การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลได้ส่งผลต่อทุกภาคส่วนของสังคมไทย รวมถึงสถาบันคณะสงฆ์ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ในการบริหารจัดการกิจการพระพุทธศาสนาให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2568 ที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) ครั้งที่ 24/2568 ได้มีมติเห็นชอบโครงการพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลและระบบสืบค้นกฎหมายคณะสงฆ์และพระพุทธศาสนา ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมถึงแนวทางการจัดทำแผนแม่บทยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเพื่อส่งเสริมธรรมาภิบาล ซึ่งสะท้อนถึงการก้าวสู่การใช้เทคโนโลยีขั้นสูงเพื่อเสริมประสิทธิภาพการปกครองคณะสงฆ์
ในเวลาเดียวกัน ภาคอุดมศึกษาไทย โดยเฉพาะกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ได้กำหนดนโยบายมุ่งพัฒนากำลังคนคุณภาพสูงด้าน AI และเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อรองรับเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมอนาคตของประเทศ ดังนั้น มหาวิทยาลัยสงฆ์ จึงถูกตั้งคำถามถึงบทบาทใหม่ ว่าจะสามารถบูรณาการพุทธปัญญาเข้ากับเทคโนโลยีขั้นสูงเหล่านี้ได้อย่างไร เพื่อผลิตกำลังคนที่ไม่เพียงมีทักษะเชิงวิทยาการ แต่ยังมีคุณธรรมและจริยธรรมรองรับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในกิจการพระพุทธศาสนา
กรอบแนวคิด
การวิเคราะห์แนวทางของมหาวิทยาลัยสงฆ์สามารถอ้างอิงได้จาก 2 มิติหลัก คือ
-
มติและทิศทางจากมหาเถรสมาคม (มส.) ที่ให้ความสำคัญกับการใช้ AI เพื่อยกระดับระบบข้อมูลกฎหมายคณะสงฆ์และการจัดการองค์ความรู้พระพุทธศาสนา
-
นโยบายอุดมศึกษาไทยของกระทรวง อว. ที่ชี้ชัดถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการผลิตกำลังคนด้าน AI และเซมิคอนดักเตอร์ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของประเทศ
มหาวิทยาลัยสงฆ์จึงอยู่ในจุดเชื่อมระหว่างการอนุรักษ์และการพัฒนา กล่าวคือ ต้องรักษาภารกิจหลักด้านพระพุทธศาสนา ขณะเดียวกันต้องตอบโจทย์เทคโนโลยีอนาคต
การวิเคราะห์แนวทางความร่วมมือ
-
การบูรณาการองค์ความรู้พุทธศาสตร์กับ AI
-
มหาวิทยาลัยสงฆ์สามารถจัดตั้ง หลักสูตรสหวิทยาการ ที่บูรณาการระหว่างพุทธปรัชญา สันติศึกษา และเทคโนโลยีดิจิทัล
-
พัฒนานักวิชาการและพระสงฆ์ที่มีความรู้ด้านการประยุกต์ใช้ AI เพื่อการจัดการข้อมูลพระพุทธศาสนา เช่น ระบบสืบค้นกฎหมายคณะสงฆ์, ระบบคลังคำสอนดิจิทัล, และแพลตฟอร์มธรรมะออนไลน์
-
-
การผลิตกำลังคนด้านเซมิคอนดักเตอร์เชิงสนับสนุนคณะสงฆ์
-
แม้มหาวิทยาลัยสงฆ์อาจไม่ใช่ผู้ผลิตวิศวกรโดยตรง แต่สามารถเป็น “ศูนย์กลางเชื่อมโยง” ระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี (เช่น มทร. และมหาวิทยาลัยด้านวิศวกรรมศาสตร์) กับคณะสงฆ์
-
สร้างโครงการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมอุปกรณ์อัจฉริยะ (Smart Devices) ที่ช่วยงานพระศาสนา เช่น ระบบ IoT ในการดูแลโบราณสถาน, ระบบฐานข้อมูลวัตถุทางศาสนา, หรือแพลตฟอร์มสื่อสารเพื่อชุมชนสงฆ์
-
-
การพัฒนาบุคลากรของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)
-
ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ พศจ. ให้เข้าใจการทำงานของ AI และระบบฐานข้อมูล เพื่อสามารถเป็น “ผู้ช่วยดิจิทัล” ของคณะสงฆ์ในระดับพื้นที่
-
พัฒนาหลักสูตรระยะสั้น (Non-degree) สำหรับพระสงฆ์และบุคลากรฝ่ายการปกครองสงฆ์ ให้สามารถใช้เครื่องมือดิจิทัลและเข้าใจพื้นฐานของ AI-เซมิคอนดักเตอร์
-
-
ความร่วมมือข้ามภาคส่วน (Multi-sectoral Collaboration)
-
มหาวิทยาลัยสงฆ์ต้องสร้างพันธมิตรกับมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ด้าน AI-เซมิคอนดักเตอร์
-
ภาคเอกชนและอุตสาหกรรมควรถูกดึงเข้ามามีส่วนร่วม ในฐานะผู้สนับสนุนการพัฒนาแพลตฟอร์มและการฝึกอบรมบุคลากรสงฆ์
-
บทสรุป
บทบาทใหม่ของมหาวิทยาลัยสงฆ์ในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการผลิตพระนักปราชญ์ด้านพระพุทธศาสนา แต่ยังต้องก้าวสู่การเป็น ผู้ร่วมผลิตกำลังคนด้าน AI และเซมิคอนดักเตอร์ในบริบทของคณะสงฆ์ โดยเน้นการบูรณาการองค์ความรู้ทางธรรมะเข้ากับวิทยาการสมัยใหม่ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างนวัตกรรมและคุณธรรม
การมีส่วนร่วมของมหาวิทยาลัยสงฆ์ในมิตินี้จะช่วยยกระดับการบริหารจัดการพระพุทธศาสนาไทยให้มีความทันสมัย โปร่งใส และน่าเชื่อถือ ขณะเดียวกันยังเป็นการสร้าง “บุคลากรดิจิทัลเชิงคุณธรรม” ที่สามารถตอบโจทย์ทั้งภาคศาสนาและภาคสังคมไทยในอนาคตได้อย่างยั่งยืน

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น