เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม 2565 จากกรณีที่นายสิทธา มูลหงษ์ ผู้ตรวจราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในฐานะโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แถลงข่าวการประชุมมหาเถรสมาคม ณ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 โดยมีวาระการประชุมมหาเถรสมาคม อาทิ – การเสนอแต่งตั้งพระสังฆาธิการ – การเสนอแต่งตั้งประธานกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญศึกษา – การเสนอแต่งตั้งผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง
และมีประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในหมู่สงฆ์อย่างกว้างขวาง คือ ที่ประชุมมหาเถรสมาคมมีมติห้าม พระภิกษุไปเกี่ยวข้องกับฝ่ายการเมือง ซึ่งมีคำแถลงของโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีรายเอียด ดังนี้ เรื่อง พระภิกษุประพฤติปฎิบัติที่เกี่ยวข้องกับการเมือง
1.กรณีพระภิกษุไปเป็นกรรมาธิการ,อนุกรรมาธิการ,ที่ปรึกษากรรมาธิการ ซึ่งเป็นภาระหน้าที่ของบ้านเมือง ซึ่งดำเนินการโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา มอบให้ประธานฝ่ายปกครองที่ มหาเถรสมาคมแต่งตั้งไปพิจารณาเพื่อกำหนดแนวทาง วิธีการหรือวิธีการที่ชัดเจนตำหนิโทษหรือป้องปรามเป็นลายลักษณ์อักษร
2.กรณีที่หน่อยงานราชการที่ขอให้กรรมการมหาเถรสมาคมหรือพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเป็นที่ปรึกษาหรือกรรมการผู้ทรงวุฒิให้เสนอผ่านมหาเถรสมาคมเป็นผู้พิจารณา
3.กรณีรัฐสภาขอให้มหาเถรสมาคมเป็นกรรมาธิการ, อนุกรรมาธิการหรือที่ปรึกษาในคณะกรรมาธิการมอบให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นผู้แทนมหาเถรสมาคมและเมื่อดำเนินการในนามมหาเถรสมาคมเรียบร้อยแล้ว ให้รายงานมหาเถรสมาคมทราบ
4.กรณีรัฐสภาขอพระภิกษุรายรูปติดต่อพระภิกษุโดยตรง ให้ปฎิบัติภารกิจฝ่ายการเมือง ให้พระภิกษุรูปนั่นแจ้งผู้บังคับบัญชาผู้ใกล้ชิดทราบและให้ผู้บังคับบัญชารายงานตามลำดับชั้น จนถึงมหาเถรสมาคมเป็นผู้พิจารณา
5 เรื่องนี้มอบให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แจ้งมติมหาเถรสมาคมต่อรัฐสภาทราบ เพื่อเป็นแนวทางปฎิบัติต่อไป
ซึ่งปัจจุบันมีพระภิกษุไปนั่งเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการอยู่อย่างน้อย 2 รูป คือ 1.พระเมธีธรรมาจารย์ หรือ “เจ้าคุณประสาร” และ 2. พระสุธีวีรบัณฑิต หรือรู้จักกันในนาม “พระมหาโชว์” เป็นที่ปรึกษาคณะอนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาด้านพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ ในคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎรนั้น
วันนี้(12พ.ค.) พระเมธีธรรมาจารย์ (ประสาร) เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย พระครูปลัดสุวัฒนสัจจคุณ (ธีรวิทย์) รองเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง ขอลาออกจากอนุกรรมาธิการและที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการกิจการพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ในกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ความว่า
"ตามที่อาตมาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอนุกรรมาธิการและที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการกิจการพระพุทธ ศาสนาและศาสนาอื่น ในกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่วันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ นั้น
