วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2562

อยู่แค่นี้การเมืองไทย! 'พปชร.-พท.'ซัดกันนัว ปมตัวเลขศก.-แจกเงิน



​วันที่ 6 ก.ย.2562 จากกรณีที่นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ระบุว่าการให้เงินผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรายละ 300 บาท ประชาชน โดยเฉพาะเกษตรกรไม่ได้ประโยชน์นั้น น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวชี้แจงว่า การเติมเงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนั้น เป็นมาตรการเร่งด่วนเพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน ประคับประคองในยามเศรษฐกิจชะลอตัวเท่านั้น และเป็นการแก้ปัญหาที่ตรงจุด เนื่องจากอัดฉีดเม็ดเงินตรงลงไปที่ 3 กลุ่ม  คือ กลุ่มผู้ถือบัตรทุกคน ได้ 500 บาทต่อเดือน กลุ่มผู้สูงอายุได้เพิ่ม 500 บาทต่อเดือน และกลุ่มผู้ปกครองที่เลี้ยงดูบุตรได้เพิ่ม 300 บาทต่อเดือน โดยวงเงินนี้ให้เพียง 2 เดือนคือ สิงหาคม-กันยายน   ในส่วนของกลุ่มเกษตรกรนั้น เพิ่งได้รับเงินช่วยเหลือไปเมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา จากมาตรการให้เงินช่วยเหลือเกษตรกรที่ลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รายละ 1 ,000บาท เพื่อเป็นต้นทุนในการจัดซื้อปุ๋ยและปัจจัยการผลิตในการทำการเกษตร

“จะเห็นได้ว่าการช่วยเหลือประชาชนครอบคลุมทุกกลุ่ม และมีความโปร่งใสให้เงินถึงมือโดยตรง มีระบบที่ตรวจสอบได้ เพื่อป้องกันการรั่วไหล”น.ส.ทิพานัน กล่าว และขอบคุณฝ่ายค้านที่หันมาให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ดีกว่ามุ่งแต่ปัญหาการเมือง เนื่องจากความเดือดร้อนของประชาชนเป็นปัญหาเร่งด่วน  แต่ฝากข้อห่วงใยในการลงพื้นที่ไปพบปะให้กำลังใจและมอบสิ่งของช่วยเหลือปะชาชนนั้น จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและไม่เป็นภาระของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ด้วย

​ส่วนกรณีที่ นายการุณ ออกมาเรียกร้องให้พักชำระหนี้เกษตรกรที่ประสบภัยน้ำท่วมนั้น  รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า เรื่องนี้นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ออกมาตรการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากพายุโพดุล ได้สั่งการให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ขยายเวลาชำระหนี้  ให้สินเชื่อเพื่อเป็นค้าใช้จ่ายฉุกเฉินไม่เดินรายละ 50,000 บาท ดอกเบี้ย 0% ระยะเวลา 6 เดือนแรก และสินเชื่อฟื้นฟู และพัฒนาคุณภาพชีวิต รายละ 500,000 บาท ดอกเบี้ย 4.87 ชำระคืนไม่เกิน ซึ่งเกษตรกรที่ได้รับความเดือร้อนสามารถต่อต่อกับธ.ก.ส.ในพื้นที่เพื่อขอรับการช่วยเหลือในด้านต่างๆ ได้ทันที หรือ Call Center 02-555-0555

 "จิรายุ" ชี้ "รัฐบาลเหลาเหย่"เตือนไตรมาส 4 ระวังให้ดีศก.ดิ่งเหว ชี้นโยบายรัฐบ้อท่าทำมา 5 ปีกว่ายังไม่มีทีท่าว่าจะกระเตื้อง

