีก ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเอง ถูกมิจฉาชีพหลอก 

 

คดีที่ 3 คล้ายกับคดีก่อนหน้า มูลค่าความเสียหาย 2,000,000 บาท ผู้เสียหายได้รับการติดต่อทางโทรศัพท์จากมิจฉาชีพ อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมการเงิน ทหารบก แจ้งว่าผู้เสียหายตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีการฟอกเงิน โดยให้ยืนยันข้อมูลตัวตนและ แจ้งข้อมูลเงินในบัญชีทั้งหมด จำนวน 6,000,000 บาท ให้ผู้เสียหายโอนเงิน จำนวน 2,000,000 บาท อ้างว่าเป็นค่าตรวจสอบบัญชีการฟอกเงิน ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไป หลังจากโอนเงินเสร็จไม่สามารถติดต่อได้อีก ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก 

 

คดีที่ 4 : หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัลหรือวัตถุประสงค์อื่นๆ  ผู้เสียหายได้รู้จักกับมิจฉาชีพผ่านช่องทาง Line อ้างว่ามีธุรกิจส่วนตัวเกี่ยวกับอุปกรณ์ IT พูดคุยกันจนสนิทใจเพราะมีทัศนคติตรงกันในเรื่องการให้คำปรึกษา การชอบทำบุญโรงทาน และบริจาคสาธารณกุศลสถานที่ต่าง ๆ ต่อมาภายหลังชักชวนให้ร่วมทำบุญผ่านรูปแบบ การเล่นเกม อ้างว่าได้รับผลตอบแทนสูงและนำผลตอบแทนไปทำบุญร่วมกัน โดยให้โอนเงิน เข้าไปในระบบตามคำแนะนำของมิจฉาชีพ ในระยะแรกได้รับผลตอบแทนจริง ระยะหลังเริ่ม ให้โอนเงินเข้าไปในระบบมากขึ้นเรื่อย ๆ จนผู้เสียหายรู้สึกเกิดความลำบากในการหาเงิน รวมมูลค่าความเสียหาย 2,400,000 บาท 

 

และคดีที่ 5 ผู้เสียหายได้รับข้อความทางโทรศัพท์SMS จากมิจฉาชีพ จำนวน 3 ข้อความ แจ้งว่า “ติดตามสถานะการจัดส่งสินค้า Flash Express” พร้อมส่งลิงก์มาให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ กดลิงก์ไปแล้วขึ้นเพิ่มเพื่อนทาง Line ของมิจฉาชีพ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่บริษัทแจ้งว่า จะคืนเงินชดเชยที่ไม่ได้รับสินค้า โดยส่งลิงก์ให้ติดตั้งแอปพลิเคชัน Flash Express และใช้ แอปพลิเคชันธนาคารร่วมกัน ผู้เสียหายได้ติดตั้งและทำตามคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ ภายหลังผู้เสียหายเช็คเงินในบัญชีของตนเอง พบว่าถูกโอนออกไป จำนวน 182,538 บาท ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเอง ถูกมิจฉาชีพหลอก

 

“ผู้เสียหายทั้ง 5 เคส เชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก จึงติดต่อเข้ามาที่ศูนย์ AOC 1441 โดยมีมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้ง 5 เคส รวม 14,623,538 บาท” โฆษกกระทรวงดีอีกล่าว 

 

นางสาววงศ์อะเคื้อ กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของ ศูนย์ AOC 1441 ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 จนถึง วันที่ 26 เมษายน 2567 มีตัวเลขสถิติผลการดำเนินงานดังนี้ 1.สายโทรเข้า 1441 จำนวน 583,004 สาย /เฉลี่ยต่อวัน 3,275 สาย

2. ระงับบัญชีธนาคาร จำนวน 127,724 บัญชี/ เฉลี่ยต่อวัน 939 บัญชี

3. ระงับบัญชีตามประเภทคดีสูงสุด 5 ประเภท 1) หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 39,018 บัญชีคิดเป็นร้อยละ 30.55 2) หลอกลวงหารายได้พิเศษ 27,436 บัญชีคิดเป็นร้อยละ 21.48 3) หลอกลวงลงทุน 23,248 บัญชี คิดเป็นร้อยละ 18.20 4) หลอกลวงให้กู้เงิน 10,556 บัญชีคิดเป็นร้อยละ 8.26 5) หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล 8,260 บัญชีคิดเป็นร้อยละ 6.47 และคดีอื่นๆ 19,206 บัญชีคิดเป็นร้อยละ 15.04

และ 4. ยอดการอายัดบัญชี (1 พ.ย. 66 - 14 เม.ย. 67) ข้อมูลของทั้งประเทศจาก ตร. (บช.สอท) 1) ยอดขออายัด 8,447,194,202 บาท 2) ยอดอายัดได้ 4,055,804,202 บาท 3) อายัดได้ร้อยละ 48.01

 

“อย่างไรก็ตาม ดีอี ได้เร่งดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามนโยบายเร่งด่วนของ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม  ซึ่งเป็นไปตามข้อสั่งการของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี โดยทำให้เกิดเป็นผลงานเด่นชัดภายใน 

30 วัน เพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและผลกระทบจากอาชญากกรรมออนไลน์ของประชาชน จึงขอความร่วมมือจากประชาชนหากพบพฤติกรรมที่น่าสงสัยของมิจฉาชีพช่วยกันแจ้งเตือน และกดรายงานเพจปลอม  หรือแจ้งเบาะแสกับหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบด้วย” นางสาววงศ์อะเคื้อ กล่าว


 

ปลัดมหาดไทยนำภาคีเครือข่ายมอบเงินเพื่อสมทบทุนโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย



ปลัดกระทรวงมหาดไทยนำภาคีเครือข่ายมอบเงินเพื่อสมทบทุนโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย น้อมนำพระราชปณิธานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการสืบสาน รักษา และต่อยอดพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อพัฒนาความรู้และคุณภาพพระสงฆ์ให้เป็นหลักทางใจของประชาชนสืบไป

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2567  เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 1 ทำเนียบองคมนตรี เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นำพระราชรัตนสุนทร (วินัย ธมฺมานนฺโท ป.ธ.5) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ผู้แทนเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร นายวิรุจ วิชัยบุญ ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร คนที่ 26 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร นายสุวัฒน์ เข็มเพชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร และนายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ มอบเงินเพื่อสมทบทุนโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 4,354,159.74 บาท โดยมี พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ประธานองคมนตรีในฐานะประธานกรรมการโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย เป็นประธานในพิธีรับมอบ โอกาสนี้ นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา และพลเอก เฉลิมชัย สิทธิสาท องคมนตรี ร่วมในพิธีดังกล่าวด้วย

โอกาสนี้ พระราชรัตนสุนทร (วินัย ธมฺมานนฺโท ป.ธ.5) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ผู้แทนเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร มอบเงินปัจจัย จำนวน 1,000,000 บาท ซึ่งเป็นปัจจัยจากกล่องรับบริจาคปัจจัยสำหรับสมทบโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ในบริเวณพระอุโบสถ พระวิหาร รวมถึงสถานที่ต่าง ๆ ภายในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร จากนั้น นายวิรุจ วิชัยบุญ ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร คนที่ 26 นายชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร และนายสุวัฒน์ เข็มเพชร รองผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร มอบเงินปัจจัย จำนวน 1,000,000 บาท การจัดสร้างวัตถุมงคล พระสุก (ยโสธร) รุ่น 1 และนายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ มอบเงินสมทบโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย จำนวน 2,354,159.74 บาท ซึ่งเป็นเงินรายได้จากการจัดการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 49 ประจำปี 2566

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ดำเนินโครงการ "เทศนาธรรม 4 ภาค ทั่วไทย" รวมจำนวน 4 ครั้ง เพื่อเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสที่ทรงเจริญพระชนมมายุครบ 6 รอบ 72 พรรษา 28 กรกฎาคม 2567 ซึ่งได้ดำเนินจัดพิธีเทศนาธรรมมาแล้วจำนวน 2 ครั้ง สำหรับครั้งที่ 3 จะจัดขึ้นในวันพุธ ที่ 29 พฤษภาคม 2567 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ตำบลคอหงส์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และครั้งที่ 4 ในวันพฤหัสบดี ที่ 28 กรกฎาคม 2567 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ถนนรัชดาภิเษก แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร

"โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย เป็นโครงการที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ก่อตั้งขึ้น ด้วยทรงมีพระราชปณิธานในการสนับสนุนพระสงฆ์ให้มีโอกาสได้รับการศึกษาพุทธรรมชั้นสูง ซึ่งจะสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาได้ด้วยตนเอง และนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องจนแตกฉานในพระธรรม แล้วนำไปสั่งสอนพุทธบริษัทต่อไปได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน การบำรุงพระสงฆ์ด้วยวิธีการนี้จะเป็นทางสำคัญที่จะช่วยจรรโลง และเผยแผ่พระสัทธรรมได้ถูกต้องตามพระไตรปิฎกสืบต่อไป ประกอบกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงสืบสาน รักษาต่อยอด พระราชกรณียกิจนี้สืบต่อมา เพื่อพัฒนาความรู้ และคุณภาพพระสงฆ์ ให้เป็นหลักทางใจของประชาชน ให้พระสงฆ์เป็นประโยชน์ในสังคมไทยสืบไป" นายสุทธิพงษ์ กล่าวเพิ่มเติม

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวในช่วงท้ายว่า โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย เป็นองค์การหรือสาธารณกุศล ลำดับที่ 565 ของประกาศกระทรวงการคลัง โดยสำหรับพี่น้องประชาชนผู้มีจิตศรัทธาและมีความประสงค์ที่จะร่วมสมทบทุนบริจาคเงินในโครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย สามารถร่วมสมทบผ่านธนาณัติ ตั๋วแลกเงินธนาคาร เช็คขีดคร่อม ตามที่อยู่ โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย ทำเนียบองคมนตรี ถนนสราญรมย์ เขตพระนคร กทม. 10200 หรือโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารออมทรัพย์ ชื่อบัญชี “โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย" ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด มหาชน สาขาพระบรมมหาราชวัง หมายเลขบัญชี 061-2-06592-5 โดยสามารถส่งหลักฐานการโอนเงิน ทางโทรสารหมายเลข 0-2220-7403 หรือทาง Facebook Fanpage โครงการทุนเล่าเรียนหลวงสำหรับพระสงฆ์ไทย E-mail. kstm.official@gmail.com และทางไลน์ไอดี @wgo1143m โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2220-7400 ต่อ 4121, 4217, 4345 และ 4358

