วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

"สมศักดิ์" แจงสภาฯ งานไกล่เกลี่ยแก้หนี้ครัวเรือนอยู่หมัด ช่วยลูกหนี้สำเร็จแล้ว 14,538 ราย



"สมศักดิ์"แจงนายกฯเร่งแก้ปัญหาหนี้สิน เผยงานไกล่เกลี่ย 19 ครั้ง ช่วยลูกหนี้สำเร็จ 14,538 รายทุนทรัพย์ 3,461 ล้านบาท ตั้งเป้าช่วยให้ได้ 189,817 คน ชี้งบต้านยาเสพติดน้อยไร้ปัญหา เผยยึดทรัพย์เครือข่ายได้แล้วกว่า 8,400 ล้านบาท

วันพุธที่ 1 มิถุนายน 2565  นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม อภิปรายชี้แจงปัญหาหนี้สินของประชาชนว่า การแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือน นายกฯได้ใส่ใจในเรื่องนี้มาก โดยมอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง การที่ท่านสมาชิกระบุว่าประชาชนจมกองหนี้ ต้องถูกฟ้องดำเนินคดี กระทรวงยุติธรรมได้จัดโครงการมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือนทั่วประเทศ โดยมีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ที่ช่วยไกล่เกลี่ยก่อนฟ้อง และกรมบังคับคดี ที่ช่วยไกล่เกลี่ยหลังถูกศาลสั่งฟ้องยึดทรัพย์ ขายทอดตลาด และเรายังมีศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาททั้งหมด 1,024 ศูนย์ โดยมีเป้าหมายไกล่เกลี่ยในปีนี้ 189,817 ราย ทุนทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 21,377 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาเราจัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยไปแล้ว 19 ครั้ง ไกล่เกลี่ยสำเร็จ 14,538 รายทุนทรัพย์ 3,461 ล้านบาท โดยมีสถาบันการเงินหลายแห่งร่วมงาน อาทิ กยศ.และธนาคารต่างๆ การไฟฟ้า ซึ่งตนขอเชิญชวนตรงนี้เลยว่าหากใครเป็นหนี้อย่าหนี มาไกล่เกลี่ย จะได้หมดเรื่องทุกข์ใจ


นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาต้องขอขอบคุณสถาบันการเงินต่างๆ ที่ช่วยเหลือประชาชน ให้สิทธิประโยชน์มากมายทั้งการลดเงินต้น ลดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับ ส่วนในเรื่องของยาเสพติด สภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่ บังคับใช้เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.2564 เป็นวิธีปราบปรามยาเสพติดสมัยใหม่เน้นใช้การยึดทรัพย์ โดยในอดีตที่ผ่านมารัฐบาลไม่ว่าจะชุดไหน การยึดได้แค่ปีละไม่เกิน 600 ล้านบาท แต่เมื่อกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ผ่านมา ระยะเวลาไม่กี่เดือนเราทำงานเข้าเป้า ปัจจุบันยึดได้ 8,400 ล้านบาท จากเป้าหมายที่เราตั้งไว้ 10,000 ล้านบาท ตนมั่นใจว่าหากเจ้าหน้าที่เข้าใจกฎหมายและได้ดำเนินการเต็มที่จะยึดได้อีกหลายหมื่นล้านบาท เพราะยึดทรัพย์ย้อนหลังได้ตามมูลค่ายาเสพติด 10 ปี ทั้งนี้แม้ว่างบประมาณด้านการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดจะได้น้อยแต่ไม่มีปัญหาในการทำงาน เพราะกฎหมายที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ผ่านให้ ตนต้องขอขอบคุณในเรื่องนี้ด้วย

 


สำนักงานศาลยุติธรรมจัดสัมมนาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทรูปแบบใหม่ในยุค SMART COURT



วันพุธที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่ห้องประชุมสำนักงานศาลยุติธรรม ชั้น 12  อาคารวศาลอาญา กรุงเทพฯ  พระปราโมทย์ วาทโกวิโท,ดร. อาจารย์หลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) เลขานุการศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน มจร  เปิดเผยว่า ได้เข้าร่วมโครงการสัมมนาการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทของศาลยุติธรรม เรื่อง การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทรูปแบบใหม่ในยุค SMART COURT  โดยมุ่งการไกล่เกลี่ยก่อนฟ้องและหลังฟ้องผ่านออนไลน์เพื่อให้เข้าใจในการระงับข้อพิพาท เป็นการพัฒนาระบบการไกล่เกลี่ยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น มุ่งให้ศาลยุติธรรมทั่วประเทศมีการไกล่เกลี่ย 

นายจีระพัฒน์ พันธุ์ทวี เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวเปิดโครงการว่า สำนักงานยุติธรรมมุ่งให้คู่กรณีสามารถไกล่เกลี่ยกันมุ่งสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน โดยมีการเผยแพร่ในการระงับข้อพิพาทผ่านการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท จึงมีการจัดการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในรูปแบบใหม่ผ่าน SMART COURTพร้อมมอบรางวัลศาลที่มีคดีการไกล่เกลี่ยออนไลน์มากที่สุดในแต่ละกลุ่มเพื่อเป็นแรงบันดาลใจกำลังใจในการทำงาน รวมถึงมอบรางวัลการออกแบบโลโก้เกี่ยวกับไกล่เกลี่ยข้อพิพาท 

พระครูปลัดปัญญาวรวัฒน์ ศ.ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา  มจร ประธานคณะทำงานขับเคลื่อนศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน มจร โดยสะท้อนว่า มีโอกาสทำงานความร่วมมือ ภายใต้ MOU ระหว่าง สำนักงานศาลยุติธรรมกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว จึงมีการเปิดหลักสูตรสันติศึกษาในระดับปริญญาโทเอก โดยผู้มาเรียนส่วนหนึ่งมาจากสำนักศาลยุติธรรม เช่น บุคลากร และ ผู้ประนีประนอมซึ่งในสถานการณ์ของโควิดจำเป็นต้องใช้กระบวนการออนไลน์เข้ามามีบทบาทสำคัญ มีความสะดวกรวดเร็วจริงแต่การไกล่เกลี่ยออนไลน์ขาดอารมณ์ ขาดความรู้สึกขาดความเข้าใจ ขาดกระบวนการขอโทษ ถือว่าเป็นกับดักที่สำคัญ โดยการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทสามารถแบ่งออก 2 ประการคือ คดีเหตุผล กับ คดีอารมณ์  

โดยมหาจุฬา มีศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ซึ่งกำกับโดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม มีการพัฒนาผู้ไกล่เกลี่ยตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 โดยคนในสังคมเข้ามาพัฒนาตนเองอย่างมากในการไกล่เกลี่ย จึงตั้งคำถามว่า หลักสูตรไกล่เกลี่ยข้อพิพาททาง มจร เน้นความรู้ ทักษะ ทัศนคติ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเป็นทักษะ เราไม่ได้ไกล่เกลี่ยภายนอกเท่านั้นแต่เราเน้นการไกล่เกลี่ยภายใน ผู้ไกล่เกลี่ยจะต้องมีสติ ควบคุมอารมณ์ตนเอง และสร้างการฟังเพื่อหาทางออกซึ่งเดินตามบันได 9 ขั้นของการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามแนวทางพุทธสันติวิธี 

ความขัดแย้งมาจากภายในเป็นสนิทที่กินของเรา จึงต้องไกล่เกลี่ยกับกิเลสตนเองผ่านสติ เริ่มจากการจัดการความขัดแย้งภายในของตนเอง จึงต้องจากการไกล่เกลี่ยตนเองก่อนไกล่เกลี่ยคนอื่น เราจึงต้องพัฒนานักไกล่เกลี่ยตื่นรู้ ซึ่งการจะพัฒนาภายในจะใช้ออนไลน์ไม่ได้ จึงขอร้องให้ศาลจัดหลักสูตรภายใน เพราะเราทำหลักสูตรภายนอกมากแล้ว มหาจุฬาพร้อมยินดีร่วมพัฒนาหลักสูตรภายในเพื่อพัฒนาผู้ประนีประนอมให้มีความเข้มแข็งทางด้านจิตใจ  จิตใจจึงต้อง SMART Mind โดยมีจิตใจที่มีการปรับให้มีความมั่นคง แต่ใช้กระบวนการออนไลน์มีการกรอกความทุกข์ โดยแจ้งความทุกข์เพื่อมีใครที่เข้ามารับฟังอย่างจริงจัง ในท้ายสุดมีการฝากถึงสำนักงานศาลยุติธรรม 1) ทำหลักสูตรร่วมกันเกี่ยวกับสติสำหรับผู้ประนีประนอม 2)ผู้ประนีประนอมจะต้องมีความสุขในการทำงาน                    

จึงขออนุโมทนากับนายพงศธร  แทบทาม นิติกรชำนาญการพิเศษ หัวหน้าส่วนไกล่เกลี่ย สำนักส่งเสริมงานตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม ซึ่งเป็นผู้ประสานงาน และขออนุโมทนาบุญอย่างยิ่งกับท่านพิเชษฐ์ คงศิลา ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมงานตุลาการ สำนักงานศาลยุติธรรม ในฐานะกำกับดูแลโครงการ  

"ชัชชาติ" เข้ารับหนังสือรับรองจาก "กกต." แล้ว เริ่มงานผู้ว่าฯกทม.คนที่ 17 ทันที



วันพุธที่ 1 มิถุนายน 2565  นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คนที่ 17 หลังจากคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศรับรอแล้ว โดยวันนี้(1มิ.ย.) เวลา 11.00 น.ได้เดินทางไปรับหนังสือรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจาก กกต. เสร็จแล้วเดินทางเข้าไปที่ศาลาว่าการกรุงเทพฯ เสาชิงช้า และเปิดตัวทีมงานแบบเต็มทีมใน 3 ทีม ซึ่งประกอบด้วย ทีมรองผู้ว่าฯ พร้อมเลขาฯ ทีมที่ปรึกษาทางการเมือง และทีมที่ปรึกษาด้านเทคนิค หลังจากนั้นประชุมร่วมกับปลัด กทม. และรองปลัด กทม. เพื่อขอฟังความคิดเห็นต่อนโยบายทั้ง 214 เรื่อง เพื่อให้ข้าราชการกทม. ได้มีส่วนร่วมกับนโยบายว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร เพื่อจะได้มีการทำตัวชี้วัด (KPI) ของแต่ละแผนงานด้วย

งบประมาณ กทม. ปี 65 จาก 1.4 หมื่นล้าน เหลือให้ ผู้ว่าฯชัชชาติ บริหารเท่าไหร่?

ทั้งนี้นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ อดีตรองผู้ว่าฯกทม. โพสต์เฟซบุ๊ก ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ – Dr.Samart Ratchapolsitte ระบุว่า ส่องงบ กทม. ปี 65 เหลือให้ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ใช้เท่าไหร่?

งบรายจ่ายของ กทม. ประจำปีงบประมาณ 2565 จะเหลือไว้ให้ท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ ได้ใช้ทำงานตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้มากน้อยแค่ไหน? ถ้าเหลือน้อยจะทำอย่างไร?

1. งบ กทม. ปี 2565 มีเท่าไหร่ ?

งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ของ กทม. มีทั้งหมด 78,979,446,500 บาท ประกอบด้วยงบ 11 ประเภท เช่น

งบบุคลากร ซึ่งเป็นรายจ่ายที่กําหนดให้จ่ายเพื่อการบริหารงานบุคคล

งบดําเนินงาน ซึ่งเป็นรายจ่ายที่กําหนดให้จ่ายเพื่อการบริหารงานประจํา ได้แก่รายจ่ายที่จ่ายในลักษณะค่าตอบแทน ค่าใช้สอย ค่าวัสดุและค่าสาธารณูปโภค

งบลงทุน ซึ่งเป็นรายจ่ายที่กําหนดให้จ่ายเพื่อการลงทุน ได้แก่รายจ่ายที่จ่ายในลักษณะค่าครุภัณฑ์ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง

งบเงินอุดหนุน ซึ่งเป็นรายจ่ายที่กําหนดให้จ่ายเป็นค่าบํารุงหรือเพื่อช่วยเหลือสนับสนุนการดําเนินงานให้แก่หน่วยงานของรัฐ หรือองค์กรอื่นใดที่ขอรับเงินอุดหนุน และ

งบกลาง ซึ่งเป็นงบประมาณรายจ่ายที่ตั้งไว้เป็นรายจ่ายของส่วนกลางมิได้กําหนดให้เป็นของหน่วยงานหนึ่งหน่วยงานใดโดยเฉพาะ เป็นต้น

2. งบประเภทไหนมากที่สุด ?

จากงบทั้ง 11 ประเภท พบว่างบบุคลากรสูงที่สุดคือ 21,071,439,960 บาท คิดเป็น 26.68% ตามด้วยงบโครงการต่อเนื่อง 14,997,130,849 บาท คิดเป็น 18.99% และงบกลาง 14,417,767,187 บาท คิดเป็น 18.26%

3. งบลงทุนมีเท่าไหร่ ?

จากงบประมาณรายจ่ายปี 2565 ทั้ง 11 ประเภท พบว่ามีงบที่สามารถใช้ในการลงทุนได้รวมทั้งหมด 14,222,239,849 บาท คิดเป็น 18.01% โดยรวมมาจากงบ 4 ประเภท ดังนี้

ค่าครุภัณฑ์ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง (รายการปีเดียว) 1,392,845,085 บาท

โครงการต่อเนื่อง (เฉพาะงบลงทุน) ประกอบด้วย งบ กทม. 8,815,786,377 บาท และเงินอุดหนุนรัฐบาล 989,667,000 บาท

งบกลาง (เฉพาะที่ใช้ลงทุน) 2,760,113,387 บาท

นโยบายผู้บริหาร + โครงการใหม่ (เฉพาะที่ใช้ลงทุน) 263,828,000 บาท

4. เหลืองบลงทุนให้ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ใช้เท่าไหร่ ?

