วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2568

วิเคราะห์ปัญหาสถานะทางกฎหมายของคณะสงฆาธิการ : เจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานหรือไม่ ?

 


สถาบันสงฆ์เป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญต่อสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ทั้งในด้านศาสนา การศึกษา และสังคมสงเคราะห์ โดยมีคณะสงฆาธิการในฐานะกลไกการปกครองคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งเจ้าอาวาสเป็นตำแหน่งที่อยู่ใกล้ชิดกับชุมชนที่สุด มีหน้าที่ดูแลวัดและพุทธศาสนิกชนโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ในแง่กฎหมายได้เกิดคำถามสำคัญว่า “เจ้าอาวาสจะถือเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายหรือไม่” โดยเฉพาะเมื่อเจ้าอาวาสต้องใช้อำนาจหน้าที่ เช่น การออกหนังสือรับรอง การจัดการทรัพย์สินวัด การจัดตั้งหรือยุบเลิกกิจกรรมทางศาสนา ฯลฯ ประเด็นนี้ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดคุยในรายการเสวนา “คุยเฟื่องเรื่องพระไตรปิฎกกับสังคม” ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเป็นปูชนียบูชาแด่พระธรรมวชิรปัญญาจารย์ (เทียบ สิริญาโณ ป.ธ.9) โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมายและพระพุทธศาสนาร่วมอภิปรายเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2568


1. กรอบแนวคิดทางกฎหมายเกี่ยวกับ “เจ้าพนักงาน”

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (16) กำหนดว่า “เจ้าพนักงาน” หมายถึงบุคคลซึ่งกฎหมายบัญญัติให้มีอำนาจหน้าที่ในการปฏิบัติราชการ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ พนักงาน หรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายโดยกฎหมายให้ใช้อำนาจแทนรัฐ
ดังนั้น การพิจารณาว่าเจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานหรือไม่นั้น ต้องพิจารณาจาก (1) ฐานะตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ และ (2) ขอบเขตหน้าที่ที่กฎหมายให้อำนาจ


2. ฐานะทางกฎหมายของเจ้าอาวาสตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์

พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 33 กำหนดหน้าที่เจ้าอาวาส เช่น

  • ปกครองคณะสงฆ์ภายในวัด

  • บริหารจัดการทรัพย์สินของวัด

  • ดูแลกิจการด้านพระศาสนาและการปกครองสงฆ์

แม้บทบัญญัติดังกล่าวให้เจ้าอาวาสมีอำนาจในเชิงปกครอง แต่เป็นอำนาจที่เกิดขึ้นภายในโครงสร้างคณะสงฆ์ ไม่ใช่อำนาจทางปกครองรัฐโดยตรง ต่างจากข้าราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ


3. ปัญหาการตีความ : เจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานหรือไม่

มีข้อโต้แย้ง 2 แนวทาง ดังนี้

  1. ฝ่ายที่เห็นว่าเจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงาน

    • เจ้าอาวาสใช้อำนาจในเรื่องทรัพย์สินวัด ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินประเภทหนึ่ง

    • เจ้าอาวาสมีอำนาจลงนามเอกสารที่ส่งผลต่อประชาชน เช่น หนังสือรับรองการจัดงานศาสนา การอนุญาตให้ใช้พื้นที่วัด

    • ศาลฎีกาเคยมีคำพิพากษาบางกรณีที่ถือว่า “พระสงฆ์ซึ่งทำหน้าที่ตามกฎหมาย” สามารถเข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงาน

  2. ฝ่ายที่เห็นว่าเจ้าอาวาสไม่ใช่เจ้าพนักงาน

    • อำนาจหน้าที่ของเจ้าอาวาสเป็นไปเพื่อการปกครองสงฆ์ มิใช่อำนาจรัฐโดยตรง

    • การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอาวาสเป็นไปตามพระธรรมวินัยและพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ซึ่งมีลักษณะเป็นกฎหมายพิเศษเฉพาะ มิใช่กฎหมายปกครองทั่วไป

    • หากตีความว่าเป็นเจ้าพนักงาน จะทำให้พระสงฆ์ต้องรับผิดเช่นเดียวกับข้าราชการ ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับหลักการแบ่งแยกศาสนากับการเมืองการปกครอง


4. ผลกระทบเชิงกฎหมายและสังคม

  • หากตีความว่าเจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงาน : จะทำให้พระสงฆ์ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอาญามาตรา 157 (ความผิดฐานเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่) ซึ่งอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของคณะสงฆ์ เนื่องจากพระสงฆ์ต้องรับผิดในกรอบเดียวกับข้าราชการ

  • หากตีความว่าไม่ใช่เจ้าพนักงาน : อาจทำให้การตรวจสอบการใช้อำนาจของเจ้าอาวาสไม่เข้มแข็งพอ โดยเฉพาะเรื่องการจัดการทรัพย์สินวัด และเปิดช่องให้เกิดการทุจริตได้


5. แนวทางเสนอแนะ

เพื่อแก้ไขความไม่ชัดเจน ควรมีมาตรการทางกฎหมายที่กำหนดสถานะของเจ้าอาวาสให้ชัดเจน เช่น

  1. กำหนดให้เจ้าอาวาสเป็น “ผู้ปฏิบัติหน้าที่ทางศาสนา” ไม่ใช่เจ้าพนักงานโดยตรง แต่ต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

  2. กำหนดบทบัญญัติพิเศษในพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ เพื่อสร้างกลไกตรวจสอบความโปร่งใสโดยไม่ต้องใช้มาตรา 157 โดยตรง

  3. เปิดพื้นที่ให้สังคมและพุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการบริหารวัด เพื่อสร้างสมดุลระหว่างหลักพระธรรมวินัยและกฎหมายบ้านเมือง


บทสรุป

ปัญหาสถานะทางกฎหมายของเจ้าอาวาสสะท้อนความซับซ้อนระหว่าง “กฎหมายบ้านเมือง” กับ “กฎหมายศาสนา” แม้เจ้าอาวาสมีอำนาจตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะถือเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายอาญาหรือไม่ การตีความทั้งสองแนวทางต่างมีผลกระทบต่อคณะสงฆ์และสังคมโดยรวม ดังนั้น แนวทางที่เหมาะสมคือการปรับปรุงกฎหมายให้ชัดเจน พร้อมสร้างระบบตรวจสอบที่สมดุล เพื่อรักษาทั้งความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันสงฆ์และหลักนิติรัฐของประเทศ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พลวัตการทำหน้าที่สส.ของดร.นิยม เวชกามา มิติศาสนจักรและการเมือง

รายงานฉบับนี้มุ่งศึกษาวิเคราะห์บทบาท หน้าที่ และพฤติกรรมทางการเมืองของ ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสกลนคร และอดีตแกนนำพรรคเพื...