วิเคราะห์เหมวตสูตรในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรมและการประยุกต์ใช้
บทนำ เหมวตสูตรปรากฏในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต อุรควรรค โดยเป็นบทสนทนาระหว่างสาตาคิรยักษ์และเหมวตยักษ์เกี่ยวกับคุณธรรมของพระพุทธเจ้า และธรรมที่ทรงแสดงให้เป็นหนทางพ้นทุกข์ บทความนี้มุ่งวิเคราะห์สาระสำคัญของเหมวตสูตรในบริบทพุทธสันติวิธี โดยชี้ให้เห็นถึงหลักธรรมและแนวทางการประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและสังคมปัจจุบัน
สาระสำคัญของเหมวตสูตร
การสรรเสริญพระพุทธคุณ
เหมวตสูตรเริ่มต้นด้วยสาตาคิรยักษ์ชวนเหมวตยักษ์ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พร้อมกับการพรรณนาถึงพระคุณสมบัติ เช่น ความตั้งมั่นในสัตว์ทั้งปวง การไม่ถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ความสำรวมในศีล และการตรัสรู้ที่ล่วงพ้นกิเลสทั้งปวง การสรรเสริญดังกล่าวเป็นการชี้ถึงความบริสุทธิ์และความเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณที่ทรงคุณค่าของพระพุทธเจ้าธรรมเป็นเครื่องพ้นจากโลก
พระพุทธเจ้าตรัสตอบเหมวตยักษ์ถึงเหตุที่โลกเกิดขึ้นและเดือดร้อนว่า เกิดจาก "อายตนะภายในและภายนอก 6" (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และวัตถุภายนอกที่รับสัมผัส) และการยึดมั่นในอารมณ์เหล่านี้ พระองค์ทรงชี้ว่า การพ้นทุกข์อยู่ที่การคลายความพอใจในกามคุณ 5 และการตัดอุปาทานคุณธรรมของผู้พ้นโอฆะ
ผู้ที่จะพ้นจากโอฆะ คือ วัฏสงสารได้ ต้องถึงพร้อมด้วยศีล ปัญญา สมาธิ และความหมายรู้ภายใน การปล่อยวางความยึดมั่นในกามและสังโยชน์ทั้งปวงเป็นปัจจัยสำคัญการสรรเสริญพระพุทธเจ้าด้วยบทกวี
ตอนท้ายของสูตร เหมวตยักษ์ชื่นชมพระพุทธเจ้าในฐานะผู้ตรัสรู้ ผู้ทรงแสดงธรรมละเอียด และผู้ทรงพ้นโอฆะ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความเคารพสูงสุดที่ผู้มีปัญญาในยุคนั้นมอบแก่พระองค์
เหมวตสูตรในบริบทพุทธสันติวิธี
หลักศีลธรรมเพื่อความสงบสุข
ศีลธรรมที่ปรากฏในเหมวตสูตร เช่น การไม่เบียดเบียน การไม่พูดเท็จ การไม่ถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้ และการปล่อยวางจากกามคุณ เป็นรากฐานของสันติวิธีทั้งในระดับปัจเจกและสังคม การนำศีลธรรมเหล่านี้มาปฏิบัติสามารถลดความขัดแย้งและสร้างความไว้วางใจในสังคมได้ปัญญาและการพิจารณาเหตุปัจจัย
