ดร.มหานิยม ที่ปรึกษาประจำรองนายกรัฐมนตรี(นายภูมิธรรม เวชยชัย) ร่วมพิธีเทศน์สอนนาคและพิธีขลิบผม เพื่อบวชที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ พุทธคยา ของนิสิต ป.โท และ ป.เอก สาขาวิชาพุทธจิตวิทยา "มจร"
เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรุ่งนี้วันที่ 12 ธันวาคม 2566 จะมีนิสิตระดับบัณฑิตศึกษา สาขาวิชาพุทธจิตวิทยา ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย(มจร) ซึ่งจะเดินทางไปบรรพชาอุปสมบทใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ และปฏิบัติธรรมตามรอยบาทพระศาสดา เป็นเวลา 10 วันระหว่าง 12-21 ธ.ค. 2566 เมื่ออาทิตย์ที่ 3 ธ.ค.2566 เวลา 13.30 น. ณ อาคารเรียนรวม โซน A (ห้องอริยมรรค) A 301 - A 302 มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ตำบลลำไทร อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีพระธรรมวัชรบัณฑิต,ศ.ดร. อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เมตตาเป็นประธานพิธีขลิบผมนาค เทศน์สอนนาค มอบผ้าไตรและบาตรแก่นาค
ในการนี้ ดร.นิยม เวชกามา อดีต สส.สกลนคร เขต 2 พรรคเพื่อไทย ที่ปรึกษาประจำ รองนายกรัฐมนตรี(นายภูมิธรรม เวชยชัย) ในฐานะประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลสำนักพระพุทธศานาและในฐานะศิษย์เก่าปริญญาเอก สาขาวิชาพุทธจิตวิทยา ได้เข้าเป็นประธานฝ่ายฆารวาส เพื่อประกอบพิธีขลิบผมนาคและเนกขัมมจาริณี(บวชชี ปลงผม) ซึ่งในการการบวชครั้งนี้ ได้มีดร.ปัญนิษา จำรัสธนเดช เลขานุการของดร.นิยม เวชกามา ร่วมบวชชีปลงผมกับคณะนี้ โดยมีรศ.ดร.สิริวัฒน์ ศรีเครืองดง ผู้อำนวยการหลักสูตรสาขาวิชาพุทธจิตวิทยา ผศ.ดร. เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ รองคณบดีฝ่ายบริหาร คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้ร่วมเดินทางไปกับนิสิต ป.เอก และ ป.โท สาขาวิชาพุทธจิตวิทยา มจร.จำนวน 45 คนด้วย
พระธรรมวัชรบัณฑิตแสดงพระธรรมเทศนาเรื่อง "อานิสงส์ของการบวชและตามรอยบาทพระศาสดา" “ลำนำคาถา” ว่าด้วยอานิสงฆ์ของการบรรพชาเพื่อประคองศรัทธา ปสาทะประดับปัญญาบารมีของทุกท่าน ในวันนี้ทางผู้อำนวยการหลักสูตรพุทธศาสตรมหาบัณฑิติและดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชาพุทธจิตวิทยา ได้ทำพิธีเทศน์สอนนาคก่อนที่จะไปไหว้พระสังเวชนียสถาน ประเทศอินเดีย เรื่องของการไปไหว้พระที่อินเดียเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ ที่คนไทยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บางท่านไปทุกปี สมัยก่อนโน้นที่อาตมาภาพไปศึกษาอยุ่ที่นั้น ปี พ.ศ.2535 -2537การเดินทางหรือการคมนาคมเรื่องความสะดวกต่างๆเป็นไปด้วยความยากลำบาก ถึงปัจจุบันนี้ก็ยังไม่แตกต่างกันเท่าใด มีการเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ซึ่งถนนดีขึ้นบ้าง แต่ถึงอย่างไรความรู้สึกนั้นสำคัญมั่นใจ ดีใจ มีศรัทธา ชื่นชมตัวเองจะเกิดขึ้นตอนที่ไปก้มลงกราบต้นพระศรีมหาโพธิ ตรงนั้นพระหลวงพ่อยอด( พระเทพโพธิวิเทศ)ซึ่งมรณะภาพไปแล้ว ได้เคยเล่าให้ฟังว่า ตรงนี้ตรงต้นพระศรีมหาโพธิ มันเป็นสะดือโลกคือศูนย์กลางจักวาล เป็นที่เกิดของคุณงามความดี และเป็นที่หายไปของคุณงามความดี และท่านยังเล่าอีกว่า เวลาพระพุทธศาสนาจะเสื่อมศูนย์หมดยุคก่อนที่จะถึงพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป บรรดาพระธาตุ พระบรมสารีริกธาตุของพระสาวกของพระอรหันต์ทั้งหลายของพระพุทธเจ้าก็จะมารวมตัวกันที่นี้ และจะแสดงปาฏิหาริย์เป็นครั้งสุดท้านและก็หายไปตรงสะดือโลกเนี้ยแหล่ะ ดังนั้นเป็นเรื่องแสดงว่าพระพุทธศาสนาจะสูญล่ะเป็นชาจตุนะอุปัฏฐากเป็นการหายไปของธาตุ อย่างไรก็มีศรัทรา