เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2566 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้รายงานสถานการณ์สื่อมวลชนในปี 2566 ความว่า ยังตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ “ปรับเปลี่ยน: ปรับตัว” จากการ เปลี่ยนผ่านทางการเมืองและความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โดยในปีนี้ นับเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในรอบ 9 ปี จากรัฐบาล “พล.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” มาเป็นรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” ซึ่งเป็นผลจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ทำให้สื่อมวลชนหลายสำนักค่อยๆ ปรับตัวในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ อย่างมีนัยยะสำคัญ โดยเน้นเนื้อหาเชิงสร้างสรรค์และเฉพาะเจาะจงเพื่อเข้าให้ตรงถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ทั้งของตัวเองและโซเชียลมีเดียต่างๆ เพื่อให้ได้มาซื่งรายได้และความอยู่รอด แต่ยังถูกตั้งข้อสังเกตว่าสื่อกระแสหลัก ยังมีจำนวนน้อยที่รายงานข่าวเชิงสืบสวน เพราะแรงกดดันด้านกำลังคนและการอยู่รอดในทางธุรกิจผ่านเรตติ้งและจำนวนยอดคนดูและชมผ่านช่องทางต่าง
กฎหมายสื่อยังไม่ใช่ทางออก
แม้ว่ารัฐบาลชุดที่แล้วจะนำเสนอร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในช่วงท้ายๆของรัฐบาล แต่สุดท้ายร่างกฎหมายฉบับนี้ก็ตกไป โดยไม่ผ่านแม้กระทั่งวาระที่ 1 (วาระรับหลักการ) ด้วยเหตุผลในเรื่องขององค์ประชุมและเสียงที่ไม่เห็นด้วยทั้งจาก ส.ส. และองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนบางส่วนที่เห็นว่า กฎหมายนี้ ยังไม่ใช่หนทางที่จะแก้ไขปัญหาการกำกับดูแลกันเองทางด้านจริยธรรมของสื่อมวลชน อีกทั้งยังไม่ไว้วางใจที่กฎหมายฉบับนี้ ถูกนำเสนอโดยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงอาจมีการแฝงการพยายามที่เข้ามาควบคุมสื่อมวลชนหรือไม่ ทำให้ปัญหาการกำกับดูแลกันเองของสื่อมวลชน จำเป็นที่จะต้องมีการระดมความเห็นหาแนวทางที่เหมาะสมจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปในอนาคต
การแทรกแซง-ลิดรอนการแสดงความเห็นต่าง
บรรยากาศการเริ่มต้นหลัง “รัฐบาลใหม่” ได้เข้ามาบริหารประเทศกว่า 3 เดือนเศษ แต่ก็มีสัญญาณการแทรกแซงการทำงานของสื่อมวลชนจากรัฐบาล โดยมีพฤติการณ์พยายามห้ามผู้มีความเห็นต่างใช้พื้นที่สื่อรัฐออกรายการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของรัฐบาล เช่น กรณี “นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตกรรมการเลือกตั้ง” ที่ระบุมีบุคคลโทรศัพท์มานัดหมายขอสัมภาษณ์เรื่องการแจกเงินดิจิทัลผ่านสื่อของรัฐ จากนั้น ก็มีโทรศัพท์มาขอยกเลิกการสัมภาษณ์โดยให้เหตุผลว่าผู้ใหญ่ในช่องเห็นว่ารัฐบาลถูกวิจารณ์เรื่องนี้มากแล้ว เกรงว่า จะทำให้เกิดความสับสนมากขึ้น หรือในกรณีที่ “รศ.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯ” ระบุว่าที่จะออกรายการคุยตามข่าว แต่กลับไม่มีการออกอากาศในประเด็นทักษิณ :ระเบิดเวลารัฐบาล? เพราะได้รับแจ้งผู้บริหารช่องสื่อของรัฐพิจารณาแล้วว่าสุ่มเสี่ยงทำให้รัฐบาลไม่พึงพอใจจึงสั่งงดออกอากาศ ดังนั้น ทั้ง 2 กรณีนี้ จึงหมิ่นเหม่ต่อการที่รัฐบาลอาจใช้อำนาจแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลลชนได้