การที่พระพุทธเจ้าทรงชี้ว่า "อายตนะภายในและภายนอก" เป็นเหตุแห่งทุกข์ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการพิจารณาเหตุปัจจัยและการปล่อยวาง การเจริญปัญญาเพื่อเห็นธรรมตามความเป็นจริงนำไปสู่ความสงบสุขในจิตใจและช่วยให้บุคคลสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้โดยไม่ยึดติดการปล่อยวางอุปาทาน
ในเหมวตสูตร พระพุทธเจ้าชี้ว่า การพ้นจากทุกข์อยู่ที่การละความยึดมั่นในกามคุณและอุปาทาน การปล่อยวางดังกล่าวเป็นหัวใจของพุทธสันติวิธี เพราะช่วยให้บุคคลหลุดพ้นจากความขัดแย้งภายใน และสามารถเผชิญหน้ากับความขัดแย้งภายนอกอย่างสงบ
การประยุกต์ใช้เหมวตสูตรในชีวิตประจำวัน
การดำเนินชีวิตด้วยศีล 5
การยึดมั่นในศีล 5 ตามเหมวตสูตร ช่วยสร้างความมั่นคงทางจิตใจและส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวและชุมชนการพัฒนาปัญญาผ่านการภาวนา
การเจริญสติและสมาธิตามแนวทางที่เหมวตสูตรชี้แนะ ช่วยให้บุคคลเห็นธรรมตามความเป็นจริง และสามารถจัดการกับความทุกข์และความวุ่นวายในชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพการสร้างสันติสุขในสังคม
การนำหลักการไม่เบียดเบียนและการปล่อยวางจากกามคุณมาใช้ สามารถลดความโลภ ความโกรธ และความหลงในสังคม ส่งเสริมความร่วมมือและการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข
สรุป เหมวตสูตรไม่เพียงเป็นบทพรรณนาถึงพระคุณสมบัติของพระพุทธเจ้า แต่ยังนำเสนอหลักธรรมที่ลึกซึ้งสำหรับการพ้นทุกข์และการสร้างสันติสุขในชีวิตและสังคม การนำสาระสำคัญจากเหมวตสูตรมาประยุกต์ใช้ ช่วยส่งเสริมให้บุคคลและสังคมก้าวพ้นความขัดแย้ง และมุ่งสู่ความสงบสุขที่แท้จริงตามแนวทางของพระพุทธศาสนา
เรื่อง "วิเคราะห์ เหมวตสูตร ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต ๑. อุรควรรค ที่ประกอบด้วย
เหมวตสูตรที่ ๙
สาตาคิรยักษ์กล่าวว่า
[๓๐๙] นี้วันเป็นอุโบสถที่ ๑๕ ราตรีอันเป็นทิพย์ปรากฏแล้ว มาเรา
ทั้งสองจงไปเฝ้าพระโคดมผู้เป็นพระศาสดามีพระนามอันไม่
ทรามเถิด ฯ
เหมวตยักษ์ถามว่า
พระโคดมผู้คงที่ทรงตั้งพระทัยไว้ดีแล้ว ในสัตว์ทั้งปวงแลหรือ
พระโคดมทรงกระทำความดำริในอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์
ให้อยู่ในอำนาจแลหรือ ฯ
สาตาคิรยักษ์ตอบว่า
ก็พระองค์เป็นผู้คงที่ ทรงตั้งพระทัยไว้ดีแล้วในสัตว์ทั้งปวง
อนึ่ง พระองค์ทรงกระทำความดำริในอิฏฐารมณ์และ
อนิฏฐารมณ์ ให้อยู่ในอำนาจแล้ว ฯ
เหมวตยักษ์ถามว่า
พระโคดมไม่ทรงถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้แลหรือ
ทรงสำรวมแล้วในสัตว์ทั้งหลายแลหรือ ทรงห่างไกลจาก
ความประมาทแลหรือ ย่อมไม่ทรงละทิ้งฌานแลหรือ ฯ
สาตาคิรยักษ์ตอบว่า