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2567

"ดร.มหานิยม เวชกามา" ติงสื่อไม่รอบด้านเสนอข่าวพระบุกป่าล่าสัตว์ชัยภูมิ ถามซ้ำ!สำนักพุทธชัยภูมิสอบสวนครบถ้วนแล้วหรือยัง



เมื่อวันที่ 30  เมษายน 2567 จากกรณีที่ปรากฏข่าวตามสื่อต่าง ๆ ว่ามีพระสงฆ์สามเณรและคฤหัสถ์กลุ่มหนึ่งเข้าไปในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ เพื่อล่าสัตว์ป่า และปรากฎว่ามีชื่อพระศรีสัจญาณมุนี ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ (มจร) รวมอยู่ด้วยนั้น ดร.นิยม เวชกามา อดีต สส.สกลนคร เขต 2 พรรคเพื่อไทย ในฐานะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี คนที่ 1 และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (ฯพณฯ ภูมิธรรม เวชยชัย) และอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านการศาสนา สภาผู้แทนราษฎร ให้สัมภาษณ์รายการ Inside รัฐสภา ในประเด็นร้อนทางพระพุทธศาสนาเกี่ยวกับข่าว “พระศรีสัจญาณมุนี” รองเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ ที่ถูกกล่าวหาว่า ”ล่าสัตว์“ พร้อมพวกในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ ดังกล่าว โดย "ดร.มหานิยม" นักการเมืองผู้คร่ำหวอดในวงการพระสงฆ์มาแต่ยังเป็นเยาวชน ยืนยันว่าต้องให้ความเป็นธรรมและควรฟังความจากทั้ง 2 ฝ่าย


ดร.นิยม กล่าวว่า ตนให้ความสำคัญมากในเรื่องวัด ตั้งแต่เป็น สส.อภิปรายเรื่องวัด เรื่องพระพุทธศาสนามาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ 25 เกี่ยวกับประเด็นเงินทอนวัด หลังทราบข่าวนี้แล้วแล้วรู้สึกตกใจและให้ความสนใจเป็นอย่างมากในทันทีว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น อาจกล่าวได้ว่าเป็นข่าวใหญ่ที่พาดหัวสื่อตรงกันทุกสำนักที่ว่ามีพระระดับชั้นเจ้าคุณเป็น “แก๊งค์ล่าสัตว์” ใน เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะเป็นพระระดับผู้ใหญ่ เป็นถึงระดับเจ้าคุณ ซึ่งเป็นเรื่องที่เสียหายเป็นอย่างมาก


"ต้องมาสนใจและจับตาดูในประเด็นข่าวติดตาม ตามอ่านบทความ และเว็บไซต์ต่างๆ จากนักวิชาการที่อยู่ในวงการศาสนา เพราะข่าวออกมาด้านเดียวและที่สำคัญคือเป็นข่าวแถลงเพราะเนื้อหาข่าวและรูปภาพที่ถ่ายก็มาจากทาง จนท.อุทยานทั้งหมด"


ดร.นิยม กล่าวว่า ตอนแรกที่ได้ยินก็ไม่ทราบว่า ”ท่านเจ้าคุณ“ หรือ “พระศรีสัจญาณมุนี” องค์นี้เป็นใคร แต่มาเอะใจพอเห็นคำว่า “พระศรี” อยู่ในฉายาแสดงต้องเป็นพระ ป.ธ.9 เท่านั้น และประเด็นถัดมาคือพระมหาประโยค 9 จะไปล่าสัตว์มันเกิดอะไรขึ้น พอตามไปอ่านบทความของพระศรีสัจญาณมุนี เลยเข้าใจว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร ซึ่งไม่ได้เข้าข้างแต่อย่างใด และเมื่อไปสืบมาทราบว่านามเต็มๆ ของท่านคือ “พระศรีสัจญาณมุนี , ดร. (พระมหาสุมินทร์ ยติกโร/ก่อบุญ)” ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดห้วยหินฝน ผอ.วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ และรองเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ


"และเผอิญว่า ผมและพระศรีสัจญาณมุนี นั้นเคยบวชที่วัดราชสิทธารามราชวรวิหาร (วัดพลับ) กทม. เหมือนกันเพียงแต่พระศรีสัจญาณมุนีนั้นท่านได้ติดตามพระธรรมสิริชัย (บุญเลิศ โฆสโก) ไปเมื่อย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร รูปที่ 13"


ดร.นิยม เวชกามา เล่าต่อไปว่า “ผมรู้จักพระศรีสัจญาณมุนีตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ท่านเป็นพระที่มีความเคร่งครัดมาก และเนื่องด้วยจากการที่ชอบเข้าป่าปฏิบัติธรรม จึงได้เปลี่ยนญัตติจากมหานิกายไปเป็นธรรมยุต ซึ่งปัจจุบันก็เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดฝ่ายธรรมยุต โดยธรรมชาติของพระองค์นี้อย่าว่าแต่ฆ่าสัตว์เลย มดสักตัวก็ยังไม่ฆ่าด้วยซ้ำ“


พร้อมกล่าวต่อ ”พอศึกษาลงไปในรายละเอียดผู้เขียนรายงานคือนักวิชาการซึ่งรักษาการหัวหน้าอุทยานฯ หากจะขึ้นตำแหน่งอะไรเป็นเรื่องของพวกคุณ แต่อย่าเขียนข่าวแบบนี้เพื่อให้พระพุทธศาสนาเสียหาย คุณต้องไปดูเพื่อให้เห็นต้นเหตุที่แท้จริง อย่าเห็นแค่ปลายเรื่องก็สรุปได้แล้วว่าเป็นจริงหรือเท็จ ที่บอกว่าจับปืนได้มันก็สามารถอ้างขึ้นมาได้ ผมเป็นผู้แทนมา 15 ปี ผมรู้จักข้าราชการดี จะขึ้นตำแหน่งผมไม่ว่าแต่อย่างเขียนให้มันเวอร์ไป“


ดร.นิยม กล่าวว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2542 โดยมีวัตถุประสงค์คือมีหน้าที่ดูแลพระสงฆ์ ดูแลพระพุทธศาสนา จะผิดถูกอย่างไรนั้นก็ว่าตามกระบวนการเพราะสงฆ์ก็มีกฎหมายของสงฆ์ที่คอยจัดการกับพระที่กระทำความผิดอยู่ พิจารณาความผิดเป็นเรื่องๆ ไป เช่นกันกับฆราวาส ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพื่อที่จะสื่อไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชัยภูมิ ท่านคือผู้ที่ดูแลพระสงฆ์ ดูแลพระพุทธศาสนา พระดีๆ ให้ดำรงไว้ส่วนพระที่ไม่ดีต้องรายงานผู้บังคับบัญชาให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่งพระรูปนี้ (พระศรีสัจญาณมุนี) กว่าจะขึ้นมาเป็นผู้บริหารของ มจร  จบด็อกเตอร์ จบ ป.ธ.9 ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่ก็รู้สึกผิดหวังกับ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชัยภูมิที่ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเป็นจริงตามที่ปรากฎในข่าวทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ไปถามและยังไม่ได้สั่งสอบข้อเท็จจริงกับเจ้าตัวเลย ต้องถามชาวบ้าน ถามญาติโยมในพื้นที่ ถามพยานแวดล้อมให้ครบแล้วจึงออกมาแถลงไม่ใช่ฟังความข้างเดียวแล้วด่วนสรุป


"ผมอยากจะฝากสื่อและฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ให้ไปหาข้อเท็จจริงจะได้ฟังความทั้ง 2 ฝ่าย เพราะข่าวตอนนี้ที่ออกมาเป็นลบกับทางพระศรีสัจญาณมุนีเป็นอย่างมาก กล่าวหาว่าเป็นโจร เป็นหัวหน้าทีมพรานล่าสัตว์ ซึ่งในความคิดไม่ใช่แบบนั้นแน่นอนจากพฤติกรรมของท่านที่เป็น ได้ไปอ่านบทความของ พระอุดมสิทธินายก, รศ.ดร. (กำพล คุณงฺกโร) คณบดีคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ก็บอกว่าไม่น่าจะเป็นจริงตามที่ปรากฎในข่าว ส่วนปืนนั้นก็ต้องไปว่าในข้อเท็จจริงและสอบสวนในกระบวนการยุติธรรม บางทีชาวบ้านพกไปพระท่านก็ไม่รู้เรื่องด้วย ในข่าวกลับพาหัวว่าพกปืนยิง จนท. ประมาณสู้รบปรบมือกัน ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรมิอาจทราบได้แต่ตนรู้สึกเจ็บปวดกับการเขียนข่าวเช่นนี้"


ดร.นิยม กล่าวอีกว่า เจ้าคณะจังหวัดต้องเข้าไปดูแลเบื้องต้น ว่าพระที่ถูกกล่าวหาเป็นอย่างไร เหตุและผลเป็นไปเป็นมาอย่างไร เคยเดินทางไปมาที่นั้นอย่างเป็นประจำหรือไม่ และอุทยานก็เขียนเองว่ายังไม่มีเนื้อสัตว์หรือซากสัตว์อะไรเลย มีแต่เพียงประเด็นว่ายิง จนท. ซึ่งจะเป็นจริงเท็จอย่างไรมันขึ้นกับคนเขียน ”และผมเป็นนักกฎหมาย ผมเป็นนักข่าว ผมเข้าใจการข่าวเขียนดี เพราะผมเป็นนักข่าวมติชนอยู่ 20 ปี นักข่าวไอทีวีก่อนที่จะมาเป็นไทยพีบีเอส (Thai PBS) และนักข่าวเนชั่น (Nations) ก่อนจะลาออกเพื่อมาลงสมัคร สส.ในปี 2550 เพราะฉะนั้นผมเข้าใจระบบการเขียนข่าวเป็นอย่างดี เมื่อมีการแถลงข่าวออกมา ต้องเขียนแบบใด หากถ้าเขียนลอยๆ มันเป็นข่าวไม่ได้ และในข่าวเป็นพระถึงระดับรองเจ้าคณะจังหวัด เขียนออกมาอย่างไรก็เป็นข่าวหน้า 1 หมด หากฆ่าสัตว์จริงก็ต้องติดคุก เพราะฉะนั้นคดีจะดำเนินเป็นอย่างไรต้องตรวจสอบ ทางสงฆ์ก็มีการตั้งพระวินยาธิการ (ตำรวจพระ) ให้เข้าไปดูในข้อเท็จจริงเพื่อสอบสวนสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วที่สำคัญต้องใความช่วยเหลือพระกลุ่มนี้ เพราะพระทนายไม่มีผู้รักษากฎหมาย ทั้งสงฆ์ ทางมจร.ต้องตั้งทีมทนายเอาผู้รู้กฎหมายเข้าไปช่วยเหลือท่าน แม้ท่านจะเป็น ดร. แต่ก็เป็น ดร.ทางศาสนา จบพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต ไม่ใช่ ดร.ทางกฎหมาย และเวลาเสพข่าวอย่างข่างด้านเดียว แล้วเชื่อว่าใช่แล้ว เชื่อว่าพระเป็นโจรตามที่ลงในข่าวแล้วไล่จับสึก มันจะเป็นประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอยเงินทอนวัด“ ดร.นิยมกล่าว