จากงบประมาณสำหรับการลงทุนทั้งหมด 14,222,239,849 บาท พบว่ามีเหลือให้ท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติใช้ในปีงบประมาณ 2565 แค่เพียง 94 ล้านบาทเท่านั้น (ข้อมูล ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2565) ซึ่งเป็นเงินจากงบกลาง ดังนี้

เงินสำรองจ่ายทั่วไป กรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ประมาณ 67 ล้านบาท

เงินสำรองจ่ายทั่วไป กรณีค่าใช้จ่ายเพื่อการพัฒนากรุงเทพฯ ประมาณ 27 ล้านบาท

5. สรุป

งบประมาณรายจ่ายในปีงบประมาณ 2565 ที่ท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ สามารถใช้ดำเนินงานตามนโยบายที่ใช้หาเสียงเหลือเพียง 94 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอแน่นอน แต่อย่างไรก็ตามอาจมีเงินเหลือจ่ายจากงบประเภทอื่น ซึ่งสามารถโอนมาเป็นงบกลางเพื่อใช้ในการลงทุนได้ แต่คงเหลือไม่มากด้วยเหตุนี้ ในปีงบประมาณ 2565 ท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ คงไม่สามารถนำนโยบายที่ใช้หาเสียงมาทำให้เกิดเป็นรูปธรรมได้มาก แต่ในปีงบประมาณ 2566 ขณะนี้ร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 กำลังรอให้ท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ พิจารณา ซึ่งท่านสามารถปรับแก้ให้สอดคล้องกับนโยบายที่ใช้หาเสียงได้ ก่อนเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสมาชิกสภากรุงเทพมหานครต่อไป

ดังนั้น ในปีงบประมาณ 2566 คาดว่าท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ จะสามารถดำเนินงานตามนโยบายที่ใช้หาเสียงไว้ได้อย่างเต็มที่ ทั้งหมดนี้ขอเป็นกำลังใจให้ท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ สามารถแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติได้สำเร็จ ตามแผนที่วางไว้ เพื่อความสุขของชาวกรุงเทพฯ ทุกคนครับ


ขอบคุณ FB : ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ – Dr.Samart Ratchapolsitte


วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

องค์การพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาว ดูงานฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศที่ "มจร"

 


วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม 2565  พระธรรมวัชรบัณฑิต,ศ.ดร. อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) และผู้บริหาร ให้การต้อนรับคณะผู้แทนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนชนลาว (สปป.ลาว)  ภายใต้การนำของ ดร.จันเพ็ง สุทธิวง รองประธานศูนย์กลางแนวลาวสร้างชาติ และคณะองค์การพุทธศาสนาสัมพันธ์ แห่งสปป.ลาว  โอกาสที่เดินทางเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม-1 มิถุนายน 2565 ในฐานะแขกของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ  ศึกษาดูงานการฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ  ที่ มจร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา  ดร.จันเพ็ง กล่าวว่า ทางรัฐบาลสปป.ลาวสนใจหลักสูตรอบรมนี้ที่ส่งเสริมให้พระภิกษุสามเณรมีความรู้ความสามารถมากขึ้น 


โดยเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2565 ดร.จันเพ็ง ได้นำคณะเข้าพบนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ทั้งนี้องค์การพุทธศาสนาสัมพันธ์ แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนชนลาว (สปป.ลาว) และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้หารือความร่วมมือทางวิชาการ โดยทาง สปป.ลาว มีความประสงค์ขอทำบันทึกช่วยจำ MOU ระหว่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ประเทศไทย และกรมศาสนา ศูนย์กลางแนวลาวสร้างชาติ สปป.ลาว ในโครงการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้นำศาสนา ที่ทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือกันโดยตลอด รวมถึงมีการแลกเปลี่ยนแนวทางการคุ้มครองพระพุทธศาสนา การจัดการศาสนสมบัติ กองทุนสำหรับพระสงฆ์ หลักสูตรพระธรรมทูตทั้งในและต่างประเทศ การจัดการศึกษาพระสงฆ์ และการศึกษาดูงานสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับคณะผู้บริหารกรมศาสนา ศูนย์กลางแนวลาวสร้างชาติ สปป.ลาว ในวันนี้ ซึ่งทั้งไทยและ สปป.ลาว มีการประสานความร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้นในการร่วมทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ตามที่ได้มีโครงการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้นำศาสนามาตั้งแต่ปี 2553 ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ทั้งสองประเทศจะได้สานต่อความร่วมมืออันดีนี้ต่อไป 

“เราทั้งสองประเทศถือเป็นบ้านพี่เมืองน้องที่มีความสนิทสนมในทุกด้าน มีความคล้ายคลึงกันด้านขนบธรรมเนียม ประเพณี รวมถึงการนับถือศาสนา ซึ่งศาสนาพุทธถือเป็นศาสนาหลักของประเทศไทย หวังว่าการดำเนินงานตามการตกลงบันทึกช่วยจำระหว่างทั้งสองประเทศ การร่วมหารือและศึกษาดูงานในประเทศไทย รวมถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการสนองงานคณะสงฆ์  จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ในการร่วมมือกันปกปักรักษาพระพุทธศาสนาได้ และมีส่วนช่วยในการ” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

ทางด้านรองประธานศูนย์กลางแนวลาวสร้างชาติ และคณะองค์การพุทธศาสนาสัมพันธ์ แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนชนลาว (สปป.ลาว) กล่าวขอบคุณรัฐบาลที่ให้การสนับสนุน สปป.ลาวมาโดยดีตลอดมา และชื่นชมพุทธศาสนิกชนของประเทศไทยที่ให้ความเคารพนับถือพุทธศาสนา ช่วยกันส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้าสร้างความเหลื่อมใสศรัทธา หวังให้ประชาชนทั้งสองประเทศใช้ศาสนาเป็นสื่อกลางยึดเหนี่ยวจิตใจ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในฐานะบ้านพี่เมืองน้องตลอดไป

องค์การพุทธศาสนาสัมพันธ์ลาวพบ "อนุชา" จับมือไทยร่วมทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา



เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2565 เวลา 14.00 น. ณ ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ต้อนรับคณะผู้แทนจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนชนลาว (สปป.ลาว) นำโดย ดร.จันเพ็ง สุทธิวง รองประธานศูนย์กลางแนวลาวสร้างชาติ และคณะองค์การพุทธศาสนาสัมพันธ์ แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนชนลาว (สปป.ลาว) โอกาสที่เดินทางเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม-1 มิถุนายน 2565 ในฐานะแขกของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยมีนายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายธัชชญาณ์ณัช  เจียรธนัทกานนท์  เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสิปป์บวร แก้วงาม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เข้าร่วม 

ทั้งนี้ องค์การพุทธศาสนาสัมพันธ์ แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนชนลาว (สปป.ลาว) และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้หารือความร่วมมือทางวิชาการ โดยทาง สปป.ลาว มีความประสงค์ขอทำบันทึกช่วยจำ MOU ระหว่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ประเทศไทย และกรมศาสนา ศูนย์กลางแนวลาวสร้างชาติ สปป.ลาว ในโครงการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้นำศาสนา ที่ทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือกันโดยตลอด รวมถึงมีการแลกเปลี่ยนแนวทางการคุ้มครองพระพุทธศาสนา การจัดการศาสนสมบัติ กองทุนสำหรับพระสงฆ์ หลักสูตรพระธรรมทูตทั้งในและต่างประเทศ การจัดการศึกษาพระสงฆ์ และการศึกษาดูงานสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนในฐานะที่กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับคณะผู้บริหารกรมศาสนา ศูนย์กลางแนวลาวสร้างชาติ สปป.ลาว ในวันนี้ ซึ่งทั้งไทยและ สปป.ลาว มีการประสานความร่วมมือกันอย่างแน่นแฟ้นในการร่วมทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ตามที่ได้มีโครงการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้นำศาสนามาตั้งแต่ปี 2553 ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีที่ทั้งสองประเทศจะได้สานต่อความร่วมมืออันดีนี้ต่อไป 

“เราทั้งสองประเทศถือเป็นบ้านพี่เมืองน้องที่มีความสนิทสนมในทุกด้าน มีความคล้ายคลึงกันด้านขนบธรรมเนียม ประเพณี รวมถึงการนับถือศาสนา ซึ่งศาสนาพุทธถือเป็นศาสนาหลักของประเทศไทย หวังว่าการดำเนินงานตามการตกลงบันทึกช่วยจำระหว่างทั้งสองประเทศ การร่วมหารือและศึกษาดูงานในประเทศไทย รวมถึงการแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการสนองงานคณะสงฆ์  จะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาความสัมพันธ์ในการร่วมมือกันปกปักรักษาพระพุทธศาสนาได้ และมีส่วนช่วยในการ” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว


ทางด้านรองประธานศูนย์กลางแนวลาวสร้างชาติ และคณะองค์การพุทธศาสนาสัมพันธ์ แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนชนลาว (สปป.ลาว) กล่าวขอบคุณรัฐบาลที่ให้การสนับสนุน สปป.ลาวมาโดยดีตลอดมา และชื่นชมพุทธศาสนิกชนของประเทศไทยที่ให้ความเคารพนับถือพุทธศาสนา ช่วยกันส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้าสร้างความเหลื่อมใสศรัทธา หวังให้ประชาชนทั้งสองประเทศใช้ศาสนาเป็นสื่อกลางยึดเหนี่ยวจิตใจ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในฐานะบ้านพี่เมืองน้องตลอดไป

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

"ผอ.พศ."ย้ำฆราวาสไม่มีหน้าที่ตัดสินพระถูกหรือผิด

 "ผอ.พศ."ย้ำฆราวาสไม่มีหน้าที่ตัดสินพระถูกหรือผิด 



ผอ.พศ. ย้ำความผิดสงฆ์ กฏ มส. ออกตาม พรบ.คณะสงฆ์ กำหนดไว้ชัดเจน ไม่ใช่หน้าที่ของฆราวาสในการตัดสินพระภิกษุสงฆ์ว่าถูกหรือผิด 

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม 2565  นายสิปป์บวร แก้วงาม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) กล่าวว่า พุทธศาสนิกชนต้องให้ความเคารพพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของพุทธศาสนา และส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญมั่นคง ต้องร่วมกันปกป้องพระพุทธศาสนา อย่าถือวิสาสะหรือเอาความคิดของตนเป็นที่ตั้ง เข้าไปก้าวล่วงอำนาจของคณะปกครองสงฆ์ ตั้งตนอยู่เหนือกฎหมาย ทำให้ประชาชนสับสน 

ความผิดของสงฆ์ ต้องพิจารณาโดยคณะสงฆ์ ซึ่งได้กำหนดไว้ในกฏ มส. ว่าด้วยการลงนิคหกรรม ออกตามความในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ อย่างชัดเจน มิใช่หน้าที่ของฆราวาสในการตัดสินหรือชี้ผิดชี้ถูกพระภิกษุ ทุกอย่างมีกระบวนการ และวิธีการ ชึ้งต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ  ยืนยันว่า ที่ผ่านมาเมื่อเกิดเหตุการณ์พระภิกษุสงฆ์ประพฤติไม่เหมาะสม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ดำเนินการร่วมกับเจ้าคณะปกครองสงฆ์ ตามกระบวนการขั้นตอนอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด  เรื่องพุทธศาสนาเรื่องของพระภิกษุสงฆ์ เป็นเรื่องที่ต้องใช้ความรอบคอบความละเอียดอ่อน เนื่องจากกระทบต่อความรู้สึกของพุทธศาสนิกชน จึงไม่ปรากฏเป็นข่าวเหมือนกับข่าวของประชาชนทั่วๆ ไป

"มาตรการและกลไลต่างๆ ในการปกป้องพระพุทธศาสนามีประสิทธิภาพ ประชาชนเชื่อมั่นได้ ขออย่าได้กังวล หากพบเห็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมส่งผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาของพระภิกษุ บุคคล กลุ่มบุคคล ขอได้แจ้งมายังสำนักงานพระพุทธศาสนา สายด่วน 1374 อย่าดำเนินการเองโดยพละการ เพราะอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดกฎหมายบ้านเมืองได้  ระเบียบ กฎหมายกำหนดชัดเจน มิใช่หน้าที่ของประชาชนในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวพุทธศาสนิกชน ควรให้ความเคารพต่อพระภิกษุสงฆ์" นายสิปป์บวร กล่าว

"สมเด็จพระพุฒาจารย์" แนะแนวตั้ง "พระ" ดำรงตำแหน่งในกมธ.ศาสนาฯสภาฯ

  


"เพชรวรรต" ร่วมทำบุญวันเกิด 6 รอบ "มหานิยม" ร่วมหารือ "สมเด็จพระพุฒาจารย์"   ปม "พระ" ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษากรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฏร 

เมื่อวันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2565  เวลา 11.30 น. ที่วัดไตรมิตรวิทยารามฯ ดร.เพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล  รองประธานคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฏร ได้เข้าร่วมกิจกรรมทำบุญวันเกิดเนื่องในวันครบรอบ 6 รอบ หรือ 72 ปี ของ ดร.นิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร เขต 2 พรรคเพื่อไทย  



ดร.เพชรวรรต กล่าวว่า ถือเป็นปรากฎการใหม่ ที่มีการจัดงานวันเกิดที่วัดพร้อมกับทำบุญถวายภัตตาหารเป็นสังฆทาน ที่ ส.ส. นิยม ประสงค์ที่จะทำบุญและจัดงานวันเกิดเพื่อเป็นศิริมงคล ซึ่งเป็นการยึดถือตามขนบธรรมเนียมโบราณ ที่เมื่อครบรอบวันเกิดคนรุ่นในอดีต ก็จะเข้าวัดทำบุญเนื่องในวันเกิดกัน ซึ่งต่างจากสมัยนี้มักจะไม่ค่อยไปทำบุญกันแต่จะเลือกวิธีแบบตะวันตกที่จะเฉลิมฉลองเป่าเค้กกันอยู่บ้าน ซึ่งตนเห็นว่า การที่ สส. นิยม เลือกมาทำบุญและเป่าเค้กที่วัด เป็นนิมิตหมายที่ดีที่จะเตือนคนไทยด้วยกันให้หันมาทำบุญเนื่องในวันเกิด ซึ่งในวันนี้ ตนต้องขออนุโมทนากับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ ที่มาร่วมอนุโมทนาเนื่องในวันเกิด ส.ส. นิยมด้วย 