การไหว้บูชาสักการะ มีศรัทธาเลื่ยมใสในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น หวนกลับมาศรัทธาอีก สิ่งศักดิ์ทั้งหลายก็เริ่มต้นตรงที่ต้นพระศรีมหาโพธิอีกครั้งเพื่อออกไปเผยแพร่คุณงามความดีต่อไปอีก สังเวชนียสถาน 4 ตำบลปรากฎในมหาปรินิพพานสูตรชัดเจนว่าเป็นสถานที่ที่เราควรจะไปกราบไหว้บูชาสักการะ ถ้าทุกท่านมีโอกาสได้ไป ก็สถานที่จำลองในประเทศไทยเนี้ยหล่ะ เพื่อสร้างศรัทธาสักการะ ดึงพลังในตัวของเราออกมาใช้ประโยชน์ คือพลังในตัวคนนั้นทุกคนมีหมด มันเป็นพลังศักดิ์สิทธ์ อย่างบางคนที่เชื่อในพลังจักรวาล ก็จะบอกว่าในจักรวาลนี้ ดาวแต่ละดวงมีพลังมหาศาล และเป็นพลังที่ไม่ได้อยู่เฉยๆ แต่ละดวงดาวก็จะถ่ายทอดพลังและส่งต่อจากดวงที่ไกลที่สุดถ่ายทอดพลังมาสู่ดวงที่ใกล้โลกเป็นลำดับ และท้ายที่สุดพลังนี้ก็จะถ่ายทอดพลังมาสู่ตัวมนุษย์ของเรา จากจอประสาทผ่านตัวคนและทะลุฝ่าเท้าลงไปอีก ดังนั้นคนที่เชื่อในพลังจักรวาลก็จะเชื่อว่าตอนเช้าๆต้องให้เท้าสัมผัสดิน เพื่อพลังงาน Flow ถ้าพลังงานในตัวเราไม่ Flow ก็จะรู้สึกอึดอัดในตัวเกิดทางกายภาพก่อนแล้วจะส่งไปทางจิต คนที่มีเคราะห์ก็เพราะพลังงานไม่ flow เนี้ยแหล่ะคำว่า เคราะห์ นวคหะการยึดของดวงดาวทั้ง 9 คหะเป็นภาษาบาลี ดังนั้นร่างกายของเราต้องให้ Flow ถึงจะเป็นสิ่งที่ดี และพลังงานส่วนหนึ่งก็สามารถกัก เก็บเอาไว้ใช้ในตัวเราได้ซึ่งคนที่จะสามารถจะเก็บเอาพลังงานไว้ใช้ได้ต้องเป็นคนที่จิตใจดีงาม ปฎิบัติสมาธิอยู่เป็นประจำ มีจิตที่ละเอียด โดยธรรมชาติของมนุษย์จะเป็นสปีชีย์พิเศษมีศักยภาพเหนือกว่าสัตว์โลกประเภทอื่นๆ เพราะฉนั้นพลังที่ผ่านตัวเราเนี้แหล่ะสามารถกัก เก็บไว้ใต้สะดือศูนย์กลางตัวเรา แต่เอามาใช้ประโยชน์ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ถ้าศรัทธาสูงก็เอาใช้ประโยชน์ได้มาก ศรัทธาต่ำก็เอามาใช้ประโยชน์ได้น้อย ไม่มีศรัทธาก็เอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้เลย เหมือนดั่งนักจิตวิทยาทางบริหารชอบพูดว่า “ เชื่อว่าสำเร็จ ย่อมสำเร็จ “ นั่นแหล่ะคือผลของการใช้พลังที่มีศรัทธาสูง หลังจากนั้นเราควรมีแสดงออกทางกายทวาร วจีทวาร มโนทวาร ของเราด้วยความเคารพนับถือน้อมนอบต่อสิ่งศักดิ์ทางพุทธศานาเพื่อประคับประคองศรัทธาของเราให้งอกงาม
การบวช ก็เช่นเดียวกัน เพื่อให้บุคคลเข้าใกล้สิ่งศักสิทธิ์ทางพุทธศาสนา เพื่อให้มีศรัทธา แต่วัตุประสงค์ที่จริงคือ คำว่า “บวช”ภาษาบาลีคือคำว่า ปัชฌาย์ แปลว่า เว้นทั่ว นัยยะคำว่า เว้นทั่ว คือ 1. เว้นจากบทบาทหน้าที่เดิมของเรา ที่เรามีอยู่ตอนเป็นคฤหัสถ์ เราก็เว้นวรรคชั่วคราว 2. เว้นในหน้าที่การงานที่เป็นสุมเสี่ยงต่อการที่จะกระทำผิด ทั้งๆที่ไม่มีเจตนา ซึ่งเป็นวิถีของคฤหัสถ์ เราก็เว้นวรรคชั่วคราว 3. เว้นจากความชั่ว เมื่อบรรพชามาถือครองเพศเป็นนักบวชแล้วห่มจีวรเหลือง หรือ การนุ่งขาว ห่มขาว มีผลต่อการปลุกจิตสำนึก ปลุกมโนธรรม เว้นการทำชั่วได้มากระทำความดีได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น สิ่งสำคัญคือ เมื่อเราได้เว้นวรรค 3 นัยยะดังกล่าวแล้ว โอกาสที่การตักตวงสร้างคุณงามความดีมี 100 % เพราะไม่มีสิ่งใดมารบกวนจิตกวนใจก็จะมีโอกาสทำความดีได้ และสำคัญก็คือถือบวช บรรพชา เป็นวิถีของพระโพธิสัตว์ ดังนั้นจึงขอให้พวกเราจงมีความชื่นชม ยินดีในตัวเอง และที่สำคัญเรายังได้มีโอกาสกราบไหว้สังเวชนียสถาน 4 ตำบล เป็นรับพลังศักดิ์สิทธิเพื่อให้มีความศรัทธาเพิ่มมากขึ้น จะได้นำพลังศักดิ์สิทธิในตัวเองออกมาใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ อันนี้คืออานิสงค์ของการบวชโดยสรุป ขออนุโมทนาชื่นชมยินดีในกุศลจิตของทุกท่าน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น