ขณะเดียวกันวันนี้มีรายการงาน พระศรีสัจญาณมุนี หรือ “เจ้าคุณสุมินทร์” รองเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ ได้ทำหนังสือรายการต่อผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) โดยได้ปฎิเสธว่าไปล่าสัตว์หรือพกอาวุธเข้าไปในเขตอุทยาน ซึ่งปรากฎในหนังสือรายงานบางตอนว่า


“ตนเอง (พระศรีสัจญาณมุนี) พร้อมด้วยพระภิกษุ 2 รูป สามเณร 2 รูป รวมเป็น 5 รูป ได้ไปศึกษาธรรมชาติ หลักเร้นเพื่อไปหาความวิเวก เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2567 ต่อมีศิษย์วัดประมาณ 4 คนไปสมทบ โดยคณะสงฆ์กับลูกศิษย์แยกย้ายกันเดินทางและพักแรม ซากกระดูกที่ปรากฎเป็นซากกระดูกที่บังสุกุลอุทิศส่วนกุศลให้แก่ดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว โดยมีการบันทึกวีดีโอหรือภาพเคลื่อนไหวไว้ แต่ไม่ได้นำมาเผยแพร่ ในวันที่ 25 เมษายน 2567 ขณะลงจากสันเขา มีลูกศิษย์ล่วงหน้าไป 1 คน ได้ยินเสียงปืนประมาณ 5 นัด ต่อมามีพระมาเรียกให้ไปอยู่ร่วมกับสามเณร จากนั้นจึงค่อยหาทางกลับวัดพร้อมพระและสามเณร..”


ตอนท้ายหนังสือรายงาน พระศรีสัจญาณมุนี ได้ชี้แจงต่ออีกว่า พระภิกษุสามเณรทั้งหมดไม่ได้ร่วมพกอาวุธปืนหรืออาวุธใด ๆเพื่อล่าสัตว์ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใดทั้งสิ้น พร้อมทั้งปฎิเสธว่ามีการยิงต่อสู้กันนั้นก็ไม่เป็นความจริงแต่ประการใด พร้อมกราบขออภัยที่ทำให้มหาวิทยาลัยเสียชื่อเสียง 


#มั่นเพื่อไทยไว้ใจมหานิยม

#มหานิยมเพื่อไทยใส่ใจเคียงข้างประชาชน

#นิยมเวชกามา #ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ #พระพุทธศาสนา #พรรคเพื่อไทย

เอกสารแนะนำตัว ดร.สำราญ สมพงษ์ สาขาสื่อมวลชน-ศาสนา




 วัน/เดือน/ปี เกิด :        ๐๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๐

สถานที่เกิด :          ๓๙ หมู่ที่ ๓ ตำบลท่าข้าม  อำเภอชนแดน

จังหวัดเพชรบูรณ์

การศึกษา :                นักธรรมชั้นเอก, เปรียญธรรม ๕ ประโยค

พุทธศาสตรบัณฑิต รุ่นที่ ๓๖/๒๕๓๔ สาขาพุทธศาสตร์

วิชาเอกปรัชา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

พุทธศาสตรมหาบัณฑิต รุ่นที่ ๒/๒๕๕๙ สาขาวิชาสันติศึกษา 

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต รุ่นที่ ๑/๒๕๖๓  สาขาวิชาสันติศึกษา 

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

ประสบการณ์การทำงาน :      ๒๕๒๑ เป็นครูสอนปริยัติธรรมประจำสำนักเรียนร.ร.พอ.มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

๒๕๓๒ เป็นกรรมการสนามหลวงแผนกนักธรรม

๒๕๓๕ เป็นผู้ช่วยผู้จัดการร้านเซเว่นอีเลฟเว่น,พนักงานโรงแรมเอเชีย

๒๕๓๖-๒๕๓๙ เป็นนักข่าวสังกัดหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจในเครือบริษัทเนชั่น พับลิชชิ่ง กรุ๊ปจำกัด(มหาชน) 

๒๕๓๙-๒๕๔๕ เป็นนักข่าวสังกัดสำนักข่าวเนชั่นในเครือบริษัทเนชั่น พับลิชชิ่ง กรุ๊ปจำกัด(มหาชน)

๒๕๔๕-๒๕๕๙ เป็นนักข่าวสังกัดหนังสือพิมพ์คมชัดลึกในเครือบริษัทเนชั่น พับลิชชิ่ง กรุ๊ปจำกัด(มหาชน) แผนกเว็บไซต์หนังสือพิมพ์คมชัดลึก บริษัทคมชัดลึกมีเดีย  เลขที่ ๑๘๕๘/๑๒๔ ถนนบางนา-ตราด แขวงบางนา เขตบางนา กรุงเทพมหานคร ๑๐๑๖๒

รางวัลที่ได้รับ : ๒๕๕๗ รับทุนการศึกษาหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา

๒๕๕๘ รับรางวัลรางตาราอวอร์ดคือรางวัลที่มอบให้กับบุคคลที่มีหัวใจพระโพธิสัตว์แห่งเสถียรธรรมสถาน

๒๕๕๙ รับทุนการศึกษาหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาสันติศึกษา จากพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี แห่งศูนย์วิปัสสนาสากลไร่เชิญตะวัน จ.เชียงราย

รางวัลบำเพ็ญประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาระดับโลกหรือผู้นำพุทธโลก จากองค์การยุวพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก

๒๕๕๙ รับรางวัลนักข่าววิถีพุทธ จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยและสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ

ปัจจุบัน :                         บรรณาธิการทั่วไปเว็บไซต์บ้านเมืองออนไลน์

สถานที่พัก :   ต.บางใหญ่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ๑๑๑๔๐


หมายเหตุ - เอกสารข้อมูลนี้ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2567 


@siampongs #เทรนด์วันนี้ ♬ คนใจสู้ - ซี ดาหลา & วงริสแบนด์

"มจร" แจ้งพระศรีสัจญาณมุนี ส่งรายงานแล้ว ขอให้ไปพิสูจน์กันในกระบวนการยุติธรรม



เมื่อวันที่ 29  เมษายน พ.ศ. 2567   พระราชวัชรสารบัณฑิต หรือเจ้าคุณประสาร รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หรือ มจร ได้กล่าวว่าจากกรณีที่ปรากฎข่าวตามสื่อต่างๆว่ามีพระสงฆ์สามเณรและคฤหัสถ์กลุ่มหนึ่งเข้าไปล่าสัตว์ในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ และปรากฎชื่อพระศรีสัจญาณมุนี ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ มจร รวมอยู่ด้วยนั้น ขณะนี้อาตมาได้ดำเนินการให้พระศรีสัจญาณมุนี รายงานข้อเท็จจริงให้มหาวิทยาลัยทราบโดยไม่ชักช้า บัดนี้มหาวิทยาลัยได้รับหนังสือรายงานจากพระศรีสัจญาณมุนี แล้วในส่วนที่ถูกกล่าวหานั้นทุกรูปได้ไปรับทราบข้อกล่าวหาที่สถานีตำรวจแล้ว ข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็ให้ไปพิสูจน์กันในกระบวนการยุติธรรม ในส่วนของมหาวิทยาลัยนั้นก็จะดำเนินการรวบรวมหลักฐานจากสามฝ่ายคือ จากกรมอุทธยานฯในฐานะผู้กล่าวหา จากพระศรีสัจญาณมุนี ผู้ถูกกล่าวหาและจากผู้คนแวดล้อมและรวมทั้งจากสื่อมวลชนต่างๆด้วยเพื่อจะได้จะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป  




   

นอกจากหลักฐานจากทั้งสามส่วนนั้นแล้วก็จะได้ประสานกับสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติด้วย ในฐานะที่มีภาระหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์และในขณะเดียวกันโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็ได้ให้ข่าวยืนยันข้อเท็จจริงในบางเรื่อง บางประเด็นโดยอ้างจากรายงานของผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชัยภูมิด้วย            

"ว่ากันไปตามข้อเท็จจริง อะไรเป็นเรื่องของกฎหมายก็ดำเนินการไป อะไรที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยก็ดำเนินการไปโดยไม่ชักช้า ตอบสังคมให้ได้ นี่คือคำตอบในเรื่องนี้" พระราชวัชรสารบัณฑิต กล่าวในตอนท้าย


สันติศึกษามหาจุฬาฯมุ่งเชิงรุก พัฒนายกระดับหลักสูตรใหม่สดสมสมัยสอดรับการโลก



เมื่อวันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๖๗ พระปราโมทย์ วาทโกวิโท, ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา ระดับปริญญาโท บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เข้ารับการพัฒนาและเรียนรู้เพื่อยกระดับหลักสูตรสันติศึกษาตามโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ “การพัฒนาหลักสูตรตามเกณฑ์มาตรฐานระดับอุดมศึกษา พ.ศ.๒๕๖๕ แนวทางการจัดการศึกษาแบบมุ่งผลลัพธ์การเรียนรู้ (Outcome-Based Education : OBE)” เพื่อยกระดับหลักสูตรสันติศึกษา มจร   ให้มีคุณภาพโดยมุ่งเน้นนิสิตเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้พร้อมการให้บริการนิสิต ซึ่งจัดการพัฒนาและฝึกอบรมโดย คณะมนุษยศาสตร์ร่วมกับสำนักประกันคุณภาพ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย โดยหลักสูตรสันติศึกษา มจร มีความร่วมมือทางวิชาการกับสถาบันพระปกเกล้า และสำนักงานศาลยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม 

พระมหาเผื่อน กิตฺติโสภโณ, ผศ.ดร. ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายประกันคุณภาพการศึกษา มจร  เป็นประธานกล่าวเปิดและแลกเปลี่ยนสะท้อนว่า สำนักงานประกันคุณภาพ มจร เห็นความสำคัญในการพัฒนาเกณฑ์มาตรฐาน ๒๕๖๕ ในปัจจุบันมีหลักสูตรของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยใช้เกณฑ์ พ.ศ. ๒๕๖๕ จำนวน ๓๖ หลักสูตร เป็นการกำกับมาตรฐานหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา เช่น มาตรฐานคณาจารย์ คุณภาพบัณฑิต การประเมินผล จึงมุ่งเรียนรู้ร่วมกันในการพัฒนาหลักสูตรให้มีคุณภาพต่อไป   

