วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2568

วิเคราะห์ วสลสูตร พระพุทธเจ้าถูกอัคคิกภารทวาชพราหมณ์ดูหมิ่น

วิเคราะห์วสลสูตรในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต 1. อุรควรรค ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรมและการประยุกต์ใช้

บทนำ

วสลสูตรเป็นพระสูตรที่มีความสำคัญในพระไตรปิฎก โดยแสดงถึงคุณลักษณะและการกระทำที่ทำให้บุคคลกลายเป็น “คนถ่อย” (วสล) และให้ความหมายของความเป็นพราหมณ์ที่แท้จริงในเชิงพฤติกรรมมากกว่าชาติกำเนิด พระสูตรนี้ให้ความรู้ในเชิงศีลธรรมและสังคมอันเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับพุทธสันติวิธี โดยมุ่งเน้นให้มนุษย์ดำเนินชีวิตบนความประพฤติที่ดีงามและเคารพในศักดิ์ศรีของตนเองและผู้อื่น

สาระสำคัญของวสลสูตร

วสลสูตรเริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าถูกอัคคิกภารทวาชพราหมณ์ดูหมิ่นด้วยคำว่า “คนถ่อย” พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมตอบว่า ความเป็นคนถ่อยไม่ได้ขึ้นอยู่กับชาติกำเนิด แต่ขึ้นอยู่กับการกระทำ พระองค์ได้ตรัสคาถาอธิบายถึงคุณลักษณะของคนถ่อยใน 20 ลักษณะ เช่น การเป็นผู้มักโกรธ เบียดเบียนสัตว์ กล่าวเท็จ ลักทรัพย์ ฯลฯ

ขณะเดียวกัน พระพุทธเจ้าได้แสดงว่าความเป็นพราหมณ์ไม่ได้ขึ้นกับชาติกำเนิด แต่ขึ้นอยู่กับกรรมดี การละเว้นบาป และการประพฤติธรรม เช่น การช่วยเหลือผู้อื่น การรักษาศีล และการบรรลุความหลุดพ้น

วสลสูตรในปริบทพุทธสันติวิธี

พุทธสันติวิธีเป็นแนวทางการแก้ปัญหาและสร้างความสงบสุขที่เน้นการเปลี่ยนแปลงภายในของบุคคลและสังคมโดยยึดหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า วสลสูตรสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ ดังนี้:

  1. ศีลธรรมและจริยธรรมในสังคม

    • การประณามคนถ่อยตามวสลสูตรช่วยสร้างจริยธรรมในสังคม โดยกระตุ้นให้บุคคลตระหนักถึงผลเสียของการกระทำที่เป็นบาป เช่น การโกหก การเบียดเบียน และความเห็นแก่ตัว

    • ส่งเสริมการยกย่องผู้ที่ประพฤติธรรมและทำคุณประโยชน์แก่สังคม ซึ่งช่วยสร้างแรงจูงใจให้คนทำดี

  2. ความเท่าเทียมและการลดอคติทางชนชั้น

    • วสลสูตรเน้นว่าความเป็นคนดีหรือคนถ่อยขึ้นอยู่กับการกระทำ ไม่ใช่ชาติกำเนิด หลักธรรมข้อนี้ช่วยลดอคติทางชนชั้น เชื้อชาติ และศาสนา โดยสนับสนุนแนวคิดความเท่าเทียมของมนุษย์

  3. การพัฒนาตนเอง

    • พระสูตรชี้ให้เห็นว่า การเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นคนถ่อยและการปฏิบัติตนตามหลักธรรมช่วยให้บุคคลพัฒนาตนเองทั้งในด้านศีลธรรมและจิตวิญญาณ

  4. การแก้ไขความขัดแย้ง

    • การใช้วสลสูตรเป็นเครื่องมือในการตักเตือนหรือให้คำปรึกษาผู้อื่นอย่างมีเมตตา สามารถช่วยลดความขัดแย้งและความเข้าใจผิดในครอบครัว ชุมชน หรือองค์กรได้

  5. การส่งเสริมสันติภาพในสังคม

    • การนำหลักธรรมในวสลสูตรมาใช้ในการอบรมเยาวชนหรือประชาชนทั่วไป ช่วยสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยคนดี ซึ่งเป็นรากฐานของสันติภาพในระยะยาว

การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน

  1. ครอบครัวและการศึกษา

    • สอนเด็กและเยาวชนเกี่ยวกับคุณธรรมของคนดี และกระตุ้นให้พวกเขาหลีกเลี่ยงการกระทำที่เป็นคนถ่อย เช่น การโกหกหรือการทำร้ายผู้อื่น

