วิเคราะห์วสลสูตรในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต 1. อุรควรรค ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรมและการประยุกต์ใช้
บทนำ
วสลสูตรเป็นพระสูตรที่มีความสำคัญในพระไตรปิฎก โดยแสดงถึงคุณลักษณะและการกระทำที่ทำให้บุคคลกลายเป็น “คนถ่อย” (วสล) และให้ความหมายของความเป็นพราหมณ์ที่แท้จริงในเชิงพฤติกรรมมากกว่าชาติกำเนิด พระสูตรนี้ให้ความรู้ในเชิงศีลธรรมและสังคมอันเป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับพุทธสันติวิธี โดยมุ่งเน้นให้มนุษย์ดำเนินชีวิตบนความประพฤติที่ดีงามและเคารพในศักดิ์ศรีของตนเองและผู้อื่น
สาระสำคัญของวสลสูตร
วสลสูตรเริ่มต้นด้วยเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าถูกอัคคิกภารทวาชพราหมณ์ดูหมิ่นด้วยคำว่า “คนถ่อย” พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมตอบว่า ความเป็นคนถ่อยไม่ได้ขึ้นอยู่กับชาติกำเนิด แต่ขึ้นอยู่กับการกระทำ พระองค์ได้ตรัสคาถาอธิบายถึงคุณลักษณะของคนถ่อยใน 20 ลักษณะ เช่น การเป็นผู้มักโกรธ เบียดเบียนสัตว์ กล่าวเท็จ ลักทรัพย์ ฯลฯ
ขณะเดียวกัน พระพุทธเจ้าได้แสดงว่าความเป็นพราหมณ์ไม่ได้ขึ้นกับชาติกำเนิด แต่ขึ้นอยู่กับกรรมดี การละเว้นบาป และการประพฤติธรรม เช่น การช่วยเหลือผู้อื่น การรักษาศีล และการบรรลุความหลุดพ้น
วสลสูตรในปริบทพุทธสันติวิธี
พุทธสันติวิธีเป็นแนวทางการแก้ปัญหาและสร้างความสงบสุขที่เน้นการเปลี่ยนแปลงภายในของบุคคลและสังคมโดยยึดหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า วสลสูตรสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ ดังนี้:
ศีลธรรมและจริยธรรมในสังคม
การประณามคนถ่อยตามวสลสูตรช่วยสร้างจริยธรรมในสังคม โดยกระตุ้นให้บุคคลตระหนักถึงผลเสียของการกระทำที่เป็นบาป เช่น การโกหก การเบียดเบียน และความเห็นแก่ตัว
ส่งเสริมการยกย่องผู้ที่ประพฤติธรรมและทำคุณประโยชน์แก่สังคม ซึ่งช่วยสร้างแรงจูงใจให้คนทำดี
ความเท่าเทียมและการลดอคติทางชนชั้น
วสลสูตรเน้นว่าความเป็นคนดีหรือคนถ่อยขึ้นอยู่กับการกระทำ ไม่ใช่ชาติกำเนิด หลักธรรมข้อนี้ช่วยลดอคติทางชนชั้น เชื้อชาติ และศาสนา โดยสนับสนุนแนวคิดความเท่าเทียมของมนุษย์
การพัฒนาตนเอง
พระสูตรชี้ให้เห็นว่า การเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นคนถ่อยและการปฏิบัติตนตามหลักธรรมช่วยให้บุคคลพัฒนาตนเองทั้งในด้านศีลธรรมและจิตวิญญาณ
การแก้ไขความขัดแย้ง
การใช้วสลสูตรเป็นเครื่องมือในการตักเตือนหรือให้คำปรึกษาผู้อื่นอย่างมีเมตตา สามารถช่วยลดความขัดแย้งและความเข้าใจผิดในครอบครัว ชุมชน หรือองค์กรได้
การส่งเสริมสันติภาพในสังคม
การนำหลักธรรมในวสลสูตรมาใช้ในการอบรมเยาวชนหรือประชาชนทั่วไป ช่วยสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยคนดี ซึ่งเป็นรากฐานของสันติภาพในระยะยาว
การประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน
ครอบครัวและการศึกษา
สอนเด็กและเยาวชนเกี่ยวกับคุณธรรมของคนดี และกระตุ้นให้พวกเขาหลีกเลี่ยงการกระทำที่เป็นคนถ่อย เช่น การโกหกหรือการทำร้ายผู้อื่น
องค์กรและชุมชน
ใช้หลักธรรมในวสลสูตรเป็นแนวทางการจัดการความขัดแย้งในองค์กร โดยส่งเสริมให้พนักงานทำงานด้วยความซื่อสัตย์และเมตตา
การแก้ไขปัญหาสังคม
ส่งเสริมโครงการที่มุ่งลดพฤติกรรมที่เป็นบาปในสังคม เช่น การต่อต้านการคอร์รัปชัน การรณรงค์ลดความรุนแรงในครอบครัว และการฟื้นฟูศีลธรรมในสื่อ