อาจารย์ ผศ.ดร.นิคม มูลเมือง ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตร คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดเชียงใหม่ ในฐานะวิทยากรแลกเปลี่ยนการพัฒนาหลักสูตรตามเกณฑ์มาตรฐานระดับอุดมการศึกษา พ.ศ.๒๕๖๕ แนวทางการจัดการศึกษาแบบมุ่งผลลัพธ์การเรียนรู้ (Outcome-Based Education : OBE) สะท้อนสาระสำคัญว่า ทำไมเราต้องปรับเพราะกฎกระทรวงมาตรฐานจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา พ.ศ.๒๕๖๕ มาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา พ.ศ.๒๕๖๕ มีคำว่า “ผลลัพธ์การเรียนรู้” เป็นผลที่เกิดขึ้นแก่ผู้เรียนผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่ได้จากการศึกษา ฝึกอบรม  ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากการฝึกปฏิบัติ 

โดยผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้สำเร็จการศึกษาทุกระดับมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษา ๔ ด้านประกอบด้วย ๑)ด้านความรู้ (Knowledge) ระดับปริญญาโทเป็นความรู้ที่จำเป็นและเพียงพอต่อการนำไปใช้ปฏิบัติ ต่อยอดความรู้และเชื่อมโยงความรู้ใหม่เพื่อการค้นพบและสร้างสิ่งใหม่ที่เป็นที่ยอมรับ ๒)ด้านทักษะ (Skills) ระดับปริญญาโทเป็นทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเองและทักษะการสร้างความรู้ในการปฏิบัติ การคิดริเริ่มสร้างสิ่งใหม่เพื่อสร้างความรู้ใหม่เชิงวิชาการวิชาชีพ รวมถึงทักษะดิจิทัลสำคัญมากทักษะการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ๓)ด้านจริยธรรม (Ethics) ระดับปริญญาโทเป็นพฤติกรรมหรือการกระทำระดับบุคคลที่สะท้อนถึงความเป็นผู้มีคุณธรรม ศีลธรรม จรรยาบรรณ เพื่อประโยชน์ส่วนตัวส่วนรวมมุ่งทำตามกติกาของสังคมหลีกเลี่ยงการทำสิ่งผิดกฎหมาย ๔)ด้านคุณลักษณะ (Character) ระดับปริญญาโท มองถึงบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย ค่านิยม มองถึงลักษณะทั่วไปและลักษณะตามศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง เช่น มีสันติภายใน มีความเป็นผู้นำ บริหารจัดการอารมณ์ได้ สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่น เคารพในความแตกต่างหลากหลาย สามารถสื่อสารอย่างสันติ เป็นต้น

โดยมุ่งตามกรอบประกอบด้วย ๑)มาตรฐานกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (ฉบับปรับปรุง) ๒)กฎกระทรวงมาตรฐานหลักสูตรการศึกษาระดับอุดมศึกษา พ.ศ.๒๕๖๕ โดยมุ่งไปที่ “ผลลัพธ์การเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้ การบริหารหลักสูตร คณาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ คุณสมบัติของผู้เข้าศึกษา การประเมินผลการเรียน เกณฑ์การสำเร็จการศึกษา การประกันคุณภาพหลักสูตร ระบบกลไกในการพัฒนาหลักสูตร โครงสร้างหลักสูตรรายวิชาหน่วยกิต  ปรัชญาวัตถุประสงค์  ชื่อปริญญา” จึงต้องมีการตรวจสอบหลักสูตรการศึกษา

(Outcome-Based Education : OBE) เป็นแนวทางการจัดการศึกษาที่เน้นการออกแบบกระบวนการเพื่อสร้างการเรียนรู้ของผู้เรียนโดยมีหลักสำคัญคือ “การกำหนดผลลัพธ์การเรียนรู้ : Learning Outcomes” หรือเป้าหมายที่ชัดเจนซึ่งแสดงถึงที่คาดหวังให้ผู้เรียนจะเป็น หรือทำได้เมื่อสิ้นสุดกระบวนการเรียนรู้ ใน AUN QA ใช้คำว่า Expected Learning Outcomes และเน้นการออกแบบกระบวนการเรียนรู้และการสอนเพื่อสร้างประสบการณ์ให้ผู้เรียน ตลอดถึงการประเมินที่สอดคล้องกันและนำไปสู่ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้  โดย OBE จะทำให้เรารู้ว่าเป้าหมายหรือผลลัพธ์ของการให้การศึกษาคืออะไร สามารถวัดผลได้ ปรับปรุงได้ ทำงานเป็นทีม  มีการเชื่อมโยง ทำให้หันมาสนใจที่ผู้เรียนเป็นสำคัญ ช่วยให้ผู้เรียนมองเห็นอนาคตของตนเองได้ชัดเจน โดย OBE ไม่ได้มุ่งเน้นปริมาณความรู้หรือเนื้อหาที่สอนให้ผู้เรียน แต่เน้นไปที่หลักการที่ผู้เรียนสามารถนำไปต่อยอดได้ สามารถเรียนรู้ความรู้ใหม่ๆ หรือ ค้นหาความรู้ใหม่ๆได้ด้วยตนเองเมื่อจบการศึกษาไปแล้ว

โดยการออกแบบหลักสูตรตามมาตรฐาน ประกอบด้วย ๑)วิเคราะห์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หมายถึง หา Need ของผู้เรียน ๒)คุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์ หมายถึง เมื่อจบไปแล้วมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์อย่างไร ๓)การเขียนผลลัพธ์การเรียนรู้หลักสูตรขึ้นมา ๔)ขยาย PLO ถ้าจะให้บรรลุจะต้องขยายอย่างไร จึงนำไปสู่รายวิชา ๕)ทำแผนที่เพื่อให้เกิดความสำเร็จถือว่าเป็นตัวที่สำคัญมาก เพราะทุกวิชาจะสอดคล้องกันมีการผลักดันไปสู่การบรรลุเป้าหมาย  ๖)มีการประเมินผลอย่างไรในการจัดการเรียนการสอนอย่างไร  ๗)บรรลุความสำเร็จมากน้อยเพียงใด  โดยจะต้องได้รายวิชาตลอดหลักสูตรเพื่อออกแบบกระบวนการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนการสอน มีการวัดผลประเมินผลออกมา 

การสร้างหลักสูตรจะต้องมอง ๕ มิติ ประกอบด้วย ๑)Qualification Framework and Professional Bodies มองถึงกรอบมารตฐานคุณวุฒะดับอุดมศึกษา (มคอ.๑ TQF๑) และกรอบมาตรฐานคุณวุฒิมหาวิทยาลัย ๒)วิเคราะห์สถานการณ์และบริบทของโลก ทิศทางแนวโน้มการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของโลก ความสอดคล้องกับพันธกิจแผนกลยุทธ์ของมหาวิทยาลัย  การวิเคราะห์คู่แข่ง การออกแบบหลักสูตร และศักยภาพความพร้อมของหลักสูตร                     ๓)Stakeholder Analysis การวิเคราะห์ความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วยเสีย จะต้องผลิตบัณฑิตได้ตรงกับความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หลักสูตรเป็น Demand Driven  ๔)Graduate Attributes คุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์ สามารถวาดภาพของ Perfect Graduate ได้ว่าจะมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์อย่างไร ๕) Philosophy ปรัชญาของหลักสูตร เป็นปรัชญาการศึกษาเป็นพื้นฐานในการออกแบบหลักสูตรและการจัดการเรียนให้ผู้เรียนในหลักสูตร  

Stakeholder Analysis ถือว่ามีความสำคัญมากเพราะเป็นกระบวนการวิเคราะห์ความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มี ๔ ขั้นตอน ประกอบด้วย 

๑)การระบุผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับหลักสูตร (Identify Stakeholder) มีใครเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับหลักสูตร มีอิทธิพลที่ได้รับผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบจากหลักสูตร ผู้ใช้บัณฑิตในอนาคตจะต้องให้ความสำคัญ กลุ่มที่มีผลต่อหลักสูตรต่อการตัดสินใจ “มีเกณฑ์ในการเลือก Stakeholder อย่างไร และมี Stakeholder ในอนาคตเราจะเลือกใคร อย่างไร”  ใครมีอิทธิพลต่อหลักสูตรทั้งโดยตรงและโดยอ้อม 

๒)การวิเคราะห์และจัดลำดับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับหลักสูตร (Prioritize Stakeholder) กลุ่มที่มีอำนาจในการออกแบบหลักสูตรสูง (HPLI HPHI LPLI LPHI) เป็นการวิเคราะห์เพื่อจัดหมวดหมู่ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยมีกลุ่มด้านอิทธิพล (Power) ผลกระทบต่อหลักสูตร (Impact) จะต้องมีวิธีการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพมีวิธีการในการเก็บข้อมูลอย่างไร  

๓)การวิเคราะห์ความต้องการของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับหลักสูตร (Stakeholder Need Analysis) โดยทำเป็นตารางให้ชัดว่า “ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคือใคร และข้อมูลที่สะท้อนมาถึงความต้องการที่แท้จริง” หน้าตาของบัณฑิตที่เราจะพัฒนาควรมีหน้าตาอย่างไร คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของบัณฑิตควรมีคุณลักษณะอย่างไร จึงต้องวิเคราะห์การมีส่วนร่วมน้อยและส่วนร่วมมาก

๔)ตรวจสอบข้อมูล สรุป สังเคราะห์ผล (Conclusion) จะต้องมีการสังเคราะห์ออกมาอย่างเป็นระบบ สรุปออกมาเป็นตารางให้มีความชัดเจน โดยเฉพาะในส่วนของกำหนดเป้าหมายและผลลัพธ์การเรียนรู้ของหลักสูตร การออกแบบแผนการสอน วิธีการเรียนสอน และเครื่องมือประกอบการเรียนรู้ แต่ในปัจจุบันจะมุ่ง “มิติการสื่อสารเป็น การทำงานเป็นทีมเป็น ความคิดสร้างสรรค์เป็น แต่ไม่ได้มิติของความรู้” 

เรามองอนาคตในการพัฒนาหลักสูตรแต่อย่าลืมอดีตว่าเราเคยมีปัญหาอะไรในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งการฟังเสียงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจะต้องมองว่า “อะไรคือความต้องการที่แท้จริงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และ อะไรที่เป็นข้อมูลที่ต้องนำมาบริหารจัดการหลักสูตรให้การบริการผู้เรียนที่พึงพอใจมากที่สุด” โดยการฟังเสียงจึงมีความจำเป็นมากที่สุด จะนำไปสู่ Perfect Graduates


วันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2567

อาจารย์หนู กันภัย เปิดสำนักสักยันต์ จัดพิธีไหว้ครู ในรอบ 5 ปี

 