ดร.เพชรวรรต กล่าวเพิ่มเติมว่า วันนี้ตนและ ส.ส.นิยม ได้หารือ ประเด็นการประชุมมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 มีมติห้าม พระภิกษุไปเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมือง จนเป็นประเด็นที่พระเมธีธรรมาจารย์ หรือ "เจ้าคุณประสาร" ได้ลาออกจากคณะอนุกรรมาธิการนั้น ซึ่งได้ทราบมาว่า เป็นความเป็นห่วงจากคณะสงฆ์ ที่หากมีพระสงฆ์ที่ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาในระดับคณะกรรมาธิการ และมาภายหลังมีการติเตียนหรือมีการใช้อำนาจไม่ชอบธรรม ก็อาจจะเป็นการเสียต่อภาพรวมของวงการสงฆ์ ทั้งนี้สมเด็จพระพุฒาจารย์ ได้แนะนำว่า หากกรรมาธิการฯจะเสนอชื่อแนะนำให้นำเรื่องเสนอผ่านมหาเถรสมาคม ก็จะเป็นเรื่องดี ซึ่งตนก็เห็นด้วย 

ดร.เพชรวรรต กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตามตนจะนำเรื่องนี้ไปเสนอในชั้นกรรมาธิการฯ หากจะมีการนำเสนอรายชื่อพระภิกษุเพื่อดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาในชั้นกรรมาธิการฯ ก็จะเสนอต่อมหาเถรสมาคม ซึ่งเป็นสถาบันสูงสุดในการปกครองสงฆ์ เพื่อรับรองก่อน

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

"อนุชา" เผยผลสอบหมอปลาพร้อมคณะผิด สั่งการ "พศ." เดินหน้าเอาผิดตามกฎหมาย



วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2565 นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณี นายจีรพันธ์ เพชรขาว หรือ “หมอปลา” กับพวกนําคณะสื่อมวลชนลงพื้นที่วัดต่าง ๆ อ้างว่าเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ได้รับการร้องเรียนเกี่ยวกับพฤติกรรมของพระภิกษุ โดยนำคณะเข้าบุกรุกวัด ที่พักสงฆ์ และกุฏิที่อยู่อาศัยหลายพื้นที่ ว่า จากการหารือของคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม พบว่าการกระทำดังกล่าวละเมิดข้อกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง และมติที่เกี่ยวข้องหลายข้อ ดังนี้  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.2560 ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อบังคับสภาทนายความ ว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ.2529 และข้อบังคับสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ พ.ศ.2553 

ในส่วนของการดำเนินการของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ การลงโทษพระภิกษุสงฆ์กรณีที่ละเมิดพระธรรมวินัย เป็นไปตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 หลักเกณฑ์การลงนิคหกรรมนั้นต้องเป็นไปตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ 11 ออกตามความมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ซึ่งตามกฎมหาเถรสมาคม ผู้มีอำนาจ คือ ผู้พิจารณากับคณะผู้พิจารณาชั้นต้น คณะผู้พิจารณาชั้นอุทธรณ์และคณะผู้พิจารณาชั้นฎีกา ซึ่งเป็นตำแหน่งพระสังฆาธิการทั้งหมด ผู้ที่ไม่ใช่บุคคลดังกล่าวไม่มีอำนาจเข้าไปตรวจสอบพระภิกษุได้ การกระทำของหมอปลาและพวกจึงไม่เหมาะสม และส่งผลให้พระภิกษุไม่ได้รับความเป็นธรรม

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กำชับและสั่งการให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจสอบและติดตามอย่างใกล้ชิด โดยย้ำให้ประสานความร่วมมือกับพระสังฆาธิการในพื้นที่ปกครอง สอดส่อง ดูแลผู้ที่มีความประพฤติไม่เหมาะสมดังเช่นกรณีดังกล่าว เพื่อป้องกันกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดีที่คิดร้ายต่อพระพุทธศาสนา ในส่วนของพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของคณะสงฆ์ เป็นอำนาจตามกฎมหาเถรสมาคมที่จะพิจารณาความผิดและบทลงโทษ การที่ฆราวาสจะเข้าไปก้าวก่ายและเอาผิดเรื่องของสงฆ์ไม่สามารถทำได้ ซึ่งสิ่งนี้ถือปฏิบัติมากว่า 2,500 ปีแล้ว การกระทำของหมอปลาและพวกจึงถือเป็นการทำให้พระพุทธศาสนาซึ่งเป็นศาสนาหลักของชาติเสื่อมเสีย และไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง หากพุทธศาสนิกชนท่านใดพบเห็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมดังกล่าว ขอให้รีบแจ้งไปยังสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเพื่อดำเนินการตรวจสอบต่อไป 

 


กมธ.ศาสนาฯสภาฯจัดสัมมนาสืบสานวัฒนธรรมชุมชน "คนตลิ่งชัน"



วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2565 เวลา 09.00 น. คณะกรรมาธิการการศาสนาศิลปะและวัฒนธรรมสภาผู้แทนราษฎร  จัดสัมมนา โครงการสืบสานวัฒนธรรมชุมชน “คนตลิ่งชัน” ณ ห้องสัมมนา อาคาร12 เฉลิมพระเกียรติ ชั้น 5 มหาวิทยาลัยสยาม กรุงเทพฯ  โดยมีอธิการบดีมหาวิทยาลัยสยามกล่าวรายงานและต้อนรับคณะกรรมาธิการและวิทยากร ผู้เข้าร่วมสัมมนา

นายสุชาติ อุสาหะ ประธานคณะกรรมาธิการกล่าวเปิดสัมมนาพร้อมทั้งกล่าวถึงหน้าที่และอำนาจการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการในส่วนที่เป็นกลไกขับเคลื่อนงานของฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งงานเสนอร่างกฎหมาย งานร้องเรียนทั้งด้านศาสนาต่างๆ และศิลปะและวัฒนธรรม ซึ่ง นำไปพิจารณาศึกษาแก้ไขปัญหาให้เห็นเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ โดย ส.ส. จักรพันธ์ พรนิมิตร มาร่วมงานสัมมนาและต้อนรับคณะกรรมาธิการด้วย



นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล รองประธาน นายชวน ชูจันทร์ กรรมาธิการ ได้กล่าวถึงความสำคัญของวัฒนธรรมของชุมชนตลิ่งชัน ซึ่งมีอยู่หลายด้าน ทั้งอาหาร ผลไม้ ระเพณีตั้งแต่ดั้งเดิม และในยุคปัจจุบันจะทำอย่างไรให้มีคุณค่าและมูลค่าเพิ่มขึ้นพร้อมทั้ง นายณพลเดช มณีลังกา อนุกรรมาธิการ นางภิรมย์ เจริญรุ่ง ผู้บังคับบัญชากลุ่มงานฯ และเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร


วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

กมธ.ศาสนาฯ สภาฯ ตั้ง "ณพลเดช" เป็น อนุฯกมธ.พุทธศาสนาฯแทน "เจ้าคุณประสาร"



เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม 2565 เวลา 11.00 น. ที่ห้อง CA303 อาคารรัฐสภาเกียกกาย ดร.เพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล รองประธานกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า จากการที่มีกระแสถึงการที่มีพระภิกษุสงฆ์ ได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษาในชั้นคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่นๆ ส่งผลให้มีการประชุมมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 มีมติห้าม พระภิกษุไปเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมือง จนเป็นประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่สงฆ์อย่างกว้างขวาง ที่มีพระเมธีธรรมาจารย์ หรือ "เจ้าคุณประสาร"  พระครูปลัดสุวัฒนสัจจคุณ (ธีรวิทย์) รวมถึง พระสุธีวีรบัณฑิต (โชว์ ทสฺสนีโย) ที่ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาอยู่นั้น ซึ่งล่าสุดพระภิกษุสงฆ์ดังกล่าวได้ลาออกทั้งคณะ

ดร.เพชรวรรต กล่าวต่อไปว่า จากกรณีดังกล่าวในวันนี้ในชั้นกรรมาธิการฯ ได้มีมติแต่งตั้ง ดร.ณพลเดช มณีลังกา เป็นอนุกรรมาธิการฯพุทธศาสนาฯ แทนตำแหน่งที่ว่างลง จากที่ ดร.ณพลเดช เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ จบปริญญาเอกในหลายแขนงถึง 3 ใบ ซึ่งมั่นใจว่าจะสามารถมาทำงานให้กับกรรมาธิการได้อย่างดี ซึ่งก่อนหน้านี้ ดร.ณพลเดช ได้ดำรงตำแหน่งอนุกรรมาธิการฯนี้อยู่แล้ว และได้ลาออกเพื่อไปสมัครรับเลือกตั้ง ส.ก. ขณะนี้ได้กลับมาทำงานต่อ ตนมั่นใจว่าจะสามารถใช้ความรู้ความสามารถในการสืบสานต่องานในชั้นอนุกรรมาธิการฯ ได้เป็นอย่างดี

ดร.เพชรวรรต กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับกรณีประเด็นที่มีการประชุมมหาเถรสมาคม เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 ว่ามีมติห้าม พระภิกษุไปเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมือง นั้นตนคิดว่า เป็นเรื่องเข้าใจผิดเพราะในคณะกรรมาธิการฯ ไม่มีการเมือง ทุกคนที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน และจะมีการกลั่นกรองอย่างรอบด้านในบุคคลที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงาน ทั้งนี้ก็มีพี่น้องมุสลิม พี่น้องจากศาสนาคริสต์ ซึ่งถือเป็นตัวแทนจากประชาชนของตน ก็ต่างส่งตัวแทนเข้ามาเป็นที่ปรึกษาในชั้นกรรมาธิการฯ และชั้นอนุกรรมาธิการฯ เช่นกัน อย่างไรก็ตามตนจะเข้าไปกราบหารือกับ "สมเด็จพระพุฒาจารย์" กรรมการมหาเถรสมาคม ที่มหาเถรสมาคมได้แต่งตั้งให้เป็นประธานฝ่ายปกครอง เรื่องขอให้เปิดช่องให้พระสงฆ์เข้ามาเป็นที่ปรึกษาในชั้นกรรมาธิการได้ เพราะจะช่วยให้คำปรึกษาต่อคณะกรรมาธิการในมิติของวงการพุทธศาสนา ซึ่งมิได้เป็นการเกี่ยวโยงต่อการเมืองแต่อย่างใด เพื่อให้เป็นไปตามหลักความเสมอภาคตามกรอบรัฐธรรมนูญ 2560 ตามหมวด 3 ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย ต่อไป


“สมเด็จธีร์”เป็นประธานมอบวุฒิบัตรแก่พระภิกษุผู้ผ่านการอบรมพระธรรมทูตจำนวน 116 รูป



เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม 2565 เวลา 14.30 น. ณ อาคารหอประชุม มวก. 48 พรรษา มหาวชิราลงกรณ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม และประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ ได้เดินทางไปปฎิบัติศาสนกิจแทนสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในการเป็นประธานพิธีปัจฉิมนิเทศและมอบวุฒิบัตรแก่พระธรรมทูตผู้ผ่านการอบรมจำนวน 116 รูป 



โดยมี พระธรรมวัชรบัณฑิต อธิการบดี,พระเทพปวรเมธี รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร ผู้บริหารและคณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และนายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา , นายบุญเชิด กิตติธรางกูร ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ถวายการต้อนรับ 

สมเด็จพระมหาธีราจารย์ ได้กล่าวให้โอวาทว่า ในพระนามของสมเด็จพระสังฆราช ขอแสดงความชื่นชม ยินดี ที่พระธรรมทูตได้ผ่านการอบรมอย่างสมบูรณ์ ซึ่งงานด้านพระธรรมทูต เป็นเรื่องที่ มส.ให้ความสำคัญ เพราะนอกจากจะเป็นทูตทางธรรมในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศแล้ว ยังต้องเป็นทูตทางวัฒนธรรมในการนำวัฒนธรรม ประเพณีไทยที่ดีงาม ไปเผยแพร่ยังต่างประเทศด้วย ทั้งนี้งานพระธรรมทูตมีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนา ผู้เป็นพระธรรมทูตต้องมีความอดทน วิริยะ อุตสาหะ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการทำงานพระธรรมทูตในต่างประเทศ และขอให้พระธรรมทูตตระหนักไว้ด้วยว่า ในการปฏิบัติหน้าที่พระธรรมทูตในต่างประเทศ ต้องปฏิบัติตามทั้งพระธรรมวินัย และกฎหมายในประเทศที่ไปปฏิบัติหน้าที่ ต้องยึดถือปฏิบัติทั้งสองด้าน อย่าทำงานเพียงแค่ถูกใจ แต่การทำงานต้องถูกต้องด้วย

พระโสภณวชิราภรณ์ (ไสว โชติโก) รองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศ มจร ในฐานะประธานกรรมการดำเนินงานโครงการอบรมพระธรรมทูตสายต่างประเทศ รุ่นที่ 28 กล่าวว่า การดำเนินงานอบรมผ่านไปด้วยดี แม้ผู้เข้าร่วมอบรมจะมีพรรษาที่ต่างกันมาก แต่ก็สามารถร่วมอบรมด้วยกันได้เป็นอย่างดี ซึ่งในการอบรมจะเน้นให้พระธรรมทูตได้ฝึกตนเอง ฝึกการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน มีพระวิปัสสนาจารย์มาเป็นผู้สอบอารมณ์ อีกทั้งยังเน้นอบรมทักษะในเรื่องภาษาต่างประเทศ โดยพระธรรมทูตต้องมีความรู้ในภาษาบาลี ไทย อังกฤษ และภาษาของประเทศ ที่จะไปปฏิบัติหน้าที่ด้วย เพราะภาษามีความสำคัญมากในการใช้เผยแผ่หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา



ดร.พระพฤกษ์ กตกุสโล จากวัดพุทธเมตตาบุญญานุภาพ อ.เถิน จ.ลำปาง หนึ่งในผู้ผ่านการอบรมพระธรรมทูต เปิดเผยว่า ตอนเองจบการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เดินทางมาจังหวัดลำปาง ซึ่งหลังจากจบโครงการท่านเจ้าอาวาสวัดพุทธเมตตาบุญญานุภาพ หากไม่ติดขัดอะไรท่านตั้งใจไว้ว่าจะส่งไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ประเทศออสเตรเลีย

 “อาตมาพรรษา 5 จบนักธรรมเอก และปริญญาเอก อยากเป็นพระธรรมทูตจึงเข้าอบรม การอบรมที่นี้ไม่ใช่ได้เฉพาะความรู้อย่างเดียว ตลอด 3 เดือนนี้ได้เพื่อน ได้กัลยาณมิตรเพื่อเป็นเครือข่ายจำนวนมาก มีทั้งประโยค 9 ปริญญาเอก บางคนเป็นครูบาอาจารย์ มีแต่คนมีความรู้ หัวใจสำคัญของการเป็นพระธรรมทูตมันต้องมีความรู้เรื่องพระพุทธศาสนา รู้เรื่องกรรมฐาน สติปัฎฐานสี่ ส่วนภาษาแม้จะสำคัญ แต่ก็เรียนรู้กันได้  ความอ่อนน้อมนอบถ้อม การมีหัวใจที่มั่นคงในพระพุทธศาสนาก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน..”