ถูกคุกคามทางวาจา-ทำร้ายร่างกายสื่อ
ในปี2566 ยังการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะในช่วงการจับขั้วรัฐบาล ทำให้สื่อมวลชนต้องทำงานภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง และในบางครั้งผู้ชุมนุมก็มีการคุกคามทำร้ายร่างกายสื่อมวลชนเกิดขึ้นมาต่อเนื่อง ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม นอกจากนี้ ยังมีกรณีที่นักข่าวถูกกักตัวในสำนักสงฆ์แห่งหนึ่งในจังหวัดนนทบุรี ระหว่างลงพื้นที่รายงานข่าว เป็นต้น หรือในกรณีที่แหล่งข่าวเปิดโต๊ะแถลงข่าวแล้วถูกตั้งคำถามแล้วไม่พอใจ พาลแสดงกิริยาและคำพูดเหยียดหยามนักข่าว ทั้งที่นักข่าวรายนั้น เพียงทำหน้าที่แสวงหาข้อเท็จจริงให้ถูกต้องและรอบด้าน ขณะที่ผู้แถลงข่าวก็มีสิทธิในการตอบคำถามหรือไม่ก็ได้ ถือเป็นสิทธิอันชอบธรรมของแต่ละฝ่าย แต่การคุกคามทางวาจาที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ย่อมกระทบต่อเสรีภาพในการแสวงหาข่าวสารและข้อเท็จจริงของสื่อมวลชน
นักข่าวถูกขู่ฆ่าจากนำเสนอข่าวสาร
เหตุการณ์บรรณาธิการข่าว และบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์รายวันทันหุ้น ถูกคนร้ายคุกคามข่มขู่ด้วยการส่งพัสดุมาที่บริษัท โดยภายในกล่องพบภาพของครอบครัวบรรณาธิการข่าว พร้อมกระสุนปืนไม่ทราบขนาด ระบุข้อความข่มขู่ และวันถัดมาคนร้ายก็บุกปาวัตถุคล้ายระเบิด 3 ลูกใส่ภายในบ้านบรรณาธิการบริหาร นอกจากนี้ ยังมีเหตุการณ์ผู้สื่อข่าวภูมิภาค ประจำจังหวัดเพชรบุรี ถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ทำร้ายร่างกาย ยึดเอากล้อง และโทรศัพท์ไปลบข้อมูลทิ้งทั้งหมด พร้อมข่มขู่จะเอาชีวิตถึงบ้าน และขับไล่ให้ออกจากพื้นที่ในระหว่างทำข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุบ่อดินถล่มทับคนงานเสียชีวิต หรือเหตุการณ์นักข่าว จ.เพชรบูรณ์ ถูกตีศรีษะบาดเจ็บสาหัสปมชนวนเหตุจากลงพื้นที่ตรวจสอบทำข่าวบ่อนพนัน รวมกรณีนายตำรวจยศพ.ต.อ.ขู่ยิงนักข่าวหลังโทรศัพท์สัมภาษณ์ตำรวจนายนี้เกี่ยวกับคดีตำรวจทางหลวงถูกยิงเสียชีวิในงานเลี้ยงสังสรรค์บ้านกำนันนก
ตัวอย่างเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ มีลักษณะการลิดรอนสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน และประชาชน จากการข่มขู่คุกคามด้วยวิธีนอกกฎหมาย และจงใจกดดันข่มขู่อันเนื่องมาการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน อันเป็นการคุกคามทำให้สื่อมวลชนรู้สึกไม่ปลอดภัยในการนำเสนอข่าวสารโดยตรง แทนที่จะใช้วิธีการทางกฎหมายซึ่ง “สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย” ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลมีมาตรการปกป้องคุ้มครองประชาชน และการใช้สิทธิเสรีภาพสื่อมวลชนเพราะการคุกคามเสรีภาพของสื่อมวลชนเท่ากับเป็นการคุกคามเสรีภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารข้อเท็จจริงของประชาชนและกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตานานาชาติ พร้อมเรียกร้องต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เร่งติดตามจับกุมคนร้ายมาลงโทษตามกฎหมายโดยเร็ว เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างในการคุกคามสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน และประชาชน
ฟ้องปิดปากสื่อมวลชนยังคงเกิดขึ้น