สรุป
วสลสูตรเป็นพระสูตรที่ให้คำแนะนำที่ชัดเจนเกี่ยวกับคุณลักษณะของคนถ่อยและคนดี โดยเน้นว่าการกระทำของบุคคลเป็นสิ่งกำหนดคุณค่าของเขา หลักธรรมในวสลสูตรสามารถนำมาใช้ในพุทธสันติวิธีเพื่อสร้างสังคมที่สงบสุขและเปี่ยมด้วยศีลธรรม การปฏิบัติตามพระสูตรนี้ไม่เพียงช่วยพัฒนาตนเอง แต่ยังเป็นการสนับสนุนสันติภาพและความสุขของมนุษยชาติในระยะยาว เรื่อง "วิเคราะห์ วสลสูตร ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต ๑. อุรควรรค ที่ประกอบด้วย
วสลสูตรที่ ๗
[๓๐๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของ
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า พระผู้มี
พระภาคทรงครองอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาต
ยังพระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ก่อไฟแล้วตกแต่ง
ของที่ควรบูชา อยู่ในนิเวศน์ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จเที่ยวบิณฑบาต
ตามลำดับตรอก ในพระนครสาวัตถี เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของอัคคิกภารทวาช-
*พราหมณ์ อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเสด็จมาแต่ไกลทีเดียว
ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า หยุดอยู่ที่นั่นแหละคนโล้น หยุดอยู่ที่
นั่นแหละสมณะ หยุดอยู่ที่นั่นแหละคนถ่อย ฯ
เมื่ออัคคิกภารทวาชพราหมณ์กราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัส
ถามว่า ดูกรพราหมณ์ ก็ท่านรู้จักคนถ่อย หรือธรรมเป็นเครื่องกระทำให้เป็น
คนถ่อยหรือ ฯ
อ. ท่านพระโคดม ข้าพเจ้าไม่รู้จักคนถ่อยหรือธรรมเป็นเครื่องกระทำ
ให้เป็นคนถ่อย ดีละ ขอท่านพระโคดมจงแสดงธรรมตามที่ข้าพเจ้าจะพึงรู้จักคน
ถ่อยหรือธรรมเป็นเครื่องกระทำให้เป็นคนถ่อยเถิด ฯ
พ. ดูกรพราหมณ์ ถ้าอย่างนั้น ท่านจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
อัคคิกภารทวาชพราหมณ์ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระ-
*คาถาประพันธ์นี้ว่า
[๓๐๖] ๑. คนมักโกรธ ผูกโกรธ ลบหลู่อย่างเลว มีทิฐิวิบัติ และ
มีมายา พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย
๒. คนผู้เบียดเบียนสัตว์ที่เกิดหนเดียว แม้หรือเกิดสองหน
ไม่มีความเอ็นดูในสัตว์ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ
๓. คนเบียดเบียน เที่ยวปล้น มีชื่อเสียงว่า ฆ่าชาวบ้าน
และชาวนิคม พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ
๔. คนลักทรัพย์ที่ผู้อื่นหวงแหน ไม่ได้อนุญาตให้ ใน
บ้านหรือในป่า พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ
๕. คนที่กู้หนี้มาใช้แล้วกล่าวว่า หาได้เป็นหนี้ท่านไม่ หนี
ไปเสีย พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ
๖. คนฆ่าคนเดินทาง ชิงเอาสิ่งของ เพราะอยากได้สิ่งของ
พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ
๗. คนถูกเขาถามเป็นพยาน แล้วกล่าวคำเท็จ เพราะเหตุ
แห่งตนก็ดี เพราะเหตุแห่งผู้อื่นก็ดี เพราะเหตุแห่งทรัพย์
ก็ดี พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ
๘. คนผู้ประพฤติล่วงเกิน ในภริยาของญาติก็ตาม ของ
เพื่อนก็ตาม ด้วยข่มขืนหรือด้วยการร่วมรักกัน พึงรู้ว่าเป็น
คนถ่อย ฯ
๙. คนผู้สามารถ แต่ไม่เลี้ยงมารดาหรือบิดาผู้แก่เฒ่าผ่านวัย
หนุ่มสาวไปแล้ว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ
๑๐. คนผู้ทุบตีด่าว่ามารดาบิดา พี่ชายพี่สาว พ่อตาแม่ยาย