ขณะที่ ดร.พระพรชัย อาสโภ  วัดป่าเทพอินทรประดิษฐ์ ต.บ้านไร่ อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ เล่าว่า การอบรมพระธรรมทูตในครั้งนี้ได้ปฎิบัติวิปัสสนาอย่างเข้มงวด โดยมีพระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญเรื่องวิปัสสนามาอบรมให้ไม่ต่ำกว่า 8 รูป โครงการอบรมพระธรรมทูตนี้จึงเป็นการต่อยอดในการที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างประเทศได้เป็นอย่างดี

“หลังจากจบการอบรมพระธรรมทูตแล้ว อาตมาตั้งใจจะไปเป็นพระธรรมทูตที่ประเทศเกาหลีใต้ จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่นั้น เนื่องจากอาตมาจบปริญญาโทด้านวิปัสสนาภาวนา ที่ วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส จังหวัดนครปฐมและจบปริญญาเอกพุทธจิตวิทยา มจร วังน้อยแห่งนี้ การอบรมพระธรรมทูตคุณสมบัติเบื้องต้นต้องจบนักธรรมเอก ปริญญาตรีจึงเข้ามาสมัครเข้าร่วมโครงการได้ การอบรมเข้มข้นมาก ได้ทั้งความรู้และเทคนิคการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งโครงการนี้นับว่าเป็นโครงการที่ดีมากโครงการหนึ่งของคณะสงฆ์ไทย..”


Cr.https://thebuddh.com/?p=62679 

"วราวุธ-ประภัตร" ห่วงไทยกระทบ "ภาวะขาดแคลนอาหารทั่วโลกครั้งใหญ่"



เผยภาคเกษตร เร่งทำนโยบายรับมือวิกฤตความมั่นคงด้านอาหารโลก 

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม 2565  นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และประธานคณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์พรรคชาติไทยพัฒนา และ นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เลขาธิการพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึงสถานการณ์วิกฤตด้านอาหารที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ และมีแนวโน้มเพิ่มความรุนแรงขึ้น เป็นเหตุให้ประเทศไทยต้องเฝ้าระวังและเร่งปรับตัว พร้อมเตรียมแผนรับมือทั้งภาครัฐและเอกชน เพราะสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลต่อคุณภาพของชีวิตประชาชน 

นายวราวุธ กล่าวว่า หลังวิกฤติโควิดระบาดทั่วโลกกว่า 2 ปี  อาหารทั่วโลกแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว ราคาวัตถุดิบทางการเกษตรไปจนถึงต้นทุนราคาปุ๋ย ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลพวงของสงครามรัสเซีย-ยูเครน และล่าสุดจากการระบาดใหม่ ของโรคฝีดาษลิง ส่งผลให้ในขณะนี้ มี 14 ประเทศทั่วโลก ได้ห้ามการส่งออกอาหาร เพื่อกักตุนไว้บริโภคเองภายในประเทศแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้เกิด วิกฤตอาหารโลก Global Food Crisis  

ทั้งนี้ นอกจากปัจจัยข้างต้นที่กล่าวมา ที่ทำให้ปริมาณผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำลง จนมีราคาสูง ปฏิเสธไม่ได้ว่า "ภาวะโลกร้อน" ที่ทำให้สภาพอากาศในหลายประเทศแปรปรวนอย่างหนัก ก็เป็นภัยคุกคามต่อเนื่อง ต่อภาคเกษตร ด้วยเช่นกัน 

ตนในฐานะที่กำกับดูแลกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ร่วมมือกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผลักดันนโยบายด้านการเกษตรของพรรคชาติไทยพัฒนา โดยหนึ่งในโครงการที่เร่งผลักดันอยู่ เพื่อรับมือวิกฤตความมั่นคงด้านอาหาร ก็คือ แนวคิดการทำนาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน จากโครงการ Thai Rice NAMA ( ไทย ไรซ์ นามา) โครงการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ที่ได้เข้ามาช่วยพี่น้องเกษตรกรไทย ให้ผลิตข้าวมากขึ้น โดยการใช้เทคโนโลยีเพิ่มผลผลิตและลดโลกร้อน ตามมาตรการ “3 เพิ่ม 3 ลด” คือ "เพิ่มผลผลิตข้าว เพิ่มคุณภาพข้าว เพิ่มรายได้ ลดต้นทุนการผลิต ลดการใช้น้ำ และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก" เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนให้กับเกษตรกรไทย 

โดยปัจจุบันมี เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในพื้นที่ภาคกลางเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 25,000 ราย และจะเร่งรณรงค์ ขยายผลโครงการไปยังภูมิภาคอื่นๆ พร้อมเผยแพร่องค์ความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนเสริมสร้างความตระหนักรู้ และความสําคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อไปด้วย 

ด้านนายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กล่าวถึงภาคเกษตร ว่าขณะนี้กระทรวงกำลังเตรียมแผนรับมือวิกฤตความมั่นคงด้านอาหารโลก เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์แนวโน้มวิกฤตอาหารโลก ซึ่งขณะนี้ หลายประเทศได้มีมาตรการหยุดการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญอย่าง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวสาลี เรปซีดออยล์ และน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อสำรองอาหารและพลังงานไว้เพื่อความมั่นคงในประเทศ 

สำหรับประเทศไทย ด้านการเกษตร มีแผนการผลิตข้าวในปี 65/66 บนพื้นที่ 66.2 ล้านไร่ มีการคาดการณ์ผลผลิตจะมี 30 ล้านตันข้าวเปลือก แยกเป็นรอบที่ 1 พื้นที่ 59.4 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 25.5 ล้านตันข้าวเปลือก และรอบที่ 2 พื้นที่ 6.8 ล้านไร่ คาดการณ์ผลผลิต 4.4 ล้านตันข้าวเปลือก โดยพื้นที่และผลผลิตข้าวรอบที่ 2 สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง เช่น สถานการณ์ราคา และภัยธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ภาวะโลกขาดแคลนอาหารครั้งใหญ่ ย่อมมีผลกระทบกับประเทศไทยและอีกหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก การอัดฉีดงบประมาณ และการนำความรู้และเทคโนโลยีสู่เกษตรกร ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างต่อเนื่อง และเข้มข้นมากยิ่งขึ้น โดยจะเร่งผลักดันแผนรับมือนี้ไปประยุกต์เข้าสู่โครงการในปัจจุบันและโครงการใหม่ที่จะเกิดขึ้นต่อไป

ทั้งนี้เฟซบุ๊ก ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ Dr. Suvit Maesinceeได้โพสต์ข้อความว่า  วิกฤตอาหารโลก (Global Food Crisis) เริ่มแล้ว!

ปัญหาปากท้อง ถือเป็นปัญหาต้นๆที่ส่งผลต่อคุณภาพของชีวิตประชากร วิกฤตราคาอาหารแพงถือเป็นหนึ่งในปัญหาที่ทั่วทั้งโลกต่างเผชิญกันอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากราคาอาหารเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์


องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูล ที่ส่อให้เห็นถึงวิกฤตราคาอาหารแพงทั่วโลก โดยจากรายงาน FAO ระบุว่าดัชนีราคาอาหาร (Food Price Index)  ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดการเปลี่ยนแปลงรายเดือนของสินค้า อาหารและโภคภัณฑ์ที่มีการซื้อขายมากที่สุดทั่วโลก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มธัญพืช ผลิตภัณฑ์จากนม เนื้อสัตว์ น้ำมันพืช และน้ำตาล มีค่าเฉลี่ยในเดือนธันวาคม 2564 อยู่ที่ 133.7 จากระดับ 134.9 เทียบกับเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ซึ่งถือเป็นเดือนที่ 4 ที่ดัชนีเพิ่มสูงขึ้น และยังเป็นระดับที่พุ่งสูงสุดในรอบ 10 ปี


ซึ่งหากพิจารณารวมทั้งปี 2564 แล้วดัชนีที่ว่าจะมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 125.7 เพิ่มขึ้น 28.1% เทียบกับปี 2563 และถือเป็นระดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่แตะระดับ 131.9 ในปี 2554 หรือ 10 ปีก่อน


โดยราคาในกลุ่มธัญพืชและผลิตภัณฑ์จากนม เป็นกลุ่มที่ราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุด ตามมาด้วยน้ำตาล ในขณะที่ราคาเนื้อสัตว์และน้ำมันพืชในเดือนพฤศจิกายนลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนหน้า


ในส่วนของปี 2565 FAO เผยว่าดัชนีราคาอาหารในเดือนมีนาคม 2565 เพิ่มขึ้นเกือบ 13% จากเดือนกุมภาพันธ์ในปีเดียวกัน และราคาอาหารพุ่งขึ้นเกือบ 30% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนเมษายน 2565 ตามดัชนีราคาอาหารของ FAO


* วิกฤตอาหารส่งผลต่อประชาคมโลกอย่างไร


ราคาอาหารที่แพงขึ้นนำมาสู่ความไม่มั่นคงด้านอาหาร (Food Insecurity) เมื่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตพุ่งสูงขึ้น เช่น ข้าว ขนมปัง เนื้อสัตว์ นม ไข่ นั่นแปลว่าประชาชนต้องหักส่วนรายได้เพื่อมาใช้จ่ายในส่วนนี้มากขึ้น สำหรับประเทศที่ค่าครองชีพมีความสอดคล้องกัน อาจส่งผลกระทบบ้างเล็กน้อยประปราย แต่ในประเทศรายได้น้อยนั้นได้รับผลกระทบอย่างมาก เพราะการซื้ออาหารคิดเป็นอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของค่าใช้จ่ายครัวเรือนทั้งหมด จากข้อมูลของธนาคารโลกระบุว่า ผู้คน 10 ล้านคนถูกผลักให้เข้าสู่ความยากจนขั้นรุนแรงทั่วโลกสำหรับราคาอาหารที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ เปอร์เซ็นต์


การที่ราคาอาหารสูงขึ้น แต่ประชาชนยังมีรายได้เท่าเดิมหรือน้อยลง ย่อมส่งผลโดยตรงต่อการเข้าถึงอาหาร และนำไปสู่ปัญหาความอดอยากและขาดสารอาหาร ซึ่งส่งผลต่อพัฒนาการทางร่างกายและสติปัญญาของประชากร โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง


เฉพาะในประเทศเอเชียแปซิฟิก FAO ระบุว่า มีผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤติอาหารแพงและการขาดแคลนอาหารมากถึง 1,800 ล้านคน และยังมีคนเป็นโรคขาดสารอาหารที่เรียกกันว่า โรคผอมแห้ง มากถึง 40 ล้านคน เพิ่มจาก 31 ล้านคนเมื่อปีที่ผ่านมา


นักวิเคราะห์ระบุว่า นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของการเกิดวิกฤติที่เรียกว่า The Great (Food) Shortage หรือภาวะขาดแคลนอาหารครั้งใหญ่ของโลก และในหลายประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ความไม่มั่นคงด้านอาหารเป็นสาเหตุของความไม่สงบทางสังคมและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ราคาอาหารและพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นได้จุดชนวนให้เกิดการประท้วงในศรีลังกา ตูนิเซีย และเปรู


นอกจากนี้ในประเทศร่ำรวยก็เจอผลกระทบเช่นกัน เช่น ชาวอังกฤษเกือบ 10 ล้านคนลดการบริโภคอาหารในเดือนเมษายน และฝรั่งเศสวางแผนที่จะออกคูปองอาหารให้กับครัวเรือนที่ยากจนที่สุด และอัตราเงินเฟ้อที่นำโดยราคาอาหารและพลังงานเป็นปัญหาการหาเสียงทางการเมืองของสหรัฐที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของที่นั่งในรัฐสภา

ในส่วนของประเทศไทยคงเห็นได้ชัดเจน จากทั้งราคาหมูที่เพิ่มขึ้นจากกิโลกรัมละ 180 บาท เป็น 250 บาท และแตะ 300 บาทไปแล้วเมื่อเร็วๆนี้ ส่วนไก่ ปลา ผักสด ก็แพงขึ้นแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้ร้านค้าจำนวนมากต้องติดป้ายขอขึ้นราคาอาหารเนื่องจากวัตถุดิบแพงขึ้นจนไม่สามารถแบกรับต้นทุนที่ราคาขายแบบเดิมได้ ยังไม่รวมแก๊สหุงต้ม LPG ค่าโดยสารรถสาธารณะ ค่าทางด่วน ที่ขยับขึ้นราคาตามในขณะที่รายได้ประชาชนยังคงเท่าเดิม


* สาเหตุของวิกฤตอาหารโลก


1. ผลพวงจากสงครามรัสเซีย–ยูเครน


สาเหตุที่ราคาอาหารทั่วโลกแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดมาจากราคาวัตถุดิบทางการเกษตรที่นำมาใช้ประกอบอาหารปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นราคาข้าวสาลีในเดือนมีนาคม 2565 ที่ปรับตัวขึ้นกว่า 31% เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2564 หรือจะเป็นราคาข้าวโพดที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่า 32% ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาวัตถุดิบทางการเกษตรปรับตัวสูงขึ้น คือผลพวงจากภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน เนื่องจากทั้งสองประเทศถือเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออกวัตถุดิบทางการเกษตร เพื่อนำไปประกอบอาหารรายใหญ่ของโลก อาทิ ข้าวสาลี คิดเป็น 30% ของตลาดโลก น้ำมันพืชจากเมล็ดดอกทานตะวัน คิดเป็น 80% ของตลาดโลก ข้าวโพด คิดเป็น 19% ของตลาดโลก