พระองค์ไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ ทรงสำรวม
แล้วในสัตว์ทั้งหลาย และทรงห่างไกลจากความประมาท
พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้แล้ว ย่อมไม่ทรงละทิ้งฌาน ฯ
เหมวตยักษ์ถามว่า
พระโคดมไม่ตรัสคำเท็จแลหรือ มีพระวาจาไม่หยาบคาย
แลหรือ ไม่ตรัสคำส่อเสียดแลหรือ ไม่ตรัสคำเพ้อเจ้อ
แลหรือ ฯ
สาตาคิรยักษ์ตอบว่า
พระองค์ไม่ตรัสคำเท็จ มีพระวาจาไม่หยาบคาย และไม่ตรัส
คำส่อเสียด ตรัสคำที่เป็นประโยชน์อย่างเดียว เพราะทรง
กำหนดด้วยพระปัญญา ฯ
เหมวตยักษ์ถามว่า
พระโคดมไม่ทรงยินดีในกามทั้งหลายแลหรือ พระหฤทัย
ของพระโคดมไม่ขุ่นมัวแลหรือ พระโคดมทรงล่วงโมหะ
ได้แล้วหรือ พระโคดมทรงมีพระจักษุในธรรมทั้งหลาย
แลหรือ ฯ
สาตาคิรยักษ์ตอบว่า
พระองค์ไม่ทรงยินดีในกามทั้งหลาย และพระหฤทัยของ
พระองค์ไม่ขุ่นมัว พระองค์ทรงล่วงโมหะได้ทั้งหมด พระองค์
ตรัสรู้แล้ว ทรงมีพระจักษุในธรรมทั้งหลาย ฯ
เหมวตยักษ์ถามว่า
พระโคดมทรงถึงพร้อมแล้ว ด้วยวิชชาแลหรือ ทรงมี
จรณะบริสุทธิ์แลหรือ อาสวะทั้งหลายของพระองค์นั้นสิ้น
ไปแล้วแลหรือ ภพใหม่ไม่มีแลหรือ ฯ
สาตาคิรยักษ์ตอบว่า
พระองค์ทรงถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชา และทรงมีจรณะบริสุทธิ์
อาสวะทั้งหลายของพระองค์สิ้นไปหมดแล้ว ภพใหม่ของ
พระองค์ไม่มี ฯ
เหมวตยักษ์กล่าวว่า
พระหฤทัยของพระโคดมผู้เป็นมุนี ถึงพร้อมแล้ว กายกรรม
วจีกรรม และมโนกรรม มาเราทั้งสองจงไปเฝ้าพระโคดม
ผู้ทรงถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชาและจรณะกันเถิด ฯ
เหมวตยักษ์ชมเชยพระผู้มีพระภาคว่า
มาเถิดเราจงไปเฝ้าพระโคดมผู้มีพระชงฆ์เพียงปลีแข้งเนื้อทราย
ผู้ซูบผอม เป็นนักปราชญ์ มีพระกระยาหารน้อย ไม่โลภ
เป็นมุนี ทรงฌานอยู่ในป่า เราเข้าไปเฝ้าพระโคดม ผู้ดุจ
ราชสีห์ เสด็จเที่ยวไปพระองค์เดียว ไม่เสด็จมาสู่ภพใหม่
ไม่มีความห่วงใย ในกามทั้งหลาย แล้วจงทูลถามถึงธรรม
เป็นเครื่องพ้นจากบ่วงมาร เราจงทูลถามพระโคดมผู้ตรัสบอก
ผู้ทรงแสดง ผู้ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ผู้ตรัสรู้แล้ว
ผู้ทรงล่วงเวรภัยได้แล้ว ฯ
เหมวตยักษ์ทูลถามว่า
เมื่ออะไรเกิดขึ้น โลกจึงเกิดขึ้น โลกย่อมกระทำความ
เชยชิดในอะไร โลกยึดถืออะไร เมื่ออะไรมี โลก
จึงเดือดร้อน ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรเหมวตะ
เมื่ออายตนะภายในและภายนอก ๖ เกิดขึ้น โลกจึงเกิด
ขึ้น โลกย่อมกระทำความเชยชิดในอายตนะภายในและภาย
นอก ๖ โลกยึดถืออายตนะภายในและภายนอก ๖ นั่น