อาจารย์หนู กันภัย เปิดสำนักสักยันต์ จัดพิธีไหว้ครู ในรอบ 5 ปี พร้อมเชิญ พระเกจิคณาจารย์ผู้ทรงบารมี ร่วมทำพิธีปลุกเสกตระกรุด “โครตรวย”  

นายสมพงษ์ กันภัย หรือที่รู้จักกันในนาม อาจารย์หนู กันภัย ได้หวนกลับมาจัดพิธีไหว้ครูประจำปีขึ้นอีกครั้งในรอบ 5 ปี หลังหยุดจัดพิธีไปเนื่องจากสถานการณ์โควิดในประเทศไทย ณ สำนักสักยันต์ 95/5 ม.1 หมู่บ้านพลูศรี ถนนปทุมธานีสายใน ตำบลบางขะแยง อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี ภายในงานมีลูกศิษย์ ทั้งข้าราชการ สื่อมวลชน และคนดังเข้าร่วมพิธีมากมาย โดยงานจัดขึ้นใน วันอังคารที่ 30 เมษายน 25677 ตั้งแต่เวลา 9.00 น. เป็นต้นไป ณ สำนักสักยันต์อาจารย์หนู กันภัย จ.ปทุมธานี  



นอกจากนี้ ยังมีไฮไลท์พิเศษ กับ พิธีปลุกเสกตะกรุดและวัตถุมงคลรุ่น “โครตรวย” โดยอาจารย์หนู กันภัย และ พระเกจิคณาจารย์ผู้ทรงบารมีหลายท่าน ซึ่งเปิดให้บูชาภายในงานเป็นครั้งแรก สำหรับตะกรุดโครตรวย รุ่นนี้ มีความเชื่อว่า สามารถเตือนภัยได้ เตือน พยาอันตรายและบอกเหตุ ได้ ป้องกันขโมย และ โจร เป็นตะกรุดด้านป้องกันเหตุเภทภัยต่างๆนาๆ กำบังภัยจากศัตรูหมู่ร้าย   





แผ่นตะกรุดเนื้อตะกั่วปั๊มยันต์มี 3 แบบ แบบที่ 1 เป็นยันโสรสมงคล มีแกนเป็นทองแดง, แบบที่ 2 เป็นยันต์คู่ชีวิต มีแกนเป็นทองแดง, แบบที่ 3 เป็นยันต์พระพุทธเจ้า 16 พระองค์ มีแกนเป็นทองแดง ตะกรุดพลังฤทธิ์กายสิทธิ์ รุ่นโคตรรวย



ผู้ที่สนใจตะกรุด “โครตรวย” และวัตถุมงคลอื่นๆ สามารถสั่งจองได้ที่ FB : มหาสำเร็จ - เบอร์มงคล วัตถุมงคล อาจารย์หนู กันภัย และ Line : @mahasuccess


"มจร วัดไร่ขิง" เปิดหลักสูตรปั้น "มัคนายก" ต้นแบบ พร้อมใบรับรองเพิ่มความรู้สร้างอาชีพ



 เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2567   พระมหาบุญเลิศ อินฺทปญฺโญ รองผอ.วิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย หรือ "มจร" วัดไร่ขิง จ.นครปฐม กล่าวว่า  การพัฒนาศักยภาพมัคคนายกเพื่อเป็นผู้นำศาสนพิธีแห่งศรัทธา ทาง "มจร" วัดไร่ขิง ได้ทำความร่วมมือกับคณะสงฆ์ภาค 14  (นครปฐม สมุทรสาคร กาญจนบุรี สุพรรณบุรี) ในการกำหนดทักษะสำหรับผู้จะทำหน้าที่มัคนายกเพื่อเป็นผู้นำศาสนพิธีแห่งศรัทธา ประกอบด้วย 

1. ทักษะในการเป็นผู้นำประกอบพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน 2. มีความรู้ในพระพุทธศาสนาและศาสนพิธีประเภทต่างๆ 3. ตั้งตนอยู่ในศีลธรรม (ศีล 5)  4. มีบุคลิกภาพน่าเชื่อถือ เป็นผู้นำ ปฏิปทาน่าเลื่อมใส และได้ร่วมกันออกแบบหลักสูตร "การพัฒนาศักยภาพมัคนายกเพื่อเป็นผู้นำศาสนพิธีแห่งศรัทธา"  กำหนดเนื้อหาว่าด้วยความรู้ในพระพุทธศาสนา ศาสนพิธีอันเนื่องด้วยมงคลพิธีและอวมงคลพิธี สารัตถะธรรมที่แฝงอยู่ในงานพิธีต่าง ๆ มีทักษะในการสื่อสารเพื่อถ่ายทอดศาสนพิธีต่อประชาชน มีบุคลิกภาพน่าเชื่อถือ เป็นผู้นำ มีปฏิปทาน่าเลื่อมใส มีความเป็นผู้นำ เมื่อผู้เรียนผ่านการเรียนรู้จากหลักสูตรนี้แล้ว จะเป็นมัคคนายกที่เป็นผู้นำศาสนพิธีแห่งศรัทธา เป็นต้นแบบให้กับศาสนพิธีกรในคณะสงฆ์ภาค 14 ทั้งเชื่อมโยงการศึกษากับการทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ โดยจะออกใบรับรองเพื่อให้เป็นที่ยอมรับและมีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่น่าเชื่อถือ

พระมหาบุญเลิศ กล่าวต่อไปว่า สำหรับหลักสูตรการพัฒนาศักยภาพมัคนายกเพื่อเป็นผู้นำศาสนพิธีแห่งศรัทธา รุ่น 1 จะเปิดรับมัคนายกประจำวัด จำนวน 20 คน ผู้สนใจทั่วไป จำนวน 20 คน เรียนทุกวันพุธ สัปดาห์ละ 1 วัน ระยะเวลา 7 สัปดาห์ ฝึกปฏิบัติในสถานที่จริง ระยะเวลา 9 สัปดาห์ ไม่จำกัดวุฒิการศึกษา สมัครเรียนได้ที่  https://forms.gle/EKuZDBCZuHSnxaHRA หรือติดต่อสอบถาม พระปลัดประพจน์ สุปภาโต 089-223-1243


เลขาธิการ กกต. แจงกฎเลือก สว. ห้ามหาเสียงได้แค่แนะนำตัว เตือนฮั้วเลือกตั้งตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต



เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2567   นายแสวง บุญมี เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค Sawaeng Boonmee ระบุว่า สว.รัฐธรรมนูญออกแบบไว้อย่างไร...ทำไมต้องแนะนำตัว ห้ามหาเสียง มันต่างกันอย่างไร...โทษการแนะนำตัว กับโทษทุจริตในการเลือก...การให้ความรู้ เชิญชวนคนสมัครทำได้ไหม...ทำไม กกต. ออกระเบียบแนะนำตัวแบบนี้...         

1.สว. ตามรัฐธรรมนูญมีลักษณะอย่างไร 1) วุฒิสภา "ต้องต่างจาก" สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา "เป็นสภาผู้ทรงคุณวุฒิ" แต่ สภาผู้แทนราษฎร "เป็นสภาของนักการเมือง" 2) สมาชิกวุฒิสภา (สว.)"ต้องเป็นกลางทางการเมือง ตาม ม.114 ของรัฐธรรมนูญ แต่สภาผู้แทนราษฎร(สส.) "เป็นสภาของนักการเมือง" 3) สว. เป็น "สภาผู้ทรงคุณวุฒิ" จากกลุ่มสาขาอาชีพต่างๆ แต่ สส. เป็น "สภาของสมาชิกพรรคการเมือง" 4) สว. มีที่มาจาก "การเลือก"กันเองของผู้ทรงคุณวุฒิ แต่ สส. มาจาก "การเลือกตั้ง" ของประชาชน 5) สว. ต้องเป็น "ผู้ทรงคุณวุฒิ คือ อายุ 40 ปีขึ้นไป มีประสบการณ์ในสาขาอาชีพ และเป็นกลางทางการเมือง ซึ่งต่างจาก สส.โดยสิ้นเชิง ที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป ไม่ต้องมีประสบการณ์ในสาขาอาชีพ และ เป็นนักการเมืองเต็มตัว            

2. การแนะนำตัว(เลือก) และการหาเสียง(เลือกตั้ง) ด้วยเหตุข้างต้นที่รัฐธรรมนูญออกแบบให้ สว.มีลักษณะดังกล่าว กม .จึงกำหนดให้ผู้สมัคร สว. ทำได้แค่แนะนำตัว นั้นหมายความว่าห้ามหาเสียงโดยปริยาย เพราะเชื่อว่าผู้ทรงคุณวุฒิด้วยกันเองที่สมัครทุกคน มี ความดี เด่น ดัง ในสาขาอาชีพของตัวเองเป็นที่ประจักษ์และทราบกันดีในวงการนั้นดีอยู่แล้ว และด้วยเป็นผู้ทรงคุณวุฒิจะมี "วิจารณญานในการเลือก"ที่ถูกต้องได้เป็นอย่างดี โดยไม่มีการจัดตั้ง ฮั้วกันในการเลือก                

1) การแนะนำตัว คือ การบอกว่าตัวเองเป็นใคร มีประสบการณ์ในกลุ่มสาขาอาชีพนั้นอย่างไร แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ทรงคุณวุฒิด้วยกันเองมีข้อมูลในการเลือกในการเลือกกันเองแล้ว ไม่ว่าจะเลือกในกลุ่มหรือเลือกไขว้ก็ตาม             

2) การหาเสียง คือ การหา หรือขอคะแนนนิยม โดยการโฆษณา การเสนอนโยบาย หรือการแสดงวิสัยทัศน์ ของพรรรการเมืองและผู้สมัคร ดังนั้นเมื่อพูดถึงที่มา ของ สว. ต้องรู้ให้จริงว่ามาจาก "การเลือก/การแนะนำตัว" อย่าไปสับสนกับที่มา สส.ที่มาจาก "การเลือกตั้ง/การหาเสียง" นั้นแสดงว่ารู้ไม่จริง หรือแกล้งไม่รู้ให้ประชาชนสับสน           

3. โทษการแนะนำตัว และโทษการทุจริตในการเลือก 1) โทษของการแนะนำตัว เช่น การขอคะแนนกัน การแลกคะแนนกัน(ยังไม่ซื้อเสียง) ตั้งแต่หนึ่งคนขึ้นไป ศาลฏีกาได้วินิจฉัยฉัยใว้แล้วว่าเป็นการแนะนำตัวไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ตามคำพิพากษาศาลฏีกา ที่ 5606/2562 และ ที่ 5217/2562 พิพากษาให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง(ใบดำ/ตลอดชีวิต) นั้นหมายความว่า การจัดตั้ง การฮั้ว (ยังไม่ได้ใช้เงินซื้อเสียง)ก็อยู่ในลักษณะความผิดนี้ด้วย 2) โทษของการทุจริตในการเลือก เช่น การซื้อเสียง รวมทั้งโทษอื่น เช่น จ้างให้คนลงสมัคร รับจ้างสมัคร สมัครโดยเอกสารเท็จ รับรองการสมัคร กลุ่มความผิดนี้ มีทั้ง เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง(ใบแดง) จำคุก และเสียเงินค่าปรับด้วย ดังนั้น ให้พึงระวังให้ดี แม้ไม่ได้กระทำผิดตามข้อ 2)เรื่องการทุจริตในการเลือก แต่แนะนำตัวไม่ถูกต้องตามกฎหมาย มีความผิดโดนใบดำได้             