  2. องค์กรและชุมชน

    • ใช้หลักธรรมในวสลสูตรเป็นแนวทางการจัดการความขัดแย้งในองค์กร โดยส่งเสริมให้พนักงานทำงานด้วยความซื่อสัตย์และเมตตา

  3. การแก้ไขปัญหาสังคม

    • ส่งเสริมโครงการที่มุ่งลดพฤติกรรมที่เป็นบาปในสังคม เช่น การต่อต้านการคอร์รัปชัน การรณรงค์ลดความรุนแรงในครอบครัว และการฟื้นฟูศีลธรรมในสื่อ

สรุป

วสลสูตรเป็นพระสูตรที่ให้คำแนะนำที่ชัดเจนเกี่ยวกับคุณลักษณะของคนถ่อยและคนดี โดยเน้นว่าการกระทำของบุคคลเป็นสิ่งกำหนดคุณค่าของเขา หลักธรรมในวสลสูตรสามารถนำมาใช้ในพุทธสันติวิธีเพื่อสร้างสังคมที่สงบสุขและเปี่ยมด้วยศีลธรรม การปฏิบัติตามพระสูตรนี้ไม่เพียงช่วยพัฒนาตนเอง แต่ยังเป็นการสนับสนุนสันติภาพและความสุขของมนุษยชาติในระยะยาว เรื่อง "วิเคราะห์     วสลสูตร    ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย   อิติวุตตกะ สุตตนิบาต ๑. อุรควรรค ที่ประกอบด้วย 

 วสลสูตรที่ ๗

             [๓๐๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้

             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของ

ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า พระผู้มี

พระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาต

ยังพระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ก่อไฟแล้วตกแต่ง

ของที่ควรบูชา อยู่ในนิเวศน์ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จเที่ยวบิณฑบาต

ตามลำดับตรอก ในพระนครสาวัตถี เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของอัคคิกภารทวาช-

*พราหมณ์ อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกลทีเดียว

ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า หยุดอยู่ที่นั่นแหละคนโล้น หยุดอยู่ที่

นั่นแหละสมณะ หยุดอยู่ที่นั่นแหละคนถ่อย ฯ

             เมื่ออัคคิกภารทวาชพราหมณ์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัส

ถามว่า ดูกรพราหมณ์ ก็ท่านรู้จักคนถ่อย หรือธรรมเป็นเครื่องกระทำให้เป็น

คนถ่อยหรือ ฯ

             อ. ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าไม่รู้จักคนถ่อยหรือธรรมเป็นเครื่องกระทำ

ให้เป็นคนถ่อย ดีละ ขอท่านพระโคดมจงแสดงธรรมตามที่ข้าพเจ้าจะพึงรู้จักคน

ถ่อยหรือธรรมเป็นเครื่องกระทำให้เป็นคนถ่อยเถิด ฯ

             พ. ดูกรพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว

อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระ-

*คาถาประพันธ์นี้ว่า

             [๓๐๖] ๑. คนมักโกรธ ผูกโกรธ ลบหลู่อย่างเลว มีทิฐิวิบัติ และ

                          มีมายา พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย

                          ๒. คนผู้เบียดเบียนสัตว์ที่เกิดหนเดียว แม้หรือเกิดสองหน

                          ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

                          ๓. คนเบียดเบียน เที่ยวปล้น มีชื่อเสียงว่า ฆ่าชาวบ้าน

                          และชาวนิคม พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

                          ๔. คนลักทรัพย์ที่ผู้อื่นหวงแหน ไม่ได้อนุญาตให้ ใน

                          บ้านหรือในป่า พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

                          ๕. คนที่กู้หนี้มาใช้แล้วกล่าวว่า หาได้เป็นหนี้ท่านไม่ หนี

                          ไปเสีย พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

                          ๖. คนฆ่าคนเดินทาง ชิงเอาสิ่งของ เพราะอยากได้สิ่งของ

                          พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

                          ๗. คนถูกเขาถามเป็นพยาน แล้วกล่าวคำเท็จ เพราะเหตุ

                          แห่งตนก็ดี  เพราะเหตุแห่งผู้อื่นก็ดี เพราะเหตุแห่งทรัพย์

                          ก็ดี พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

                          ๘. คนผู้ประพฤติล่วงเกิน ในภริยาของญาติก็ตาม ของ

                          เพื่อนก็ตาม ด้วยข่มขืนหรือด้วยการร่วมรักกัน พึงรู้ว่าเป็น

                          คนถ่อย ฯ

                          ๙. คนผู้สามารถ แต่ไม่เลี้ยงมารดาหรือบิดาผู้แก่เฒ่าผ่านวัย

                          หนุ่มสาวไปแล้ว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

                          ๑๐. คนผู้ทุบตีด่าว่ามารดาบิดา พี่ชายพี่สาว พ่อตาแม่ยาย

                          แม่ผัวหรือพ่อผัว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

                          ๑๑. คนผู้ถูกถามถึงประโยชน์ บอกสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์