การสู้รบที่เกิดขึ้น ทำให้การเพาะปลูกและการเก็บเกี่ยวผลผลิตต่าง ๆ เช่น ข้าวสาลีและข้าวโพด ไม่สามารถทำได้ ซึ่ง FAO ระบุว่า สงครามจะทำให้พื้นที่การเกษตรของยูเครน 20-30% ไม่ได้รับการเพาะปลูกหรือไม่ได้รับการเก็บเกี่ยวในฤดูกาล 2565 อีกทั้งการส่งออกสินค้าดังกล่าวไปขายต่างแดนผ่านท่าเรือในทะเลดำต้องหยุดชะงักลง จากการถูกเรือรบของรัสเซียปิดล้อม


ดังนั้นหลายประเทศที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารและปัจจัยการผลิตทางการเกษตรจากรัสเซียและยูเครน อาทิ มองโกเลีย อาเมเนีย อียิปต์ เยเมน ลิเบีย ปากีสถาน ตุรกี จึงได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ซึ่งบางประเทศ อย่างเช่น เลบานอน ถึงขั้นต้องร้องขอความช่วยเหลือเงินกู้จากธนาคารโลกกว่า 150 ล้านดอลลาร์ หรือราว 4,800 ล้านบาท เพื่อนำมาอุดหนุนค่าอาหาร โดยเฉพาะขนมปังและธัญพืช ให้แก่ประชากรในประเทศ โดยโครงการอาหารโลก (World Food Programme) ระบุว่า หากสงครามยังดำเนินต่อไป อาจนำไปสู่ภาวะข้าวยากหมากแพง ประเทศต่าง ๆ จะค่อย ๆ ขาดเสถียรภาพและการอพยพ นำไปสู่วิกฤตอื่น ๆ ต่อไปอีก


2. ราคาปุ๋ยแพง


ขณะนี้เกิดปัญหาการขาดแคลนปุ๋ยทั่วโลก นอกจากสินค้าเกษตรแพงแล้ว ราคาปุ๋ยซึ่งเป็นวัตุดิบสำคัญในการเพาะปลูกก็แพงขึ้นเช่นกัน เนื่องจากภาวะสงครามในรัสเซียซึ่งถือเป็นผู้ส่งออกวัตถุดิบที่ใช้ในการทำปุ๋ยรายใหญ่ อาทิ โพแทสและซัลเฟต ส่งผลกระทบต่อระบบการขนส่งปุ๋ยดังกล่าวไปยังต่างประเทศ

อีกทั้งด้วยราคาก๊าซที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ราคาปุ๋ยต้องปรับขึ้นตาม เนื่องจากก๊าซเป็นต้นทุนสำคัญในการผลิตแอมโมเนียในปุ๋ย


3. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ


อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำลง เนื่องจากภาวะโลกร้อนทำให้สภาพอากาศในหลายประเทศแปรปรวนอย่างหนัก ดังนั้นการเพาะปลูกพืชทางเศรษฐกิจในหลาย ๆ ประเทศจึงเกิดความเสียหาย หากย้อนดูข้อมูลดัชนีราคาอาหารโลกจะพบว่า ดัชนีราคาอาหารโลกนั้นเริ่มมีทิศทางเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ก่อนจะมีสงครามรัสเซีย-ยูเครนแล้ว

ตามรายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change: IPCC) ในเดือนกุมภาพันธ์ ระบุว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความแห้งแล้ง น้ำท่วม และไฟไหม้ในพื้นที่เกษตรกรรมที่ครั้งหนึ่งเคยเชื่อถือได้ อย่างเช่น แคลิฟอร์เนียและยุโรปตอนใต้ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้จำนวนผลผลิตตกต่ำลง และมีบางประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้ว เช่น อินเดีย ที่เผชิญกับคลื่นความร้อนรุนแรง ส่งผลให้ผลผลิตข้าวสาลีในปีนี้ลดลง รวมถึงจีน ที่รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรของจีนได้ออกมาเตือนว่า ผลผลิตข้าวสาลีในฤดูหนาวของประเทศจะย่ำแย่ เนื่องจากพื้นที่ปลูกข้าวสาลีได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งใหญ่


นอกจากผลกระทบทางการเกษตรแล้ว ยังมีเหตุการณ์สภาพอากาศเลวร้ายในท่าเรือสำคัญต่าง ๆ ตั้งแต่บัลติมอร์ ไปจนถึงทะเลดำ ส่งผลให้การส่งออกหยุดชะงัด นำไปสู่ราคาอาหารที่เพิ่มขึ้น 


Enock Chikava ผู้อำนวยการชั่วคราวด้านการพัฒนาการเกษตรของมูลนิธิ Bill & Melinda Gates กล่าวว่า  ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะรุนแรง จนทำให้ผลกระทบจากวิกฤตยูเครนที่มีต่อราคาอาหารนั้นเป็นเพียงแค่ระดับอนุบาล และเขายังกล่าวอีกว่า ผลกระทบที่เราเห็นในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นแมลงศัตรูพืช ภัยแล้ง หรือความร้อนที่เพิ่มขึ้น นั่นเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกเพียง 1 องศาเซลเซียสเท่านั้น และหากอุณหภูมิของโลกยังคงเพิ่มขึ้นต่อไปเช่นนี้ จนถึง 1.5 หรือ 2 องศาเซลเซียส จะนำไปสู่ผลกระทบที่รุนแรงมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่


* ธนาคารโลกเตือน "วิกฤตอาหารโลก" ยืดเยื้อถึงปี 2566


นายเดวิด มัลพาส ประธานธนาคารโลกได้ออกมากล่าวระหว่างการประชุมประจำฤดูใบไม้ผลิ 2565 ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลกเมื่อวันพุธ (20 เม.ย.) ว่า สงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลทำให้ราคาอาหารปรับตัวสูงขึ้น และส่งผลกระทบกลุ่มคนยากไร้มากที่สุด พร้อมเตือนว่า วิกฤตการณ์ความไม่มั่นคงทางอาหารครั้งนี้จะครอบคลุมระยะเวลาหลายเดือนและอาจจะยืดเยื้อไปจนถึงปี 2566


โดยธนาคารโลกได้ประกาศแผนรับมือวิกฤติความมมั่นคงด้านอาหารโลก โดยจะอัดฉีดงบประมาณ 3 หมื่นล้านดอลลาร์เข้าสู่โครงการในปัจจุบันและโครงการใหม่ ซึ่งงบประมาณดังกล่าวจะครอบคลุมด้านเกษตรกรรม, โภชนาการ, การคุ้มครองทางสังคม, น้ำ และการชลประทาน เพื่อแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงทางอาหารตลอดช่วง 15 เดือนข้างหน้า


นอกจากนี้ งบประมาณดังกล่าวจะยังครอบคลุมการส่งเสริมการผลิตอาหารและปุ๋ย เพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบอาหาร สนับสนุนด้านการค้าให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตลอดจนให้ความช่วยเหลือครัวเรือนและผู้ผลิตกลุ่มที่เปราะบาง


โดยธนาคารโลกจะร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ในการจัดตั้งโครงการใหม่ ๆ มูลค่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ในช่วง 15 เดือนข้างหน้า เพื่อรับมือวิกฤติความมั่นคงด้านอาหาร รวมถึงกระตุ้นให้ประเทศต่าง ๆ พยายามร่วมกันเพื่อเพิ่มปริมาณพลังงานและผลผลิตปุ๋ย ช่วยให้เกษตรกรสามารถเพิ่มอัตราการเพาะปลูกและปริมาณผลผลิต รวมถึงยกเลิกนโยบายระงับการส่งออกและนำเข้า


* วิกฤตอาหารโลกนำมาสู่ “Food Protectionism” ในหลายประเทศ


สงครามรัสเซีย-ยูเครน จุดชนวนผลกระทบเศรษฐกิจโลกหลายด้าน โดยเฉพาะแนวโน้ม “วิกฤตอาหารโลก” ที่เขย่าความมั่นคงทางอาหารของประชากรโลก จากการที่ทั้งสองประเทศหยุดการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญอย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ข้าวสาลี เรพซีดออยล์ และน้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อสำรองอาหารและพลังงานไว้เพื่อความมั่นคงในประเทศ ซึ่งสินค้าธัญพืชเหล่านั้นเป็นปัจจัยการผลิตสำคัญในการเลี้ยงสัตว์และผลิตอาหาร และกำลังกลายเป็นกระแสผลักดันให้ประเทศผู้ผลิตอาหารออกนโยบาย “ห้ามส่งออก” ในแบบเดียวกัน เพื่อรักษาสมดุลอาหารเพื่อเลี้ยงคนในประเทศ


ประเทศที่ห้ามส่งออกธัญพืชสำคัญและอาหารขณะนี้นอกจากรัสเซีย-ยูเครนแล้ว ติดตามมาด้วยอินโดนีเซีย ผู้ส่งออกน้ำมันเพื่อการบริโภครายใหญ่สุดของโลก ประกาศห้ามส่งออกน้ำมันปาล์มสำหรับทำอาหาร คาซัคสถาน จำกัดการส่งออกข้าวสาลีและแป้งสาลี เป็นการชั่วคราวจนถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2565 ขณะที่อาร์เจนตินา ผู้ส่งออกเนื้อวัวรายใหญ่อันดับ 5 ของโลก จำกัดการส่งออกเนื้อวัว ยาวจนถึงปี 2566 และล่าสุดอินเดีย ประกาศห้ามส่งออกข้าวสาลี ด้วยเหตุผลที่ไม่แตกต่างกับประเทศอื่น ๆ คือเพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงทางอาหารให้กับคนในชาติของตน เหล่านี้อาจจะเป็นเหตุผลให้ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์และราคาอาหารปรับเพิ่มขึ้นรอบใหม่ได้


สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า บรรดาผู้ซื้อข้าวสาลีทั่วโลกได้แห่ไปซื้อข้าวสาลีจากอินเดีย หลังจากที่การส่งออกข้าวสาลีจากเมืองท่าแถบทะเลดำลดลงตั้งแต่รัสเซียบุกโจมตียูเครน ส่งผลให้ราคาข้าวสาลีตลอดจนผลิตภัณฑ์จากข้าวสาลีในอินเดียพุ่งสูงถึง 15-20% หลังสงครามรัสเซียยูเครนปะทุ เช่นเดียวกับราคาข้าวสาลีในตลาดโลกพุ่งสูงสุดในรอบ 14 ปี ซึ่งไม่เพียงแต่จะกระทบต่อปัจจัยต้นทุนราคาอาหาร การห้ามส่งออกข้าวสาลีของอินเดียยังคาดว่าจะกระทบต่อต้นราคาอาหารสัตว์ให้มีแนวโน้มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน

เห็นได้ว่านโยบายปกป้องตัวเองเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารเฉพาะตัว (Food Protectionism) เริ่มแพร่หลายไปในหลายประเทศแม้ไม่ได้อยู่ในภาวะสงครามก็ตาม เพราะต่างตระหนักถึงผลกระทบทางตรงต่อนโยบายบริหารประเทศช่วงต่อจากนี้ไป คือภาวะเงินเฟ้อและการขาดแคลนอาหารโดยเฉพาะประเทศที่นำเข้าอาหาร เช่น แอฟริกา เนื่องจากประเทศผู้ส่งออกอาหารจะไม่สามารถหาวัตถุดิบมาสนับสนุนการผลิตได้เต็มประสิทธิภาพ หรือ หาได้ก็มีต้นทุนสูงมากจนทำให้ต้องปรับราคาให้สูงขึ้นด้วย ราคาสินค้าสูงก็จะผลักดันให้เงินเฟ้อสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว ซึ่งเป็นเหตุผลที่รัฐบาลแต่ละประเทศพยายามหลีกเลี่ยง


จากข้อมูลของสถาบัน Peterson Institute for International Economics หรือ PIIE ระบุว่า ปัจจุบันมีประเทศที่มีนโยบายห้ามส่งออกอาหาร อาทิ 

อาร์เจนตินา : น้ำมันถั่วเหลือง, กากถั่วเหลือง สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565

แอลจีเรีย : พาสต้า, เมล็ดข้าวสาลี, น้ำมันพืช, น้ำตาล สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565

อียิปต์ : น้ำมันพืช, ข้าวโพด สิ้นสุดวันที่ 12 มิถุนายน 2565 และข้าวสาลี, แป้งสาลี, น้ำมันพืช, ถั่วเลนทิล, พาสต้า, ถั่ว สิ้นสุดวันที่ 10 มิถุนายน 2565

อินโดนีเซีย : น้ำมันปาล์ม, น้ำมันปาล์มจากเมล็ดปาล์ม สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565

อิหร่าน : มันฝรั่ง, มะเขือม่วง, มะเขือเทศ, หัวหอม สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565

คาซัคสถาน : ข้าวสาลี, แป้งสาลี สิ้นสุดวันที่ 15 มิถุนายน. 2565

โคโซโว : ข้าวสาลี, ข้าวโพด, แป้งสาลี, น้ำมันพืช, เกลือ, น้ำตาล สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565

ตุรกี : เนื้อวัว, เนื้อแกะ, เนื้อแพะ, เนย, น้ำมันประกอบอาหาร สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565

ยูเครน : ข้าวสาลี, ข้าวโอ๊ต, ข้างฟ่าง, น้ำตาล สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565

รัสเซีย : น้ำตาล, เมล็ดทานตะวัน สิ้นสุดวันที่ 31 สิงหาคม 2565 และข้าวสาลี, แป้งเมสลิน, ข้าวไรย์, ข้าวบาร์เลย์, ข้าวโพด สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2565

เซอร์เบีย : ข้าวสาลี, ข้าวโพด, แป้งสาลี, น้ำมันพืช สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565

ตูนิเซีย : ผัก, ผลไม้ สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565

คูเวต : ผลิตภัณฑ์จากเนื้อไก่, ธัญพืช, น้ำมันพืช สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2565


*เอกสารอ้างอิง “วิกฤตอาหารโลก (Global Food Crisis) เริ่มแล้ว!”  Money Buffalo “ทำไมถึงเกิดวิกฤตอาหารโลก ภัยใหม่ 2022 หายนะของทุกประเทศ” https://www.moneybuffalo.in.th/.../%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0...