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองเลขาธิการ พรรคเพื่อไทยกล่าวถึงกรณีภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ตกต่ำอยู่ในขณะนี้ และประชาชนยังไม่กล้าลงทุนหรือใช้จ่ายอะไร   มากนัก มีแต่ข้าวของแพงแต่รายได้ต่ำลง ขณะที่จะเข้าสู่ไตรมาสที่4ของปียังไม่มีสัญญาณอะไรที่จะส่อให้เห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศจะกระเตื้องขึ้น โอกาสที่จะทำให้ประชาชนจะอยู่ดีกินดีหน้าชื่นตาบาน มีแต่ติดลบ รังแต่จะมีเรื่องให้ขบคิดว่าจะหาเงินที่ไหนมาใช้หนี้ ประชาชนจำต้องรักนวลสงวนเงินเก็บออมเอาไว้เพราะยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร เหลียวซ้ายก็เจอปัญหาหนี้สิน เหลียวขวาก็เจอนโยบายรัฐบาลที่ไม่แน่นอน จะเดินหน้าก็ไม่กล้าลงทุน
    
ขอเตือนไปยังพี่น้องประชาชน ช่วงนี้ควรอยู่อย่างสงบประคองค่าใช้จ่ายให้พอตัวอย่าหลงคารมนโยบายตื้นๆที่ให้ไปเที่ยวหรือแจกเงิน เพราะเงิน พันกว่าบาท แค่ค่าน้ำมันรถไปกลับก็หมดแล้วเผลอๆกลับมาถึงบ้านอาจลมจับเพราะเป็นหนี้เพิ่มขึ้น ที่สำคัญเราไม่เห็นว่ารัฐบาลจะหาเงินจากไหน
       
นายจิรายุกล่าวต่อไปว่าเสียดายโอกาสของประเทศไทย ตั้งแต่มีรัฐบาลมาจนถึงวันนี้ยังไม่มีอะไรที่เป็นปัจจัยบวกดัชนีแทบทุกประเภทตกลงทุกตัวไม่ว่าจะเป็นดัชนีของความเชื่อมั่นที่ตกลงต่ำสุดในรอบ33เดือน ดัชนีการลงทุน ดัชนีการส่งออก  ดัชนีความสุขของประชาชนลดลงทุกตัว ทั้งการดำเนินชีวิตภาวะค่าครองชีพปัญหายาเสพติด มีดัชนีเดียวที่ดีขึ้นคือดัชนีความสุขของคณะรัฐมนตรีที่ได้รับตำแหน่งเท่านั้น ทำให้มองเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนของรัฐบาลยังฉุดความมั่นใจของพี่น้องประชาชน
       
นายจิรายุกล่าวอีกว่าในช่วงไตรมาสที่4สามเดือนสุดท้ายของปีนี้ โดยปรกติในภาวะที่รัฐบาลมีฝีมือในการบริหารประเทศทำงานเป็นทำงานเก่งมีวิสัยทัศน์ จะเป็นช่วงที่ประชาชนใช้เงินมากที่สุดแต่ในปีนี้จะเป็นช่วงวิบากกรรมของประชาชนมากที่สุด และตนขอฟันธงไว้เลยว่าจนถึงสิ้นปีนี้เศรษฐกิจของประเทศไทยจะโตไม่ถึง 3% อย่างแน่นอน
    
ดังนั้นตนจึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องเพราะถือว่าทำมาแล้วเกือบห้าปีครึ่ง ขืนยังแจกๆๆ อีกไม่นานก็จะต้อง กู้ๆๆ สุดท้ายคนเป็นหนี้สาธารณะก็คือประชาชนและถ้าทำผลงานได้แค่นี้ต้องเรียกรัฐบาล นี้ว่า”รัฐบาลเหล่าเหย่”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

วิเคราะห์แนวนโยบายเชิงรุกในการป้องกันและคุ้มครองพระพุทธศาสนาที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มอบสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดำเนินการ

  วิเคราะห์แนวนโยบายเชิงรุกในการป้องกันและคุ้มครองพระพุทธศาสนาที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มอบสำนักงานพระพุทธศาสนาแ...