4. การให้ความรู้ การเชิญชวนลงสมัครทำได้หรือไม่ การให้ความรู้ การเชิญชวนลงสมัครโดยทั่วไปแล้วหยุดแค่ให้ความรู้ หรือเชิญชวน ลักษณะนี้โดยตัวมันเองทำได้อยู่แล้ว แต่อาจเป็นเหตุให้เป็นความผิดอื่นได้ เมื่อได้ดำเนินการต่อเนื่องจากการให้ความรู้ หรือการเชิญชวน อาทิ  1) การตั้งกลุ่ม เพื่อติดต่อกันไม่ว่าในช่องทางใดๆ เช่น การตั้งกลุ่มไลน์ และมีการแลกคะแนนกัน ขอคะแนนกัน การฮั้วกัน เป็นต้น 2) การสร้างกลุ่มแต่มีการแนะนำตัว ไม่เป็นไปวิธีแนะนำตัวตามที่ระเบียบกำหนด เช่น การเสนอนโยบาย เป็นต้น ทั้งนี้ ขึ้นกับข้อเท็จจริงเป็นกรณีๆ ไป             

5. ทำไม กกต. ออกระเบียบแบบนี้ กกต.ออกระเบียบว่าด้วยการแนะนำตัว บนหลักการ 3 ประการ 1) เพื่อให้ได้สมาชิกวุฒิสภา ตามที่รัฐธรรมนูญออกแบบใว้ ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น 2) เพื่อการแข่งขันที่เป็นธรรม ผู้ทรงคุณวุฒิเดินมาสมัครด้วยตัวเอง หากมีมีการจัดตั้ง การบริหารจัดการอยู่เบื้องหลัง การจัดตั้งกลุ่มทำไห้ได้ สว. ไม่เป็นอิสระ ไม่เป็นกลาง และเอาเปรียบคนตั้งใจดี 3) หวังดี คุ้มครองผู้สมัคร ส่วนคนที่คิดจะไปเข้ากลุ่มจะได้คิดว่า กลุ่มนั้นจะทำผิดวิธีแนะนำตัวหรือไม่ อยากเป็น สว. ต้องแนะนำตัวให้ถูก ไม่ยากเลย และเป็นธรรมกับทุกคน อย่าคิดเอาเปรียบคนอื่น                

ทุกความเห็น เรารับฟังมาตลอด ไม่ว่าความเห็นนั้นจะไม่อยู่บนหลักกฎหมาย หรือมีแรงจูงใจทางการเมืองหรือไม่ แต่สุดท้าย เราก็ต้องทำตามกฎหมาย ไม่อาจทำตามความต้องการของคนกลุ่มใด กลุ่มหนึ่งได้


วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2567

ลูกศิษย์ส่งหลวงปู่ธัมมาพิทักษาพระมหาเถระผู้มีพระคุณยิ่งเป็นครั้งสุดท้าย



วันที่ ๒๗ เมษายน  ๒๕๖๗  พระปราโมทย์ วาทโกวิโท,  ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา ระดับปริญญาโท บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย น้อมส่งท่านพระครูวิบูลธรรมภาณ หรือ หลวงปู่ธัมมา พิทักษา เป็นผู้มีพระคุณยิ่งในฐานะครูบาอาจารย์ที่ให้โอกาสศึกษาทางโลกและทางธรรมตั้งแต่ปี ๒๕๔๒ ซึ่งหลวงปู่เคยเป็นเจ้าอาวาสวัดใหม่ยายมอญ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร สร้างวัดพัฒนาพระเณรส่งเสริมการศึกษาอันเป็นที่ประจักษ์อย่างยิ่ง เป็นพระสงฆ์ผู้บุกเบิกสร้างวัดใหม่ยายมอญเป็นความหวังเป็นโอกาสให้พระหนุ่มเณรน้อยเข้ามาศึกษา เป็นพระมหาเถระผู้เบิกทางชีวิตให้เด็กบ้านนอกส่งเสริมการศึกษาอย่างแท้จริง   

โดยส่วนตัวแล้วปฏิเสธไม่ได้เลยว่า "ถ้าไม่มีหลวงปู่คงไม่มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาทางธรรมและทางโลก" รวมถึงครูบาอาจารย์หลายรูปล้วนเป็นศิษย์ของหลวงปู่ธัมมา พิทักษา อาศัยร่มเงาร่มธรรมของหลวงปู่ธัมมา พิทักษา ศิษย์วัดใหม่ยายมอญจะทราบดีว่าหลวงปู่เป็นอย่างไร ทำอะไร ในส่วนลึกแล้วมีแต่ความเมตตามีแต่ความหวังดีปรารถนาดีต่อศิษย์ทุกรูปท่าน ซึ่งหลวงปู่สอนไม่ให้เผลอสติดำรงตนแห่งความเป็นพระสงฆ์ "สวดมนต์ได้ จรณะงดงาม  ศึกษาเล่าเรียน ให้วัดได้พึ่งพาได้ และสำนึกรักบ้านเกิด" 

ทำให้หลวงปู่ธัมมา พิทักษา กลับมาพัฒนาบ้านเกิดเป็นต้นแบบ เพราะเห็นความลำบากในชุมชน โดยสร้างพระธาตุเรืองรอง ซึ่งมีความงดงามเป็นสถานที่พึ่งทางใจของคนอีสานใต้ สร้างชุมชนสันติสุข ช่วยเหลือชุมชนตามสังคหวัตถุธรรม จากชุมชนที่ยากจนยกระดับเศรษฐกิจชุมชนดีขึ้น เพราะสร้างเป็นวัฒนธรรมชุมชนแห่งการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมผ่าน "สถาปนึก" นึกอะไรได้ก็ทำ ทำจนเป็นฐานของชุมชนผ่านมิติกายภาพสัปปายะ  นำไปสู่พฤติภาพอยู่ร่วมกัน พัฒนาจิตตภาพรวมพลัง และก่อเกิดปัญญาภาพในชุมชนอยู่รอด โดยสิ่งที่หลวงปู่ธัมมา พิทักษา ลงมือทำเป็นความคิดสร้างสรรค์มีธรรมะข้อคิดซ่อนอยู่ เป็นปริศนาธรรมของการพัฒนาชีวิต

โดยส่วนตัวสมัยเป็นสามเณรวัดใหม่ยายมอญ ตั้งแต่ปี ๒๕๔๒ ย้ำเตือนตนเองเสมอว่า   

#ถึงฉันหิวฉันเหงาฉันหนาวเหน็บ 

#ถึงฉันเจ็บฉันทุกฉันถูกหยาบ 

#ฉันจะยืนเย้ยฟ้าสง่างาม 

#เชิดชูนามสกุลฉันพันธพัฒน์ 

#ถึงฉันหิวฉันเหงาฉันหนาวเหน็บ 

#ฉันขอสู้อยู่กรุงเทพแม้เจ็บหล้า 

#ในเมื่อฉันดั้นด้นดิ้นรนมา 

#ฉันจะเอาปริญญากลับนาดอน  

ถึงวันนี้ทำสำเร็จแล้วเพราะหลวงปู่ถือว่าเป็นบุคคลที่ให้โอกาส ให้ความหวัง ให้แรงบันดาลใจ ให้พลังทางการศึกษาเล่าเรียน ถือว่าเป็นบทกลอนที่ย้ำเตือนว่าต้องสู้จนกว่าจะประสบความสำเร็จ ซึ่งชีวิตลำบากไม่พอ เรายังโดนดูถูกเหยียบหยามจากผู้คน คำกลอนนี้ทำให้เรามีแรงผลักดันเดินต่อไป คำกลอนนี้ผ่านมาหลายสิบปียังจดจำได้ขึ้นใจเสมอ 

ในวาระที่หลวงปู่ธัมมา พิทักษา มรณภาพ จากลูกหลานไปแบบไม่มีวันกลับตามวาระ แต่ยังคงผลงานที่เป็นอนุสาวรีย์ทั้งด้านกายภาพ  ด้านพฤติภาพ  ด้านจิตตภาพ ด้านปัญญาภาพ และอนาคตภาพ เป็นต้นแบบของนักต่อสู้ทั้งภายในคือกิเลส และต่อสู้ภายนอก ในการสร้างวัดเพื่อเป็นสถานที่ให้โอกาสพระเณรจากบ้านนอกเข้ามาศึกษาเล่าเรียน หลวงปู่ยังคงอยู่ในใจเสมอตลอดไปและน้อมบุญถวายหลวงปู่ พระมหาเถระผู้มีพระคุณอย่างยิ่ง โดยปัจจุบันได้รับความเมตตายิ่งจากพระครูสุตกัลยาณคุณ รองเจ้าคณะอำเภอเมืองศรีสะเกษ รักษาการเจ้าอาวาสวัดบ้านสร้างเรือง ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของพระธาตุเรืองรอง เด่นสง่าในเขตอีสานใต้  


"เจ้าคุณประสาร" ยันแยกแยะ ดำเนินตามขั้นตอน กระบวนการ กฎหมาย และพระธรรมวินัย ปมรองเจ้าคณะชัยภูมิ



เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2567   จากกรณีที่มีข่าวปรากฎตามสื่อต่างๆว่า พระศรีสัจญาณมุนี หรือ พระหาสุมินทร์   ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ มจร และคณะได้ออกเดินป่าล่าสัตว์ในบริเวณเขตรัษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว จ.ชัยภูมิ จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมอย่างกว้างขวางนั้น ในกรณีดังกล่าว พระราชวัชรสารบัณฑิต หรือเจ้าคุณประสาร รองอธิการบดีฝ่ายวางแผนและพัฒนา มจร ในฐานะที่กำกับดูแลวิทยาเขต วิทยาลัยสงฆ์ตามภาระงานนั้นๆ ได้กล่าวว่า ในเรื่องนี้มหาวิทยาลัยไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ให้ความสำคัญและเข้าใจในประเด็นของพระธรรมวินัย ข้อกฎหมาย ความเหมาะสมและเสียงสะท้อนของผู้คนผ่านสื่อต่างๆมากมายนั้น ในฐานะที่พระศรีสัจญาณมุนี (สุมินทร์) เป็นผู้บริหารในมหาวิทยาลัยสงฆ์และปรากฎเป็นข่าวที่คนให้ความสนใจในเวลานี้นั้น อาตมาได้พยายามติดต่อโดยตรงกับท่านและล่าสุดได้เรียกผู้บริหารวิทยาลัยสง์ชัยภูมิมาพูดคุยกันที่ส่วนกลางแล้วจึงมีประเด็นที่จะได้สื่อกับผู้คนที่ติดตาม ดังนี้