 

วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

อย่ากดดันมาก! "ไพศาล" มั่นใจ "ชัชชาติ" จัดการปมรถไฟฟ้าสายสีเขียวยึดตามกฎหมาย อย่ากดดันมาก



วันพุธที่ 25 พฤษภาคม 2565  นายไพศาล พืชมงคลนักกฎหมายอิสระ โพสต์ Facebook ระบุว่า ยิ่งกดดัน-จี้ ชัชชาติให้เร่งจัดการเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว ก็เท่ากับเอาหัวไปให้เขาตี!!!!

1. รถไฟฟ้าสายสีเขียวคาราคาซังเป็ปัญหามานานแล้ว  ไม่แก้ไขหรือแก้ไม่ได้ ก็เพราะมีการทุจริต และไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่กินไม่เข้าคายก็ไม่ออก จึงคาราคาซังมาจนถึงวันนี้ จะไปกดดันชัชชาติเขาเพื่อสิ่งใด เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชัชชาติเขาจะต้องทำเป็นเรื่องแรกๆอยู่แล้ว

2. เมื่อสัมปทานสิ้นสุดลง ทรัพย์สินทั้งหมดเกี่ยวกับรถไฟฟ้าสายนี้ตกเป็นของกรุงเทพฯ ซึ่ง กทม.อาจทำเองหรือให้สัมปทานใหม่ก็ได้ คาดว่าจะมีการให้สัมปทานใหม่ แต่ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะยกให้ใครได้ตามอำเภอใจเหมือนที่คิดจะทำกันมาแต่ก่อน!!! เพราะต้องปฏิบัติตามกฎหมายร่วมทุน ซึ่งเชื่อว่าชัชชาติจะปฏิบัติตามกฎหมาย และจะไม่ยอม ปฏิบัติตามคำสั่งหรือความกดดันของใครเหมือนที่ผ่านมา ดังนั้น จึงหวังได้ว่าชัชชาติจะจัดการเรื่องนี้ไปตามบทกฎหมาย และอาจนำไปสู่การเช็คบิลผู้กระทำความผิดและก่อให้เกิดความเสียหายแก่กรุงเทพมหานครหลายหมื่นล้านบาท!!!!

คาดว่าจะมีตั้งคณะตรวจข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ซึ่งใช้เวลาไม่กี่วัน จากนั้นก็เดินหน้าไปตามอำนาจหน้าที่และกฎหมาย ประชาชนกำลังจับจ้องมองดูเรื่องนี้กันอยู่

ครม.แต่งตั้ง "พระพรหมบัณฑิต" บอร์ดกก.ส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ "หมอประกิต-บุ๋ม ปนัดดา" บอร์ดควบคุมยาสูบ

  


 

 

 

 



วันที่ 24 พฤษภาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ/เห็นชอบในเรื่องแต่งตั้งดังนี้ 

1. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงมหาดไทย)  คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้ง นางนิศากร วิศิษฏ์สรอรรถ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ (นักวิเคราะห์นโยบายและแผนทรงคุณวุฒิ) สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์  ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

2. การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ)  คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้ง นายอโณทัย ไทยวรรณศรี ผู้อำนวยการสำนัก (ผู้อำนวยการระดับสูง) สำนักเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2564 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์

3. แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่  คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารกองทุนจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ จำนวน 3 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2565  1. นายถวัลย์ วรรณกิจมงคล  2. นางพอตา ยิ้มไตรพร  3. นายนาฬิกอติภัค แสงสนิท  ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป

4. การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2550  คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ จำนวน 10 รูป/คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสองปี เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2565 ดังนี้ 1. พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดประยูรวงศาวาส อุปนายกสภามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร)  ประธานกรรมการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งชาติ    2. นายสมัย เจริญช่าง  3. นายสยาม ม่วงศักดิ์  4. นางกัมเลซ มันจันดา 5. นายสัตนามซิงห์ มัตตา 6. นายปรารพ เหล่าวานิช  7. นายสด แดงเอียด  8. นายประเสริฐ เล็กสรรเสริญ 9. นายธาดา เศวตศิลา 10. นางพิมพ์กาญจน์ ชัยจิตร์สกุล ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป

5. แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ จำนวน 9 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปี ดังนี้ 1. นายประกิต วาทีสาธกกิจ ด้านการแพทย์ 2. นางนันทวรรณ วิจิตรวาทการ ด้านการสาธารณสุข  3. นายปกป้อง ศรีสนิท ด้านกฎหมาย  4. นายสรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ ด้านการคุ้มครองสิทธิสตรีหรือสิทธิเด็ก 5. นางสาวปนัดดา วงศ์ผู้ดี ด้านอื่นที่เป็นประโยชน์ในการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ  6. นางสมศรี เผ่าสวัสดิ์ จากองค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์มิใช่เป็นการแสวงหากำไรและดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับด้านการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของประชาชน  7. นายสมพงษ์ จิตระดับ จากองค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์มิใช่เป็นการแสวงหากำไรและดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับด้านการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของประชาชน  8. นายอิศรา ศาสติศาสน์ จากองค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์มิใช่เป็นการแสวงหากำไรและดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับด้านการคุ้มครองสุขภาพอนามัยของประชาชน 9. นางฐาณิษา สุขเกษม จากองค์กรเอกชนที่มีวัตถุประสงค์มิใช่เป็นการแสวงหากำไรและดำเนินกิจกรรมเกี่ยวกับด้านการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป

6. การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพิงคนคร  คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพิงคนคร รวม 7 คน เนื่องจากประธานกรรมการและกรรมการเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระสี่ปีเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2565 1. นายณอคุณ สิทธิพงศ์ ประธานกรรมการ 2. นางสาวบุษราภรณ์ กอบกิจพานิชผล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ  3. นายปกรณ์ คุณสาระ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ  4. พลเอก โกศล ประทุมชาติ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ 5. นายนฤทัต เจริญเศรษฐศิลป์ กรรมการภาคเอกชน  6. พลตำรวจโท ประหยัชว์ บุญศรี กรรมการภาคเอกชน  7. นางศรีมาลา พรรณเชษฐ์ กรรมการภาคเอกชน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป


พระช่วยแก้จน! สร้างบ้านให้ผู้ยากไร้ ตามโครงการวัดหนองเพียรช่วยบ้าน



ที่ จ.สุพรรณบุรี พระครูวิบูลเจติยานุรักษ์ เจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี พระครูพิพัฒน์สุวรรณาภรณ์ รองเจ้าคณะอำเภอศรีประจันต์ เจ้าอาวาสวัดหนองเพียร และคณะสงฆ์อำเภอศรีประจันต์ ร่วมกับนายนพฤทธิ์ ศิริโกศล รองผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ และผู้นำชุมชน ร่วมกันมอบบ้านให้กับนางทองชุบ ผิวขาว อายุ 80 ปี ณ บ้านเลขที่ 8/1 ต.บางงาม อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี ตามโครงการวัดหนองเพียรช่วยบ้าน โดยกองทุนหลวงพ่อขาว หลวงพ่อดำ

โดยพระครูพิพัฒน์สุวรรณาภรณ์ รองเจ้าคณะอำเภอศรีประจันต์ เจ้าอาวาสวัดหนองเพียร ที่ได้ดำเนินการสร้างบ้านหลังนี้ ตามนโยบายขจัดความยากจนและพัฒนา คนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีนายประเสริฐ ผิวขาว บุตรชายนางทองชุบ เจ้าของบ้านเป็นผู้รับมอบบ้าน เนื่องจากนางทองชุบเจ้าของบ้านป่วยนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล ก่อนพิธีมอบบ้าน ได้นิมนต์พระสงฆ์ 9 รูป ประกอบพิธีทำบุญขึ้นบ้านใหม่ สวดเจริญชัยมงคล ถวายภัตตาหารเพลพระสงฆ์ ที่น่าแปลกใจกับผู้ที่มาร่วมงาน ที่เห็นว่าพระครูวิบูลเจติยานุรักษ์ เจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี มานั่งสวดเจริญชัยมงคลรูปที่ 9 ลำดับสุดท้าย ทั้งที่มีตำแหน่งถึงเจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี

แต่เนื่องจากทางเจ้าภาพได้นิมนต์พระสงฆ์มาสวดเจริญชัยมงคลทั้งหมด 9 รูป แต่พอได้ฤกษ์ดีตามเวลาที่กำหนด พระสงฆ์ที่นิมนต์ไว้เดินทางมาเพียง 8 รูป เนื่องจากพระสงฆ์อีก 1 รูป ติดภารกิจเร่งด่วน เดินทางมาไม่ทันพิธีทางสงฆ์ พระสงฆ์จึงไม่ครบ 9 รูป ทำให้พิธีการทางสงฆ์ยังเริ่มไม่ได้และเกรงว่าจะเลยเวลาฤกษ์งามยามดีของวันขึ้นบ้านใหม่ ท่านพระครูวิบูลเจติยานุรักษ์ เจ้าคณะจังหวัดสุพรรณบุรี ที่มาเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ เป็นพระผู้ใหญ่ที่มีเมตตาสูงและไม่ถือยศศักดิ์ ท่านได้มีเมตตากับทางเจ้าภาพ จึงได้นั่งสวดเจริญชัยมงคล ร่วมกับพระสงฆ์เป็นองค์ที่ 9 ลำดับสุดท้าย เพื่อให้พิธีการทางสงฆ์เดินหน้าตามเวลาฤกษ์ดีที่ได้กำหนดเอาไว้ต่อไป

สำหรับครอบครัวนางทองชุบ ผิวขาว อายุ 80 ปีนั้นเป็นครอบครัวที่มีฐานยากจน สภาพบ้านเดิมเป็นบ้านไม้เก่าๆ มุงด้วยสังกะสีที่ผุพังชำรุดทรุดโทรมมาก แทบอาศัยอยู่ไม่ได้ โดยนางทองชุบอาศัยอยู่กับลูกชายอีก 2 คน ลูกมีอาชีพรับจ้างทั่วไปมีรายได้น้อย ส่วนลูกอีก 1 คน ก็พิการไม่สามารถทำงานได้ ที่สำคัญขณะนี้นางทองชุบ ก็ป่วยนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ทางพระครูพิพัฒน์สุวรรณาภรณ์ รองเจ้าคณะอำเภอศรีประจันต์ เจ้าอาวาสวัดหนองเพียร และคณะสงฆ์อำเภอศรีประจันต์ จึงร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง สมทบทุนรวบรวมเงินกันมาสร้างบ้านหลังใหม่ให้ครอบครัวนางทองชุบ ตามโครงการวัดหนองเพียรช่วยบ้าน โดยกองทุนหลวงพ่อขาว หลวงพ่อดำ พระครูพิพัฒน์สุวรรณาภรณ์ รองเจ้าคณะอำเภอศรีประจันต์ เจ้าอาวาสวัดหนองเพียร

ซึ่งที่ผ่านมาพระครูพิพัฒน์สุวรรณาภรณ์ หรือหลวงพ่อวิชัย ใจดี เจ้าอาวาสวัดหนองเพียร ได้ออกช่วยเหลือผู้ที่มีฐานยากจนในชุมชน ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 และมอบถุงยังชีพ ข้าวสารอาหารแห้งให้กับชาวบ้าน ที่ได้รับความเดือดร้อนเป็นประจำทุกเดือน และออกเยี่ยมบรรยายธรรมมะและให้กำลังใจกับชาวบ้านในชุมชนถึงบ้านด้วย รวมถึงผู้ที่ประสบปัญหาด้านที่อยู่อาศัย หลวงพ่อวิชัย ใจดี จะช่วยหางบประมาณมาช่วยซ่อมแซมบ้านให้กับผู้ด้อยโอกาส หรือสร้างบ้านให้ผู้ที่มีฐานยากจนไร้ที่อยู่อาศัยตามความจำเป็นของแต่ละครอบครัว ทำต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2558

ซึ่งส่วนหนึ่งได้นำเงินกองทุนหลวงหลวงพ่อดำ หลวงพ่อขาว วัดหนองเพียร พระพุทธรูปศักดิ์ ที่โด่งดังมีชาวบ้านและนักท่องเที่ยว ที่มาขอพร แก้บน ด้วยวิทยุทรานซิสเตอร์ และงานนี้ทางส่วนราชการหลายส่วนและผู้นำชุมชน ร่วมกันสร้างบ้านชัยมงคล มอบให้กับผู้ยากไร้เป็นหลังที่ 2 แล้ว สำหรับบ้านของนางทองชุบ หลังนี้ เป็นบ้านปูนชั้นเดียว ทาสีชมพูทั้งหลัง ตามสีประจำวันเกิดหลวงพ่อวิชัย ใจดี เจ้าอาวาสวัดหนองเพียร โดยใช้เวลาก่อสร้าง 2 เดือน ด้วยงบประมาณ 345,562 บาท นอกจากนี้ยังได้มอบสิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นในครัวเรือน เครื่องอุปโภคปริโภคและข้าวสาร อาหารแห้ง ให้กับครอบครัวนางทองชุบด้วย งานนี้จึงมีพระผู้ใหญ่และหัวหน้าส่วนราชการ มาร่วมงานแสดงความยินดีกับครอบครัวนางทองชุบ กันเป็นจำนวนมาก


https://www.banmuang.co.th/news/region/281747

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ลาสิกขาแล้ว! "พระกากัน มาลิค" นักเเสดงชาวอินเดีย หลังบวช 100 วันกว่า



วันที่ 20 พฤษภาคม 2565 จากกรณีก่อนหน้านี้ที่เมื่อวันที่ 10 ก.พ.2565 นายกากัน มาลิค นักเเสดงชาวอินเดีย พระเอกหนังพระพุทธเจ้า ที่เคยรับบทบาทการแสดงเป็น เจ้าชายสิทธัตถะ ในภาพยนตร์ เรื่องศรีสิทธัตถะ โคตรมะ ได้เข้าพิธีอุปสมบทที่วัดธาตุทองพระอารามหลวง ได้รับฉายาธรรมว่า อโสโก ภิกขุ หมายถึง ผู้ไร้ซึ่งจากความโศก  ล่าสุดพระกากัน อโสโก (มาลิค) ได้ลาสิกขาเเล้วช่วงเช้าของวันนี้(20พ.ค.) และช่วงเย็นนายกากันได้ฟังสวดพระอภิธรรมศพนางประทุม บูลกุล ซึ่งเป็นมารดาของนายสราวุฒิ  บูลกุล ประธานชมรมศิษย์เก่าสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ที่วัดธาตุทอง