                          พูดกลบเกลื่อนเสีย พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

                          ๑๒. คนทำกรรมชั่วแล้ว ปรารถนาว่าใครอย่าพึงรู้เรา ปกปิด

                          ไว้ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

                          ๑๓. คนผู้ไปสู่สกุลอื่นแล้ว และบริโภคโภชนะที่สะอาด

                          ย่อมไม่ตอบแทนเขาผู้มาสู่สกุลของตน พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

                          ๑๔. คนผู้ลวงสมณะ พราหมณ์ หรือแม้วณิพกอื่น ด้วย

                          มุสาวาท พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

                          ๑๕. เมื่อเวลาบริโภคอาหาร คนผู้ด่าสมณะหรือพราหมณ์

                          และไม่ให้โภชนะ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

                          ๑๖. คนในโลกนี้ ผู้อันโมหะครอบงำแล้ว ปรารถนา

                          ของเล็กน้อย พูดอวดสิ่งที่ไม่มี พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

                          ๑๗. คนเลวทราม ยกตนและดูหมิ่นผู้อื่น ด้วยมานะ

                          ของตน พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

                          ๑๘. คนฉุนเฉียว กระด้าง มีความปรารถนาลามก มี

                          ความตระหนี่ โอ้อวด ไม่ละอาย ไม่สะดุ้งกลัว

                          พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

                          ๑๙. คนติเตียนพระพุทธเจ้า หรือติเตียนบรรพชิต หรือ

                          คฤหัสถ์สาวกของพระพุทธเจ้า พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ

                          ๒๐. ผู้ใดแลไม่เป็นพระอรหันต์ แต่ปฏิญาณว่าเป็นพระ-

                          อรหันต์ ผู้นั้นแลเป็นคนถ่อยต่ำช้า เป็นโจรในโลกพร้อม

                          ทั้งพรหมโลก คนเหล่าใด เราประกาศแก่ท่านแล้ว

                          คนเหล่านั้นนั่นแล เรากล่าวว่าเป็นคนถ่อย ฯ

                          บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ

                          แต่เป็นคนถ่อยเพราะกรรม เป็นพราหมณ์เพราะกรรม ท่าน

                          จงรู้ข้อนั้น ตามที่เราแสดงนี้ บุตรของคนจัณฑาลเลี้ยง

                          ตัวเองได้ ปรากฏชื่อว่าตังมาคะ เป็นคนกินของที่ตนให้

                          สุกเอง เขาได้ยศอย่างสูงที่ได้แสนยาก กษัตริย์และ

                          พราหมณ์เป็นอันมากได้มาสู่ที่บำรุงของเขา เขาขึ้นยานอัน

                          ประเสริฐ ไปสู่หนทางใหญ่อันไม่มีฝุ่น เขาสำรอกกาม-

                          ราคะเสียได้แล้ว เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก ชาติไม่ได้

                          ห้ามเขาให้เข้าถึงพรหมโลก พราหมณ์เกิดในสกุลผู้สาธยาย-

                          มนต์ เป็นพวกร่ายมนต์ แต่พวกเขาปรากฏในบาปกรรม

                          อยู่เนืองๆ พึงถูกติเตียนในปัจจุบันทีเดียว และภพหน้า

                          ก็เป็นทุคติ ชาติห้ามกันพวกเขาจากทุคติหรือจากครหาไม่ได้

                          บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ

                          แต่เป็นคนถ่อยเพราะกรรม เป็นพราหมณ์เพราะกรรม ฯ

             [๓๐๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว อัคคิกภารทวาชพราหมณ์

ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์

แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์

ทรงประกาศธรรม โดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด

บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุ

จักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าพระองค์ขอถึงพระองค์กับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์

เป็นสรณะ ขอพระองค์ทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต

จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ



ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้" โดยใช้สาระสำคัญของ     วสลสูตร     ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย  อิติวุตตกะ    สุตตนิบาต  ๑. อุรควรรค

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วิเคราะห์ ราหุลสูตร

       ช่วยเขียนบทความทางวิชาการ เรื่อง "วิเคราะห์   ราหุลสูตร   ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่  17  ขุททกนิกาย   อิติว...