      1.พระศรีสัจญาณมุนี (สุมินทร์) นั้นดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิ มจร จริงและตลอดเวลาหลายปี หลายสมัยที่ดำรงตำแหน่งมาท่านได้ทำงาน สนองงานรับใช้พระพุทธศาสนา คณะสงฆ์และมหาวิทยาลัยด้วยความเรียบร้อย ท่านได้เสียสละเพื่อมหาวิทยาลัยจนมีผลงานเป็นที่ปรากฎ ภาพวันนี้วิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิก็เจริญก้าวหน้าตามลำดับ นี่ในส่วนภาระหน้าที่ที่ผ่านมา

        2.ในกรณีการกระทำที่กำลังตกเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้นั้น ในส่วนของกฎหมายก็ต้องว่ากันไปตามข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงตามที่อธิบดีกรมอุทยานฯได้รับรายงานและให้นโยบายในการดำเนินการไปแล้ว ในส่วนของพระธรรมวินัยนั้น เมื่ิอมีเรื่อง มีกรณีของพระสงฆ์เกิดขึ้นไม่ว่าจะเรื่องใดๆก็ตามซึ่งในกรณีนั้นๆมีความเกี่ยวข้องกับกฎหมายบ้านเมืองด้วยและในขณะเดียวกันในเวลานั้นในฝ่ายบ้านเมืองโดยกระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนเป็นต้นไปจนถึงชั้นศาลสถิตยุติธรรมกำลังดำเนินการตามภาระหน้าที่อยู่นั้น ในทางปฎิบัติของคณะสงฆ์ในฝ่ายปกครองที่สูงขึ้นไปที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงก็จะต้องรอกระบวนการยุติธรรมให้เสร็จสิ้นก่อนจึงจะกลับมาตั้งคณะกรรมการสงฆ์พิจารณาตามหลักพระธรรมวินัย ต่อไป

       3.ในส่วนของมหาวิทยาลัยสงฆ์ มจร นั้นในขณะนี้ได้รับรายงานจากวิทยาลัยสงฆ์ชัยภูมิในข้อมูลบางส่วนในเบื้องต้นแล้วและขณะนี้ก็ได้สั่งให้มีการรายงานข้อเท็จจริงทั้งหมดโดยไม่ชักช้ามายังมหาวิทยาลัยเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป  

            "ถึงอย่างไรก็ตามขณะนี้สังคมเราได้รับทราบข้อมูลเพียงหนึ่งด้านในอีกด้านหนึ่งนั้นท่านเป็นพระผู้ใหญ่ มีตำแหน่งทั้งทางปกครอง ทางการศึกษาอยากให้ทุกฝ่ายได้ใช้สติในรอข้อมูลอีกฝ่ายเพื่ิอประกอบการพิจารณาขณะเดียวกันข้อมูลอีกฝ่ายก็จะต้องเร็วและทันต่อสถานการณ์ เพื่อจะได้ไม่ให้ข่าวที่ปรากฎอยู่ในขณะนี้นั้นไปกันใหญ่ ไปไกลและเสียหายไปมากกว่านี้ ในส่วนของสงฆ์นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะปกป้องกันจนไม่ลืมหูลืมตา แต่ก็ไม่ได้เหยียบย่ำซ้ำเติมกันในทันทีทันใดโดยปราศจากข้อเท็จจริง ดังนั้นข้อเท็จจริงทั้งหมดของทั้งสองฝ่ายจะเป็นคำตอบและบทสรุปในเรื่องนี้ตามหลัก อธิกรณสมถะ7" พระราชวัชรสารบัณฑิต กล่าวในตอนท้าย


วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567

บิ๊กเนมเพียบทั้ง "อดีต รมต. - สว." สนใจสมัครหลักสูตรดับทุกข์ผู้บริหาร



มูลนิธิสุญญตาวิหารเผยหลักสูตรการดับทุกข์สำหรับผู้บริหารระดับสูงรุ่นแรก มีผู้สนใจในช่วงสองอย่างล้นหลาม รองประธานมูลนิธิฯเผยมีทั้งอดีตรัฐมนตรี อดีต ส.ว.และอดีตปลัดกระทรวง สนใจ ชี้หลักสูตรนี้เหมาะกับโลกในยุคปัจจุบัน

 เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2567   นายสมชาย เลิศด้วยลาภ รองประธานมูลนิธิสุญญตาวิหาร เปิดเผยว่าด้วยสถานการณ์ปัจจุบันสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยและในโลก ทั้งปัญหาสังคม ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาทุกอย่างอีกมากมายที่เกิดขึ้น สำหรับผู้บริหารจะมีการรับรู้และรับผิดชอบมากกว่าบุคคลทั่วไป ทั้งผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ และผู้บริหารหน่วยงานภาคเอกชน โดยทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้น เกิดเพราะความรับผิดชอบที่มีต่อตัวเอง หน่วยงานและสังคม รวมถึงประเทศการเป็นทุกข์สำหรับผู้บริหารแล้ว มักจะไม่สามารถบอกหรือปรึกษาใครได้ เพราะความน่าเชื่อถือและความคาดหวังของคนในองค์กร นั่นทำให้ผู้บริหารบางคนสูญเสียความมั่นใจและส่งผลต่อองค์กรที่ตนบริหารอย่างมาก หรือบางคนก็หาหนทางออกผิดทางจนถูกหลอกลวงไปก็มี



“มูลนิธิสุญญตาวิหารมองเห็นความสำคัญของทุกข์สำหรับผู้บริหาร จึงได้พัฒนาหลักสูตรนี้ขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่าหลักสูตรการดับทุกข์สำหรับผู้บริหารระดับสูงรุ่นที่ 1โดยวิชาที่ศึกษานั้นเป็นเนื้อหาของศาสนาเช่นอริยสัจ4  ศิล สมาธิ ปัญญา โดยธรรมมะสัจจะของหลักสูตรคือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค เพื่อให้บัณฑิตของหลักสูตรสามารถดำรงตนอยู่เหนือความทุกข์ และมีความสุขกับสิ่งที่ตนเองทำหรือบริหารอยู่ รวมทั้งสามารถนำความรู้เผยแผ่ในการดับทุกข์ให้กับผู้อื่นได้”

นายสมชายกล่าวต่อไปอีกว่าจากการเปิดรับสมัครผู้บริหารที่สนใจในรอบแรกนั้นมีผู้สนใจจำนวนมากซึ่งทางผู้บริหารหลักสูตรได้ประกาศรายชื่อในรอบแรกไปแล้ว โดยขณะนี้กำลังจะประกาศรอบสุดท้ายซึ่งได้รับความสนใจจากผู้บริหารหลายคนโดยมีอดีตรัฐมนตรีมากกว่า 2 ท่าน รวมทั้งอดีตสมาชิกวุฒิสภา และผู้บริหารระดับปลัดกระทรวง ที่สนใจส่งใบสมัครเข้ามา ซึ่งคณะกรรมการหลักสูตรก็จะพิจารณาภายในต้นเดือนพฤษภาคมนี้โดยในรุ่นที่ 1 นี้กำหนดรับไว้ที่จำนวน 60 ท่าน โดยจะแบ่งเป็น 4 กลุ่มกลุ่มละ 15 ท่านโดยชื่อกลุ่มจะเป็นสีของบัว 4 สี



นายสมชาย กล่าวอีกว่าสำหรับรายละเอียดของหลักสูตรคือเรียนสัปดาห์ละ 1 วันทุกๆวันศุกร์เป็นเวลา 7 เดือนโยเริ่มเรียนตั้งแต่ วันศุกร์ที่ 17 พฤษภาคม 2567 จนถึงวันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม 2567 ณ  สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต และวัดชลประทานรังสฤษดิ์ โดยมีอาจารย์พิเศษและอาจารย์ประจำหลักสูตร ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักเช่นพระพรหมบัณฑิต ,พระธรรมวัชรบัณฑิต,รศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม เป็นต้น  โดยจะเปิดรับสมัครไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายนนี้  โดยผู้ที่สนใจเข้าศึกษาในหลักสูตรนี้สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 084 -164-2424 


กกต.เตือนผู้ประสงค์จะลงสมัครรับเลือกเป็น สว. ศึกษาและทำความเข้าใจระเบียบการแนะนำตัวให้เป็นไปตามกฎหมาย

 


 เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2567  ด้วยปรากฏว่ามีบุคคล กลุ่มบุคคล ได้ดำเนินการจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการแนะนำตัวของผู้ที่ประสงค์จะลงสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่าง ๆ รวมถึงการรวมกลุ่มจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของบุคคลที่ประสงค์จะลงสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา ก่อนที่ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 มีผลใช้บังคับ    

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ขอเรียนว่า ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 26 เมษายน 2567 และระเบียบดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา ดังนั้น เพื่อให้การแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประสงค์จะลงสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาศึกษาและทำความเข้าใจระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 และพึงระมัดระวังในการดำเนินการแนะนำตัวให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบกำหนดด้วย 

    ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งได้เก็บรวบรวมข้อมูลของบุคคล กลุ่มบุคคล ที่ดำเนินการจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการแนะนำตัวของผู้ที่ประสงค์จะลงสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่าง ๆ รวมถึงการรวมกลุ่มจัดกิจกรรมต่าง ๆ ของบุคคลที่ประสงค์จะลงสมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาไว้ด้วยแล้ว และหากพบว่ามีการกระทำที่เข้าข่ายเป็นความผิด จักดำเนินการตามที่กฎหมายและระเบียบกำหนดต่อไป


กกต. ออกระเบียบการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 มีผลใช้บังคับ 27 เม.ย.นี้ 

ด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ออกระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 เพื่อให้การแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 26 เมษายน 2567 และระเบียบดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาประกาศเป็นต้นไป    

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง จึงขอเชิญชวนประชาชนที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งว่าด้วยการแนะนำตัวในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2567 ได้ทางเว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง www.ect.go.th 

 


วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2567

รวม 4 สุดยอดเหรียญเจ้าสัวมนต์นาคราช หลวงปู่คีบ ธีรปัญโญ วัดป่าสุทธาวาส จ.นครพนม อายุ109 ปี