โดยทางเพจ วัดธาตุทอง พระอารามหลวง เปิดเผยว่า ด้วยพระกากัน อโสโก (มาลิค) ได้เข้ารับการอุปสมบทในวัดธาตุทอง พระอารามหลวง ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 โดยพระเดชพระคุณ พระราชวรญาณโสภณ เจ้าอาวาสธาตุทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ เป็นเวลา กว่า 100 วัน ในการครองเพศบรรชิต  บัดนี้ วัดธาตุทอง แจ้งให้ท่านทราบว่า พระกากัน อโสโก (มาลิค) จะเข้าพิธีลาสิกขา ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 นี้ จึงแจ้งศรัทธาสาธุชนทุกท่านเพื่อทราบ 

ก่อนหน้านี้ พระกากัน อโสโก (มาลิค) ได้เลื่อนลาสิกขา  เมื่อวันที่ 20ก.พ.65 โดยได้มีหนังสือแถลงการณ์วัดธาตุทอง พระอารามหลวง เรื่อง การลาสิกขาของพระกากัน อโสโก (มาลิค) ตามที่พระกากัน อโสโก (มาลิค) ได้เข้าขอรับการอุปสมบท ณ วัดธาตุทอง พระอารามหลวง โดยมี พระเดชพระคุณ พระราชวรญาณโสภณ เจ้าอาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์ และแจ้งความประสงค์ ที่จะขอศึกษาหลักธรรมอันเป็นพระโอวาทานุสาสนี แห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า และวิถีแห่งสมณะในอารามแห่งนี้ ระหว่างวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ถึง 24 กุมภาพันธ์ 2565 ความทราบ โดยทั่วกันแล้วนั้น

กาลต่อมา หลังจากที่พระกากัน อโสโก (มาลิค) ได้ศึกษาเรียนรู้หลักธรรมคําสอน ข้อวัตร ปฏิบัติ และศึกษาแนวทางการปฏิบัติธรรมตามวิถีพรต มาเป็นเวลา 90 วัน ท่านได้ตัดสินใจกราบเรียน พระอุปัชฌาย์ เพื่อขอเลื่อนการลาสิกขาและขอพึ่งบารมีแห่งร่มผ้ากาสาวพัสตร์ต่อไปอีกระยะหนึ่ง

อนึ่งการตัดสินใจดังกล่าวเป็นไปเพื่อความต้องการที่จะค้นคว้า ศึกษาหาความรู้ในทางธรรม และแนวทางการปฏิบัติฝึกฝนจิตให้มากขึ้น จึงแจ้งศรัทธาสาธุชนและเครือข่ายบุญของพระกากัน อโสโก (มาลิค) ทราบในเจตนารมณ์ของท่าน และเพื่อให้พระกากัน ได้รับความรู้ความเข้าใจในแก่นของ พระพุทธศาสนามากที่สุด จึงขอความร่วมมือจากศรัทธาสาธุชนได้ปฏิบัติตามแนวทางและมาตรการที่ ทางวัดได้กําหนดอย่างเคร่งครัด

พร้อมกันนี้พระกากัน อโสโก (มาลิค) ยังได้เดินทางไปฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแนวสติปัฏฐานกับพระครูปลัดปัญญาวรวัฒน์,ศ.ดร. (พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส) ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา และผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ(IBSC) มจร ที่วัดใหม่ยายแป้น เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร อีกด้วย



พระครูปลัดปัญญาวรวัฒน์ ได้กล่าวให้พรนายกากัน มาลิคที่วัดธาตุทองว่า 100 วันของการอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา เป็นช่วงเวลาสำคัญที่ทำให้ทิดกากัน มาลิคได้มีโอกาสครั้งสำคัญในชีวิตในการพักผ่อนทางจิต ผ่านการไหว้พระสวดมนต์ และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เชื่อมั่นเหลือเกินว่า ภูมิรู้ และภูมิธรรมที่ได้ในครั้งนี้ จะช่วยทำให้ชีวิตของทิดกากันมีภูมิคุ้มกันทางจิต และใช้ชีวิตด้วยความรู้ ตื่น และเบิกบานบนสายธารแห่งธรรมทั้งในภพภูมินี้ และภูมิอื่นๆ ตราบจนบรรลุมรรค ผล และนิพพานต่อไป 


"ผอ.หลักสูตรสันติศึกษา-IBSC มจร" แนะว่าที่พระธรรมทูตไทยในต่างแดน ยึดปริยัติปฏิบัติเยี่ยม แผ่ธรรมสู่แดนตะวันตกโลกได้ประโยชน์


เมื่อวันที่ 20  พฤษภาคม 2565 ที่อาคารเรียนรวม มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณนาชวิทยาลัย(มจร) อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา พระครูปลัดปัญญาวรวัฒน์,ศ.ดร. (พระมหาหรรษา ธมฺมหาโส) ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา และผู้อำนวยการวิทยาลัยพุทธศาสตร์นานาชาติ(IBSC) มจร  รับนิมนต์จากวิทยาลัยพระธรรมทูต บรรยายพิเศษถวายแด่ว่าที่พระธรรมทูตกว่า 150 รูป เรื่อง "พระธรรมทูตไทยสู่พระธรรมทูตโลก"




พระครูปลัดปัญญาวรวัฒน์ กล่าวว่า ตัวแปรสำคัญที่จะยกระดับให้พระธรรมทูตไทยก้าวสู่การทำงานในระดับสากลได้นั้น จะต้องมีฐานของปริยัติที่ลึกซึ้ง และสามารถนำปริยัติลงสู่การปฏิบัติจนเข้าใจแจ่มแจ้ง อันจะทำให้นำชาวตะวันตกเข้าถึงหัวใจคำสอนผ่านการฝึกสติ จนเกิดสมาธิ และมีปัญญารู้แจ้งในที่สุด

"การเข้าใจปริยัติ และปฏิบัติ ย่อมเกิดผลดีต่อพระธรรมทูต แต่ถ้ามุ่งจะนำสิ่งแก่นธรรมเผยแผ่แก่ชาวตะวันตกได้อย่างมีประสิทธิผล จะต้องพัฒนาตัวเองให้เข้าใจประวัติศาสตร์ ภาษา วัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตของชาวตะวันตก อย่างลึกซึ้ง และรอบด้าน  จะทำให้การเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่สังคมตะวันตกมีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น และโลกจักได้ประโยชน์จากการทำงานของพระธรรมทูตไทย" พระครูปลัดปัญญาวรวัฒน์ กล่าว


วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

สถาบันพระปกเกล้าคลอดแผนเครือข่าย สร้างสันติวัฒนธรรมระดับสถาบันอุดมศึกษา


เมื่อวันที่ 20  พฤษภาคม 2565 พระปราโมทย์  วาทโกวิโท,ดร. อาจารย์หลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) เลขานุการศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน มจร เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 18 - 19 พฤษภาคม 2565 ได้ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้การสร้างสันติวัฒนธรรมในสถานศึกษาซึ่งเป็นระบบการศึกษาระดับพื้นฐานถึงอุดมศึกษา ซึ่งขับเคลื่อนโดย สถาบันพระปกเกล้าร่วมสถานศึกษาตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา  อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา โดยในช่วงท้ายมีการวางแผนการทำงานแต่ละระดับ ซึ่งในระดับมหาวิทยาลัยมีรองอธิการบดี รวมถึงบุคลากรที่จะนำไปขับเคลื่อนอย่างจริงจัง ประกอบด้วย การจัดตั้งชมรมสันติวัฒนธรรม จัดทำคู่มือป้องกันความขัดแย้ง ตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยสำหรับบุคลากรและนักศึกษา  ตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน ร่างแต่งตั้งคำสั่งคณะกรรมการขับเคลื่อนบริหารความขัดแย้ง วางโครงสร้างจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ย 

ซึ่งมีการสร้างเครือข่ายการสร้างสันติวัฒนธรรมในระดับสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งในมหาวิทยาลัยที่ขับเคลื่อนสันติวัฒนธรรมมี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้มีแผนดำเนินการในมิติของสันติวัฒนธรรม ภายใต้หลักสูตรสันติศึกษา มจร และศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน มจร  มีการวางแผนขับเคลื่อนแผนพัฒนาศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชนอย่างเป็นระบบ ซึ่งจะมีการพัฒนาอาจารย์และนิสิตให้มีความเข้าใจในกระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทตามพระราชบัญญัติการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ. 2562 และรูปแบบการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทโดยพุทธสันติวิธี เพื่อเป็นการป้องกันความขัดแย้ง แก้ไขความขัดแย้ง เยียวยาความขัดแย้ง และรักษาสันติภาพให้เกิดความสงบต่อไป 

มจร ได้รับความเมตตาจากผู้บริหารระดับสูงอย่างดียิ่ง โดยมีพระธรรมวัชรบัณฑิต ศาสตราจารย์ ดร. อธิการบดี มจร ในฐานะที่ปรึกษาศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน มจร และขับเคลื่อนโดย พระครูปลัดปัญญาวรวัฒน์ ศ.ดร. (หรรษา ธมฺมหาโส) ประธานคณะทำงานขับเคลื่อนศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทภาคประชาชน มจร จึงทำให้ มจร มีการขับเคลื่อนสันติวัฒนธรรมในเชิงรุกโดยเชื่อมกับเครือข่ายภายนอก คือ สถาบันพระปกเกล้า สำนักงานศาลยุติธรรม กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และสำนักงานกิจการยุติธรรม  กระทรวงยุติธรรม 


 

"กมธ.ศาสนาฯสภาฯ – พศ." ขันนอต "ตรวจพระ" MOU "มท.-สตช.-สภาทนายความ"ดูแลพระสงฆ์



เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2565  ที่อาคารรัฐสภา คณะอนุกรรมาธิการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งมี นายอินทพร จั่นเอี่ยม รองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มาร่วมประชุมเพื่อปรึกษาหารือแนวทางการป้องกันและคุ้มครองพระพุทธศาสนา

นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล รองประธานคณะกรรมาธิการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยว่า  ที่ประชุมคณะกรรมาธิการศาสนา กับ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เห็นตรงกันว่า พวกเราในฐานะชาวพุทธ ต้องร่วมมือกันปกป้องและคุ้มครองพระภิกษุสงฆ์ ให้ท่านปฎิบัติศาสนกิจได้อย่างเต็มที่ ประเด็นที่หารือมีหลายประเด็น ประเด็นหนึ่งที่เราหยิบยกขึ้นมาเพราะเห็นว่าสำคัญคือ ระเบียบพระวินยาธิการหรือตำรวจพระ พ.ศ.2562  ที่ประกาศใช้ไปแล้ว ทำไมคณะสงฆ์ไม่ใช้เครื่องมือที่มีอยู่ตรงนี้ไปดูแลคณะสงฆ์ด้วยกันเอง 

เห็นจุดสังเกตหลายประการที่ประชุมเห็นว่ามีหลายเรื่องจำเป็นต้องแก้ระเบียบตรงนี้ เช่น เรื่องงบประมาณที่ทางสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติบอกว่า สนับสนุนปีละแค่ 2,000 บาทต่อรูป ซึ่งเรามองว่าแบบนี้จะทำงานได้อย่าง อย่าว่าแต่ค่าน้ำมันเลย ค่าโทรศัพท์ก็ไม่พอแล้ว คิดดูพระวินยาธิการมีตำบลละ 2 รูปทั่วประเทศ แต่งบประมาณไม่มีอะไรให้ท่านเลย เครื่องมือเครื่องไม้อะไรก็ไม่มี รวมทั้งการทำงานแบบบูรณาการกับหน่วยงานอื่น ๆ ก็ไม่มี

"ที่ประชุมสรุปตรงกันว่าต่อไปนี้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะเปิดสายด่วนรับเรื่องร้องเรียนทั้งพฤติกรรมพระที่ไม่ดี ทั้งสิ่งที่มาทำลายคณะสงฆ์ สิ่งแปลกปลอมที่จะมากระทบต่อพุทธศาสนา ตลอด  24 ชม.ตรงนี้สำนักงานพุทธท่านรับปากว่าทำได้จะดำเนินการเร็ว ๆ นี้ เมื่อรับเรื่องแล้วจะส่งต่อเหมือนสายด่วน 191 ตอนนี้กำลังหาหมายเลขกันอยู่  และเรื่องระเบียบพระวินยาธิการก็กำลังดูว่าจะแก้ไขตรงไหนได้บ้าง เรื่องนี้คงจะต้องเข้าไปพบสมเด็จพระพุฒาจารย์ ในฐานะที่ มส.มอบให้ทำดูแลการปกครอง และพระพรหมโมลี วัดปากน้ำ เรื่อง พระวินยาธิการ.." นายเพชรวรรต กล่าวและว่า 

เรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน หากดูแล้ว การแก้ระเบียบพระวินยาธิการมันช้า จำเป็นต้องขอความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ เช่น กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็อาจจะฝากให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติหารือกับหน่วยงานเหล่านี้ เพื่อขอความร่วมมือเซ็นต์ MOU ร่วมกันเพื่อให้มันเร็วขึ้น ในการช่วยกันดูแลพระสงฆ์ ดูแลพระพุทธศาสนา  และคิดว่าไม่เฉพาะแค่ 2-3 หน่วยงานนี้เท่านั้นแม้กระทั้ง สภาทนายความ ซึ่งท่านมีบุคลากรอยู่ทุกจังหวัดก็อาจจะดึงมาร่วมด้วยช่วยกัน เรื่องนี้ กมธ.ศาสนาจะปรึกษากับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต่อไป.. 