ในเบื้องต้น อาตมาได้รับการทาบทามไปทำหน้าที่ในฐานะเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยพระครูปลัดสุวัฒนสัจจคุณ (ธีรวิทย์) รองเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ให้ไปปฎิบัติหน้าที่ดังกล่าวด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นกรรมาธิการการศาสนาฯและอนุกรรมาธิการกิจการพระพุทธศาสนาฯ ผู้ที่ทาบทามได้แจ้งว่าเมื่อเป็นเรื่องของพระพุทธศาสนาโดยตรง จึงอยากจะให้มีพระสงฆ์ทั้งสองนิกาย ที่พอจะรู้เรื่องงานในกิจการของคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนา มาร่วมทำหน้าที่ด้วย น่าจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมของคณะสงฆ์ และพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในอนุกรรมาธิการกิจการพระพุทธศาสนาฯนั้น ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ปรึกษาหรือแม้แต่ข้าราชการรัฐสภาในกรรมาธิการนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นชาวพุทธ ดังนั้นงานที่จะมาช่วยกันขับเคลื่อนจึงเป็นงานด้านการพิทักษ์ ปกป้อง คุ้มครองและประสานงานด้านคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนา มิใช่งานในด้านการเมืองโดยตรง
เบื้องต้น การตอบรับเข้าร่วมงานในฐานะพระสงฆ์ที่อยู่ภายใต้การปกครองของมหาเถรสมาคม จึงจำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงพระธรรมวินัย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งมหาเถรสมาคม กฎหมายบ้านเมือง วัฒนธรรมประเพณีและความเหมาะสมอื่นๆเป็นองค์ประกอบด้วย
เมื่อคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว กอรปกับในอดีตที่ผ่านมาก็เคยมีพระมหาเถระที่ไปทำหน้าที่ในตรงนั้นมาแล้วด้วย ดังนั้นอาตมาทั้งสองรูปจึงตกลงที่จะไปทำหน้าที่ดังที่กล่าว
ตลอดระยะเวลา ๒ ปีแรกของการทำหน้าที่ (พ.ศ. ๒๕๖๒ - ๒๕๖๓) อาตมาทั้งสองได้สำนึกตลอดเวลาว่าเรามาทำหน้าที่เพื่อคณะสงฆ์ พระพุทธศาสนาและส่วนรวม ท่านทั้งหลายสามารถไปขอดูรายงานการประชุมในแต่ละครั้งได้ เพราะทุกครั้งที่มีการประชุมต้องเป็นการประชุมแบบเปิดเผยและสามารถเผยแพร่หรือให้ข้อมูลกับคนที่มาร้องขอได้ อาตมาทั้งสองจึงไม่เคยสนทนาแลกเปลี่ยนหรือประชุมหรือหารือกันทางการเมือง และตลอดเวลาที่ไปปรากฎตัวที่รัฐสภานั้นก็ไปด้วยสำนึกของสมณภาวะตลอดเวลา เห็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็จะไม่อยู่ให้เห็นในระดับสายตา คนมากก็หลีกเลี่ยง ขึ้นลิฟท์ก็หลบๆให้คนเบาบางก่อน รวมทั้งการหลบกล้องของสื่อมวลชนรัฐสภาด้วยนี่คือการทำหน้าที่ในสองปีแรก
การทำหน้าที่ในรอบปีล่าสุด (พ.ศ. ๒๕๖๔ - ๒๕๖๕) อาตมาทั้งสองเห็นว่าการเมืองเริ่มจะเข้าสู่ปลายเทอม สมาชิกรัฐสภาอาจจะมีการปรึกษาหารือกันในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมืองอยู่บ้างหรือไม่อย่างไร ประกอบกับข่าวคราวต่างๆของพระสงฆ์ก็มีปรากฎมากขึ้นตามสื่อต่างๆ ดังนั้นเพื่อให้ทุกฝ่ายสบายใจ ไม่ต้องกังวลใดๆ ในรอบหนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมาอาตมาทั้งสองจึงไม่ได้เข้าร่วมประชุมอนุกรรมาธิการฯแต่อย่างใด
บัดนี้ เมื่อมหาเถรสมาคมซึ่งเป็นองค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ได้ออกมติ เรื่องขั้นตอนของการเข้าไปทำหน้าที่ของพระภิกษุในรัฐสภา อาตมาทั้งสองแม้จะได้รับแต่งตั้งมาก่อนมติดังกล่าว แต่ด้วยเพื่อให้การปกครองคณะสงฆ์ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย ดีงามและเหมาะสม อาตมาทั้งสอง ขอรับมติมหาเถรสมาคมด้วยความเคารพและขอลาออกจากการทำหน้าที่ดังกล่าวโดยจะได้กำหนดวัน เวลา ในการไปยื่นหนังสือลาออกต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น