แหละ เมื่ออายตนะภายในและภายนอก ๖ มี โลกจึง
เดือดร้อน ฯ
อุปาทานที่เป็นเหตุให้โลกต้องเดือดร้อนเป็นไฉน ข้าพระองค์
ทูลถามแล้ว ขอพระองค์ตรัสบอก ซึ่งธรรมชาติเป็นเครื่อง
ออกจากโลก บุคคลจะพ้นจากทุกข์ได้อย่างไร ฯ
กามคุณ ๕ ในโลกมีใจเป็นที่ ๖ เราประกาศแล้ว บุคคล
คลายความพอใจในกามคุณ ๕ นี้ได้แล้วย่อมพ้นจากทุกข์ได้
ด้วยอาการอย่างนี้ เราบอกซึ่งธรรมชาติเป็นเครื่องออกจาก
โลกนี้ ตามความเป็นจริง แก่ท่านทั้งหลายแล้ว ถ้าแม้ท่าน
ทั้งหลายพึงถามเราพันครั้ง เราก็จะบอกข้อนี้แก่ท่านทั้งหลาย
เพราะบุคคลย่อมพ้นจากทุกข์ได้ด้วยอาการอย่างนี้ ฯ
ในโลกนี้ใครเล่าข้ามโอฆะได้ ในโลกนี้ใครเล่าข้ามอรรณพ
ได้ ใครย่อมไม่จมลงในอรรณพที่ลึกซึ้ง ไม่มีที่พึ่ง ไม่มี
ที่ยึดเหนี่ยว ฯ
ผู้ถึงพร้อมแล้วด้วยศีล มีปัญญา มีใจตั้งมั่นดีแล้ว มีความ
หมายรู้ ณ ภายใน มีสติทุกเมื่อ ย่อมข้ามพ้นโอฆะที่ข้ามได้
แสนยาก ผู้นั้นเว้นจากกามสัญญา ล่วงสังโยชน์ทั้งปวงเสีย
ได้ มีความเพลิดเพลินและภพหมดสิ้นแล้ว ย่อมไม่จมลงใน
อรรณพ คือ สงสารอันลึก ฯ
เชิญท่านทั้งหลาย ดูพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้มีพระปัญญา
ลึกซึ้ง ผู้ทรงแสดงเนื้อความละเอียด ไม่มีความกังวล
ไม่ข้องแล้วในกามภพ พ้นวิเศษแล้วในอารมณ์ทั้งปวง ทรง
ดำเนินไปในทางอันเป็นทิพย์ ทรงแสวงหาคุณอันใหญ่
เชิญท่านทั้งหลายดูพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นผู้มีพระนามไม่-
ทราม ผู้ทรงแสดงเนื้อความละเอียด ผู้ทรงให้ปัญญา
ไม่ข้องแล้วในอาลัยในกาม ทรงรู้ธรรมทั้งปวง มีพระปัญญาดี
ทรงดำเนินไปในทางอันเป็นอริยะ ทรงแสวงหาคุณอันใหญ่ ฯ
วันนี้เราทั้งหลายเห็นดีแล้วหนอ สว่างไสวแล้ว ตั้งขึ้นดีแล้ว
เพราะเราทั้งหลายได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าผู้ทรงข้ามโอฆะได้
แล้ว หาอาสวะมิได้ ฯ
ยักษ์หนึ่งพันทั้งหมดเหล่านี้ มีฤทธิ์ มียศ ย่อมถึงพระผู้มี-
พระภาคพระองค์นั้น เป็นสรณะด้วยคำว่า พระองค์เป็น
พระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมของข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์
ทั้งหลาย จักขอนอบน้อมซึ่งพระสัมพุทธเจ้าและความที่พระ
ธรรมเป็นธรรมดี เที่ยวไปจากบ้านสู่บ้าน จากภูเขาสู่ภูเขา ฯ
ในปริบทพุทธสันติวิธี: หลักธรรม ประยุกต์ใช้" โดยใช้สาระสำคัญของ เหมวตสูตร ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ 17 ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ สุตตนิบาต ๑. อุรควรรค
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น