เหรียญเจ้าสัวมนต์นาคราช  หลวงปู่คีบ ธีรปัญโญ วัดป่าสุทธาวาส อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม อายุ 109 ปี รวมความเป็นสุดยอดดังนี้ สุดยอดพุทธศิลป์ สุดยอดมวลสาร สุดยอดพิธีกรรม รุ่นนี้ บันทึกไว้เป็นตำนาน "มนต์นาคาพระดีพุทธคุณดี"

สำหรับความเป็นมาของการจัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นนี้ นายนิภัทร์ สมาร์ทอิมเมจ” หนึ่งในหัวหน้าทีมพี่เสือ ให้ข้อมูลเพิ่มว่า เพื่อสนับสนุนสร้างศาลาหอฉัน ศาลา 109 ปี หลวงปู่คีบ ธีรปัญโญ และโครงการต่างๆ  ใกล้แล้วเสร็จ ต่อไปหลวงปู่ดำริ 



งบประมาณในการก่อสร้างส่วนแรก ยกโครงมุงหลังคาใช้งบประมาณ 1,250,000 บาท และคาดการณ์ว่าจะใช้งบประมาณจนแล้วเสร็จประมาณ สองล้านกว่าบาท ท่านไหนที่ร่วมบุญ ไม่ว่าจองวัตถุมงคลทุกรุ่นที่กำลังจัดสร้างของแต่ละทีมสร้างก็มีส่วนในการจัดสร้างศลาในครั้งนี้

ผู้ที่มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบุญกับหลวงปู่โดยตรง สามารถโอนเข้าบัญชีหลวงปู่ได้ทีา ธ.กสิกรไทย 1802770029 พระคีบ จำปา



การจัดสร้างวัตถุมงคลรุ่นเหรียญเจ้าสัวมนต์นาคราช

หลวงปู่คีบ ธีรปัญโญ มีวัตถุประสงค์เพื่อ ถวายปัจจัยให้กับทางวัด ตลอดจนร่วมสร้างและพัฒนาศาสนสถานต่างๆภายในวัดให้คงอยู่ คู่พระพุทธศาสนนาสืบไป  ทีมพี่เสือพร้อมผู้ร่วมบุญทุกๆคน ทั้งที่มาร่วมงานเเละไม่ได้มาวันนี้ เราได้ถวายปัยจัยเป็นเงิน 200,000 บาท เพื่อสร้างศาลา 109 ปี 

ในส่วนของเหรียญเจ้าสัวมนต์นาคราช หลวงปู่คีบ ธีรปัญโญ มีการจัดสร้าง 199 ลัง  ประกอบพิธี 3 วาระดังนี้ วาระที่1. เสกมวลสาร เเละหล่อนำฤกษ์ ปั้มนำฤกษ์ หลวงปู่คีบ ท่านเมตตา สุดยอดพิธี หาเกจิที่อายุขนาดนี้ ปั้มฝห้ด้วยองค์ท่านเอง  



วาระที่ 2  วันที่ 30 มี.ค. 2567 เสกลังนำฤกษ์เเละรายการจอง.พร้อมรายการลุ้น ทุกรายการ เพื่อเกิดพุทธานุภาพสูงสุด โดยได้ถวายปัจจัยสมทบทุน 100,000 บาท

วาระที่ 3 วันที่27 เม.ย.นี้ คณะผู้จัดสร้างจะไปถวายปัยจัยอีก100,000บาท ไปร่วมทำบุญ งานลงฐานล่างศาลา 109 ปี หลวงปู่คีบ ธีรปัญโญ วัดป่าสุทธาวาส อ.โพสวรรค์ จ.นครพนม 



ผู้สนใจติดตามความเคลื่อนไหวการจัดสร้างวัตถุมงคลของ “ทีมพี่เสือ” ได้ที่…https://www.facebook.com/groups/1242269399567579/?ref=share_group_link

หลวงปู่คีบ ธีรปญฺโญ มีนามเดิมว่า คีบ จำปา เกิดเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2458 ในใบสุทธิและบัตรประชาชนได้ระบุ พ.ศ. 2463 เนื่องด้วยท่านเล่าว่ากำนันในสมัยนั้น แจ้งเกิดให้ท่านช้า 

ด้วยระยะทางที่ไกลจากตัวอำเภอมาก ประกอบกับคนในสมัยนั้นเมื่อเด็กแรกเกิดมักจะเสียชีวิตในช่วงสองถึงสามปีแรก กำนันจึงมักจะแจ้งเกิดให้ตอนผ่านพ้นช่วงนี้ไป ที่บ้านเลขที่ 101 หมู่1 บ้านค้อ ตำบลบ้านค้อ อำเภอท่าอุเทน (ปัจจุบันอำเภอโพนสวรรค์) จังหวัดนครพนม 



ท่านเป็นบุตรของคุณพ่อกวบ จำปา คุณแม่ปุ้ม จำปา มีพี่น้องร่วมกัน 6 คน 1. นายเสาร์ จำปา เสียชีวิตแล้ว

2. หลวงปู่คีบ (นายคีบ จำปา) 3. นายปาน จำปา เสียชีวิตแล้ว 4. นางปน จำปา 5. หลวงพ่อเปอร์ (นายเปอร์ จำปา) มรณะภาพแล้ว และ 6. นางวน อนุญาหงส์

ในวัยเด็ก เมื่อ พ.ศ. 2468 อายุ 10 ขวบ ได้เข้ารับการศึกษาเล่าเรียนที่โรงเรียนประถมศึกษาวิทยฐานะ พ.ศ. 2470 สำเร็จการศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านค้อ ตำบลบ้านค้อ อำเภอท่าอุเทน (ปัจจุบันโพนสวรรค์) จังหวัดนครพนม 



ด้านการบรรพชา

เมื่อพ.ศ. 2476 ได้บรรพชาเป็นสารเณร ที่วัดโพธิ์สุมบ้านค้อ ตำบลบ้านค้อ อำเภอท่าอุเทน (ปัจจุบันโพนสวรรค์) จังหวัดนครพนม พระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อกงมา เจ้าอาวาส เดือนมกราคม เมื่อ พ.ศ. 2476 อยู่ศึกษาเล่าเรียนธรรมบาลี ปริยัติธรรม อยู่กับพระอุปัชฌาย์ระยะหนึ่ง ต่อมาได้สมัครไปเล่าเรียนนักธรรมตรี ที่ สำนักวัดศรีทอง บ้านโพนสวรรค์ ตำบลโพนสวรรค์ อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม

 ในสมัยนั้นมีพระอธิการเกิด เป็นเจ้าอาวาส และพระผู้สอนพระอาจารย์ผัน บ้านรามราช ต.รามราช อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ได้ศึกษาเล่าเรียนกับพระอาจารย์จนจบเมื่ออายุครบ 19 ปี

อุปสมบทเมื่อ วันที่ 10 กุมพาพันธ์ พ.ศ. 2478 ณ พัทธสีมา วัดโพธิ์สุม บ้านค้อ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม  พระอุปัชฌาย์ เจ้าอธิการบุญจันทร์ กตปุญโญ วัดโพธิ์สุม พระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการหนูพิน วัดโพธิ์ชัย พระอนุสาวนาจารย์ พระอาจารย์สวย วัดโพธิ์ชัย

ได้ศึกษาเล่าเรียนและปฏิบัติพระกรรมฐานธุดงค์วัตรตามสถานที่ต่างๆ ปีกวิเวก เข้ากราบศึกษาธรรมกับพระอาจารย์หลายรูป อาทิเช่นหลวงปู่สนธิ์ สุรชโย วัดท่าดอกแก้ว หลวงปู่คาร คันธิโย วัดโพธิ์ชัยทั้งสองรูปเป็น ลูกศิษย์ผู้ใหญ่สายพ่อแม่ญาครูสีทัตถ์ ญาณสัมปัญโณ จวบจนสำเร็จสัพพระวิชาต่างๆ 


ก่อนท่านจะทำการลาสิกขาเพื่อช่วยเหลือพ่อแม่ประกอบสัมมาชีพ ใช้ชีวิตปุถุชนทั่วไปเหมือนปกติ หลวงปู่ท่านเป็นคนขยันหมั่นหาความรู้ในชีวิตของการเป็นฆราวาสของท่านได้ศึกษาตำรายาสมุนไพ รักษาโรค เป็นหมอธรรมและหมอยา เชี่ยวชาญการใช้ยาสมุนไพ และคาถากำกับในการปรุงยารักษาโรค ได้สมรสครองเรือนมีบุตรธิดา 2 คน ปัจจุบันเสียชีวิตหมดแล้ว

ท่านได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์อีกครั้งเมื่อ พ.ศ. 2520 ได้ไปจำพรรษาที่วัดชุมพล บ้านพานพร้าว ต.พานพร้าว อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย และได้ธุดงค์ไปในสถานที่ต่างๆ ก่อนจะไปจำพรรษาที่วัดบ้านหนองบัว

 ต่อมาใน  พ.ศ. 2524 ท่านได้ทำการเข้าสอบนักธรรมชั้นตรี ได้รับผลสำเร็จนักธรรมชั้นตรี ต่อมาจนจบนักธรรมโท และนักธรรมชั้นเอกเป็นอันสูงสุด และกับออกมาธุดงค์วัตรเหมือนดังเดิม จนในพ.ศ. 2527 ท่านธุดงค์ไปภูเพ็ค ได้สร้างกุฏิไหว้หนึ่งหลัง ใช้เวลาหลายปี พักการธุดงค์เพราะอายุที่มากขึ้น

พ.ศ. 2531จึงธุดงค์กลับบ้านเกิด จำพรรษาที่วัดโพธิ์สุม ต.บ้านค้อ อ.โพนสวรรค์ จ.นครพนม อยู่สักพักใหญ่ ท่านมีปัญหาด้านสุขภาพไม่สะดวกในการประกอบกิจของสงฆ์ ลูกหลานเลยให้ลาสิกขาเพื่อออกมารักษาตัวอยู่พักหนึ่งจวบจนปกติ ท่านจึงได้อุปสมบทอีกครั้งใน พ.ศ. 2540 จวบจนถึงปัจจุบันนี้ อายุ 109 ปี พรรษา 26 

ณ ปัจจุบัน ท่านเป็นพระนักปฏิบัติและเมตตาสูง อีกทั้งยังเป็นหมอยารักษาคน แม้ท่านจะอายุมากแต่ก็แข็งแรงไม่มีโรคประจำตัวสุขภาพดี ท่านเป็นพระผู้มักน้อยสันโดษไม่รับยศตำแหน่งใดๆ


วิเคราะห์ปัญจาลวรรคในพระไตรปิฎกเล่มที่ 23 อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต ปัณณาสก์

  วิเคราะห์ปัญจาลวรรคในพระไตรปิฎกเล่มที่ 23: พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 15 อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต ปัณณาสก์ในปริบทพุทธสันติวิธี บทนำ พระไตรปิฎกเล...