แม่ผัวหรือพ่อผัว พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ
๑๑. คนผู้ถูกถามถึงประโยชน์ บอกสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
พูดกลบเกลื่อนเสีย พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ
๑๒. คนทำกรรมชั่วแล้ว ปรารถนาว่าใครอย่าพึงรู้เรา ปกปิด
ไว้ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ
๑๓. คนผู้ไปสู่สกุลอื่นแล้ว และบริโภคโภชนะที่สะอาด
ย่อมไม่ตอบแทนเขาผู้มาสู่สกุลของตน พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ
๑๔. คนผู้ลวงสมณะ พราหมณ์ หรือแม้วณิพกอื่น ด้วย
มุสาวาท พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ
๑๕. เมื่อเวลาบริโภคอาหาร คนผู้ด่าสมณะหรือพราหมณ์
และไม่ให้โภชนะ พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ
๑๖. คนในโลกนี้ ผู้อันโมหะครอบงำแล้ว ปรารถนา
ของเล็กน้อย พูดอวดสิ่งที่ไม่มี พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ
๑๗. คนเลวทราม ยกตนและดูหมิ่นผู้อื่น ด้วยมานะ
ของตน พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ
๑๘. คนฉุนเฉียว กระด้าง มีความปรารถนาลามก มี
ความตระหนี่ โอ้อวด ไม่ละอาย ไม่สะดุ้งกลัว
พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ
๑๙. คนติเตียนพระพุทธเจ้า หรือติเตียนบรรพชิต หรือ
คฤหัสถ์สาวกของพระพุทธเจ้า พึงรู้ว่าเป็นคนถ่อย ฯ
๒๐. ผู้ใดแลไม่เป็นพระอรหันต์ แต่ปฏิญาณว่าเป็นพระ-
อรหันต์ ผู้นั้นแลเป็นคนถ่อยต่ำช้า เป็นโจรในโลกพร้อม
ทั้งพรหมโลก คนเหล่าใด เราประกาศแก่ท่านแล้ว
คนเหล่านั้นนั่นแล เรากล่าวว่าเป็นคนถ่อย ฯ
บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ
แต่เป็นคนถ่อยเพราะกรรม เป็นพราหมณ์เพราะกรรม ท่าน
จงรู้ข้อนั้น ตามที่เราแสดงนี้ บุตรของคนจัณฑาลเลี้ยง
ตัวเองได้ ปรากฏชื่อว่าตังมาคะ เป็นคนกินของที่ตนให้
สุกเอง เขาได้ยศอย่างสูงที่ได้แสนยาก กษัตริย์และ
พราหมณ์เป็นอันมากได้มาสู่ที่บำรุงของเขา เขาขึ้นยานอัน
ประเสริฐ ไปสู่หนทางใหญ่อันไม่มีฝุ่น เขาสำรอกกาม-
ราคะเสียได้แล้ว เป็นผู้เข้าถึงพรหมโลก ชาติไม่ได้
ห้ามเขาให้เข้าถึงพรหมโลก พราหมณ์เกิดในสกุลผู้สาธยาย-
มนต์ เป็นพวกร่ายมนต์ แต่พวกเขาปรากฏในบาปกรรม
อยู่เนืองๆ พึงถูกติเตียนในปัจจุบันทีเดียว และภพหน้า
ก็เป็นทุคติ ชาติห้ามกันพวกเขาจากทุคติหรือจากครหาไม่ได้
บุคคลไม่เป็นคนถ่อยเพราะชาติ ไม่เป็นพราหมณ์เพราะชาติ
แต่เป็นคนถ่อยเพราะกรรม เป็นพราหมณ์เพราะกรรม ฯ
[๓๐๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว อัคคิกภารทวาชพราหมณ์
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์
แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์
ทรงประกาศธรรม โดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด
บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุ
จักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าพระองค์ขอถึงพระองค์กับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์
เป็นสรณะ ขอพระองค์ทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต
จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ
ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้" โดยใช้สาระสำคัญของ วสลสูตร ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต ๑. อุรควรรค
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น