นอกจากกรณีที่ “สื่อมวลชน” ต้องทำงานอยู่บนความเสี่ยงถูกทำร้าย ก็ยังปรากฎพบว่า “การฟ้องปิดปากสื่อมวลชน”ยังเป็นอีกวิธีที่ถูกนำมาใช้คุกคามการทำงานของสื่อมวลชนโดยเฉพาะในประเด็นความขัดแย้งบนฐานทรัพยากร โครงการพัฒนา และสิทธิแรงงาน โดยมาในรูปแบบการดำเนินคดีจากการเผยแพร่ข่าวเป็นส่วนใหญ่ เช่น สื่อมวลชนถูกฟ้องหมิ่นประมาท พร้อมเรียกร้องค่าเสียหายเป็นจำนวนมาก แม้ว่าล่าสุดศาลจะยกฟ้อง แต่ก็ถือเป็นความพยายามในการใช้กระบวนการทางกฎหมายเข้ามาแทรกแซงการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ด้วยการฟ้องร้องคดี และขอให้สื่อมวลชนยุติการเสนอข่าว
สื่อมวลชนถูกกล่าวหาว่ารับเงินแลกกับการนำเสนอข่าว
จากกรณีนายตำรวจท่านหนึ่งระบุว่า “ให้เงินกับนักข่าว 4 คน” ที่ถูกกล่าวอ้างเมื่อวันที่ 27 ก.ย.2566 ทำให้เกิดผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ของสื่อมวลชนไทย จน 3 สภาวิชาชีพสื่อมวลชน “ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนักข่าวรับเงินจากแหล่งข่าว” โดยมีดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความฯ เป็นประธาน ดำเนินการตามผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงเสนอยังองค์กร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และต่อสาธารณะเพื่อเป็นแนวทางการทำงานของสื่อมวลชนให้เป็นไปด้วยความถูกต้อง เหมาะสม ตามกรอบจริยธรรมวิชาชีพ โดยตั้งเป้าจะดำเนินการตรวจสอบให้แล้วเสร็จทั้งหมดภายในเวลา 90 วัน นับแต่แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงฯ ที่มีการนัดประชุมนัดแรกวันที่ 7 ธ.ค.2566 โดยเชิญผู้เกี่ยวข้องหลายคนมาให้ข้อมูล ก่อนที่คณะกรรมการฯ จะนำข้อมูลทั้งหมดมาพิจารณาและสรุปผล พร้อมข้อเสนอต่อ 3 สภาวิชาชีพต่อไป
ยืนหยัดเป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชนและสังคม
แม้ว่าในสถานการณ์ปัจจุบัน สื่อมวลชนจะทำหน้าที่ภายใต้ภาวะแห่งความยากลำบาก แต่สื่อมวลชนส่วนใหญ่ยังคงทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชนและสังคมต่อไป เพื่อเป็นกลไกในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน โดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีทำหน้าที่ดูแลปกป้องสิทธิและเสรีภาพของสื่อมวลชน ในการนำเสนอข่าวและภาพข่าวได้อย่างเสรีภายใต้กรอบของกฎหมายและไม่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้ตกเป็นข่าว
ด้วยหลักการทำหน้าที่ที่ต้องพึงตระหนักว่า “สื่อมวลชน” มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีมาตรฐานทางวิชาชีพในการให้ข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนด้วยความถูกต้อง ครบถ้วน รอบด้าน และมีความสมดุลบนพื้นฐานของความเป็นจริง ด้วยความรับผิดชอบต่อสิทธิส่วนบุคคล ตามกรอบจริยธรรมแห่งวิชาชีพสื่อมวลชนและประโยชน์สาธารณะตามที่ระบุในกฏหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
จากสถานการณ์สื่อในปี 2566 ดังกล่าว สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนร่วมวิชาชีพยืนหยัดต่อสู้กับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อรักษาไว้ซึ่งอุดมการณ์ของความเป็นสื่อมวลชนมืออาชีพที่มีหน้าที่นำเสนอข่าวสาร ข้อมูลเพื่อประชาชนส่วนรวม เพื่อประโยชน์สาธารณะ มีความรับผิดชอบ เคารพกฎหมาย และจริยธรรมแห่งวิชาชีพอย่างมั่นคง แน่วแน่ต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น