วันพุธที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ได้ฤกษ์! "พระกากัน" นักแสดงบอลลีวูด ลาสิกขา 20 พ.ค.นี้


เมื่อวันที่ 18 พ.ค. เพจเฟซบุ๊ก วัดธาตุทอง พระอารามหลวง ประกาศว่า ด้วยพระกากัน อโสโก (มาลิค) ได้เข้ารับการอุปสมบทในวัดธาตุทอง พระอารามหลวง ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. 2565 โดยพระราชวรญาณโสภณ เจ้าอาวาสวัดธาตุทอง เป็นพระอุปัชฌาย์ เป็นเวลา กว่า 100 วัน ในการครองเพศบรรชิต บัดนี้วัดธาตุทอง จะแจ้งให้ท่านทราบว่า พระกากัน อโสโก (มาลิค) จะเข้าพิธีลาสิกขา ในวันที่ 20 พ.ค. 2565 นี้ จึงแจ้งศรัทธาสาธุชนทุกท่านเพื่อทราบ

ทั้งนี้ระหว่างที่บวชอยู่นั้น พระกากันได้ร่วมกับมูลนิธิไตรรัตนภูมิ จัดโครงการ “พลิกฟื้นคืนพุทธสุวรรณภูมิสู่พุทธภูมิ” นำพระพุทธรูปจำนวน 84,000 องค์ เพื่อนำไปมอบให้พุทธศาสนิกชนในประเทศอินเดีย บูชาสักการะ ระลึกถึง คุณพระรัตนตรัย น้อมรำลึกถึงพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย

พร้อมกันนี้วันที่ 13 พฤษภาคม 2565  ในงานเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชา วันสำคัญสากลของโลก ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพมหานคร ภาคบ่าย เป็นการปาฐกถาจากผู้แทนชาวพุทธทั่วโลกทั้งภายในห้องประชุมและผ่านทางออนไลน์   ในหัวข้อ "กรุณาธรรมในยามวิกฤต: จากหลักธรรมลงสู่การปฏิบัติเพื่อเยียวยาชาวโลก"   ในจำนวนนั้นมีพระกากัน อโสโก  นักแสดงชาวอินเดียที่รับบทเป็นพระพุทธเจ้า ได้เดินทางมาบวชที่ประเทศไทยและเดินทางไปสักกการะสังเวชนียสถานที่ประเทศอินเดียแล้วเดินทางกลับมาร่วมงานในครั้งนี้  

พระกากัน  ได้กล่าวว่า มีความเชื่อว่าธรรมะคือความจริงของจักรวาลอยู่ในใจของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว อยู่ที่ใครจะเลือกให้มีหรือไม่มี ทางเดียวที่จะพัฒนาให้สัจจธรรมสว่างในใจคน คือ การฝึกสติ สมาธิ ผ่านการฝึกปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ตามที่ตนเคยมีประสบการณ์ได้เรียนรู้จากพระครูปลัดปัญญวรวัฒน์,ศ.ดร. ผู้อำนวยการหลักสูตรสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) และพระโพธินันทมุนี ที่ได้พาเข้าป่าเพื่อปฏิบัติธรรมพร้อมแนะนำ จึงมีแรงปรารถนาให้พระสงฆ์ไทยร่วมถ่ายทอดการฝึกวิปัสสนากรรมฐานแบบเข้าใจง่ายให้กับคนอินเดีย ไม่เฉพาะชาวพุทธเท่านั้น แต่กับศาสนิกชนทุกศาสนาที่สนใจ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างประเทศไทยและอินเดีย

พระกากัน กล่าวด้วยว่า เมื่อ 3  ปีก่อน ที่งานวิสาขบูชานานาชาตินี้ตนได้กล่าวถึงเรื่องการบรรจุวิชากรุณาไว้ให้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานและเยาวชนไทย ซึ่งในวันนี้หัวข้อหลักของงานวิสาขบูชานานาชาติในปีนี้คือหลักกรุณาธรรม จึงอยากขอเน้นย้ำเรื่องการปลูกฝังกรุณาธรรมให้กับเยาวชนผ่านระบบการศึกษาเหมือนที่เคยกล่าวไว้ 

สำหรับ พระกากัน อโสโก หรือ นายกากัน มาลิค (Gagan Malik) เป็นนักแสดงชื่อดังของบอลลีวูด ผู้รับบท “เจ้าชายสิทธัตถะ” ในเรื่อง Sri Siddhartha Gautama และมักได้รับบทบาทแสดงเป็นมหาเทพ พระศิวะ พระวิษณุนารายณ์ พระราม พระกฤษณะ ทั้งในภาพยนตร์และในละครโทรทัศน์หลายเรื่อง อีกทั้งเคยได้รับรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยม ในเทศกาลภาพยนตร์ World Bhuddhist Film ที่จัดโดย องค์การสหประชาชาติ จากบทบาท “เจ้าชายสิทธัตถะ” ในเรื่อง Sri Siddhartha Gautama ซึ่งจากการที่ได้แสดงนำในภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้นายกากัน เริ่มศึกษาหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ฝึกปฏิบัติเจริญสมาธิภาวนา เรียนรู้วัตรปฏิบัติ จนเกิดความเลื่อมใสศรัทธาต่อพระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้เข้าบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาที่ประเทศไทย เมื่อวันที่ 10 ก.พ.2565 ที่วัดธาตุทอง พระอารามหลวง


"ปลัดมท."จี้ผู้ว่าฯเล่น"Line TikTok" สื่อสารงานแก้จน-แก้หนี้นอกระบบ



เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ที่ร.ร.เอส.ดี.อเวนิว เขตบางพลัด กรุงเทพฯ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย (มท.) เป็นประธานเปิดการประชุมโครงการขับเคลื่อนแผนงานบูรณาการความร่วมมือภาครัฐและเอกชนเพื่อเสริมศักยภาพการพัฒนาเศรษฐกิจภาค/กลุ่มจังหวัดและจังหวัด ประจำปี 2565 ระดับผู้ปฏิบัติงาน และปาฐกถาพิเศษ “กลไก กรอ. กับการพลิกฟื้นเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างยั่งยืน” โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร นางนิศากร วิศิษฎ์สรอรรถ รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ นายทรงกลด สว่างวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ช่วยราชการสำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย นายกฤษณะ พินิจ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาและส่งเสริมการบริหารราชการจังหวัด ผู้อำนวยการกลุ่มงานบริหารยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์และข้อมูลเพื่อการพัฒนาจังหวัด ผู้แทนหอการค้าไทย สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ร่วมรับฟัง

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า กลไกคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ หรือ “กรอ.” เป็นกลไกที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในระดับพื้นที่ ซึ่งจังหวัดในฐานะภาคราชการต้องอาศัยพลังความร่วมมือจากภาคีเครือข่ายต่างๆ ทั้ง 7 ภาคีเครือข่าย อันประกอบด้วย “ภาคราชการ” อันหมายความรวมทั้งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงต่างๆ ภาคธุรกิจเอกชน ทั้งหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สมาคมธนาคารไทย สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว บริษัท ห้าง ร้าน ฯลฯ “ภาควิชาการ” ทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย วิทยาลัย โรงเรียนมัธยมศึกษา โรงเรียนประถมศึกษา ปราชญ์ชาวบ้าน “ภาคผู้นำศาสนา” ทั้งพระสงฆ์ โต๊ะอิหม่าม บาทหลวง และผู้นำศาสนาต่างๆ “ภาคประชาสังคม” คือ NGO ในพื้นที่ “ภาคประชาชน” คือ พี่น้องประชาชนในพื้นที่ และ “ภาคสื่อมวลชน” ที่ทำหน้าที่ในการสื่อสารข้อมูล นำเสนอข่าวสารที่ได้รับจากภาคราชการและทุกภาคส่วน 

ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนงานแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจผ่านกลไก กรอ. เพื่อประสานพลังผู้นำทางสังคมทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจับมือร่วมกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งเศรษฐกิจมหภาค และเศรษฐกิจฐานรากของจังหวัด ด้วยการจัดการประชุมและเข้าร่วมการประชุม กรอ. อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 2 เดือน/ครั้ง และต้องให้ความสำคัญกับ “การสื่อสารกับสังคม” ที่เป็นหัวใจสำคัญในการทำงาน ทั้งงานสังคม งานประชุม งานบุญ งานวัด ตามประเพณี ที่จะทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีโอกาสพบปะผู้คนและได้พูดคุย รวมทั้งได้รับฟังเสียงสะท้อนปัญหาจากประชาชนและองค์กรต่างๆ โดยการอยู่ร่วมกันในสังคม ต้องสื่อสารซึ่งกันและกัน เพื่อที่จะสามารถอธิบายคำตอบได้ ทั้งนี้ สำนักงานจังหวัด โดยกลุ่มงานยุทธศาสตร์และข้อมูลเพื่อการพัฒนาจังหวัด ในฐานะฝ่ายเสนาธิการของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดต้องลงพื้นที่เพื่อติดตามสอดส่องดูแลพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ และรายงานผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อได้รับรู้ รับทราบปัญหา หาแนวทางแก้ไข เพื่อสื่อสารให้พี่น้องประชาชนได้รับรู้ รับทราบ เข้าใจ และร่วมมือกับจังหวัดและภาคีเครือข่ายในการขับเคลื่อนการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจและด้านต่างๆ

“การสื่อสารกับสังคมเป็นสิ่งที่ทุกภาคส่วน ไม่เฉพาะภาคราชการ จะต้องทำซ้ำๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งการดำเนินการผ่านกลไกภาคีเครือข่ายที่ 7 คือภาคีเครือข่ายสื่อมวลชนที่ทำหน้าที่ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร โดยเจ้าของเนื้อหา (Content) ต้องจัดทำข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ที่เข้าใจง่าย และมีความถูกต้อง ครบถ้วน ชัดเจน ส่งให้กับสื่อมวลชน เพื่อสามารถสื่อสารข้อมูลไปยังพี่น้องประชาชนผู้รับสารได้อย่างตรงไปตรงมา น่าสนใจ นอกจากนี้ การทำหน้าที่ในฐานะสื่อมวลชน ไม่จำเพาะว่าต้องเป็นผู้ที่มีวิชาชีพสื่อมวลชนเท่านั้น ตัวของพวกเราทุกคนเองก็สามารถเป็นสื่อมวลชนได้ ไม่ใช่เป็นเพียงคนส่งข่าว ด้วยการใช้เครื่องไม้เครื่องมือที่มีอยู่กับตัวเอง เช่น โทรศัพท์มือถือ ที่สามารถบันทึกภาพ เสียง วิดีโอ และตัดต่อเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย ทั้ง Facebook Twitter Instagram TikTok Line ส่วนตัว และของหน่วยงาน รวมไปถึงเครื่องมือพื้นฐานในการสื่อสารในพื้นที่ เช่น หอกระจายข่าวหมู่บ้าน/ชุมชน และเสียงตามสายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อันจะเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาพื้นที่ในทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจฐานรากซึ่งเป็นรากฐานในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชน” นายสุทธิพงษ์ กล่าวและว่า 

ประการสำคัญถัดมาซึ่งเป็ยนโยบายสำคัญที่รัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยกำลังขับเคลื่อนและได้รับความสนใจจากสังคมอยู่ในขณะนี้ นั่นคือ การขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ผ่านกลไก ศจพ. โดยเน้นย้ำนิยามคำว่า “ความยากจน” หมายถึง ความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนทุกประเภทที่พี่น้องประชาชนกำลังประสบอยู่และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตนเอง เช่น มีลูกหลานติดยาเสพติด ที่หน่วยงานทั้งสาธารณสุข ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ก็ต้องไปทำให้เขาได้เข้าสู่ระบบการรักษา หรือแม้แต่เรื่อง “หนี้นอกระบบ” ที่พ่อค้าแม่ค้าถูกขู่เข็ญ เอาเปรียบ ทำร้ายร่างกาย เป็นต้น ซึ่งพวกเราชาวมหาดไทยทุกคนต้องลงไปบูรณาการทุกหน่วยงานค้นหา ช่วยเหลือ โดยมีนายอำเภอทั้ง 878 อำเภอ เป็นแม่ทัพที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาระดับพื้นที่ เพื่อ Change for Good ให้ยิ่งใหญ่ กว้างขวาง และทำได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ภายในวันที่ 30 ก.ย. 2565 นอกจากนี้ สำนักงานจังหวัด ในฐานะเสนาธิการของผู้ว่าราชการจังหวัดต้องให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านธุรกิจเอกชในพื้นที่ ทั้ง กรอ. บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคมจังหวัด ผู้ประกอบการ OTOP กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี กองทุนการออม ห้าง ร้านต่าง ๆ ในฐานะที่กระทรวงมหาดไทยเป็นกระทรวงหลักที่จะดูแลพื้นที่ในฐานะข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นองค์กรที่ได้รับความเชื่อมั่นว่า “เราเป็นที่พึ่งของสังคมได้” ด้วยความฮึกเหิม ตั้งมั่น อดทน ในการที่จะทำให้เกิดสิ่งที่ดีกับพี่น้องประชาชนโดยกลไก กรอ. ซึ่งสังคม เศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนจะดีได้ “อยู่ในมือพวกเราข้าราชการและภาคเอกชนที่มีความมุ่งมั่นในการทำสิ่งที่ดีให้กับองค์กรและประเทศชาติของเรา”

“ที่ผ่านมาความสำเร็จของงานตามภารกิจของกระทรวงมหาดไทยตลอดระยะเวลา 130 ปี ที่กำลังย่างเข้าสู่ปีที่ 131 กว่าร้อยละ 80 อยู่ที่ “มดงาน” ที่เป็นผู้บริหารระดับกลางและผู้ปฏิบัติ มิใช่อยู่ที่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กร คือ ผู้ว่าราชการจังหวัด หรือผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น การสัมมนาในครั้งนี้ จะทำให้พวกเราทุกคนมีไฟในการกลับไปเผาไหม้เชื้อเพลิงที่จังหวัด นั่นคือ “เพื่อนร่วมงาน” ในการประสานความสัมพันธ์ผสานความร่วมมือทั้ง 7 ภาคีเครือข่ายเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการ Change for Good สร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้กับพื้นที่หมู่บ้าน/ชุมชน อำเภอ จังหวัด และประเทศไทย พร้อมเน้นย้ำ ต้องทำด้วยใจ ให้ความสำคัญกับ การบูรณาการงานและร่วมมือกับ กรอ. และภาคีเครือข่าย พัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและเศรษฐกิจจังหวัดให้เกิดความยั่งยืน” นายสุทธิพงษ์ กล่าว 


โครงร่างงานวิจัยเรื่อง: การวิเคราะห์หลักธรรม (อริยสัจ 4 และปฏิจจสมุปบาท) เพื่อสังเคราะห์เข้ากับหลักวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และฟิสิกส์: ผลงานของบุคคลที่มีผลงานทางวิชาการ

  โครงร่างวิจัยเรื่อง : การวิเคราะห์หลักธรรม (อริยสัจ 4 และปฏิจจสมุปบาท) เพื่อสังเคราะห์เข้ากับหลักวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และฟิสิกส์: ผลงานข...